วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๓



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ผลการตรวจหลังผ่าตัดปรากฏว่าไม่มีปัญหา บัวบุษรายังใช้พันผ้ารอบดวงตาต่ออีกสักระยะ จนกว่าหมอจะอนุญาตให้กลับบ้าน หลังถอดผ้าพันอาจต้องใช้ฝาครอบตา หรือไม่ก็สวมแว่นดำต่อจนกว่าจะเป็นปกติ

            ดาบตำรวจพนากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เช้ามืด จากนั้นไปสะสางงานที่หน่วยพิเศษ รับฟังแผนติดตามแกะรอยพลเทพ

            รีบกลับมาดูลูกสาวที่โรงพยาบาลก่อนเที่ยง พบพรไพลินหน้ามุ่ยเบะปากใส่น้องสาวไม่รู้จะบ่นอย่างไร

            “มีเรื่องอะไรกันล่ะลูก” พ่อต้องรีบไกล่เกลี่ย

            “บัวสิคะเอาแต่ใจ จะไปหาเจ้าของดวงตาให้ได้”

            “หมอดนัยบอกลูกหรือว่าเป็นใคร” ถามไม่แน่ใจ ไม่คิดว่านายแพทย์จะยอมบอกง่าย ๆ

            “คุณหมอไม่บอกหรอกคะ แต่บัวรู้เลยขอให้พี่พรพาไปห้องดับจิต คิดว่าน่าจะทัน”

            “ห้องดับจิตมีศพใครบ้างไม่รู้จะไปหาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง” พี่สาวเถียง

            “ชื่อบุญชัยค่ะ...พ่อเลี้ยงบุญชัยเป็นคนมอบกระจกตาให้บัว” ผู้ป่วยโพล่งชื่อนี้มาในที่สุด

            พ่อชะงัก พี่สาวขมวดคิ้วสงสัยรีบถามทันที

            “บัวรู้ได้ยังไง”

            บัวบุษราถอนใจยาว ยอมเปิดเผยความลับออกมา

            “เมื่อคืน...ตอน ‘เขา’ มาสารภาพ บัวไม่ได้หลับค่ะ”

            “ใครมาสารภาพอะไร” พรไพลินงุนงง

            นายตำรวจอาวุโสโบกมือให้ลูกสาวคนโตหยุดก่อน เข้าไปถามลูกสาวคนเล็กใกล้ ๆ

            “บัวได้ยินทั้งหมดเลยหรือ”

            “ค่ะ”

            “เขาพูดอะไรให้ลูกฟังบ้าง” คนเป็นพ่อไม่แน่ใจ ขุนคีรีคิดว่าหล่อนหลับสนิทอาจระบายทุกอย่างตั้งแต่ต้น

            “ผู้...ช่วย...เอ๊ย...ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาขอให้บัวยกโทษแก่พ่อเขา...ถ้าไม่ไปตอนนี้อาจไม่มีโอกาสแล้ว”

            หญิงสาวไม่แน่ใจขุนคีรีจะมารับศพพ่อตอนไหน ตั้งใจรีบไปก่อนเขามาถึง

            “ได้สิ พ่อจะพาไปเอง”

            ดาบตำรวจพนายกมือห้ามลูกสาวคนโตไม่ต้องตามไป จากนั้นจูงมือผู้ป่วยเดินไปทางห้องดับจิตตามต้องการ

            ระหว่างทางคุยกันเบา ๆ คนเป็นพ่อพยายามซักไซ้ว่าเมื่อคืนชายหนุ่มระบายอะไรออกมาบ้าง ลูกสาวจงใจกล่าวเลี่ยง ไม่จำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด และยิ่งไม่จำเป็นพูดถึงความลับส่วนตัวระหว่างเขากับเธอ



            ประตูหน้าห้องดับจิตเปิดค้างมีคนอยู่ข้างใน นายตำรวจอาวุโสจงใจส่งเสียงพูดคุยดังกว่าเดิมเพื่อเตือน ‘บางคน’ ซึ่งอาจอยู่ในนั้น

            “แน่ใจนะลูกว่าจะเข้าไปจริง ๆ”

            “มาถึงนี่แล้ว บัวต้องทำตามตั้งใจอยู่แล้วค่ะ ยกเว้นว่าลูกชายเขาจะเอาศพไปแล้ว”

            สิ่งที่เห็นในห้องไม่เกินคาด ขุนคีรีใน ‘ลุค’ ใหม่ผมสั้นแต่งกายชุดดำยืนคู่กับชายหนุ่มสวมแว่นกรอบบาง ลักษณะคล้ายพี่ชายกึ่งมือปืนคนสนิท

            ทั้งคู่กำลังรอเจ้าหน้าที่มาจัดการบรรจุศพใส่โลงเพื่อนำขึ้นรถออกเดินทาง พอได้ยินเสียงจากนอกห้องก็ชะงัก ถอยหลังชิดข้างฝาอย่างรู้กาลเทศะ

            นายตำรวจอาวุโสยกมือจุ๊ปากเป็นเชิงบอกสองหนุ่มไม่ให้เอ่ยวาจาใด จูงมือบุตรสาวมาถึงหน้าเตียงซึ่งผู้วายชนม์ได้รับการอาบน้ำแต่งศพเรียบร้อย

            บัวบุษราพยายามคว้ามือไปข้างหน้า หวังสัมผัสร่างผู้มอบดวงตา พ่อรีบคว้ามือหล่อนไว้แล้วถามทันที

            “จะทำอะไรลูก”

            “ขอบัวจับมือผู้มีพระคุณหน่อยได้มั้ยคะ”

            “จะดีเหรอ” พ่อเหลือบมองลูกชายผู้เสียชีวิต ฝ่ายนั้นแค่พยักหน้าไม่พูดอะไร

            “กระจกตาเขาอยู่กับบัว มีอะไรต้องกลัวหรือคะ”

            คนเป็นพ่อตามใจ จับมือลูกสาวไปสัมผัสมือผู้เสียชีวิตซึ่งประสานบนหน้าอก

            สัมผัสนั้นแข็งเย็นชืด ริมฝีปากบัวบุษราเผยรอยยิ้มสดใส วาจาจากใจถ่ายทอดโดยไม่ปิดบัง

            “ขอบคุณนะคะสำหรับกระจกตาที่มอบให้...ไม่ว่าครัวร้านอาหารนั้นจะระเบิดเพราะอะไร เชื่อว่าคนที่สั่งไม่มีเจตนาทำให้บัวเป็นอย่างนี้แน่ ๆ แต่กระจกตาคู่นี้...คุณลุงพ่อเลี้ยงตั้งใจมอบให้อย่างเต็มใจ...นี่จึงเป็นเจตนาจริงซึ่งบัวซาบซึ้ง ถือเป็นพระคุณที่สุด

            บัวเคยบอก ‘ใครบางคน’ ว่าหากใจเราไม่ผูกพยาบาท สักวันความโกรธเกลียดมันจะจางลง...บางที...วันนั้นมันไม่นานอย่างใครคาดคิด

            ตอนได้ยินว่าได้รับกระจกตาแล้ว บัวดีใจจนพูดไม่ออก ยิ่งหลังผ่าตัดคุณหมอบอกว่าไม่มีปัญหา น่าจะกลับมามองเห็นได้ในอีกไม่นาน บัวก็ลืมความโกรธ เกลียด ความเสียใจที่ผ่านมาจนหมด

            เวลานี้บัวไม่รู้สึกโกรธ อาฆาต พยาบาทใครแม้กระทั่งคนสั่งให้ระเบิดห้องครัว...ถ้า ‘คุณลุง’ อยากได้ยินคำว่ายกโทษ ให้อภัย...บัวสามารถพูดได้เต็มปากโดยไม่ฝืนใจ...

            ทั้งที่จริงคำพูดเหล่านี้ไม่จำเป็นเลย เพราะในใจบัวตอนนี้มีแต่คำว่า ‘ขอบคุณ’ สำนึกในน้ำใจที่คุณลุงสละดวงตา มอบแสงสว่างให้มองเห็นอีกครั้ง ขอให้แสงสว่างที่บัวจะมองเห็นในอีกไม่นานนี้ เป็นแสงสว่างนำทางคุณลุงพ่อเลี้ยงในสัมปรายภพด้วยนะคะ”

            สิ้นวาจาทั้งห้องเงียบกริบ เป็นความเงียบอันอบอุ่น ความรู้สึกดีงามแผ่กระจายโดยรอบ รอยยิ้ม น้ำเสียงใสเสนาะแสดงถึงน้ำใจไม่ถือโทษ ไม่เหลือความแค้นเคือง ขุ่นใจแม้เพียงน้อยนิด

            ขุนคีรี เข้มค้อมศีรษะแก่หญิงสาวด้วยความตื้นตัน ดาบตำรวจพนาจูงมือลูกสาวออกจากร่างไร้วิญญาณ

            ก่อนกลับ บัวบุษราจงใจหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่มผู้ช่วยยมทูต ต่อให้ทั้งสองไม่ประจันหน้ากัน ฝ่ายเงียบเสียงก็ไม่กล้ากระทั่งระบายลมหายใจออกมา

            “มีอะไรอีกหรือลูก” พนาเหลือบมองชายหนุ่มด้วยแววตาอึดอัด ลำบากใจ

            “ถ้าพ่อมีโอกาสเจอผู้ชายเมื่อคืน...ขุนคีรี...อีกครั้ง ช่วยบอกอะไรเขาหน่อยได้มั้ยคะ”

            “จะให้บอกอะไร”

            “การหลับตาไม่ใช่ว่านอนหลับเสมอไป การมองไม่เห็นไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีใครหวังดีอยู่ใกล้ ๆ บัวเชื่อว่าเราสามารถตื่นมาพบความจริงที่งดงามกว่าในฝันได้ ถ้ามีความเชื่อมั่นพอ บัวกำลังรอให้ความฝันกับความจริงมาพบกันในวันที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาค่ะ”

            รอยยิ้มกระจ่างใสทอจับข้างแก้มหญิงสาว ต่อให้มีผ้าพันดวงตาก็ยังรู้สึกว่าเธอสว่างไสว

            ...วาจานั้นมีแค่สองหนุ่มสาวเข้าใจ...




--------------- ------------ --------------




            พาลูกสาวกลับมายังห้อง ดาบตำรวจพนาอดชะโงกหน้ามองผ่านหน้าต่างไปลานจอดรถไม่ได้ เห็นรถตู้สีดำคันใหญ่จอดรอโลงศพพร้อมผู้ติดตาม รู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มขึ้นในใจ

            ตอนสอบถามคดีพ่อเลี้ยงบุญชัย ทราบว่าเป็นการตามล่าสังหารอุกอาจ หากศัตรูหวังขุดรากถอนโคน การพาศพเดินทางขึ้นเหนือทางรถยนต์นับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง

            ใจอยากลงไปเตือน พอเห็นโลงศพถูกเข็นขึ้นรถ และปรากฏ ‘ทีมคุ้มกัน’ ออกมาจากรถยนต์ รถกระบะ รถตู้ มารายล้อมคำนับผู้วายชนม์ ทั้งให้ความสำคัญคุ้มกันชายสูงเด่นชุดดำเต็มที่ค่อยคลายใจลง

            ...ลูกเสือ...จะมากน้อยย่อมมีเขี้ยวเล็บ พิษสง ศัตรูเคี้ยวยากแน่...




--------------- ------------ --------------




            ยามสายวันต่อมา

            ขบวนรถนำศพพ่อเลี้ยงบุญชัยจากกรุงเทพฯ กำลังผ่านหน้าประตูวัด ตรงมายังศาลาทีละคันเป็นระเบียบ

            เข้มยืนเบื้องหน้าลูกน้อง คนสนิท บริวารพร้อมใจแต่งชุดดำยืนเรียงแถวรอรับโดยไม่มีใครเชื้อเชิญบังคับ ขบวนชายฉกรรจ์ทั้งหมดอยู่ในอาการสำรวม ใบหน้าเคร่งเครียด กระทั่งรถตู้สีดำจอด ประตูด้านหลังเปิดออกพร้อมเลื่อนโลงศพออกมา

            พวกเขาร่วมแรงยกโลงขึ้นบ่า แบกขึ้นไปตั้งบนศาลาด้วยความเคารพ ผู้เฒ่าผู้แก่ด้านในต่างยกมือไหว้เคารพศพด้วยดวงหน้าเศร้าโศก

            ขุนคีรีลงจากรถมองผู้คนเหล่านั้น นึกถึงคำพูดบิดา...คนที่พ่อต้องรับผิดชอบ...คนที่ฝากชีวิตไว้กับพ่อ...เหล่านี้ล้วนเสียใจต่อการสูญเสียผู้มีพระคุณ

            ตัวเขาและคนเหล่านี้มองเห็นแต่ด้านดีของพ่อ...อย่าลืมว่า กิจการต่าง ๆ ที่ท่านทำล้วนมอมเมาผู้คน ทำให้หลายครอบครัววิบัติล่มจมเช่นกัน...เพราะอย่างนั้น ‘วิบากกรรม’ จึงส่งศัตรูร้ายมาเอาชีวิต

            ชั่วชีวิตคนผู้หนึ่ง สามารถสร้างกุศล ขุดบ่อน้ำใจเจือจานผู้คน แต่ก็ยังสร้างบาปเวรกรรม ทำคนจำนวนไม่น้อยหมดเนื้อหมดตัว มอมเมาขาดสติทำเรื่องผิดพลาดเกินแก้ได้เหมือนกัน

            บุญกับบาปโดดเด่นชัดเจนเช่นนี้...ตอบลำบากเหลือเกินว่า ‘วิบาก’ แบบใดส่งผลก่อน

            “การเดินทางเรียบร้อยดีมั้ยขุน” เข้มถาม

            “ครับพี่ เดินทางสบาย ๆ ตลอดทางไม่มีใครรบกวน” ตอบซ่อนนัยรู้กันสองคน

            ขบวนรถออกจากกรุงเทพราวเที่ยงเศษ เดินทางแบบไม่เร่งร้อนใช้ทางหลวงสายหลักรถยนต์พลุกพล่าน พักค้างคืนกลางทางจัดเวรเฝ้าระวังแน่นหนา ออกจากที่พักตั้งแต่ยังไม่สว่าง มาถึงจุดหมายตอนสายปลอดภัย

            “ไม่มีทั้งคนรบกวน และคนอยากรบกวนด้วยหรือเปล่า” พี่ชายถามต่อ

            “ใช่...สังเกตเห็นแค่ ‘เหยี่ยวข่าว’ รายงานความเคลื่อนไหวเป็นระยะ”

            การเดินทางสบาย ๆ พักรถเป็นช่วง ๆ ผ่อนคลายการระวังตัว สามารถสังเกตสอดส่องสิ่งผิดปกติโดยรอบทั้งหมด พบว่ามี ‘สาย’ สลับหน้ารายงานความเคลื่อนไหวพวกตนเป็นระยะ

            “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่พวกเราคาดเดาไว้อาจเป็นจริง”

            “ผมว่างั้น...รอดูอีกนิดน่าจะชัดเจนขึ้น”

            “อืม ตอนนี้ขุนขึ้นไปทักทายพวกผู้ใหญ่ แล้วก็คุยกับพวกเราก่อนดีกว่า”

            “ครับพี่”

            ขุนคีรีลมหายใจลึก ๆ สีหน้าแววตาเคร่งขรึมกว่าเดิม พร้อมก้าวขึ้นไปรับผิดชอบตามหน้าที่ตน เหลือบมองพี่ชายข้างกาย รู้สึกไม่อ้างว้างเกินไป




--------------- ------------ --------------




            ห้องทำงานประธานกรรมการ ‘เกรทนภากรุ๊ป’ อยู่ชั้นบนสุดตึกสูงย่านธุรกิจสำคัญ

            หน้าจอคอมพิวเตอร์ฉายภาพขบวนเดินทาง ชายหนุ่มชุดดำ โลงศพในรถตู้ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนใกล้ถึงที่หมาย แสดงชัดว่าการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้อยู่ในสายตาผู้เฝ้ามองตลอดเวลา

            บัณฑิตเงยหน้าจากจอถามคนสนิทผู้ยืนรอรับคำสั่ง

            “ตอนนี้พวกมันไปถึงที่หมายแล้วหรือยัง”

            “รายงานล่าสุดบอกว่าขบวนรถเข้าไปในวัดประมาณสิบนาทีที่แล้ว”

            “จากรายงานทั้งหมดมีความเห็นยังไง” ผู้เป็นนายถาม

            เจตน์ก้มหน้าใคร่ครวญ ไม่นานเรียบเรียงคำพูดสรุปไม่ยาวนัก

            “พวกมันน่าจะปักใจเชื่อตาม ‘หลักฐาน’ ที่เราสร้างแล้วว่าทั้งหมดเป็นฝีมือปีเตอร์”

            “สังเกตจากตรงไหน”

            “ขบวนรถคุ้มกันแน่นหนา ระดมมือดีมาทั้งหมด จุดพักเมื่อคืนเป็นเขตอิทธิพลพวกมัน วางเวรยามระวังตลอด พร้อมรับมือถ้าปีเตอร์ส่งคนมาถล่ม ถอนรากถอนโคนสังหารลูกชายคนเดียวที่เหลือ”

            “ถ้าเป็นอย่างนั้น นับว่าแผนการสำเร็จตามคาด” บัณฑิตยิ้มพอใจ



            พ่อเลี้ยงบุญชัยไม่ได้ตายด้วยคำสั่งอดีตคู่อริอย่างปีเตอร์ บัวบุษราไม่ได้โดนคนของพลเทพบุกทำมิดีมิร้าย แต่จากสาเหตุนี้ ดาบตำรวจพนาจึงเข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการกวาดล้างผู้ค้ายาเสพติด ให้ข้อมูลสำคัญจนสามารถจัดการผู้ค้าระดับภูมิภาคสำเร็จ

            ทั้งหมดเป็นแผนการคว่ำสองเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล ด้วยมันสมองของเจตน์ และอำนาจบารมีบัณฑิต

            จุดเริ่มต้นแผนการน่าจะเกิดจากเมย์ มายาวีเสียชีวิตด้วยยาเสพติดชื่อ V นั่นทำให้เจตน์มองเห็นว่า หากขยายรูรั่วเล็ก ๆ ออกไปสามารถคว่ำยักษ์ใหญ่อย่างพลเทพได้

            เขาให้คนดักพาตัวจอห์นมาจากสนามบินเพื่อใช้เป็นพยานร่วมกับธนนท์ แถมปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับ ‘งานใหญ่’ ของกลุ่มผู้ค้ายาให้ถึงหูดาบตำรวจพนาอย่างแนบเนียน

            พลเทพสั่งฆ่าธนนท์ เจตน์เปลี่ยนแผนรีบพาจอห์นออกมาจากเซฟเฮ้าส์ จ้างพวกไม่มีประวัติอาชญากรรมบุกบ้านดาบตำรวจพนา ตั้งใจทำร้ายข่มขืนลูกสาวตาบอดให้อีกฝ่ายแค้นแล้วโยนความผิดให้เจ้าพ่อยาเสพติด

            แผนการดำเนินตามคาดหมาย จังหวะเดียวกับพ่อเลี้ยงบุญชัยมางานศพลูกสาวพลเทพ ทวงสัญญาเรื่องเป็นคนกลางติดต่อรัฐมนตรี เจตน์จึงวางแผน...หนึ่งคืนสังหารสองราชสีห์...

            ทางหนึ่งลอบให้ข้อมูลผ่าน ‘สาย’ ตำรวจถึงเวลาสถานที่นัดหมายกลุ่มผู้ค้ายา ทางหนึ่งเชิญพ่อเลี้ยงบุญชัยมาพูดคุยเจรจาตามต้องการ แล้วจ้างทีมสังหารมืออาชีพวางแผนลอบฆ่าในเส้นทางขากลับ

            แผนสังหารพ่อเลี้ยงมีความซับซ้อนบ้าง เจตน์ซื้อตัวคนของปีเตอร์ให้ร่วมทีมทั้งที่ฝีมือเทียบมือสังหารอาชีพไม่ได้ อีกทั้งจงใจสั่งให้ใช้อาวุธปืน กระสุนแบบเดียวกับกลุ่มอิทธิพลประเทศเพื่อนบ้านนิยมใช้

            แผนการล้มเจ้าพ่อค้ายาประสบผลไม่เต็มร้อย พลเทพรอดจากการวิสามัญหลบหนีไร้ร่องรอย เจตน์สั่งคนลอบ ‘ยัด’ หลักฐานต่าง ๆ ไว้ที่คฤหาสน์ และบริษัทธุรกิจบังหน้า เพื่อให้โดนไล่ล่าออกหมายจับ หมดอำนาจบารมีทุกอย่าง

            แผนการสังหารพ่อเลี้ยงบุญชัย โยนความผิดให้ปีเตอร์ประสบผลตามคาด ลูกน้องปีเตอร์ที่ถูกซื้อตัวเสียชีวิตจากการยิงถล่มต่อสู้นับเป็นหลักฐานชั้นดี ขณะทีมล่าสังหารแค่บาดเจ็บ จงใจทิ้งปลอกกระสุนให้การสืบสวนไขว้เขว แล้วหลบหนีเข้ากลีบเมฆ

            สายข่าวรายงานอีกว่า ลูกชาย ลูกน้อง บริวารพ่อเลี้ยงบุญชัยมั่นใจว่าปีเตอร์เป็นคนออกคำสั่งสังหาร การนำศพกลับภูมิลำเนาจึงมีขบวนรถคุ้มกันแน่นหนา ป้องกันฝ่ายตรงข้ามส่งมือสังหารขุดรากถอนโคน ฆ่าลูกชายคนเดียวปิดบัญชี



            “ตอนนี้พวกมือสังหารไปกันหมดแล้วใช่มั้ย” บัณฑิตต้องการคำยืนยัน

            “ไปหมดแล้วครับ พวกนี้ค่าจ้างแพงลิบก็จริง แต่ทำงานตามข้อตกลงไม่ผิดพลาด พอเรียบร้อยก็กลืนหายไปกับสายลม เหมือนกับชื่อองค์กรเขา”

            ประธานใหญ่หัวเราะหึหึขำขันแกมดูถูก

            “ให้มันจริงเถอะ อย่าเหลือร่องรอยอะไรให้เราต้องตามเก็บกวาดอีกแล้วกัน”

            “องค์กรนี้รับประกันฝีมือ ผลงาน และความลับลูกค้า...ท่านไม่ต้องห่วง”

            “คิดว่าสงครามระหว่างลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยกับปีเตอร์จะเริ่มเมื่อไหร่”

            “ตอนนี้น่าจะเริ่มมีสัญญาณแล้ว พวกบริวารลูกน้องรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ยกให้ลูกชายพ่อเลี้ยงเป็น ‘นาย’ คนใหม่ อาจประกาศศึกก่อนวันเผาศพด้วยซ้ำ”

            “หึหึ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแสดงว่าแผนยืมมือตำรวจกวาดล้างพลเทพ แผนยุแยงสองเสือร้ายสองประเทศให้ห้ำหั่นจนวอดวายใกล้ประสบความสำเร็จแล้ว”

            “ครับ ทั้งหมดนี้ไม่มีทางสาวถึงท่านได้เลย”

            คนสนิทพูดเหมือนยกยอ ผู้เป็นนายทบทวนครุ่นคิด นึกถึงช่องโหว่เรื่องหนึ่งได้

            “จอห์นเคยเห็นหน้าฉันแล้ว จัดการยังไงกับมัน” ถามเรียบ ๆ แววตาอำมหิต รออีกฝ่ายเอ่ยวาจาแทนตน

            “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มันคิดว่าจะได้หนีออกนอกประเทศตามที่เราสัญญา อีกไม่นาน ‘เซฟเฮ้าส์’ ที่มันอยู่จะกลายเป็น ‘เดธเฮ้าส์’ แน่นอน”

            “...ไม่นาน...มันนานเกินไป” บัณฑิตพูดลอย ๆ

            “ผมจะสั่งคนของเราเชือดมันวันนี้เลย”

            “ดี” คำชมสั้น แววตาพอใจ

            “รับรองว่าการประชุมใหญ่กรรมการผู้ถือหุ้น ‘เกรทนภากรุ๊ป’ เดือนหน้า ท่านจะไม่เหลือเรื่องให้ใคร ‘ขุด’ มากล่าวหาเป็นรอยด่างเด็ดขาด ตำแหน่งประธานกรรมการบริหารไม่มีใครแย่งได้”

            บัณฑิตอมยิ้มหมุนปากกาในมือ เหลือบมองลูกน้องคนสนิทด้วยดวงตาซ่อนรอยเล่ห์กลเร้นลับ

            ตั้งแต่ ‘ซื้อตัว’ เจตน์มาจาก ‘ภากร’...คู่แข่งเมื่อสองปีก่อน เลขาคนสนิททำงานดี ฉลาดเฉลียว วางแผนแยบยลลึกซึ้งเกินราคาค่าตัวที่จ่ายหลายเท่า

            หากบอกว่าตนเองไม่มี ‘รอยด่าง’ ใดให้ขุดมาแฉ...คงไม่ใช่ เพราะรอยด่าง...หรือเรียกให้ชัด...คนกุมความลับทั้งหมดคือชายตรงหน้า...จนบัดนี้บัณฑิตไม่แน่ใจเจตนาแท้จริงที่คนเก่งขนาดนี้ยอมขายตัวง่าย ๆ

            ตราบใดจำเป็นต้องใช้งานคนผู้นี้ ตนเองคงไม่รีบลบ ‘รอยด่าง’ สุดท้ายเร็วนัก ยกเว้นมันจะส่อแววเป็นภัยขึ้นมาเฉกเช่นรอยด่างที่ชื่อ ‘พลเทพ’ และ ‘บุญชัย’




--------------- ------------ --------------




            หัวค่ำ ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล

            บัวบุษราติดตามข่าวเกี่ยวกับการกวาดล้างผู้ค้ายาเสพติด ข่าวการยิงถล่มสังหารพ่อเลี้ยงคนดังโดยให้พี่สาวค้นหาจากช่องข่าวทางยูทูบ และสอบถามตรง ๆ จากบิดาตนเอง

            ดาบตำรวจพนาเล่ารายละเอียดบางส่วนที่ไม่เป็นความลับเกี่ยวกับสืบสวนคดีให้ฟังบ้าง คิดว่าขุนคีรีคงระบายบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้ว นั่นทำให้พรไพลินร่วมรับรู้ไปด้วย

            “รู้แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้องถามเซ้าซี้อะไรอีกแล้วนะ” พ่อรีบปราม

            “สรุปว่าตอนนี้ตำรวจยังตามจับตัวพลเทพเจ้าพ่อค้ายาไม่ได้ ส่วนผู้ต้องสงสัยจ้างวานฆ่าพ่อเลี้ยงบุญชัยคือปีเตอร์ เจ้าของบ่อนกาสิโนคู่แข่งที่อยู่ชายแดนอีกฝั่งใช่มั้ยคะ” คนถูกปิดตาถามย้ำ

            “นั่นแหละ”

            “พ่อมั่นใจจริงหรือคะว่า ‘ปีเตอร์’ คือคนสั่งฆ่าพ่อเลี้ยงบุญชัยจริง ๆ”

            เธอไม่แน่ใจ...จากเบื้องหลังข้อมูลที่ทราบชวนให้คาดเดาถึงอีกบุคคลหนึ่ง

            “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราหรอก” พนารีบตัดบท ลูกสาวรู้ทันทีว่าพ่อคิดคล้ายตน “ปล่อยให้ทางตำรวจสืบสวนหาความจริงดีกว่า...เราให้อภัยเขาไปแล้ว ถือว่าไม่มีเวรกรรมต่อกันอีกก็พอ”

            “แหม เรื่องราวเบื้องหลังซับซ้อนจังเลยนะคะ พรไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นลงทุนสารภาพยืดยาว เพื่อต้องการแค่ให้อภัยคำเดียว”

            “พ่อก็ไม่คิดเหมือนกัน ไอ้หนุ่มนั่นมันคงคิดว่าน้องหลับอยู่...เลยอยากไถ่บาปแทนพ่อ ด้วยการเล่าเบื้องหลังให้เข้าใจ...”

            น้ำเสียงพนาไม่มีร่องรอยติดใจแค้นเคืองอีกฝ่าย

            บัวบุษราฟังเงียบ ๆ ไม่แก้ความเข้าใจผิด...ที่จริงขุนคีรีไม่พูดจามากมายเลย...การปล่อยให้พ่อกับพี่สาวเข้าใจอย่างนั้นช่วยลดคำอธิบายมากมาย...ว่าเธอทราบเบื้องหลังอุบัติเหตุ รู้เรื่องราวสองผู้มีอิทธิพลได้อย่างไร

            อดย้อนนึกถึงตอนเจอขุนคีรีในฝันแรก ๆ ไม่ได้ เขาไม่เคยพยายามแก้ความเข้าใจผิดเหมือนกัน ปล่อยให้หล่อนคิดว่าเป็นผู้ช่วยยมทูต ทั้งที่เผลอ ‘หลุด’ หลายเรื่อง

            ยมทูตที่ไหนดูหนังเรื่อง ‘จูออน’ จำชื่อผี ‘คายาโกะ’ แม่นยำ ยมทูตที่ไหนรู้จักนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งเฟซ ไลน์ ไอจี ยมทูตที่ไหนรู้จักเพลง ‘Tears in Heaven’ สามารถผิวปากเป็นเพลงไพเราะจับใจ

            สุดท้าย...ยมทูตตนใดมีอ้อมกอดอบอุ่น แข็งแรง มีกลิ่นกาย สัมผัสจังหวะเต้นหัวใจชัดขนาดนี้

            บัวบุษราเผลอ ‘จีบ’ พูดจาเปิดเผยความในใจมากมาย ด้วยคิดว่าเป็นความฝัน และอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

            ยังดีมีผ้าพันปิดตา หากเจอหน้ากันตรง ๆ คงเขินอายไม่รู้ควรทำตัวอย่างไร อยากโกรธเคือง แกล้งงอนที่เขาจงใจไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิด พอตัวเองอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียง ทำแบบเดียวกันจึงโกรธไม่ลง

            ความรู้สึกผิดเกาะกินใจเช่นนั้น เขาคงพูดไม่ออก บอกไม่ถูก แนะนำตัวเองไม่ได้...แม้แต่ในฝัน

            “พ่อหายโกรธเขาแล้วมั้ยคะ” บัวบุษราอดถามไม่ได้

            พนาถอนใจ ตอบตามความรู้สึกจริง

            “ตอนต่อยหน้ามันไปสองหมัดยังไม่หายโกรธนะ พอหมอดนัยเล่าให้ฟังว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรบ้างตลอดสองปีมานี้เลยโกรธไม่ลง”

            “เขาทำอะไรบ้างคะ” พรไพลินถามแทนน้องสาว

            “ขุนคีรีเป็นคนขอร้องให้หมอดนัยรับเป็นเจ้าของไข้ พอรู้ว่าต้องรอคิวกระจกตาเมืองไทยนานมาก ก็ลงทุนบินไปปรึกษาจักษุแพทย์ดัง ๆ ที่ต่างประเทศเพื่อหาวิธีรักษาแบบอื่น พอไม่ได้จริง ๆ ก็มาอยู่ร้านข้าวแกงยายปัน คอยดูแลบัวห่าง ๆ ผู้ชายผมยาวที่วิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านเราทุกวันนั่นแหละเขาล่ะ”

            “หา...หนุ่มเซอร์ผมยาวลูกจ้างร้านยายปันนี่นะ...พรเคยเจอตอนไปซื้อกับข้าวเหมือนกัน หล่อโคตร ๆ เลย ส่วนใหญ่อยู่หลังร้านไม่ค่อยออกมาหรอก แต่ออกมาทีไรสาว ๆ แทบกรี๊ดมองตาม ทอดสะพานสุดฤทธิ์เชียว”

            รอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้าบัวบุษรา ในที่สุดก็ได้รับคำเฉลย...ใครคือเจ้าของฝีเท้าที่หล่อนรอคอยทุกเช้า...ความห่วงใยเขาส่งถึงใจเธอ ทำให้อุ่นใจทุกวันที่ได้ยิน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP