วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๒



way cover



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ซากรถยนต์ถูกจอดไว้หลังสถานีตำรวจไม่มีผู้ใดสนใจ สภาพยับเยิน กระจกแตกละเอียดด้วยแรงกระสุนจำนวนมาก เบาะภายในพรุนแทบหาชิ้นดีไม่ได้ ชะโงกหน้าเข้าไปดูไม่เห็นกล้องหน้ารถ ไม่เหลือสิ่งใดสะดุดตาเป็นหลักฐาน แอบเหลือบมองด้วย ‘ดวงตายมทูต’ ก็เห็นแค่ ‘ผี’ เฝ้ารถคันอื่นอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

            ...ช่องลับอยู่ตรงไหน...

            เข้มมองตามสายตาชายหนุ่มผู้น้อง ไม่แน่ใจว่าเขากำลังหาหลักฐานอะไรในนั้น ในใจเชื่อว่าตำรวจ หรืออาจเป็นพวกผู้ร้ายได้ ‘เก็บกวาด’ หมดไม่เหลือแล้ว

            “รถคันนี้มี ‘ช่องลับ’ มั้ยพี่เข้ม” คนมองหาหลักฐานหันมาถาม

            “ช่องลับ...” ขมวดคิ้วทวนวาจา “ไม่มีนี่”

            ขนาดมือขวาพ่อเลี้ยงบุญชัย นั่งรถคันนี้คู่กันประจำยังไม่รู้ว่ามีช่องลับ เหตุใดวิญญาณคนขับรถถึงบอกว่า...ที่รถ มีหลักฐานในช่องลับ...

            ขุนคีรีหลับตาครุ่นคิดก่อนลืมตาถามพี่ชาย

            “ถ้าพี่เข้มอยู่ในรถคันนี้ตอนโดนผู้ร้ายถล่มยิง จะซ่อนหลักฐาน...อาจเป็นมือถือแบบตะกี้ไว้ตรงไหน”

            พอได้ยินอย่างนี้เข้มเข้าใจ ลงทุนเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง ตรงจุดที่ ‘แดน’ ผู้ติดตามนั่งข้างพ่อเลี้ยง วาดภาพในหัวยามกระสุนสาดเข้ามาตนเองจะทำอย่างไร

            มือขวาถือปืน โอบร่างพ่อเลี้ยงให้ก้มตัวหลบวิถีกระสุน มือซ้ายถือโทรศัพท์หาที่ซ่อนมิดชิด รวดเร็วที่สุด

            ...พบแล้ว...ใต้เบาะข้างคนขับมีรอยมีดกรีดบาง ๆ ถ้าไม่ลงทุนก้มตัวมาไม่มีทางเห็น พอล้วงมือเข้าไปพบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง น่าจะเป็นของแดนซ่อนไว้มิดชิด

            “คุณขุนรู้ได้ยังไงว่ามีหลักฐานซ่อนในรถ” ออกมานอกรถ เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

            ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงถอนใจโล่งอก รอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้าพร้อมคำถามกลับมา

            “ผมขออะไรพี่เข้มอย่างนึงได้มั้ย”

            “อะไร”

            “ตอนนี้ ‘ครอบครัว’ เราเหลือกันแค่สองคนแล้ว...ถ้าพี่ยังเรียกผมว่า ‘คุณ’ อย่างนี้เท่ากับไม่เห็นผมเป็นน้องชายจริง ๆ สักที”

            วาจาจริงใจเล่นเอาคนฟังสะเทือนพูดอะไรไม่ออก ขุนคีรีจึงเอ่ยวาจาต่อมา

            “ผมอยากเป็น ‘น้องชาย’ นะไม่ได้อยากเป็น ‘เจ้านาย’”

            ก้อนแข็ง ๆ แล่นจุกตันลำคอแทบพูดอะไรไม่ออก รอยยิ้มเข้มสว่างไสวยามดึง ‘น้องชาย’ มาโอบกอดแล้วตอบรับวาจา

            “ได้สิ...ขุน”




--------------- ------------ --------------




            หัวค่ำ

            ดาบตำรวจพนาผลัดเวรให้พรไพลินกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเพื่อมานอนเฝ้าน้องสาวตั้งแต่ตอนเย็น

            การผ่าตัดเรียบร้อยไม่มีปัญหา ดวงตาบัวบุษราถูกผ้าพันไว้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์คอยเปิดออกได้

            ช่วงเวลานี้จึงให้พักอยู่โรงพยาบาล ใกล้หมอพยาบาลจะได้ดูแลแนะนำการปฏิบัติตัวสะดวก

            ประตูห้องถูกเคาะ คนเป็นพ่อคิดว่าลูกสาวคนโตกลับมาแล้วจึงไม่ส่งเสียงตอบรับใด กระทั่งประตูแง้มเล็กน้อยอย่างเกรงใจ แสดงถึงบุคคลอื่นไม่ใช่ครอบครัว

            หันไปมองอาคันตุกะแล้วชะงัก ถอนใจเบา ๆ เอ่ยถามเรียบ ๆ

            “มีธุระอะไร”

            ชายหนุ่มผมยาว ผอมเพรียวเพิ่งโดนฤทธิ์หมัดเมื่อเช้า เสนอหน้ามาอีกครั้งยามค่ำราวกับไม่กลัวเกรงอะไร

            “ผมจะมาขอโทษคุณ...บัวบุษราอย่างเป็นทางการ”

            “บัวหลับไปแล้ว”

            “งั้นพรุ่งนี้ผมจะมาอีกครั้ง”

            ค้อมศีรษะยอมรับไม่ดื้อดึง ถอยหลังเตรียมออกจากห้อง นายตำรวจอาวุโสขยับปากจะเรียกไว้ พอดีไลน์ข้อความเข้ามาทางโทรศัพท์ อ่านจบต้องรีบเอ่ยปากรั้งผู้มาใหม่ไว้ก่อน

            “ขอโทษตอนนี้ก็ได้ ยังไงบัวไม่ควรรู้เบื้องหลังพวกนี้อยู่แล้ว บอกตอนยังหลับนี่ล่ะ”

            จบวาจาพร้อมกับลุกขึ้น ที่จริงไม่อยากให้ทั้งสองเจอกันด้วยซ้ำ การให้ขออภัยยามบุตรสาวไม่รู้สึกตัว ถือว่าเป็นความกรุณามากสุดแล้ว

            นายตำรวจอาวุโสออกไปโทรศัพท์คุยเกี่ยวกับความคืบหน้าการติดตามพลเทพ ประตูปิดไม่สนิท แง้มไว้เล็กน้อยเพื่อคนเป็นพ่อสามารถมองเข้ามาสะดวก ต่อให้มั่นใจชายหนุ่มไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับลูกสาว ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้



            ถึงตอนนี้ขุนคีรีไม่สนใจกำลังตกอยู่ในสายตาใคร นี่อาจเป็นโอกาสแรกและสุดท้ายที่ได้เปิดเผยความในใจ แม้เธอจะไม่รับรู้เลยก็ตาม

            “ผมชื่อขุนคีรีนะ” แนะนำตัวเป็นทางการ “เราเคยพบกันในฝันของคุณหลายครั้ง ไม่เคยบอกความจริงสักทีว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ยมทูตที่ไหน”

            “ขอโทษ ที่ทำให้เข้าใจผิดมานาน...และ...ขอโทษ สำหรับความผิดพลาดของพ่อ...ทำให้คุณมองไม่เห็นมาตลอดสองปี”

            วาจามากมายเอ่อล้นถึงหัวอก ไม่รู้ควรพูดเรื่องใดก่อนสุดท้ายได้แต่นั่งนิ่ง ๆ มองเธอผ่านผ้าก๊อซสีขาวสะอาดตา นึกถึงใบหน้าแอร่มรอยยิ้มสดใส อารมณ์ขันร่าเริงชวนให้ยิ้มได้ตลอดเวลา

            เขามีเรื่องราวอยากพูดจาบอกกล่าวมากมาย...ความรู้สึกในใจมากกว่าคำขอโทษ มากจน...ไม่รู้เริ่มต้นตรงไหน



            ดาบตำรวจพนาวางสายโทรศัพท์เห็นชายหนุ่มนั่งมองหน้าลูกสาวโดยไม่พูดจา กำลังผลักประตูเข้าไปหัวไหล่ถูกสะกิดโดยนายแพทย์ดนัย

            “มีอะไรหรือหมอ” ถามเสียงเบา

            “ให้เวลาขุนได้คุยกับหนูบัวตามลำพังเถอะ รับรองเด็กคนนี้ไม่คิดร้ายอะไรแน่”

            “หมอพูดเหมือนรู้จักเขาดี”

            “ผมเห็นเขามาตั้งแต่เล็ก รู้จักพ่อแม่ครอบครัว...รู้ด้วยว่าสองปีที่ผ่านมา ความรู้สึกผิดทำร้ายเขาหนักหนาขนาดไหน”

            นายตำรวจอาวุโสชะงัก นึกถึงใบหน้าชายหนุ่มที่ยอมโดนต่อยโดยไม่หลบ ไม่หนี ไม่ปริปากบ่นสักคำ

            “หมอเล่าให้ผมฟังได้มั้ย”

            “ดาบอยากรู้เรื่องไหน”

            “ทุกเรื่อง...โดยเฉพาะสองปีที่ผ่านมานี่ เขาทำอะไรบ้าง”

            นายแพทย์พยักหน้า เดินนำบิดาผู้ป่วยไปห้องพักตนเอง...นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งอาจทำให้แต่ละคนเข้าใจกันดีขึ้น



            รอบห้องเงียบเมื่อชายหนุ่มหยุดวาจา เงียบจนได้ยินเสียงจังหวะเต้นหัวใจสองดวง ขุนคีรีใช้ปลายนิ้วเอื้อมแตะปลายนิ้วหญิงสาวเบา ๆ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดบนใบหน้า

            “เราสองคนพบกันในฝัน สำหรับผมมันคือฝันดีเหลือเกิน...คุณรู้เรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมดแล้วก็ยังให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธผม...ตอนนี้...พ่อ...ไม่อยู่แล้ว ท่านมอบดวงตาแก่คุณเพื่อชดเชยความผิด ได้โปรดอภัยให้ท่านด้วย”

            “ทีแรกผมคิดว่าจะมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด และขอโทษคุณตอนตื่นมาแล้ว...แต่...อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าได้ดวงตาจากใคร คิดว่าผมเป็นแค่ผู้ช่วยยมทูตตนหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป...มันอาจทำให้ทุกอย่างง่ายดาย”

            “ขอบคุณสำหรับความฝันสวยงามของเรา ขอบคุณสำหรับคำให้อภัย...แม้ว่าตื่นมาคุณอาจลืมเรื่องราวความฝันทั้งหมดก็ตาม...สำหรับผม...นี่คือความฝันที่ไม่อยากลืมตาตื่นเลย...”

            ปลายนิ้วทั้งสองแยกจากกัน ชายหนุ่มกำมือแน่นดังเป็นการข่มใจ ลุกขึ้นยืนเต็มร่างตัดใจหันหลังกลับ จึงไม่อาจเห็นปลายนิ้วหญิงสาวสั่นเล็กน้อย

            วินาทีนี้อาจเป็นการจากลา ตอบไม่ได้ว่า...ฝันกับเรื่องจริงจะบรรจบกันเมื่อใด











บทที่ ๑๙



            ปัตตาเลี่ยนไถเส้นผมยาวให้ร่วงลงมาเป็นระยะ บนพื้นกองด้วยเศษผมดำขลับ เสียงเครื่องมือตัดผมดังหึ่ง ๆ ‘ช่างจำเป็น’ พยายามตัดด้วยความระมัดระวัง เจ้าของศีรษะกลับไม่สนใจชวนพูดคุยตามปกติ

            “โรงพยาบาลให้เอาศพพ่อออกมาตอนไหนน่ะพี่เข้ม”

            “ก่อนเที่ยง”‘ช่างจำเป็น’ ตอบสั้น ๆ

            “งั้นวันนี้เราไปรับพ่อด้วยกัน แล้วพี่เข้มขึ้นเครื่องไปรอทางโน้นได้เลย ผมจะตามไปกับรถอยู่เป็นเพื่อนพ่อ”

            “ได้สิ”

            “ข่าวที่เรา ‘ปล่อย’ ออกไปเป็นยังไงบ้าง”

            “น่าจะรู้กันทั่วแล้ว”

            ดวงตาขุนคีรีหรี่เรียวลง ประกายจ้าฉายแววซ่อนเล่ห์กล

            “พวกที่รู้มีปฏิกิริยายังไง”

            “ทั้งหมดโกรธแค้นปีเตอร์ ตั้งใจรอขุนเป็นผู้นำไปสะสางให้พวกนั้นชดใช้”

            ข้อมูลคดีที่เข้มทราบจากลูกน้องสายสืบ ถูกเผยแพร่กระจายไปในหมู่พรรคพวก ลูกน้อง บริวารพ่อเลี้ยงบุญชัยโดยเจ้าตัวไม่สั่งห้าม

            เวลานี้แทบทุกคนเห็นปีเตอร์เป็นศัตรูไม่อาจอยู่ร่วมโลก ต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากแก้แค้นเต็มที่

            “พี่เข้มบอกหรือเปล่าห้ามทำอะไรเด็ดขาด จนกว่างานศพพ่อจะเรียบร้อย”

            “บอกแล้ว ทุกคนที่รักพ่อเลี้ยงคิดตรงกันหมด ต้องการจัดงานส่งท่านอย่างสมเกียรติ ไม่ยอมให้เกิดเรื่องวุ่นวายอะไร อย่างน้อยให้ท่านจากไปอย่างสบายใจ”

            แววตาขุนคีรีหม่นลงก่อนปรับเป็นปกติเมื่อคิดถึง ‘งาน’ รอเบื้องหน้า

            “คลิปในโทรศัพท์สองเครื่องนั่น พี่เข้มจัดการยังไง”

            ‘หลักฐาน’ สำคัญสองชิ้น ทั้งคู่ดูจนจบพิจารณาละเอียด จึงเริ่มวางแผน ‘เอาคืน’

            “พี่เอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญไว้ใจได้ช่วยปรับภาพ เสียงให้คมชัดขึ้น จะได้ใช้ประโยชน์ง่ายกว่าเดิม”

            “นานมั้ยกว่าจะเสร็จ”

            “ไม่นาน เขาบอกว่าเสร็จแล้วจะส่งมาทันที”

            จบวาจาพร้อมกับงานตัดผม ‘น้องชาย’ เสร็จเรียบร้อย

            “ขอบคุณครับ”

            “นึกยังไงให้พี่ตัดผมแบบนี้”‘ช่าง’ มองผลงานตัวเองแล้วส่ายหน้า

            “ผมปล่อยตัวไว้ผมยาวขัดใจพ่อแม่นานแล้ว...ตอนนี้ขอเป็นลูกที่น่ารัก ทำอะไรให้พวกท่านยิ้มได้สักนิดก็ยังดี”

            ดวงตาสดใส รอยยิ้มคล้ายเด็กชายคนเก่าทำให้เข้มอดไม่ได้ต้องโยกศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

            “ไม่ว่าจะเป็นยังไง พวกท่านก็รักและภูมิใจในตัวขุนเสมอนั่นแหละ”

            สองพี่น้องยิ้มให้กัน เป็นรอยยิ้มพยายามซ่อนแววตาหม่นเศร้า เมื่อระลึกถึงคนที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันอีกแล้ว

            “จริงสิ” ขุนคีรีเอ่ยเมื่อนึกถึงบางเรื่องได้ “ก่อนไปรับพ่อ ขอไปทำธุระที่หนึ่งก่อนได้มั้ย”

            “ที่ไหน”

            ไม่มีคำตอบนอกจากรอยยิ้มอบอุ่นสำนึกบุญคุณ




--------------- ------------ --------------




            ร้านข้าวแกงยายปันวุ่นวายแต่เช้าเพราะลูกจ้างคนสำคัญไม่อยู่ ตาแคล้วต้องรับหน้าที่หนักตั้งแต่เปิดร้าน จัดโต๊ะยกชามกะละมัง หม้อกับข้าวมาวางเรียงเตรียมค้าขาย

            ยามสาย ลูกค้าส่วนใหญ่ไปทำงานกันหมด ยังเหลืองานเก็บกวาดล้างจานชามรอเป็นพะเรอ สองผู้เฒ่านั่งพักเอาแรงก่อนจัดการงานต่อไป

            “ขอโทษที่มาสาย เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”

            เสียงจากชายหนุ่มรูปร่างคุ้นตา สวมเชิ้ตสีดำเข้ารูปพับแขนเหนือข้อศอก กางเกงขายาวสีดำยี่ห้อดัง ผิวขาวจัดดวงหน้าขาว เหลือร่องรอยฟกช้ำบาง ๆ แปลกตาสุดเป็นทรงผมสกินเฮดแทบสั้นเกรียน ขับให้เจ้าตัวดูอ่อนเยาว์ลง

            “ขุน”

            “ไอ้ขุน”

            สองตายายเอ่ยปากตาค้าง พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ออกได้แต่นั่งดูชายหนุ่มทำหน้าที่ตนเองกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว คุ้นเคยกับงานที่ทำ ไม่รู้หาจังหวะไหนเอ่ยปากห้ามปราม

            เวลาผ่านไปไม่นานงานคั่งค้างในร้านถูกเก็บกวาดเรียบ พร้อมรอลูกค้ารอบเที่ยง

            ลูกจ้างหนุ่มเซอร์กลายเป็นคุณชายมาดแมน ทำงานในร้านโดยไม่ใส่ใจเสื้อผ้าการแต่งกายตนเอง พอเสร็จแล้วก็มานั่งตรงหน้า รอยยิ้มนานครั้งปรากฏผุดขึ้นบาง ๆ

            “ผมมาทำงานวันนี้เป็นวันสุดท้ายครับ”

            ต่อให้คาดเดาออก เตรียมใจล่วงหน้าบ้างแล้ว พอเจ้าตัวพูดตรง ๆ เช่นนี้สองตายายก็ใจหาย เหมือนลูกหลานกำลังออกจากบ้านเดินทางไกล ไม่รู้กลับมาเมื่อไหร่

            “อืม คิดอยู่เหมือนกันว่าวันนี้ต้องมาถึง” ตาแคล้วเข้าใจ

            “แล้วจะไปไหนล่ะ มีเงินติดตัวพอหรือเปล่า” ถึงเห็นการแต่งตัวแบบนี้ รถยนต์คันใหญ่จอดข้างร้าน ยายปันอดห่วงใยตามประสาแกไม่ได้

            “มีครับไม่ต้องห่วงหรอก” ตอบด้วยรอยยิ้มตื้นตัน

            “บ้านอยู่ไหน มีอะไรส่งข่าวบอกกันด้วย”‘ครูมวย’ ใส่ใจลูกศิษย์ตน

            “นั่นสิ ฉันเป็นห่วง...คนเคยเห็นกันทุกวัน...ทำไมวันนี้ถึงตัดผมใหม่แต่งดำทั้งชุดแบบนี้”

            เมื่อก่อนลูกจ้างผมยาวพูดน้อย ถามสิบคำตอบสักคำ วันนี้เขาผ่อนคลายกว่าเดิม ผู้เฒ่าจึงกล้าถามเรื่องส่วนตัวมากขึ้น

            “บ้านอยู่ทางเหนือ...พ่อผมเพิ่งเสีย...เลยตัดผมแล้ววันนี้จะพาศพท่านไปทำพิธีที่นั่น”

            “อ้าวเป็นอะไร เห็นกันอยู่หลัด ๆ” วาจาไม่เกินจริง สองผู้เฒ่าเพิ่งพบพ่อขุนคีรีไม่นานนี้เอง

            ชายหนุ่มไม่ตอบกำลังจะลุกไปเก็บของในห้องตน ตาแคล้วรีบถามทันที

            “บ้านอยู่ไหน เผาศพเมื่อไหร่ วัดอะไร”

            “จริงด้วยทางเหนือน่ะจังหวัดอะไร จะได้ปิดร้านไปถูก” คราวนี้ยายปันเห็นด้วยกับสามี

            ขุนคีรีพูดอะไรไม่ออก ตอนพ่อตายคิดว่าเหลือ ‘พี่เข้ม’ เป็นครอบครัวคนเดียว เวลานี้สองตายายทำให้คิดถึงญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับ เป็นอีกครอบครัวทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวอ้างว้างเกินไป

            “อย่าไปเลยครับ เหนื่อยเดินทางเปล่า ๆ อีกวันสองวันก็ถึงรอบที่ครูแคล้วต้องไปตรวจร่างกายด้วย”

            พออ้างถึงสุขภาพ สองผู้เฒ่าคัดค้านไม่ออก

            “ผมขอตัวไปเก็บของก่อนนะครับ”



            ห้องพักอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่มีใครเข้ามารื้อค้นวุ่นวาย ข้าวของส่วนตัวในนั้นไม่มีอะไรสำคัญสามารถทิ้งไว้ยังได้ เพียงแต่เจ้าตัวอยากเก็บเป็นที่ระลึกแทนความทรงจำเกือบสองปีที่ผ่านมา

            เก็บเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าเป้เรียบร้อย เหลือกระบองเหล็กยืดที่เฮียบุ๋นให้ไว้ กับกีตาร์ตัวเก่าซึ่งตนใช้ดีดบรรเลงคลายอารมณ์ยามเหงา

            สายตามองของสองสิ่งเหมือนเห็นตัวตนสองด้านแตกต่างกัน...ก้าวร้าว ร้ายกาจ กับอ่อนโยน มากน้ำใจ...

            มือเอื้อมหยิบกระบองเหล็กยืดสองท่อนใส่กระเป๋า พยักหน้าให้กีตาร์ราวกับบอกลาเพื่อนเก่า ก่อนเดินออกจากห้องด้วยหัวใจว่างโหวง

            ก้าวมานอกห้องสามสี่ก้าว ชะงักเท้าตรงหน้าห้องพัก ‘ผีสิง’ ประตูไม่ได้ล็อค ถือวิสาสะเปิดเข้าไปตรง ๆ เป็นครั้งแรก

            ภายในห้องโล่งว่าง เตียงนอนไม้ปราศจากเบาะ ขื่อคานตรงจุดผูกเชือกฆ่าตัวตายยังอยู่ ไม่เหลือร่องรอยใดให้เห็น ฝุ่นกระจายบาง ๆ ท่ามกลางแสงแดดส่องลอดช่องลม

            ‘ดวงตายมทูต’ มองเห็นร่างชายหนุ่มผอมบาง ผิวพรรณและเสื้อผ้าเป็นสีเทาซีด ๆ นั่งเหม่อลอยบนเตียง บรรยากาศหม่นซึมแผ่กระจาย คนทั่วไปเข้ามาอาจแค่ตะครั่นตะครอรู้สึกอึดอัด ขนลุกวูบ ๆ มองไม่เห็นผู้ต่างภพ

            ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา ‘ฆ่าตัวตาย’ เขาจึงนั่งเหม่อซึมจมกองทุกข์ไม่รู้จบ กระทั่งถึง ‘เวลา’ ค่อยลุกขึ้นออกมาวนเวียนหา ‘อุปกรณ์’ ภายนอก จนได้เชือกขดหนึ่งแล้วกลับมาผูกคอ...เพื่อ...ย้อนมาทุกข์แบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก

            ยมทูตหินผาไม่พาไปให้ท่านพญามัจจุราชพิพากษา เพราะนี่คือ ‘ภพ’ ที่วิญญาณดวงนี้ต้องรับโทษทัณฑ์อยู่แล้ว เขาต้องวนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้บ้านหลังนี้ถูกรื้อ สถานที่เปลี่ยนแปลง ‘ภพ’ แห่งการลงทัณฑ์ยังอยู่อีกเนิ่นนาน ยืดยาวกว่าจะหมดอายุขัยของมัน

            ขุนคีรีจ้องร่างบนเตียง แสดงเจตจำนงในใจต้องการสนทนาด้วย อีกฝ่ายหันมามองลอย ๆ

            “คุยกันหน่อยได้มั้ย” เอ่ยวาจาชัดเจน

            ใบหน้าเทาซีดไม่แสดงอาการรับรู้ ดวงตามองตอบแต่เหม่อซึมไม่แน่ใจว่าสื่อสารกันได้หรือไม่

            “ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่แล้ว ขอร้องได้มั้ยอย่าแสดงตัวให้ใครเห็นอีก”

            ไม่มีการตอบโต้เหมือนพูดกับอากาศธาตุ

            “ครูแคล้วกับยายปันแก่มากแล้ว ต่อไปอาจทำงานหนักไม่ไหว ให้แกเปิดห้องเช่าหารายได้เลี้ยงตัวสบาย ๆ หน่อย อย่าให้คนเช่าเจอผีหลอกจนหนีหมดเหมือนก่อนเลย”

            นี่เป็นความหวังดี อยากให้สองผู้เฒ่ามีรายได้โดยไม่ลำบาก

            ผู้รับโทษทัณฑ์ไม่แสดงกิริยาปฏิเสธ หรือตอบรับ ขุนคีรีเกิดความ ‘รู้’ ขึ้นเอง ‘เขา’ ไม่มีเจตนาต้องการให้ผู้ใดเห็นตน แค่ทำหน้าที่ใช้กรรมตามเวลา ‘บางคน’ ต่างหากมองเห็นเอง หวาดกลัวไปเอง

            ด้วยความที่เคยใช้พลังยมทูตปิดบังดวงวิญญาณแพรตะวันไม่ให้สัตยาเห็นมาก่อน จึงทดลองด้วยวิธีเดียวกัน...โบกมือ อธิษฐานจิตใช้พลังที่มีครอบคลุมบริเวณโดยรอบ ปิดบังไม่ให้ผู้คนเห็นวิญญาณดวงนี้อีก

            หวังว่าคงไม่มีคน ‘ตาดี’ มองเห็นจนได้หรอกนะ



            กลับออกมาหน้าร้านพบตาแคล้วยื่นซองสีขาวให้สองซอง

            “ซองนี้ฉันกับยายปันร่วมทำบุญงานศพด้วย อีกซองเป็นค่าชกมวยคืนก่อน ขอโทษด้วยที่ให้ช้าไปหน่อย”

            ที่จริงครูมวยไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย เพราะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลขุนคีรีก็ยังไม่ได้มาร้านจนถึงวันนี้

            นักมวยหนุ่มไม่อยากรับทั้งซองทำบุญและค่าแรง แต่ไม่อยากขัดน้ำใจจึงยกมือไหว้รับซองทำบุญใส่กระเป๋า ส่วนซองค่าแรงก็ดึงเงินส่วนหนึ่งออกมายื่นคืน

            “อันนี้เป็นส่วนของครูตามที่ตกลงไว้ ไม่รับไม่ได้นะครับ”

            ตาแคล้วอึดอัดใจที่จะรับ ถึงเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวดีนั่งรถแพง ๆ แต่ขึ้นเวทีชกมวยเจ็บตัวจนสลบเข้าโรงพยาบาลขนาดนั้น ควรได้ค่าแรงเต็มที่

            “ก็ได้” รับเงินอย่างจำใจ ปากพูดเชิงบ่น “คืนนั้นมีแต่ไอ้บิ๊กเพลิงรวยคนเดียว ทั้งได้แก้หน้าเอาคืน แถมรับเงินอู้ฟู้ไปเลย”

            “นักมวยที่เขาหามาก็เก่งจริง ต่อยกันแฟร์ ๆ ผมแพ้แบบไม่เสียใจเลย” พูดจากใจจริง

            “ไม่เก่งได้ไงล่ะ เห็นพวกวงในบอกว่าจ้างมาโคตรแพง ทีแรกคิดว่าเป็นนักมวยอาชีพ ต่อยไม่เคยแพ้ใคร ความจริงเป็นคนในองค์กรลับอะไรสักอย่าง ฝีมือดีทุกคน แต่ไม่ใช่ใครก็จ้างมาได้”

            ฟังแล้วสะดุดหูจนต้องถาม

            “องค์กรลับอะไรครู”

            “ไม่รู้สิ พวกที่พูด ๆ มานี่ต้องหารสองขี้โม้ซะเยอะ ถามจริง ๆ ไม่มีใครตอบถูกสักคน”

            ขุนคีรีขบริมฝีปากสงสัย นึกถึงคู่ต่อสู้คืนก่อนยิ่งค้างคาใจ ลักษณะท่าทางฝีมือเกินธรรมดาไปหมด ไม่น่ารับงานชกมวยใต้ดินเป็นอาชีพแน่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP