วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๔



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บัวบุษราหลับฝัน ความฝันครั้งนี้เหมือนเป็นผู้ดูห่าง ๆ ไม่ได้เข้าใกล้อย่างทุกครั้งที่มาพร้อมกับยมทูตหินผา ผู้ช่วยขุนคีรี

            สถานที่นั้นเป็นศาลาสวดศพ ผู้คนนั่งเก้าอี้รอฟังสวดจนเต็มแล้วล้นมาถึงเต็นท์กางไว้รอบ ๆ บอกถึงผู้ตายเป็นคนกว้างขวาง มากบารมี

            รอบศาลามีชายฉกรรจ์ชุดดำยืนเป็นกลุ่ม ๆ ละสองคนคอยประจำจุดคอยสอดส่องผู้คนเข้ามาในงาน สังเกตบุคคลแปลกหน้าที่อาจแทรกซึม ลักษณะไม่ต่างจากเวรยามเฝ้าระวัง

            ชายร่างสูงผมเกรียน ชุดดำยืนโดดเด่นด้านหน้า คอยต้อนรับแขกผู้มีเกียรติด้วยกิริยาสำรวม ผู้ใหญ่สนิทสนมบางคนเข้ามาโอบกอดแสดงความเสียใจ เขาตอบรับด้วยใบหน้าละมุน พูดจาน้อยคำ

            ...นี่คือขุนคีรีในรูปลักษณ์ต่างจากเคยเดิม...

            ภาพในงานดำเนินต่อไปตามครรลอง หญิงสาวมองเห็นเป็นฉาก ๆ คล้ายภาพยนตร์ตัดต่อรวดเร็ว จนกระทั่งเสร็จพิธีสวด แขกกลับจนหมด เหลือชายหนุ่มชุดดำอยู่ภายในศาลา แม้ด้านนอกจะมีเวรยามคอยเฝ้าระวัง สีหน้าท่าทางเขาไม่ต่างจากอยู่เพียงลำพัง

            บัวบุษรารู้สึกช่วงเวลานี้ภาพในฝันชัดเจนจนเหมือนจริง ขุนคีรีนั่งเงียบ ๆ ตรงหน้าโลงศพบิดา เงยหน้ามองราวกับต้องการสื่อสารส่งข้อความถึงผู้อยู่สัมปรายภพ

            เธอคุกเข่า ยกมือไหว้รูปด้วยความเคารพ เอ่ยวาจาอ่อนโยน

            “บัวมากราบศพคุณลุงนะคะ...ถึงจุดธูปไหว้เหมือนมาด้วยตัวเองไม่ได้ บัวก็ขอตั้งใจส่งความปรารถนาดีแทนดอกไม้ธูปเทียนค่ะ”

            พูดจบก้มกราบด้วยกิริยางดงาม

            ชายหนุ่มด้านข้างขยับตัว หยิบธูปมาจ่อปลายเทียนจนไหม้แดงควันลอยเป็นสาย หญิงสาวเบิกตากว้างเอ่ยปากอดไม่ได้

            “คุณผู้ช่วย...เอ๊ย...คุณขุนมองเห็น...ได้ยินบัวด้วยหรือคะ”

            เขาหลับตายกมือพนมปลายนิ้วโป้งแตะหว่างคิ้วแล้วปักธูปลงกระถาง ไม่แสดงท่าทีรับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอสักนิด

            “คุณผู้ช่วย...คุณขุน...ขุนคีรีคะ”

            หล่อนพยายามเรียกซ้ำ ๆ สารพัดแบบ หวังว่าจะได้เห็นอาการ ‘หลุด’ มาบ้าง เขายังเฉยเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเช่นเดิม

            “เพิ่งจุดธูปไหว้พ่อเลี้ยงหรือ...ขุน”

            เสียงนี้ต่างหากเรียกให้ชายหนุ่มหันไปหา

            “ครับ”

            “กลับบ้านกันเถอะ”

            เขาพยักหน้าไม่ตอบวาจาอีก ลุกขึ้นเดินตามชายหนุ่มสวมแว่นกรอบบาง ผ่านขบวนชายฉกรรจ์ชุดดำคอยเฝ้าระวัง ขึ้นรถยุโรปสีขาวคันใหญ่

            บัวบุษราตามไปนั่งเบาะหน้าคู่คนขับรถ ปล่อยสองหนุ่มนั่งเบาะหลังพูดคุยกันเบา ๆ

            “ตอนนี้ทางปีเตอร์เงียบ ไม่มีข่าวเคลื่อนไหวอะไรเลย” ชายสวมแว่นรายงาน

            “เขาเงียบไม่ได้แปลว่าอยู่เฉยนะพี่”

            “นั่นสิ...พี่ว่า...”

            คนสนิทกึ่งพี่ชายกำลังรายงานต่อ น้องชายขยับตัวเอนหลังหลับตาบอกเบา ๆ

            “ขอผมพักสายตาเดี๋ยว ถึงบ้านปลุกด้วยนะ”

            “ได้สิ”

            รถแล่นฝ่าความมืดบนถนนยวดยานบางตา ออกมานอกตัวอำเภอเมืองแล้วเลี้ยวเข้าถนนลาดยางส่วนบุคคลผ่านแนวเรือกสวนเห็นเป็นเงาตะคุ่มในความมืด สู่บ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกล

            บริเวณบ้านหลังนั้นกว้างราวสามสี่ไร่ ภายในบ้านเปิดไฟสว่างโดดเด่น เรือนคนงานหลังเล็กไม่ไกลนัก ที่จอดรถเรียงด้วยรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่กระบะใช้งานยันรถหรูขับโฉบเฉี่ยว ตามด้วยมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ยี่ห้อดังสี่ห้าคันที่นักเล่นมาเห็นต้องตาลุกวาว อดเข้ามาชื่นชมไม่ได้

            “โห...บ้านคุณผู้ช่วยนี่รวยชะมัด”

            บัวบุษราลงจากรถ มองสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องแปลกหูแปลกตา เดินตามชายหนุ่มต้อย ๆ เพราะสิ่งแปลกประหลาด ผิดหูผิดตาเธอที่สุดยามนี้คือตัวเขาเอง

            ห้องโถงชั้นล่างไม่กว้างขวางระดับคฤหาสน์ใหญ่ พอรองรับแขกได้สิบยี่สิบคน ตกแต่งเรียบ ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก ไม้เนื้อแข็งหายากราคาแพง

            หญิงสาวเดินมองโน้นมองนี่ภายในห้องรับแขกคล้ายเด็กหญิงจอมซน สนใจเรื่องแปลกใหม่ อยากรู้อยากเห็นไปหมด

            “พี่เข้ม...ผมขึ้นไปอาบน้ำข้างบนก่อน มีธุระอะไรดึก ๆ ค่อยคุยกัน”

            ขุนคีรีบอกพี่ชาย...และเน้นคำว่า...อาบน้ำ...ดังชัดกว่าปกติ

            “ได้สิ มีเรื่องจะปรึกษาสองสามเรื่องเหมือนกัน” อีกฝ่ายตอบรับ

            พอได้ยินคำว่า ‘อาบน้ำ’ ผู้อยู่คนละสภาวะชะงักไม่กล้าเดินตามชายหนุ่มขึ้นไปยังห้องส่วนตัว เพียงไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนใจรีบตามขึ้นไปโดยไม่สนใจ

            ...อาบน้ำก็เชิญ...ไม่คิดตามไปดูสักหน่อย...แค่อยากรู้ว่าห้องส่วนตัวเป็นยังไง...โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ



            ห้องส่วนตัวขุนคีรีเพิ่งปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดครั้งใหญ่ก่อนเจ้าตัวมาถึง สภาพห้องเหมือนเดิมสมัยเคยอยู่เมื่อสองปีก่อน

            เตียงหลังใหญ่ โต๊ะอ่านหนังสือ คอมพิวเตอร์คลุมผ้าไม่ได้ใช้ ตู้เก็บหุ่นยนต์ของเล่นสมัยเด็ก กีตาร์ตัวโปรดใส่กระเป๋าวางเรียงเป็นระเบียบ ชั้นหนังสือเพิ่งปัดฝุ่นสะอาดเอี่ยม

            ขุนคีรีปลดกระดุมเสื้อสามสี่เม็ด ขณะ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ เที่ยวเดินดูภายในห้องทั้งที่เจ้าของไม่เคยเอ่ยปากอนุญาต

            “โห...กีตาร์แต่ละตัวยี่ห้อแพง ๆ ทั้งนั้นเลยท่าจะมืออาชีพนะเนี่ย โมเดลหุ่นยนต์พวกนี้สงสัยเป็นรุ่นลิมิเต็ดหายากแน่ ๆ ตายแล้วนี่คุณผู้ช่วยอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้เลย ภาษาอังกฤษก็มี เป็นพวกเด็กอินเตอร์แน่ ๆ”

            ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ หญิงสาวหันไปเห็นเขาปลดกระดุมเสื้อลงมาถึงกลางอก เผยผิวขาวเนียนอย่างคนเหนือ จากนั้นเอื้อมมือลงต่ำปลดหัวเข็มขัด และทำท่าปลดกระดุมกางเกง

            หากเป็นปกติบัวบุษราคงต้องรีบหลบ ปล่อยให้เขาจัดการธุระส่วนตัว เวลานี้กลับนึกแผลง ๆ อยากพิสูจน์ว่าเจ้าของห้องมองเห็นตนเองหรือไม่ จึงแกล้งร้องเชียร์ดัง ๆ

            “ถอดเลย ถอยเลยสิคะ...อยากพิสูจน์รอยสัก...คุณผู้ช่วยบอกเองนะ...ถ้าขอดูเมื่อไหร่จะพิจารณาอีกที...ตอนนี้อยากดูแล้ว...ถอดเลยค่ะ ทั้งเสื้อทั้งกางเกง รับรองว่าต้องการพิสูจน์รอยสักอย่างเดียว ไม่มีเจตนาแอบแฝงเล้ย”

            มือที่จะปลดกระดุมกางเกงชะงัก เปลี่ยนเป็นดึงชายเสื้อเชิ้ตคลุม แล้วออกมานั่งรับลมที่ระเบียงนอกห้อง

            หญิงสาวอมยิ้มรีบตามทันที พอจะคาดเดาออกราง ๆ



            ระเบียงนอกห้องตั้งเก้าอี้เอนยาวไว้สองตัว เหมาะสำหรับนอนดูดาวรับลมยามค่ำคืน ขุนคีรีเอนกายนอนดูดาวระบายลมหายใจคั่งค้างผ่อนคลายตัวเอง

            บัวบุษรานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ เท้าคางมองหน้าเขาตั้งใจแหย่ให้ ‘หลุด’ จริง ๆ

            “พิจารณาแล้ว ไม่ยอมให้ดูจริงหรือคะ...ว้าเสียดายจัง เกือบได้พิสูจน์ด้วยตาแล้วเชียว”

            นัยน์ตาคมดุมองท้องฟ้าพร่างดาวไม่สนใจสิ่งใด คนแหย่ต้องขยับเข้าใกล้พิจารณารายละเอียดบนดวงหน้านั้นแล้วเอ่ยชม

            “โห...ผู้ชายอะไรขนตางอนยาวขนาดนี้ นัยน์ตาสวยชะมัด จมูกโด่งคมไม่มีรอยมีด ไม่เคยผ่านศัลยกรรมแน่ ๆ ตอนผมยาวก็หล่อเซอร์แบบนึง ตัดผมสั้นก็หล่อเท่มาดแมน ถามจริง ๆ เถอะ ถ้าจะจีบนี่ต้องทำยังไงบ้าง”

            ผู้ถูกวิจารณ์ยังเฉย หนำซ้ำประสานมือไว้ตรงท้ายทอย ตั้งใจดูดาวมีความสุข คนรบกวนอดไม่ได้เงยมองตามบ้าง

            “ดาวที่นี่สวยจังเลย...อิจฉาคุณผู้ช่วยที่ได้ชมดาวที่นี่ตั้งแต่เด็ก คงมีความสุขมาก ๆ แน่”

            ลมหายใจขุนคีรีเข้าออกเป็นจังหวะแผ่วเบาคล้ายหลับ พอก้มมองดูพบว่ายังลืมตาจึงยิ้มให้

            “บัวรู้ว่าคุณผู้ช่วยมองเห็นนะคะ ไม่ต้องอายกันหรอก...บัวน่าอายมากกว่ามั้ย หลงคิดว่าเป็นยมทูตจริง ๆ ทั้งที่ควรเดาได้ตั้งแต่หลุดชื่อยายคายาโกะ ผีจูออนแล้ว...น่าโมโหนะคะหลอกให้หลงเชื่อเป็นวรรคเป็นเวร...แต่พอโดนเข้ากับตัวเลยเข้าใจ...บางอย่างมันก็อธิบายยากเนอะ...ปล่อยเข้าใจผิดไปเลยง่ายกว่า”

            ขุนคีรีขยับตัวลุกขึ้น ดวงหน้าทั้งสองใกล้กันกว่าเดิม บัวบุษรายิ้มร่าคิดว่าเขายอมเอ่ยวาจาตอบ

            “มีอะไรเหรอพี่เข้ม”

            หันขวับไปด้านหลัง คนสนิทเขาเข้ามายืนอยู่กลางห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แสดงว่าเจ้าตัวหูไวไม่เลว

            “คลิปที่พี่ให้จัดการ เขาส่งมาแล้วนะ มาดูสิ”

            “ครับ”

            ตวัดขาลงจากเก้าอี้เอนยาว ช้ากว่าหญิงสาวที่รีบเข้าไปในห้องก่อนแล้ว

            “คลิปอะไรคะ อยากรู้อยากดูจังเลย”

            หากเจ้าหล่อนไม่เกิดอาการอยากรู้จนแล่นเข้าไปในห้องเสียก่อน คงได้เห็นสายตาชายหนุ่มมองตาม รอยยิ้มขำขัน ‘หลุด’ ออกมา ดวงตาฉายประกายความสุขชั่วแวบ แทนความหม่นหมองที่ยึดครองมาแทบทั้งวัน











บทที่ ๒๐



            ขุนคีรีทราบการมาถึงของบัวบุษราตั้งแต่เมื่อใด?

            ตอนรับแขกผู้ใหญ่ในงานสวดศพรู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมอง พอเหลียวสังเกตจริง ๆ ไม่พบบุคคลต้องสงสัย สักครู่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ คุ้นเคย ระลึกได้ว่าคล้ายกลิ่นดอกลั่นทมที่เคยบอกว่าเป็น ‘กลิ่นกุศล’

            ต่อให้ไม่เห็นตัวชัด ๆ หัวใจก็อบอุ่น ผ่อนคลาย กระทั่งแขกกลับจนหมด นั่งพักหน้าโลงศพอยากสื่อสารพูดคุยกับผู้วายชนม์

            จู่ ๆ เจ้าหล่อนปรากฏกายคุกเข่ากราบพ่ออยู่ด้านข้าง อยากเหลือบมองชัด ๆ ต้องฝืนหักใจทำมองไม่เห็น หูทวนลมไม่ตอบวาจา ไม่อยากให้รู้ว่าดีใจแค่ไหนกับการอยู่ใกล้กันคืนนี้

            การแสดงออกเช่นนั้นทำให้เห็นหญิงสาวในอีกมุมหนึ่ง บัวบุษราแสบและซนไม่น้อยยามต้องการเอาชนะ ใช้สารพัดวิธียั่วเย้าให้สนทนาด้วย

            หนักสุดน่าจะเป็นการท้าให้แก้ผ้าต่อหน้า!

            ...เธอคงคิดว่าเขาไม่กล้ากระมัง...

            จังหวะเกือบหลุดจริง น่าจะเป็นตอนยื่นหน้ามาใกล้ ๆ ต่อให้เคยมีสาวหลายคนก็ยังไม่มีใครวิจารณ์หน้าตาละเอียด จีบกันตรงไปตรงมาขนาดนี้

            เขาเกือบหลุดหัวเราะเอ็ดใส่หล่อนไปแล้ว ถ้าเข้มไม่เข้ามาในห้องเสียก่อน



            ขุนคีรีรับโทรศัพท์มือถือซึ่งเจ้าของเครื่องเปิดคลิปรอไว้แล้ว สายตาเหลือบมองภาพในนั้นแวบเดียวก็ปิดทันที ส่งผลให้ ‘คนแอบดู’ โวยวาย

            “โห รีบปิดเชียว...คลิปโป๊แน่เลย กลัวเสียลุคหนุ่มหล่อมาดดีหรือคะคุณผู้ช่วย”

            แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ยื่นโทรศัพท์คืนพร้อมบอกง่าย ๆ

            “โหลดลงคอมพ์ให้ผมที เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จเราค่อยมาคุยกัน”

            จบวาจาปลดกระดุมเสื้อที่เหลือ ถอดเชิ้ตสีดำออกเผยผิวขาวเนียน ลอนกล้ามท้องปรากฏชัด รูปร่างเพรียวสมส่วนปราศจากไขมันส่วนเกิน...และ...ไม่มีรอยสักให้เห็น

            เจ้าหล่อนยืนอึ้งชั่วขณะ เขาใช้ไม้ตายถอดเข็มขัด ปลดกระดุมกางเกง รูดซิบดังแกรก

            “จะแก้ผ้าตรงนี้เหรอขุน” คนแปลกใจเป็นพี่ชาย

            “อือ...ผมแก้ผ้าในห้องตัวเองแปลกตรงไหน” ตอบพลางเหลือบมองรอบ ๆ

            แม่คุณหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ขุนคีรีกลั้นหัวเราะเดินเข้าห้องน้ำ มั่นใจไม่มี ‘ใคร’ ดักรอก่อกวนข้างในแน่นอน

            อาบน้ำเสร็จจงใจนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว หยดน้ำเกาะพราวออกมา ตั้งใจหากเจ้าหล่อนยังดื้อรอดู ‘คลิปหลักฐาน’ เห็นทีต้องใช้มุก ‘ผ้าเช็ดตัวหลุด’ ขับไล่กันเสียแล้ว

            โชคดีในห้องเหลือเข้มนั่งหน้าจอคอมพ์คนเดียว ไม่มีสิ่งแปลกปลอมแขกไม่ได้รับเชิญ ไม่เหลือกระทั่ง ‘กลิ่นกุศล’ แสดงว่าคงหนีไกลลิบ

            ส่วนหนึ่งโล่งใจ เจ้าหล่อนไม่ต้องรู้ปัญหาเรื่องร้ายที่เขาเผชิญ อีกใจอ้างว้างคิดถึง...บัวบุษราช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ยิ้มออก หัวใจมีความสุขท่ามกลางเรื่องน่าเศร้าทั้งหลายที่ประเดประดังเข้ามา

            ...ไม่อยากให้เธอจากไป...แต่ไม่อยากให้ร่วมกังวลทุกข์ใจมากกว่า...




--------------- ------------ --------------




            คลิปหลักฐานแรกภาพคมชัดทั้งที่แสงน้อย สถานที่ส่วนใหญ่เป็นริมถนนพงหญ้า ผู้ถ่ายจงใจเก็บภาพทีมล่าสังหารเท่าที่ทำได้

            เสียงปืนระดมยิงเป็นชุดจากข้างทาง จากนั้นเป็นเสียงปืนตอบโต้จากฝ่ายในรถยนต์ ภาพช่วงแรกค่อนข้างชุลมุนแยกแยะลำบาก สักครู่คนถ่ายหนีออกมาซ่อนตัวนอกรถ แอบถ่ายภาพฝ่ายตรงข้ามสำเร็จ มองเห็นกลุ่มคนชุดดำปิดหน้าเคลื่อนขบวนเป็นระเบียบ ต่อสู้มีแบบแผนไม่ยิงสะเปะสะปะ หลายคนรูปร่างสูงใหญ่กว่าชาวเอเชีย จู่โจมฉลาด ขนาดฝ่ายพ่อเลี้ยงอาศัยรถยนต์กำบังกาย ฝีมือยิงปืนฉกาจฉกรรจ์ยังพ่ายแพ้ต่อจำนวนคนมากกว่า

            “บอกได้มั้ยว่าเป็นพวกไหน” เคยดูมาแล้ว ขุนคีรีไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำ

            “ชุดดำคลุมหน้าแบบนี้บอกตัวตนลำบาก พี่รู้แค่ปีเตอร์ไม่มีทีมลูกน้องฝีมือฉกาจขนาดนี้ พวกเขาได้รับการฝึกอย่างดี มืออาชีพ ใครจ้างมาต้องลงทุนสูงมีอิทธิพลพอสมควร”

            “ปีเตอร์จะจ้างมาหรือ?”

            “พี่หมายความว่า...ใครที่มีเงิน มีอำนาจก็สามารถจ้างได้ไม่เฉพาะปีเตอร์คนเดียว”

            “คนนั้นคง...” ขุนคีรีต่อให้ “กำลังต้องการ ‘เก็บกวาด’ ล้างตัวให้สะอาด ไม่อยากเกี่ยวพันกับพ่อหรือลุงพล!”

            เหตุผลนั้นเกิดขึ้นหลังจากได้ชมคลิปหลักฐานที่สอง ฝีมือ ‘แดน’ ผู้ติดตามพ่อเลี้ยงบุญชัยแอบถ่ายโดยฝ่ายตรงข้ามไม่ทันสังเกต



            ห้องอาหารเป็นสัดส่วน แยกสำหรับลูกค้าต้องการความเป็นส่วนตัว โต๊ะอาหารมีแค่บัณฑิตกับพ่อเลี้ยงบุญชัยสองคน คนสนิทอย่างเจตน์ แดน ปราบคอยอยู่ข้าง ๆ รอรับคำสั่ง

            ไม่มีรัฐมนตรี หรือตัวแทนมาร่วมรับประทานอาหาร นั่นหมายความว่าคืนนั้นไม่มีการปรึกษา นำเสนอเกี่ยวกับการเปิดบ่อนเสรี

            พ่อเลี้ยงบุญชัยเตรียมตัวเก้อ

            “ขอโทษจริง ๆ ท่านเพิ่งให้เลขาส่งข้อความมาบอกว่าโดนเรียกตัวด่วน ต้องเลี้ยวรถกลับทันที”

            “ตะกี้คนของคุณบอกว่าท่านรัฐมนตรีเพิ่งลงจากทางด่วน จะมาถึงภายในสิบห้าถึงสามสิบนาที”

            “พ่อเลี้ยงอย่าเพิ่งอารมณ์เสียผิดหวังขนาดนั้นสิ โอกาสหน้ายังมี แล้วผมจะพยายามติดต่อนัดหมายท่านให้ได้เร็วที่สุด”

            “เร็วที่สุดของคุณรอบนี้ใช้เวลานานแค่ไหน”

            “ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์...ผมรับรอง คืนนี้กินอาหารให้อร่อยกันก่อน พ่อเลี้ยงไว้ใจผมได้น่า”

            ทั้งสองรับประทานอาหารเงียบ ๆ ความคมชัดของภาพถูกปรับทำให้เห็นสีหน้าลักษณะท่าทางสองฝ่ายว่าต่างคนล้วนเก็บงำกิริยา ซ่อนความรู้สึกจริงเอาไว้โดยไม่แสดงออก

            ตอนขึ้นรถขากลับ คลิปเสียงพ่อเลี้ยงพูดคุยกับแดน ผู้ติดตาม

            “เราเปลี่ยนเส้นทางขากลับได้มั้ย”

            “ไม่ได้ครับถนนอีกสายปิด อย่างน้อยเราต้องไปถึงทางแยกถนนใหญ่ถึงเปลี่ยนเส้นทางได้”

            “ถ้างั้นระวังตัวไว้ กูเห็นแววตาไอ้บัณฑิตกับลูกน้องมองกันแปลก ๆ เหมือนส่งสัญญาณลับบางอย่าง”

            “ผมกับปราบจะเตรียมตัวให้พร้อม”

            “บอกรถคุ้มกันเราด้วย อย่าประมาท”

            “ครับพ่อเลี้ยง”

            “ถ้าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับกู...หมายหัวไอ้บัณฑิตเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกเลย”

            “ครับ”

            จากเสียงสนทนา พ่อเลี้ยงบุญชัยเริ่มสงสัยความไม่ชอบมาพากลอีกฝ่าย เกิดสังหรณ์ร้ายพยายามเตรียมรับมือ เพียงแต่สู้ไม่ได้จริง ๆ

            คลิปทั้งสองทำให้ขุนคีรีมั่นใจผู้อยู่เบื้องหลังฆ่าพ่อเป็นใคร มันไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดฆาตกรผู้ออกคำสั่ง จำเป็นต้องวางแผนตลบหลังเอาคืน

            “เสียดายทีมล่าสังหารพวกมันรอดหมด ไม่งั้นคงได้หลักฐานเพิ่มจากศพบ้าง” เข้มเปรย

            “ที่น่าขำคือหลักฐานศพที่ได้น่าจะเป็นตัวละครที่ทางนั้นจัดฉากให้เราหลงทาง” ขุนคีรีอ่านเกมออก

            “นอกจากงานนี้ บัณฑิตใช้พวกเขาทำงานอื่นอีกหรือเปล่า”

            ข้อสงสัยจากเข้มสะกิดความทรงจำบางอย่างขุนคีรีขึ้นมา...วิญญาณสัตยาบอกว่ามีกลุ่มคนชุดดำฝีมือดีชิงตัวจอห์นจากเซฟเฮ้าส์ หนำซ้ำรุมซ้อมจนเขาเสียชีวิต

            ภาพความทรงจำดวงวิญญาณปรากฏในหัวผู้ช่วยยมทูตสั้น ๆ เป็นช่วง ๆ กลุ่มคนชุดดำที่ช่วยจอห์นมีลักษณะการแต่งกาย จัดทีม วิธีบุกจู่โจมคล้ายในคลิปหลักฐาน

            “จอห์น...” ขุนคีรีโพล่งชื่อนี้ขึ้นมา “ลุงพลส่งคนไป ‘เก็บ’ จอห์นที่เซฟเฮ้าส์ แต่มีกลุ่มคนชุดดำชิงตัวไปก่อน”

            “ขุนรู้มาจากไหน ลูกน้องท่านพลเทพบอกเหรอ”

            ผู้ช่วยยมทูตไม่ตอบ รีบบอกเจตนาแทน

            “ถ้าเราได้ตัวจอห์น เท่ากับมีพยานยืนยันกลุ่มมือสังหาร เอาผิดบัณฑิตได้”

            เข้มถอนใจ ดวงตาฉายรอยกังวล

            “ถ้าจอห์นถูกช่วยไว้เพราะต้องการใช้เป็นพยานเอาผิดท่านพลเทพ ตอนนี้มันหมดความหมายแล้ว บัณฑิตจะปล่อยเอาไว้หรือ”

            “ลองสืบหาดูก่อนอาจทัน”

            “เราไม่รู้บัณฑิตซ่อนพยานคนนี้ไว้ที่ไหน จะตั้งต้นสืบยังไง กว่าจะหาเจอก็กลายเป็นศพไปแล้ว”

            ขุนคีรีเถียงไม่ออก ชั่วแวบหนึ่งบังเกิดความทรงจำดวงวิญญาณสัตยาผุดขึ้นมา

            นายตำรวจสายสืบลอบติดตามไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ระหว่างรอ ‘นายใหญ่’ หรือตัวแทนปรากฏตัว ร่องรอยถูกพบโดนจับได้เสียก่อน

            สถานที่นั้นน่าจะเป็นเซฟเฮ้าส์!

            หลับตาเพ่งสมาธินึกรายละเอียดความทรงจำให้มากที่สุด ไล่เรียงเส้นทางตั้งแต่ต้นจนถึงเซฟเฮ้าส์ กระทั่งได้คำตอบว่ามันอยู่ที่ไหน

            ชายหนุ่มรีบคว้ากระดาษปากกาเขียนชื่อสถานที่นั้น และเส้นทางเข้าไปทันที

            “เซฟเฮ้าส์จอห์นอยู่ที่นี่ ถ้าสั่งคนของเราที่กรุงเทพให้ไปช่วยตอนนี้อาจทัน”

            เข้มหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดู ยกโทรศัพท์กดหา ‘มือดี’ ไว้ใจได้ที่อยู่กรุงเทพฯ ทันที ไม่จำเป็นต้องซักไซ้ตั้งคำถามไร้ประโยชน์ หากขุนคีรีมั่นใจออกคำสั่งเช่นนี้ เขาแค่ทำตามเท่านั้น




--------------- ------------ --------------




            ถ้าไม่โดนล็อค ‘ซื้อตัว’ ไว้ใช้งาน ตอนนี้จอห์นน่าจะหนีออกนอกประเทศแล้ว รู้ว่าตนเองรอดจากเงื้อมมือสมุนพลเทพเพราะ ‘คนนั้น’ ต้องการใช้เป็นพยาน

            ต่อให้เคยเห็นหน้าก็ไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้ ‘เขา’ เป็นใคร รอฟังคำสั่งอย่างเดียวพอ

            เซฟเฮ้าส์ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ ห้ามติดต่อโลกภายนอก ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะไม่รู้ข่าวคราวใด นั่นเพราะ ‘ผู้คุม’ ที่เข้าเวรดูแลแอบซุบซิบพูดคุยถึงการกวาดล้างจับกุมเจ้าพ่อค้ายาครั้งใหญ่

            นั่นทำให้ทราบ...พลเทพหมดอำนาจบารมี กำลังหนีหัวซุกหัวซุน

            จอห์นไม่ใช่คนโง่ คาดเดาชะตากรรมออก...หากเจ้าพ่อใหญ่ถูกจับ เขาอาจได้ออกจากเซฟเฮ้าส์เป็นพยานตามตกลงตอนแรก...แต่...ถ้าเหตุการณ์เปลี่ยนพลเทพถูกวิสามัญ ตนเองย่อมหมดความจำเป็น

            ‘คนนั้น’ คงไม่เก็บคนรู้ความลับ เคยเห็นหน้าตนเอาไว้แน่นอน

            โชคดีผู้คุมเหล่านี้ไม่ใช่ ‘มืออาชีพ’ ฝีมือเทียบเท่ากลุ่มคนชุดดำที่ชิงตัวมาจากเซฟเฮ้าส์ตำรวจ

            จอห์นใช้อุบายล่อหลอก หาจังหวะหลบหนีสำเร็จ โชคร้ายออกมาไม่ไกลจากเซฟเฮ้าส์เท่าไหร่พวกมันก็รู้ตัว รีบตามไล่ล่ากระจายกำลังดักทุกทิศทาง

            หนี หนี หนี วิ่งวนซอกซอนไปมาเหมือนหนูติดจั่น ไม่สามารถหลุดจากขอบเขตการไล่ล่าเสียที สุดท้ายต้องมาหลบซ่อนในโกดังร้างไม่ไกลจากเซฟเฮ้าส์ นึกทอดอาลัยในความอับโชคของตน

            หูแว่วเสียงฝีเท้าจำนวนมาก กลุ่มไล่ล่าตามมาถึงโกดังร้างแล้ว เขาจะเอาชีวิตรอดอย่างไร




--------------- ------------ --------------




            ศพจอห์นถูกพบใต้สะพานริมแม่น้ำในตอนบ่ายวันต่อมา ตามตัวมีร่องรอยฟกช้ำจากการต่อสู้ แพทย์ลงความเห็นสาเหตุเสียชีวิตคือเสพยาเกินขนาด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP