วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๙



way cover

 




ชลนิล






(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            วิ่งตอนเช้านอกจากเป็นการออกกำลังกาย ยังถือโอกาสฟังรายงานจาก ‘ปู่ทองก้อน’ ผู้ดูแล ‘พิเศษ’ หน้าบ้านหญิงสาว ทำให้รู้ความเป็นไปของเธอโดยไม่เหนื่อยแรง

            ก่อนกลับร้านข้าวแกงยายปันจึงแวะใส่บาตรหน้าวัดใกล้ ๆ พร้อมตั้งใจกรวดน้ำ อุทิศบุญกุศลด้วยใจสงเคราะห์เอื้อเฟื้อ จนเป็นกิจวัตรประจำวัน

            ช่วงสายหลังช่วยยายปันเปิดร้านขายของรอบเช้า แขกไม่ได้รับเชิญรายหนึ่งจอดรถยุโรปสีขาวคันใหญ่ข้างร้าน ชายร่างสูงสวมเชิ้ตขาว แต่งกายสุภาพ ใส่แว่นกรอบบางลงจากรถเดินตรงมาหาขุนคีรี

            “พี่เข้มมีธุระอะไร” หนุ่มลูกจ้างเงยหน้าทัก พยายามไม่สนใจสายตาเจ้าของร้านซึ่งมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้

            “ออกมาคุยสักแป๊บนึงได้มั้ย”

            ขุนคีรีเก็บกวาดงานเสร็จจึงพยักหน้ารับ หันไปบอกตาแคล้วสั้น ๆ

            “เดี๋ยวผมเข้าไปซ้อมมวยครับ”

            สองผู้เฒ่ามองตามชายหนุ่มแล้วหันมาสบตากันพลางถอนใจ วันก่อนบิดาเดินมากินข้าวถึงร้านด้วยลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา ต่อมาเจ้าตัวก็เอามอเตอร์ไซค์ราคาแพงมาใช้ง่าย ๆ วันนี้มีรถหรูมาจอดถึงข้างร้าน แสดงว่า ‘โลกของเขา’ กำลังเรียกเจ้าตัวกลับไปแล้ว



            “คืนนี้พ่อเลี้ยงมีนัดกับท่านรัฐมนตรี เสนอเรื่องเปิดบ่อนเสรี คุณขุนไปกับท่านหน่อยได้มั้ย”

            “ลูกน้องพ่อมีตั้งเยอะ พี่เข้มก็อยู่ทั้งคน ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งหรอก”

            “พี่ไม่ว่าง โรงงานของเราทางนั้นมีปัญหา ต้องรีบขึ้นเครื่องไปสะสางอีกไม่ถึงชั่วโมงนี่แล้ว”

            สีหน้าคนพูดพะวักพะวงเป็นห่วง ทั้งปัญหาเรื่องงานต้องรีบไปเคลียร์ ทั้งเจ้านายที่เคารพเหมือนบิดา

            “พ่อบอกให้ผมไปด้วยเหรอ”

            “เปล่า พี่เป็นห่วงท่าน ไม่อยากให้ไปกับคนสนิทไม่กี่คนแบบนั้น”

            “นอกจากรัฐมนตรีแล้วต้องไปเจอใครอีกมั้ย”

            “นายบัณฑิต...คนกลางที่จะแนะนำพ่อเลี้ยงให้รู้จักกับรัฐมนตรี”

            ชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมา ขุนคีรีบังเกิดความรู้สึกไม่ดี สังหรณ์เงามืดทาทาบวูบหนึ่งจนใจสั่นหวิว ๆ

            “คืนนี้ผมต้องขึ้นเวทีชกมวย ทางสนามโปรโมตไปแล้ว” ฝืนตอบด้วยเหตุผล

            “ยกเลิกก็ได้ คุณขุนไปกับพ่อเลี้ยงเถอะ”

            “ถ้าทำอย่างนั้นผมก็กลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ อีกอย่างพ่อไปพบรัฐมนตรีเสนอโครงการตัวเองแค่นั้น ไม่ได้ไปเข้าถ้ำเสือเสี่ยงอันตรายที่ไหน”

            เข้มถอนใจหนัก อึดอัดยากอธิบาย ทราบว่าการไปพบบุคคลระดับนั้นย่อมไม่มีอันตรายใด ทว่าสังหรณ์ร้ายในใจกระตุ้นเป็นห่วงแบบไม่เคยเกิดมาก่อน

            ขุนคีรีเข้าใจ...เข้มเคยเป็นเด็กกำพร้าข้างถนน พ่อเก็บมาเลี้ยงด้วยความสงสาร พอเห็นแววเฉลียวฉลาด กตัญญูจึงส่งเสริมเต็มที่ เลี้ยงเหมือนลูกชายคนโต เขาจึงรักผูกพันพ่อเลี้ยงยิ่งกว่าบุพการีผู้ให้กำเนิด สามารถยอมตายแทนได้โดยไม่ต้องให้ใครร้องขอ

            งานสำคัญทุกชิ้น เข้มต้องยืนเคียงข้าง พอครั้งนี้ไม่อาจอยู่ด้วยจึงกังวลใจกว่าปกติ

            “ก็จริง” เข้มยอมรับวาจา “แต่งานนี้ท่านทำเพื่อคุณขุนนะ...ถ้าฝั่งเราเปิดบ่อนเสรีถูกกฎหมายได้ พ่อเลี้ยงก็อยากให้คุณขุนมาดูแลเป็นเจ้าของ”

            ฟังอย่างนี้รู้สึกมีภาระที่ไม่ต้องการปรากฏขึ้นตรงหน้า จึงพูดตรงไปตรงมาตามความรู้สึก

            “ผมเคยคุยเรื่องนี้กับพ่อแล้วล่ะ ว่าไม่อยากเป็นเจ้าของบ่อนมอมเมาคน ต่อให้เป็นบ่อนถูกกฎหมายแต่มันก็ทำให้คนเข้ามาเล่นฉิบหายได้เหมือนกัน...ถ้าเป็นไปได้อยากให้รัฐมนตรีคนที่พ่อเอาโครงการไปเสนอ ปฏิเสธที่จะช่วย ‘ดัน’ ให้ถูกกฎหมายด้วยซ้ำ”

            เข้มไม่คะยั้นคะยอ สองพ่อลูกหัวแข็ง ดื้อ และยืนยันความคิดตัวเองมั่นคงพอกัน สิ่งทำได้คือพยักหน้ายอมรับกลับไปขึ้นรถเงียบ ๆ

            ระหว่างทางไปสนามบิน เขาจองตั๋วเที่ยวกลับคืนนี้ทันที ต่อให้สะสางงานทางนั้นยังไม่เรียบร้อยก็ต้องรีบมาดูแลผู้มีพระคุณก่อน

            ขุนคีรีพูดถูก...แค่ไปเสนอโครงการกับรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องเสี่ยงอันตรายใด แต่เข้มไม่อาจเพิกเฉยต่อสังหรณ์ในใจ ที่เวียนมากระทบเป็นระยะ...บอกว่าคืนนี้อาจเกิดเรื่องร้ายแรง




--------------- ------------ --------------




            พรไพลินเลื่อนประตูหน้าบ้าน เตรียมนำรถยนต์ออกพาน้องสาวไปทำงาน จังหวะเดียวกับรถยนต์ไทธัตมาจอดริมรั้วด้านนอก

            “มารับพ่อหรือคะ” หญิงสาวทักทายเสียงพอได้ยิน

            “จ้ะ ดาบอยู่ในบ้านใช่มั้ย”

            “ค่ะ พ่อพร้อมแล้วล่ะแต่พี่ธัตรอข้างนอกสักเดี๋ยวนะอย่าเพิ่งเข้าไป ให้พรพาบัวออกไปจัดรายการก่อน จะได้ไม่ต้องอธิบายว่าทำไมถึงมารับพ่อไปทำงานตอนนี้”

            ไทธัตพยักหน้า รอจนหญิงสาวขับรถผ่านประตูออกไป มองเห็นบัวบุษรานั่งข้างคนขับด้วยสีหน้าเบิกบานสดใส ไม่อาจทราบว่าทุกคนรอบตัวพยายาม ‘ปกป้อง’ เธอขนาดไหน

            บ้านถูกติดตั้งระบบป้องกันจนเหมือนปราการขนาดย่อม บิดากลับมาทำงานสืบสวนปราบปรามเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีใคร ‘บุกรุก’ เขตหวงห้ามอีกครั้ง ไม่นับพี่สาวที่ใส่ใจระแวดระวังภัยแทนเธอมากกว่าเดิม

            ดาบตำรวจพนาเดินลงมาเลื่อนประตูบ้านปิดหลังรถลูกสาวแล่นออกไป สบตานายตำรวจหนุ่มด้วยรอยยิ้ม

            “เข้ามาดื่มกาแฟก่อนมั้ยผู้กอง”

            “ไม่ล่ะครับ...ถ้าดาบพร้อมแล้ว เราไปคุยเรื่องงานในรถระหว่างทางดีกว่า”

            “ได้เลย ขอเวลาปิดบ้านเดี๋ยวนึง”

            นายตำรวจอาวุโสใช้เวลาไม่นานตามวาจา จากนั้นสองตำรวจต่างวัยก็อยู่บนรถคันเดียวกัน วิ่งสู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ เพื่อร่วมวางแผนสำหรับงานสำคัญ

            ไทธัตเริ่มต้นพูด



            “จากข้อมูล ‘งานใหญ่’ ที่ดาบบอกคราวก่อน สายเราส่งข่าวมาแล้วว่าจะเกิดขึ้นคืนนี้ เป็นการรวมตัวผู้ค้ายาฯรายใหญ่ มีการแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญ มูลค่าสูงมากจนระดับเจ้าพ่อต้องลงมาประชุมดูแลเอง”

            “คนให้ข่าวผมบอกข้อมูลเพิ่มเติมว่างานแบบนี้มีไม่บ่อย พวกมันจะปล่อยข่าวลวงเกี่ยวกับสถานที่นัดประชุม ให้ตำรวจสายข่าวสับสนหลงทิศทางกันด้วย” ดาบตำรวจพนาเพิ่มรายละเอียด

            “ผมว่าเรื่องนี้ผู้ใหญ่คงคาดการณ์ออก ถึงนัดพวกเราประชุมวางแผนอีกรอบ ไม่งั้นแทนที่จะได้ตัวพวกบิ๊ก ๆ พร้อมหลักฐานเอาผิดพวกมันกลับปล่อยไก่ขายหน้าเปล่า ๆ”

            “จริงสิ ผู้กองได้เบาะแสพวกที่บุกรุกบ้านผมหรือยัง” ถามอีกเรื่องที่ยังคาใจ

            “ยัง...พวกมันไม่มีประวัติอาชญากรรมอย่างดาบบอกไว้จริง ๆ”

            “ไม่มีหลักฐานอะไรเชื่อมโยงว่าเป็นลูกน้องพลเทพเลยหรือ”

            “ไม่มีเลย น่าจะเป็นพวกรับจ้างมืออาชีพเสร็จงานได้เงินก็ไปกบดานประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้...แต่ไม่ต้องห่วง ผมส่งรูปพวกมันกระจายไปทุกหน่วยแล้ว โผล่เข้ามาเมื่อไหร่ไม่รอดแน่”

            “ขอบคุณผู้กอง...แล้วงานคืนนี้ผู้การท่านว่ายังไงบ้าง”

            “คืนนี้นอกจากตัวท่านแล้ว ผู้ใหญ่ระดับผบ. จะลงมาควบคุมบัญชาการเอง โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย ถ้าพลาดไปไม่รู้จะมีอีกเมื่อไหร่ ถ้าสำเร็จจับได้ทั้งคนทั้งหลักฐาน มันจะเป็นงานชิ้นสำคัญในชีวิตตำรวจอย่างเราเลย”

            “งั้นก็ดี...จับคนบุกรุกบ้านผมตอนนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะถึงได้มามันก็คงไม่ยอมเป็นพยานเอาผิดพลเทพอยู่ดี...สู้จับเจ้าพ่อคนนี้พร้อมหลักฐานดีกว่า...รับรองดิ้นไม่หลุดแน่”

            ดาบตำรวจพนาหวังว่างานคืนนี้จะสำเร็จ สามารถหยุดผู้ร้ายรายนี้ได้ ครอบครัวตนปลอดภัย นอนหลับเต็มตาเสียที




--------------- ------------ --------------




            คฤหาสน์หลังใหญ่เงียบวังเวงตั้งแต่คนสนิทคุ้นเคยทยอยจากไป พลเทพเดินรอบบ้านไม่เห็นผู้คน ไม่มียาม ลูกน้องคนสนิท ไม่มีกระทั่งแม่บ้าน คนดูแล ราวกับทุกคนหายตัวกะทันหัน

            เข็มนาฬิกาเดินช้า ๆ เวลารอบตัวไหลเอื่อย ๆ เขาหยุดยืนห้องโถงกลางบ้าน ฟังเสียงนาฬิกาดังติ๊กติ๊กติ๊กด้วยใจสั่นระรัว รู้สึกคล้ายมันกำลังหยุดนิ่งลานขาดทุกขณะจิต

            เสียงกระซิบกระซาบแว่วมาจากรอบห้อง เหลียวมองพบเพียงผนังโล่ง ๆ เสียงนั้นดังอื้ออึงเรื่อย ๆ ฟังชัด...ชัดเจนว่าเป็นเสียงของคนที่ตายไปแล้ว

            แต่ละเสียงดังแทรกกันไปมาฟังไม่ได้ศัพท์ แยกแยะออกแค่เป็นเสียงใครบ้าง...เพื่อนฝูง ศัตรู คนที่เคยถูกสั่งฆ่า กระแสเสียงไปในทิศทางเดียวกัน...สาปแช่ง!

            ผนังโล่งแสดงอาการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมีบางสิ่งอยู่ข้างใน เสียงอื้ออึงซาลงจนเงียบกริบ เงียบจนน่ากลัวก่อนผนังจะปริร้าวเป็นรอยแยกช้า ๆ

            สองร่างก้าวออกมา หนึ่งหญิง หนึ่งชาย...แพรตะวัน สัตยา

            หญิงสาวดูหม่นซึม ใบหน้ามองมาด้วยแววตาหดหู่ บางวาจาซ่อนอยู่ในนั้น ชายหนุ่มเคียงข้างมีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วยับเยิน ใบหน้าบวมปูม ทั้งร่างน่วมเขียวเป็นจ้ำ เสื้อผ้าแดงโชกด้วยเลือด

            ทั้งคู่ขยับเข้ามาช้า ๆ ไม่มีอาการคุกคาม มีแค่คลื่นเศร้าโศกอาดูรแผ่มากระทบจนใจแทบสลาย เขายืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ควรทำอย่างไร

            “แพร...” หลุดเสียงแผ่วล้าเบาหวิว “พ่อขอโทษ”

            ดวงตาหญิงสาวเศร้ายิ่งกว่าเคยเศร้า หมอกมัวสีเทาแผ่กระจายครอบคลุมโดยรอบ

            “ไม่ต้อง...ขอโทษ...พ่อไม่เคยทำผิดต่อแพรเลย” คำตอบทำให้ใจชื้น

            “ท่าน...ไม่ได้สั่งฆ่าผม...” เสียงชายหนุ่มแทรกมา “แต่คนอื่นจำนวนมาก...ตาย...เพราะคำสั่งท่าน”

            หมอกสีเทาแผ่ความหนาวยะเยียบ เย็นจัดแทรกซึมถึงกระดูก พลเทพสั่นระริกบังเกิดความกลัวน่าสะพรึงเข้าจับหัวใจโดยไม่มีเหตุผล

            “เลือด...มือพ่อเปื้อนเลือดมากเกินไป” ริมฝีปากแพรตะวันสีแดงสด คล้ายชโลมด้วยโลหิต

            “ถ้าเอาเลือดคนที่ท่านสั่งฆ่า ที่สมุนลูกน้องกระทำเองโดยไม่ต้องสั่งมาเทไว้ตรงนี้...รับรองคงมากมายพอท่วมใครสักคนตายได้”

            ดวงตาสัตยาเบิกโพลงน่ากลัว เลือดแดง ๆ ไหลย้อยจากหางตาลงมาข้างแก้ม แล้วหล่นลงพื้นทีละหยดทีละหยด

            “แค่คนเดียวที่พ่อสั่งฆ่า...ก็มากเกินไปแล้ว” ถึงพูดอย่างนั้นแววตาเธอกลับมีแต่ความโศกสลด “ทางเดียวที่ทำได้คือยอมรับกรรม...ชดใช้...อย่าสร้างกรรมเพิ่ม อย่าดิ้นรนหลีกหนีเลยนะคะ”

            หมอกสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน ราวถูกระบายด้วยเลือด ความหนาวเสียดกระดูกไม่น่ากลัวเท่าความร้อนแรงที่ปะทุขึ้นกลางอก ร้อนจนสามารถเผาผลาญทั้งร่างกลายเป็นจุณในพริบตา

            ความเงียบ มืดมิด คลื่นสยดสยองหวาดกลัว ปวดร้าวครอบคลุม ‘เจ้าพ่อ’ แน่นหนาไม่เหลือหนทางหลุดรอด



            พลเทพลืมตาขณะหัวอกร้อนรุ่ม ผิวกายเย็นเฉียบแขนขาขยับไม่ได้เหมือนเป็นอัมพาตครู่ใหญ่ ตั้งสติขยับตัวนั่งเก้าอี้หลังตรง บอกกับตนเองว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน

            ฝันกลางวันในห้องทำงานตนเอง!

            เสียงเคาะประตูดังขึ้น รอคำอนุญาตชั่วขณะก่อนเลขาฯ ส่วนตัวเปิดประตูเข้ามาส่งกระดาษแผ่นเล็กเขียนข้อความสั้น ๆ

            “เวลา...สถานที่นัดหมายคืนนี้ครับ”

            ผู้ทรงอิทธิพลเหลือบตามองนิดเดียว รู้ทันทีว่าเป็นข้อมูลลวง จงใจปล่อยออกมาให้ตำรวจสายสืบสับสน

            “อือ...รู้แล้ว...ถ้าเปลี่ยนเมื่อไหร่รีบแจ้งด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถเวียนไปมาหลอกตำรวจให้พวกมัน”

            “ครับ”

            หลังประตูปิด ผู้เป็นนายถอนใจยาวเหยียด คำพูดสุดท้ายในฝันย้อนกลับมาให้คิด

            ...ยอมรับกรรม...ชดใช้...อย่าสร้างกรรมเพิ่ม...อย่าดิ้นรนหลีกหนี...

            ถ้าการประชุม แลกเปลี่ยนสินค้าคืนนี้ประสบความสำเร็จ ‘ตลาด’ จะมียาเสพติดตัวใหม่ ขายอย่างแนบเนียนกว่าเดิม คนจำนวนมากกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ง่ายดาย

            ...นี่คือ...สร้างกรรมเพิ่ม...ใช่หรือไม่...

            ดวงวิญญาณลูกสาวและคนรักมาเข้าฝันตักเตือน ห้ามปราม...หรือแค่ฝันเลื่อนเปื้อนไร้สาระของชายกลางคนใกล้ชราผู้หนึ่ง

            พลเทพไม่ได้เพิกเฉยต่อความฝัน เพียงแต่คนอยู่ในจุดนี้...ยากถอยหลังเสียแล้ว




--------------- ------------ --------------




            ภายในคอนโด ฯ พ่อเลี้ยงบุญชัยนั่งตรวจเอกสาร ภาพถ่าย ข้อมูลกับคนสนิทแค่สองสามคน ไม่มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังอย่างคนทั่วไปเข้าใจ

            “ลืมของไว้เหรอ” พ่อเงยหน้าทักลูกชาย

            “เปล่า...พอดีตอนสายพี่เข้มแวะมาหาก่อนไปขึ้นเครื่อง”

            ลูกชายขึ้นต้นเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องต้องการพูดคุยตามลำพัง พ่อจึงโบกมือให้ลูกน้องออกจากห้องไปก่อน

            “ว่าไง มีอะไร” พ่อเลี้ยงเอ่ยเมื่อขุนคีรีนั่งเก้าอี้ตรงหน้า

            “ถ้าพ่อต้องการเปิดบ่อนถูกกฎหมายเพื่อผม...ก็อย่าทำเลย ยังไงผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับธุรกิจนี้เด็ดขาด”

            ขุนคีรีตัดสินใจพูดรวดเดียวจบ ตอนฟังวาจาเข้มทีแรกคิดจะเพิกเฉย สังหรณ์ในใจกลับกระตุ้นเร่งเร้าจนนิ่งเฉยไม่ได้ อย่างน้อยแค่มาเอ่ยปากห้ามปรามสักคำยังดี

            คนเป็นพ่อนิ่งอั้น ต่อให้ทราบว่าลูกชายหลีกเลี่ยง ไม่ชอบงานเหล่านี้ แต่คิดไม่ถึงจะมาปฏิเสธ ห้ามกันตรง ๆ ในวันที่กำลังเปิดเจรจาเรื่องสำคัญ

            “รู้แล้ว” พ่อเลี้ยงบุญชัยบอกสั้น ๆ แล้วถามกลับ “เรื่องจะพูดมีแค่นี้ใช่มั้ย”

            “ผมพูดขนาดนี้ พ่อยังยืนยันอยากเปิดบ่อนถูกกฎหมายฝั่งเราอีกเหรอ”

            “นี่เป็นงานของพ่อ...ต่อให้แกไม่อยากได้ ไม่คิดสานต่อพ่อก็ต้องดันมันไปจนถึงที่สุดอยู่ดี”

            ขุนคีรีจ้องตาบิดา พบแววดื้อรั้นยึดมั่นความคิดไม่ต่างจากตนเอง

            “พ่อจะเปิดบ่อนอีกทำไม ในเมื่อที่มีอยู่ก็พอเลี้ยงคนของพ่อ คนที่ต้องรับผิดชอบชีวิตพวกเขาได้เหลือเฟือแล้ว”

            “ตอนแกดื้อรั้นจะมาดูแลผู้หญิงคนนั้น ยืนยันจะไปอาศัยร้านข้าวแกงโทรม ๆ ชกมวยหาเงินใช้เอง พ่อเคยร่ำไรซักถามเหตุผลมากมายมั้ย เคยบังคับให้กลับบ้านไปทำงานที่แกไม่ชอบหรือเปล่า”

            เจอคำย้อนเช่นนี้ ขุนคีรีพูดอะไรไม่ออก พ่อเหมือนภูเขาลูกใหญ่เกินก้าวข้าม ยากโยกคลอนเหมือนเคย

            “ถ้าอย่างนั้น ขอแค่คืนนี้พ่อไม่ต้องไปเจอรัฐมนตรีคนนั้นได้มั้ย ผมไม่ไว้ใจคนกลางอย่างนายบัณฑิตกับคนสนิทที่ชื่อเจตน์”

            ชายหนุ่มยอมถอย ขอร้องเพียงเท่านี้ไม่อาจอธิบายสังหรณ์ร้ายของตนกับเข้มที่ตรงกันได้

            “งั้นคืนนี้แกไม่ต้องขึ้นเวทีชกมวยได้มั้ยล่ะ พ่อได้ยินมาว่าไอ้บิ๊กเพลิงไปหานักมวยมือดี ชนะน็อคตลอดไม่เคยแพ้ใครมาได้...มันตั้งใจแก้แค้นที่ทำให้เสียหน้าเสียเงินคราวก่อน ถึงจะทำอะไรตรง ๆ ไม่ได้เพราะบารมีพ่อกับลุง แต่แกไปรับรองกับเฮียบุ๋นเองว่า ต่อให้เจ็บตัวเข้าโรงพยาบาล หรือโดนต่อยตายคาเวที พ่อกับลุงพลจะไม่เอาเรื่อง มันเลยกะเล่นงานบนเวทีแทน”

            คำพูดบิดาแสดงถึงความห่วงใย ใส่ใจติดตามทุกเรื่องราวลูกชาย...เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น

            หากเขาไม่มีข้อเรียกร้องก่อน พ่อย่อมไม่ยื่นข้อเสนอกลับเช่นกัน

            “ผมเข้าใจแล้วครับพ่อ”

            ขุนคีรียอมรับไม่มีหนทางเปลี่ยนใจบิดา...สังหรณ์ร้ายในใจ ไม่มีน้ำหนักเท่าเหตุผลที่พ่อยกขึ้นมาโต้แย้งเลย




--------------- ------------ --------------




            นักมวยคู่ต่อสู้คืนนี้ไม่ใช่คนไทย ลักษณะลูกผสมจีนกับแขก ร่างสูงหนาผิวขาวกล้ามแขนเป็นมัด ขาใหญ่แข็งแรง เอวหนาช่วงล่างมั่นคง ดวงหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึก ดูเผิน ๆ คล้ายเครื่องจักรสังหารที่ยังไม่เปิดเครื่องทำงาน

            ดวงตาหลุบต่ำเย็นชา ยามเงยหน้าสบกันไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ขุนคีรีสัมผัสชัดเจนว่านี่คือคู่ต่อสู้ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยเจอ

            ขณะนักมวยหนุ่มกำลังเข้าไปเตรียมตัวในห้องพัก พบ ‘บิ๊กเพลิง’ อดีตคู่กรณียืนยิ้มรออยู่ก่อน

            “คืนนี้พ่อเลี้ยงกับ ‘คุณลุง’ ไม่มาดูคุณขุนคีรีขึ้นเวทีหรือครับ” น้ำเสียงสุภาพแววตาซ่อนนัย

            “ครับ” ตอบสั้น ๆ พลางมองเป็นเชิงถามอีกฝ่ายมีธุระอะไร

            “หวังว่าการชกคืนนี้จะเป็นไปอย่างยุติธรรมนะ” อีกฝ่ายพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “ครับ” ขุนคีรีตอบสั้น ๆ อีกครั้ง แววตากลับฉายรอยหมิ่นหยาม

            ...ใครกันแน่เป็นฝ่ายจ้างล้มมวยก่อน...

            บิ๊กเพลิงอ่านแววตาออก รอยยิ้มยังไม่คลายจากใบหน้า

            “ผมแค่มายืนยันว่าคืนนี้ไม่มีการตุกติกแน่ แต่อยากฟังกับหูว่า...ถ้าคุณขุนคีรีเจ็บตัว เป็นอะไรขึ้นมา คนของผมจะไม่เดือดร้อน”

            วาจาฝ่ายตรงข้ามเชื่อมั่นคนของตนเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ นักมวยหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ

            “พ่อกับลุงผมเป็นลูกผู้ชายพอ...รู้ว่าอะไรอยู่ในเกม อะไรอยู่นอกเกม”

            นัยน์ตาฉายประกายกล้า ตวัดฉับคล้ายมีดคมกริบก่อนเดินเข้าห้องพัก บิ๊กเพลิงถอนใจโล่งอก รอยยิ้มหมิ่นเย้ยปรากฏตามหลัง

            นักมวยที่ ‘ได้รับ’ มาคืนนี้ไม่เคยแพ้ใคร อีกทั้งก่อนขึ้นเวทีได้ศึกษาการชกมวยขุนคีรีอย่างละเอียด สามารถหาวิธีเอาชนะได้

            นักเลงใหญ่กลัวอยู่ข้อเดียว เมื่อ ‘ถลุง’ นักมวยมาดเซอร์จนน็อคบนเวทีสำเร็จ พ่อกับลุงอีกฝ่ายจะส่งคนมา ‘ถล่ม’ แก๊งตนจนเหลือแค่ชื่อ

            พอได้คำยืนยันเช่นนั้นค่อยคลายใจ เตรียมเงินก้อนใหญ่หวังคืนทุนจากที่พลาดไปคราวก่อน




--------------- ------------ --------------




            หัวค่ำ

            รถยนต์คันใหญ่แล่นบนถนนนอกเมือง สองข้างทางบางช่วงเป็นที่โล่งเปลี่ยว จุดหมายปลายทางเป็นห้องอาหารริมแม่น้ำกึ่งรีสอร์ต เหมาะแก่การพบปะพูดคุย ‘เจรจา’ กับบุคคลสำคัญ พ้นสายตานักข่าว พวกสอดรู้ทั้งหลาย

            พ่อเลี้ยงบุญชัยนั่งเบาะหลังคู่กับ ‘แดน’ คนสนิทมือรองจากเข้ม ด้านหน้าเป็นคนขับรถ กับ ‘ปราบ’ มือปืนประจำตัวนั่งเบาะข้าง คอยติดตามคุ้มครองตามหน้าที่

            “รถคันหลังใช่พวกเราหรือเปล่า เห็นตามมานานแล้ว” เอ่ยถามลอย ๆ ทำให้ลูกน้องเหลือบไปดูแวบหนึ่งก่อนตอบ

            “ใช่ครับ” ปราบ...มือปืนตอบ คาดไม่ถึงในความหูไวตาไวผู้เป็นนาย

            “ตามมาทำไม ใครสั่ง”

            “พี่เข้มครับ” แดนรีบอธิบาย “สั่งให้พวกมันคอยตามคุ้มครองพ่อเลี้ยงทั้งขาไปขากลับ”

            “กูมาคุยกับรัฐมนตรี ไม่ได้ไปทะเลาะกับใครที่ไหน ห่วงไม่เข้าเรื่อง” ปากบอกอย่างนั้น ในใจเกิดความระแวดระวังโดยอัตโนมัติ

            “พี่เข้มไม่ได้มาด้วยเลยเป็นห่วง โทรบอกผมแล้วว่าคืนนี้จะรีบขึ้นเครื่องกลับมา อาจรอรับพ่อเลี้ยงหลังอาหารมื้อนี้ทันครับ”

            “อือ” เอ่ยวาจารับทราบ พอใจในความไม่ประมาท เอาใจใส่ของเด็กที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก

            ไม่นานรถแล่นเข้าในเขตรีสอร์ต ผ่านสวนหย่อม ต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายอย่างมีศิลปะ โคมไฟถนนตั้งเป็นระยะส่องสว่างสวยงาม

            เบื้องหน้าเป็นร้านอาหารสร้างเป็นสัดส่วนแยกกับที่พัก เรือนรับรอง สังเกตรถยนต์ที่จอดรออยู่ก่อนพอคาดเดาได้ว่าบัณฑิต...คนกลางพร้อมผู้ติดตามรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนรถยนต์รัฐมนตรียังมาไม่ถึง

            ทันทีที่ลงจากรถ พ่อเลี้ยงบุญชัยพบชายวัยสามสิบเศษ ร่างผอมสันทัดท่าทางคล่องแคล่ว กำลังค้อมไหล่ยกมือไหว้ด้วยกิริยามีมารยาท

            “สวัสดีครับพ่อเลี้ยง”

            “คุณเจตน์...” ฝ่ายเพิ่งมาถึงจดจำเลขาคนสนิท มือขวาประธาน ‘เกรทนภากรุ๊ป’ แม่นยำ “มาถึงนานหรือยัง”

            “เพิ่งมาถึงสักครู่นี้เองครับ” ตอบด้วยรอยยิ้มฉาบบนใบหน้า “คุณบัณฑิตกำลังรอพ่อเลี้ยงอยู่ในห้องรับรองวีไอพี...ตามผมมาได้เลย”

            จบวาจาก็ผายมือเดินนำหน้าอย่างรู้มารยาท พ่อเลี้ยงบุญชัยเดินตามโดยมีแดนเคียงข้าง ปราบคอยตามห่าง ๆ ระหว่างทางเลขาฯ ประธานเกรทนภาฯ ก็รายงานเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการทราบโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

            “ผมโทรเช็กกับเลขาฯท่านรัฐมนตรีแล้ว ตอนนี้รถเพิ่งลงจากทางด่วน น่าจะตามมาถึงที่ร้านภายในสิบห้าถึงสามสิบนาทีนี้ครับ”

            “ขอบใจนะ”

            ตอบพลางนึกชื่นชมความ ‘เป็นงาน’ ของอีกฝ่ายจนอดคิดไม่ได้...ถ้าต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามกับบัณฑิต โดยมีคนสนิทผู้นี้คอยชักใย วางแผน นับว่าเป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อยจริง ๆ

            ประตูห้องรับรองวีไอพีเปิดออก พ่อเลี้ยงบุญชัยก้าวเข้าไปภายใน รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญศึกใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP