วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ทางยมทูต ๓๑
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
เมื่อคืน
ขุนคีรีถูกหมัดน็อคคางแตกสลบเหมือด รู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล หมอทำแผลภายนอกเรียบร้อย สมองไม่กระทบกระเทือน ตาแคล้วเป็นผู้นำตัวมาส่ง ส่วนคนที่อยู่เฝ้าจนฟื้นคือเข้ม
“เป็นยังไงบ้าง” ถามอ่อนโยน ดวงหน้าหมองเคร่งเครียด
“ผมโดนน็อค...” นักมวยหนุ่มทบทวนความจำ “พี่เข้มกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้ว...ผมสลบนานแค่ไหน”
“ไม่กี่ชั่วโมงหรอก ‘เด็ก’ มันส่งข่าวว่าคุณขุนแพ้น็อคจนสลบ ตาแคล้วพาส่งโรงพยาบาล พี่เลยรีบมาดูแล้วไล่ให้แกกลับไปก่อน”
เข้มเลือกตอบบางคำถาม ขุนคีรีไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายทราบความเคลื่อนไหวตนเองขนาดนี้
“อาการเป็นยังไงบ้าง” ถามซ้ำอีกครั้งจนคนฟังแปลกใจ
“แค่มึน ๆ นิดหน่อย...มีอะไรหรือเปล่าพี่” ย้อนถามด้วยใจหวั่น ยิ่งเห็นใบหน้าอีกฝ่ายเครียดจนผิดปกติก็ไม่อยากคาดเดาเรื่องร้ายใด ๆ
“ไปธุระกับพี่หน่อยสิ”
เข้มไม่พูดมาก รอจนชายหนุ่มลงจากเตียง ยืนเดินตามปกติไม่ล้ม ไม่เซ ก็นำหน้าพาไปยังสถานที่หนึ่งภายในโรงพยาบาล
ทางเดินนั้นดูทอดยาวกว่าปกติ พอเห็นป้ายบอกว่า ‘ห้อง’ ที่จะไปเป็นที่ใด ขุนคีรีแทบลืมอาการบอบช้ำเจ็บปวดทางกาย ขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมปริปากถาม รู้สึกแค่ทุกก้าวที่เดินเสมือนเป็นฝันร้าย ใจวิบวับแทบขาด ไม่อยากก้าวต่อแต่ไม่สามารถหยุดร่างกายสำเร็จ
เข้าไปใน ‘ห้องดับจิต’ พบร่างไร้วิญญาณนอนบนเตียง ใบหน้า...คลับคล้าย...คนรู้จัก พยายามปฏิเสธว่าไม่ใช่...ไม่ใช่ พอเข้าไปใกล้มองเห็นชัด ๆ ก้อนแข็ง ๆ ก็แล่นจุกตันลำคอพูดอะไรไม่ออก
‘พ่อ’ นอนบนเตียงใบหน้าดูสงบ ซีดเซียวปราศจากสีเลือด ผ้าคลุมตั้งแต่หน้าอกเหมือนไม่ต้องการให้ดูบาดแผลคร่าชีวิต
ขุนคีรียังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...แค่ฝัน...ฝันร้าย...ตื่นขึ้นมาพ่อยังอยู่เหมือนเดิม...เฝ้าวิงวอนร้องขอ...ใครก็ได้ปลุกเขาที ปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายน่ากลัวที่สุดในชีวิตนี้
กว่าตั้งสติยอมรับความจริงต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง เข้มเห็นแววตา ‘น้องชาย’ เริ่มแสดงอาการรับรู้ปกติ เม้มริมฝีปากแน่นข่มกลั้นความเสียใจ ฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงลำคอถามเสียงแหบโหย
“เกิด...อะไร...ขึ้น...พ่อตายได้ยังไง”
“พ่อเลี้ยงโดนกลุ่มคนร้ายซุ่มดักกลางทางตอนกลับจากร้านอาหาร ทั้งระดมยิง ขับรถตามไล่ล่า คนของเราต่อสู้ป้องกันท่านเต็มที่...แต่...ไม่มีใคร...รอด”
เข้มพยายามเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด แต่ไม่อาจซ่อนความสะเทือนใจเจ็บปวดข้างในได้มิด
“ฝีมือใคร” ขุนคีรีถามเสียงเยียบเย็น ดวงตาวาวโรจน์อาฆาตแค้นเหมือนสัตว์ร้ายรับบาดเจ็บ
“ตอนนี้ยังระบุไม่ได้ ตำรวจกำลังเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุ ชันสูตรศพระบุตัวผู้เสียชีวิตทุกรายอยู่...ขอโทษ...ที่พี่กลับมาไม่ทัน”
เสียงนั้นแหบโหย โยนความผิดให้ตัวเอง...ทั้งที่สังหรณ์ร้ายกระตุ้นเตือน ทั้งที่จัดทีมติดตามป้องกัน ทั้งที่รีบกลับมาเร็วที่สุด...ก็ยังไม่ทัน...ถ้ารู้อย่างนี้เขาควรอยู่เคียงข้างผู้มีพระคุณ ต่อสู้จนตัวตาย ใช้ร่างปกป้องท่าน ไม่ควรเดินทางทำธุระใด ๆ เลย
“พี่เข้มไม่ผิดหรอก...” ขุนคีรีเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย ไม่มีเรี่ยวแรงปลอบใจพูดได้แค่ “อย่างน้อย...พี่ยังได้เจอพ่อก่อนผม”
คนเป็นลูกชายข่มกลั้นตัวเองสุดกำลัง แววตาทอประกายกร้าวเจ็บแค้น ทุกข์ทรมานไม่ต่างจากวันสูญเสียมารดา
“ไม่ว่ามันเป็นใคร...ผมจะเอาคืนให้สาสม”
วาจาเรียบเย็นประกาศชัด แสดงถึงไฟแค้นกำลังลุกโชนในใจ
“คุณขุน...มีอีกเรื่องที่พี่ต้องบอก”
เข้มจำเป็นต้องยื่นเอกสารชิ้นหนึ่งมาให้พร้อมพูดเบา ๆ เกรงอีกฝ่ายยิ่งสะเทือนใจ
“หมอต้องการให้เซ็นยินยอมในเอกสาร...ที่...พ่อเลี้ยงแสดงเจตจำนง ‘บางอย่าง’ เอาไว้ล่วงหน้า”
เอกสารที่ต้องเซ็น ผู้ตายเขียนบอกทายาทแสดงความจำนงมอบอวัยวะชิ้นสำคัญแก่ใครบางคน มันอาจไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายแต่ ‘พ่อเลี้ยง’ คงเกลี้ยกล่อมจนหมอยอมใจอ่อน เพราะมันอาจเป็นวิธีเดียวจะช่วย ‘เธอคนนั้น’ กลับมามองเห็นในเร็ววัน
หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับนี้ทำไว้ตั้งแต่สองปีที่แล้ว เพื่อมอบดวงตาให้แก่นางสาวบัวบุษราในกรณีที่ตนเองเสียชีวิตไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม
หมอดนัยทราบเรื่องแต่แรก พยายามภาวนาขอให้หญิงสาวได้รับกระจกตาตามคิวแบบถูกต้องก่อน ตนเองจะได้ไม่ต้องฝืนใจหาช่องทางซิกแซกเพื่อช่วยเหลือคนไข้สาว และตอบแทนครอบครัวผู้มีพระคุณ
ทว่า เกิดเหตุเช่นนี้ทำได้แค่เปิดโอกาสให้บุตรชายผู้ตายได้ตัดสินใจอีกครั้ง
ขุนคีรีมองเอกสารที่ต้องเซ็นด้วยดวงตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส ๆ เซ็นชื่อลงในนั้นก่อนทิ้งปากกาโถมตัวฟุบแทบเท้าบิดา ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเด็กชายตัวน้อย น้ำตาหลั่งไหลไม่หยุด เสียงร่ำไห้กังวานทั่วห้องไม่อายใคร
เขาเคยกล่าวโทษว่าพ่อไม่รับผิดชอบการกระทำตัวเอง โกรธเคืองที่ทอดทิ้งผู้รับเคราะห์โดยไม่ดูดำดูดี พอถึงวินาทีนี้...นึกย้อนทวนตั้งแต่ต้นจึงเข้าใจ
...พ่อไม่เคยทิ้งความรับผิดชอบเลย!...
การนิ่งเฉยไม่พูดไม่แสดงว่าไม่แยแส...การยอมปล่อยให้ลูกชายคนเดียวมาใช้ชีวิตลำบาก คอยเป็นเงาดูแลหญิงสาวคนหนึ่งเงียบ ๆ โดยไม่เคยห้ามปราม...แล้วส่งมือขวาอย่าง ‘เข้ม’ คอยช่วยเหลือดูแลห่าง ๆ นั่นคือสิ่งที่ผู้มี ‘ภาระ’ เป็นโซ่ร้อยรัดมากมายพอกระทำได้
ผู้มีอาชีพเสี่ยง ใช้ชีวิตท่ามกลางความขัดแย้งในผลประโยชน์ธุรกิจสีเทาอาจตายได้ทุกเมื่อ...การแสดงความจำนงบริจาคดวงตาจึงไม่ใช่เรื่องทำเล่น ๆ
นั่นเป็นความต้องการ...หวังชดเชยแก่ผู้รับเคราะห์จากตนจริง ๆ
ขุนคีรียามนี้ทั้งคับแค้นรุนแรงเศร้าโศกเสียใจเกินขีดจำกัด มันผสมปนเปด้วยความรู้สึกผิด...ผิดที่ตนไม่เคยเข้าใจบิดาเลย หนำซ้ำยังปรามาสน้ำใจด้วยวาจา และการกระทำมาตลอดสองปี
สารพัดความรู้สึกประเดประดัง จนเขื่อนในใจพังทลายไม่อาจควบคุมตัวเอง สุดท้ายต้องแสดงความอ่อนแอออกมา
เข้มลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลม เข้าใจความรู้สึก ‘เด็กน้อย’ คนนี้ยิ่งกว่าใคร ภายนอกขุนคีรีก้าวร้าว แข็งแกร่งนักหนา ข้างในกลับบอบบาง อ่อนโยนจนใครคิดไม่ถึง
สุดท้ายร่างที่ยังไม่หยุดสะอื้นก็หันมากอด ‘พี่ชาย’ อย่างต้องการหลักยึดเพื่อหยัดยืน น้ำตาชุ่มไหล่อีกฝ่ายจนเปียกปอน
...สักครั้งเถอะ...ขอมีใครสักคนเคียงข้างให้ตนเองแสดงความอ่อนแอโดยไม่ละอายใจสักครั้ง
...สัญญา...ออกจากห้องนี้ จะกลับมาเข้มแข็งให้ได้โดยเร็ว
--------------- ------------ --------------
เช้ามืด ช่วงเวลาเดียวกับนายแพทย์ดนัยโทรแจ้งครอบครัวบัวบุษรา
สายลมบนดาดฟ้าตึกโรงพยาบาลพัดแรงจนหนาวยะเยือก ขุนคีรียืนนิ่งดั่งภูเขาลูกใหญ่ต้านทานแรงลม นัยน์ตาเศร้าเจ็บปวด น้ำตาเหือดแห้งนานแล้ว หัวใจกลับแห้งแล้งคล้ายถูกแดดเผาจนอ่อนล้ายิ่งกว่า
กลิ่นคล้ายดอกลั่นทมโชยชาย แทรกด้วยกลิ่นขี้เถ้าสะเก็ดหินจากนิรยภูมิที่เคยได้รับ เพียงแต่แรงกว่า กระจายรอบบริเวณ แสดงชัด...นี่คือ ‘ยมทูต’ ตัวจริง
ร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดง ดวงตานิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึก ปรากฏกายท่ามกลางกลุ่มควันสีเทาจาง ๆ กระไอร้อนแผ่จนสัมผัสชัด ภูตผีปิศาจไม่กล้าเข้าใกล้ ชายหนุ่มกลับก้าวเข้าหาโดยไม่หวั่นเกรง
“ใครฆ่าพ่อผม...แล้วตอนนี้ท่านอยู่ไหน”
“ฉันไม่รู้” ยมทูตตอบกลาง ๆ ไม่ชี้ชัดว่าเลือกตอบคำถามใด
“ท่านไม่รู้แล้วจะให้ผมถามใคร...ท่านพญามัจจุราชงั้นหรือ”
“ถ้าถามท่าน...เธอคงได้คำตอบว่า...พ่อเธออยู่ห้องดับจิต...ไปหาสิ”
คำพูดเหมือนหยอกล้อ...แววตาไม่ล้อเล่นด้วย...ขุนคีรีน้อมใจตามเกิดอาการสะท้านขึ้นกลางอก...ร่างกายพ่ออยู่ห้องดับจิตจริง ๆ แล้วเมื่อครู่ตนถามหา ‘พ่อ’ ในลักษณะไหน
‘พ่อ’ ที่เป็นเพียงร่างกายรอเวลาเน่าเปื่อยผุพัง หรือ ‘พ่อ’ ซึ่งไปเกิดใหม่ในภพใดไม่กล้าคาดเดา
“งั้นผมถามใหม่...ใครฆ่าพ่อผม” น้ำเสียงปิดรอยอาฆาตไม่มิด
“เรื่องนี้เดี๋ยวเธอก็ได้คำตอบเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ ‘ทางลัด’ ถามฉันหรอก”
ขุนคีรีค่อยตั้งสติ ยอมรับวาจา เชื่อว่าตนเองและเครือข่ายหาข้อมูลของเข้ม ต้องได้คำตอบในเวลาไม่นาน
“พ่อผม...ไปเกิดที่ไหน” คำถามนี้หลุดจากปากด้วยใจหวาดหวั่น
“ฉันไม่รู้...หรือต่อให้รู้...ก็ไม่มีสิทธิตอบ”
“ทำไม” ถามพร้อมรอฟังคำตอบจริงจัง
ยมทูตหินผาจ้องตาชายตรงหน้า ทราบว่าอีกฝ่ายจดจ่อ ตั้งใจฟังคำตอบอย่างยิ่ง จึงเอ่ยวาจาระมัดระวัง พิจารณาคำพูดตนเองเพื่อเกิดประโยชน์แก่อีกฝ่ายมากสุด
“เธออาจคิดว่ายมทูตเป็นผู้รับดวงวิญญาณมนุษย์ไปสู่การพิจารณา พิพากษา...ความหมาย ‘ยมทูต’ อีกอย่างคือ...ผู้นำสารจากยมโลก...และ ‘สาร’ นั้นไม่เคยบอก...ผู้ใด...ตายแล้วไปไหน...เพราะหน้าที่นั้น ‘กรรมวิบาก’ แต่ละคนนำพาไปเอง”
“แล้ว...กรรมวิบาก...พาพ่อผมไปไหน...”
ชายหนุ่มพยายามดึงดัน...อย่างน้อยขอมีใครสักคนให้ความหวังบอกว่า...พ่อไปดี...ก็พอ
นัยน์ตายมทูตฉายรอยอ่อนลงชั่ววูบ เอ่ยวาจาเท่าที่ตนทราบ
“ฉันบอกได้แค่...ช่วงเวลาห่ากระสุนระดมยิงมา...พ่อเธอไม่กลัวตาย ไม่ห่วงชีวิตตัวเอง พยายามป้องกันดวงตาสุดกำลัง เพื่อมอบให้แก่ผู้หญิงคนนั้นอย่างสมบูรณ์”
ขุนคีรีพูดอะไรไม่ออก น้ำตาที่เคยเหือดแห้งไหลรินช้า ๆ พยายามเม้มริมฝีปากข่มกลั้นความเศร้าก็ไม่อาจหยุดน้ำใส ๆ ที่ไหลอย่างไม่เชื่อฟังได้
ความเงียบแผ่ซ่านชั่วขณะ ชายหนุ่มปาดน้ำตาเอ่ยปากถามเสียงหนักขึ้น
“ท่านโกหกผม...เรื่องทำภารกิจยมทูตแลกกระจกตาให้เธอ”
“ฉันโกหกยังไง”
“ต่อให้ผมไม่รับปาก พ่อก็ทำเอกสารยกดวงตาให้เธอแต่แรกอยู่ดี”
ยมทูตหินผาชั่งใจควรเอ่ยวาจาต่อไปหรือไม่ พอพิจารณาเห็นว่าเกิดประโยชน์มากกว่าจึงยอมพูด
“ท่ามกลางห่ากระสุนระดมยิงทุกทิศทาง กระจกรถแตกกระจายชิ้นเล็กชิ้นน้อย นักฆ่าทุกคนหวังระเบิดสมองเหยื่อจนย่อยยับ คิดว่าเหตุใดศีรษะ ใบหน้าพ่อเธอถึงสมบูรณ์ไร้ริ้วรอยขนาดนั้น...และเพราะเหตุใดคุณหมอที่ยึดมั่นจรรยาบรรณแพทย์ ไม่เคยทำผิดกฎระเบียบใด ๆ ถึงใจอ่อนย่อมรับปากทำตามความต้องการพ่อเธอ”
ยมทูตบรรยายละเอียดจนเห็นภาพ ขุนคีรีชะงักนึกภาพตาม และระลึกถึง ‘นายแพทย์ดนัย’ ที่ตนรู้จัก สุดท้ายต้องยอมรับเข้าใจ
“ผม...ควรขอบคุณท่านที่ทั้งช่วยเหลือพ่อ และดลใจคุณหมอ...ใช่มั้ย” วาจาเสียดเย้ย แววตาเจ็บปวด
“ยมทูต...ไม่มีสิทธิแทรกแซงกรรมวิบาก...ช่วยชีวิตพ่อเธอไม่ได้ ไม่ควรสะกดจิตดลใจหมอคนไหน...แต่พันธะสัญญาที่มีต่อกัน ทำให้ฉันสามารถ ‘กระทำ’ สิ่งที่เป็น ‘เงื่อนไข’ ระหว่างเราได้”
ขุนคีรีหัวเราะเสียงแหบพร่าทั้งที่ไม่มีอารมณ์ขันสักนิด
“ถ้าอย่างนั้น พันธะสัญญาระหว่างเราคงสิ้นสุดเสียที ผมได้รับ...สิ่งต้องการ...ตามเงื่อนไขสัญญาแล้ว นับจากวินาทีนี้ไม่ต้องทำงานเป็นผู้ช่วยยมทูต ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยมโลกอีกต่อไป”
วาจาประชดประชัน กล่าวด้วยโทสะ รู้สึกเหมือนโดนยมทูตหลอกใช้ กลายเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง
“ยังหรอก”
“อะไรนะท่าน”
“ตอนรับปากสัญญา ตกลงทำงานเป็นผู้ช่วยยมทูตแลกกระจกตาให้บัวบุษรา...ฉันไม่เคยบอกเลยว่า เมื่อเธอได้รับสิ่งต้องการแล้วสัญญาระหว่างเราจะสิ้นสุด”
“ท่านหลอกลวง ทำไมผมต้องทำงานนี้ต่อ ในเมื่อที่ผ่านมาท่านก็สามารถจัดการเองได้อยู่แล้ว”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องอธิบาย”
“ถ้าไม่เชื่อท่านจะเป็นยังไง...ผมต้องลงนรกเดี๋ยวนี้เลยมั้ย”
ยมทูตหินผามอง ‘ผู้ช่วยยมทูต’ เหมือนเด็กดื้อรั้นกำลังผิดหวัง ไม่ได้อย่างใจ ท้าทายนรกทั้งที่เคยเห็นแล้วว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
“อย่างน้อยเวลานี้เธอยังมีภารกิจค้างคา ทำไม่สำเร็จอีกหนึ่งชิ้น”
นอกจากไม่โต้เถียง ยมทูตยังพูดถึงงานโดยไม่ใส่ใจท่าทีอีกฝ่าย
“ภารกิจอะไร”
“แพรตะวัน สัตยา...เธอแค่ทำให้ทั้งสองพบกัน...แต่ยังไม่พาพวกเขามาส่งฉัน”
“ตอนนั้นท่านบอกเองว่ายังไม่ถึงเวลา...และอีกอย่าง...เรื่องแค่นี้ท่านจัดการเองก็ได้”
“ทั้งสองเป็น ‘งาน’ ของเธอตั้งแต่พาแพรตะวันไปพบสัตยาแล้ว”
ขุนคีรีพยายามหาทางเลี่ยง
“พ่อผมเพิ่งตาย มีภาระหน้าที่อีกมากมายต้องจัดการ”
“รวมถึงการ...แก้แค้น...ด้วยใช่มั้ย” วาจาเสียบแทงกลางใจ
ชายหนุ่มนิ่งไม่เถียง
ยมทูตไม่ห้ามปราม ทำหน้าที่แค่ ‘ส่งสารจากยมโลก’ สั้น ๆ
“เวรที่ระงับด้วยการจองเวร...สองฝ่ายอาจไปพบกันที่...นรก”
ผู้รับสารจากยมโลกไม่สะทกสะท้าน ความเจ็บปวดโกรธแค้นปิดบังแสงสว่างจากคำเตือนไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น...” ผู้มาจากยมโลกเปลี่ยนวาจาใหม่ “ภารกิจแพรตะวัน สัตยาจะเป็นงานผู้ช่วยยมทูตชิ้นสุดท้ายของเธอ...ตกลงจะทำหรือไม่”
เมื่อฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่ายอมถอยครึ่งก้าว ขุนคีรีไม่อาจดื้อรั้นตามความคิดตน
“ตกลง...แต่ขอให้ผมจัดการเรื่องงานศพพ่อ กับเรื่องราวที่บ้านให้เรียบร้อยก่อนได้มั้ย”
ยมทูตหินผาพยักหน้ารับ ขุนคีรีก้าวถอยหลังแล้วหันกลับเดินลงจากดาดฟ้า ไม่มีวาจาใดต้องการสนทนาอีก
สายลมยะเยือกยังพัดผ่าน กระไอร้อนแผ่กระจายพร้อมหมอกสีเทาจาง ๆ ผู้มาจากยมโลกยังไม่ไปไหน แววตาราบเรียบเฉยชากำลังแสดงอาการหวั่นไหว ไม่มั่นใจ
“เริ่มถอดใจหมดความเชื่อมั่นแล้วรึ” เสียงพญามัจจุราชดังก้องในหัว
“สิ่งที่ขุนคีรีประสบยามนี้ สามารถเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นวายร้ายได้ กระหม่อมไม่กล้าคาดเดาเลยว่า...ความแค้น...จะพาชายคนนี้ไปถึงจุดใด”
“เมื่อเจ้าเดิมพันไปแล้ว...สิ่งกระทำได้ในขอบเขต ‘ยมทูต’ ล้วนทำเต็มกำลังสติปัญญา...ตอนนี้เหลือแค่...เฝ้าดู...เท่านั้น”
บริวารพญามัจจุราชค้อมศีรษะรับคำแนะนำ สายหมอกเลือนหายพร้อมกับร่างสูงใหญ่จนไร้ร่องรอย
--------------- ------------ --------------
แดดยามบ่ายแผดจ้าเพิ่มความร้อนให้ริมถนนหลวงเกือบเท่าตัว สองข้างทางเป็นเนินดินพงหญ้ายาวราวสองสามกิโลเมตร เหมาะสำหรับซ่อนตัวซุ่มโจมตีเหยื่อยามค่ำคืน
ถนนเส้นนี้รถราไม่หนาตา ยิ่งตอนค่ำคืนจะคล้ายทางเปลี่ยว เหตุการณ์เมื่อคืนจึงไม่ถูกบันทึกจากกล้องวงจรปิด หรือกล้องหน้ารถคันใดเลย
เข้มจอดรถตรงจุดสุดท้ายที่เกิดเหตุ ลงจากรถพร้อมขุนคีรีแล้วสังเกตสถานที่โดยรอบ นึกภาพเหตุการณ์ตามรายงานที่ได้รับ
รถยนต์พ่อเลี้ยงบุญชัยกลับจากร้านอาหารเวลาประมาณสี่ทุ่มเศษ โดนซุ่มยิงยางก่อนแต่รถยังสามารถแล่นหนีได้ มีรถบอดี้การ์ดคอยติดตามคุ้มครอง จากนั้นรถยนต์สามคันซุ่มคอยข้างทางก็เข้าประกบตามไล่ล่า จัดการรถบอดี้การ์ดลงข้างทางสำเร็จ ยิงถล่มจนคนในรถเสียชีวิตทั้งหมด
ขับหนีประมาณสองถึงสามกิโลเมตร รถยนต์พ่อเลี้ยงก็เสียหลักลงข้างทาง มือปืน และผู้ติดตามออกมาต่อสู้ป้องกันผู้เป็นนายสุดกำลังจนเสียชีวิต
พ่อเลี้ยงบุญชัยกับคนขับรถพยายามอาศัยความมืดหลบหนี แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามดักยิงในที่สุด
สภาพที่เหลือเวลานี้มีแค่เศษกระจกรถถูกกวาดไว้กองเกลื่อนริมถนน ส่วนซากรถยนต์ ปลอกกระสุนถูกเก็บจนหมดตั้งแต่เช้า
ขุนคีรีกวาดตามองโดยรอบในใจเกิดอาการสะทกสะท้อน เจ็บปวดแค้นใจเกินระงับ ต้องหลับตาสูดลมหายใจลึก ๆ ขบริมฝีปากแน่น เวลานี้ควรรู้จักสงบสติอารมณ์ ไม่แสดงความรู้สึกออกนอกหน้ามากเกินไป
น้ำตาไหลมากพอแล้ว ความเจ็บแค้นไม่จำเป็นต้องพูดให้ใครฟัง กระทั่ง ‘หนี้สิน’ ก็ชดใช้ตามต้องการจนครบ แถมดอกเบี้ยอีกสองหมัดเต็มแรงโดยไม่หลบ
คำพูดดาบตำรวจพนาที่บอกว่า...เลิกแล้วต่อกัน...เหมือนตรวนความผิดในใจถูกปลด
...ยามนี้มีพันธนาการเส้นใหม่ร้อยรัด...เป็นโซ่แห่งความแค้นต้องชำระล้าง!
ขณะขุนคีรีเดินสำรวจสถานที่ มองหาหลักฐานที่อาจหลงหูหลงตาตำรวจ เข้มก็รับโทรศัพท์ฟังรายงานจากลูกน้องที่แอบสืบความคืบหน้าคดีทางตำรวจ
“ได้ความว่ายังไงบ้าง” ขุนคีรีถามเมื่ออีกฝ่ายวางสาย
“ศพคนร้ายที่เสียชีวิตมีหลักฐานว่าเป็นพวกต่างด้าว ปลอกกระสุนที่พบมาจากปืนซึ่งทาง ‘ฝั่งโน้น’ นิยมใช้กัน พวกเราแอบถ่ายรูปหน้าศพคนร้ายมาได้ พบว่าเป็นลูกน้อง ‘ปีเตอร์’ เจ้าของบ่อนที่เคยเป็นคู่อริเก่าพ่อเลี้ยง”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฟังเท่านี้ขุนคีรีจะรีบสรุปพร้อมเอาเรื่องทันที วันนี้ผ่านเรื่องราวมากมายจึงตั้งข้อสงสัยขึ้นมา
“ตั้งแต่แม่ตาย ปีเตอร์กับพ่อสงบศึกกัน แถมยังร่วมมือจัดการพวก ‘มือที่สาม’ ที่วางแผนจัดฉากคราวนั้นจนย่อยยับ มีเหตุผลอะไรถึงกลับมาสร้างเรื่องร้ายขนาดนี้”
เข้มถอนใจ อธิบายเหตุผลเท่าที่นึกออก
“ตั้งแต่พ่อเลี้ยงมีโครงการจะเปิดบ่อนถูกกฎหมายฝั่งเรา ปีเตอร์ก็ขอซื้อบ่อนฝั่งนั้นเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวแต่พ่อเลี้ยงไม่ขาย...ถ้าโครงการนี้สำเร็จ พ่อเลี้ยงมีบ่อนถูกกฎหมายทั้งสองประเทศ คนเล่นสามารถข้ามไปมาสะดวก บ่อนกาสิโนปีเตอร์เจ๊งแน่...มูลค่าความเสียหายไม่ใช่บาทสองบาท ไหนจะอิทธิพลอำนาจที่สูญเสียไป...มันคงคิดว่าการหยุดพ่อเลี้ยงตอนนี้ นอกจากกำจัดคู่แข่งทางการค้า ยังส่งสัญญาณบอกพวกผู้ใหญ่ คนมีอำนาจว่า...ไม่ควรออกกฎหมายเปิดบ่อนเสรีในเมืองไทย”
คำอธิบายสมเหตุผล จากนั้นเข้มบอกอีกข่าวซึ่งชวนตกใจไม่แพ้กัน
“ท่านพลเทพถูกออกหมายจับแล้วนะ”
“อะไรนะ...ตำรวจพบหลักฐานแล้วเหรอ”
ขุนคีรีทราบข่าวจับกุมยาเสพติดแต่เช้า ไม่มีเวลาใส่ใจรายละเอียดมากนักเพราะวุ่นวายทั้งเรื่องศพบิดา เป็นห่วงการผ่าตัดบัวบุษรา ข่าววงในบอกว่า ‘ลุงพล’ หนีรอด คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร คาดไม่ถึงตำรวจตรวจค้นพบหลักฐานความผิดจนออกหมายจับรวดเร็วขนาดนี้
“คิดว่าลุงพลจะหนีรอดมั้ย” ถามด้วยความเป็นห่วง แวบหนึ่งใจอดคิดถึงภารกิจยมทูตไม่ได้
...ตามวิญญาณแพรตะวัน สัตยาไปส่งยมทูตหินผา...มันจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพลเทพหรือไม่?
“คุณขุน...ทางเราวุ่นวายขนาดนี้ ไม่มีเวลาห่วงคนอื่นหรอก” เข้มเตือนสติ
“ลุงพลเป็นเพื่อนรักพ่อ...ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะพี่เข้ม”
“นั่นแหละ คุณขุนต้องแยกแยะกำลังตัวเองให้ดี ตอนนี้ต้องเร่งหาตัวคนร้ายก่อน”
“จริง” ยอมรับจำใจ
“ตอนนี้ที่นี่ไม่มีหลักฐานอะไรเหลือแล้ว เรากลับไปตั้งหลักที่คอนโดฯ ก่อน”
ขุนคีรีพยักหน้า เกือบเดินตามขึ้นรถถ้า ‘ดวงตายมทูต’ ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง
มันเป็นเงาขาว ๆ เจือจางท่ามกลางแดดจัดจ้า คลื่นความคุ้นเคยแผ่กระทบเหมือนพยายามสื่อสารบอกข่าว
“เดี๋ยวนะพี่เข้ม บนรถพ่อตอนเกิดเหตุมีใครอยู่บ้าง” คำถามโพล่งไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แดน กับปราบ...มือปืน”
สองชื่อหลุดจากปาก เงาขาว ๆ นั้นไม่แสดงปฏิกิริยาใด
“คนขับรถชื่ออะไร...ที่ออกมาโดนยิงนอกรถใกล้กับพ่อ”
“ก้าน...” เข้มตอบ
ทันใดนั้นเงาขาวกลางแดดเริ่มปรากฏชัดกว่าเดิม ขุนคีรีส่งกระแสความคิดออกไป
“ก้าน...มีอะไรจะบอกหรือเปล่า”
ร่างนั้นลอยเรี่ย ๆ เหนือพื้นนำทางไปยังพงหญ้าลึกข้างทาง ผู้ช่วยยมทูตรีบติดตามทันที
“คุณขุน...มีอะไรจะไปไหน” อีกฝ่ายไม่เข้าใจลูกชายผู้มีพระคุณ ทำได้แค่รีบติดตาม
ขุนคีรีก้าวยาว ๆ บุกพงหญ้าเนินดินลึกเข้าไปคนละเส้นทางกับที่ตำรวจพบศพบิดาและคนขับรถ หากสังเกตดี ๆ จะมีรอยเท้าจาง ๆ หลงเหลือเล็กน้อย
ตรงจุดนั้นเป็นแอ่งเล็ก ๆ พอก้มลงสังเกตดี ๆ จะเห็นช่องหินพอสอดของบางอย่างเข้าไปได้ ที่ไม่มีคนสังเกตเห็นแต่แรกเพราะหญ้ารกปกคลุมไปหมด
ชายหนุ่มล้วงมือหยิบของที่ซุกซ่อนออกมา พบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง เสียงกระซิบข้างหูบอกแว่ว ๆ ให้เปิดเครื่องและดูคลิปในนั้น
เข้มตามมาทันเห็นขุนคีรีเปิดคลิปในโทรศัพท์ เสียงคนคุ้นเคยดังชัด...
“ไอ้ก้าน...มึงถ่ายพวกมันเก็บไว้ให้หมด แล้วรีบหนีเอาตัวรอดให้ได้ ไม่ต้องห่วงกู...ให้มีพยานหลักฐานหลุดรอดได้สักคนก็ยังดี”
เสียงพ่อเลี้ยงบุญชัย...ยามคับขันเช่นนั้นยังมีสติ สั่งคนขับรถบันทึกภาพคนร้ายแล้วหนีเอาตัวรอด ตนเองล่อพวกมันไปอีกทางหนึ่ง
“ศพของก้านอยู่ใกล้กับพ่อเลี้ยง...ทำไมโทรศัพท์ถึงซ่อนอยู่ที่นี่” เข้มพึมพำไม่เข้าใจ
ขุนคีรียิ้มให้เงาร่างขาว ๆ ด้วยแววตาสำนึกบุญคุณ ความทรงจำช่วงสุดท้ายของดวงวิญญาณปรากฏขึ้นในหัว
“ก้าน...ทำตามคำสั่งพ่อ...ถ่ายคลิปพวกมันเอามาซ่อนที่นี่...แล้ว...วิ่งกลับไปช่วยปกป้องจนถึงวินาทีสุดท้าย”
มือขวาคนสนิทพ่อเลี้ยงมองคนที่เหมือนน้องชายด้วยแววตางุนงง วาจาได้ยินเสมือนผู้พูดอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“คุณขุนรู้ได้ยังไง”
ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์คนตายถอนใจเบา ๆ ยากหาคำอธิบาย
“ผมคาดเดาจากหลักฐาน เหตุการณ์แวดล้อมน่ะพี่” พูดจบในหัวได้ยินเสียงดังมาอีกครั้ง
“ที่รถ...มีหลักฐานในช่องลับ”
ก่อนที่เข้มจะตั้งข้อสงสัยตามมา ขุนคีรีรีบถามก่อน
“รถของพ่อถูกลากไปเก็บที่ไหน”
“น่าจะสถานีตำรวจใกล้ ๆ นี่ล่ะ”
“ไปดูกันหน่อยมั้ย เผื่อได้หลักฐานอะไรเพิ่ม”
“ถ้ามีคงโดนตำรวจเก็บไปหมดแล้วล่ะ”
“ไม่แน่หรอกพี่”
เข้มพยักหน้าเดินนำก่อน ชายหนุ่มหันไปทางเงาร่างขาว ๆ ยกมือพนมด้วยจิตสำนึกบุญคุณ
“ก้าน...ขอบคุณมากเลยนะ”
คลื่นความรู้สึกจากวิญญาณดวงนั้นปลอดโปร่ง คล้ายกระทำภาระหน้าที่เสร็จสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดค้างคา ไม่จำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเป็น ‘ผีข้างถนน’ แบบนี้ต่อไป
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|