ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ชอบดูซีรีส์และติดตามศิลปินมากจนจิตใจฟุ้งซ่าน ควรทำอย่างไร



ถาม – ดิฉันชอบดูซีรีส์ (
series) และหลงใหลศิลปินมากๆ
จนรู้สึกว่าจิตมัวเมาเหมือนมีม่านหมอกฟุ้งไปหมด
ควรฝึกกับช่วงจิตเหวี่ยงไปมาแบบนั้น หรือเลิกเสพอะไรแบบนี้ไปเลยคะ


เราเป็นฆราวาส ไม่มีข้อห้ามในเรื่องการเสพความบันเทิง
จริงๆ แล้วความบันเทิงมันเป็นสิ่งที่ติดตัวกับมนุษย์เมืองคนเมืองที่อยู่ในยุคไอทีนี้
ถ้าหากว่าอยู่ในเมืองแล้วเราไม่ได้เสพความบันเทิงเลย
เหมือนกับเราแปลกแยกกับคนในสังคมเขา คุยกับคนในสังคมเขาไม่รู้เรื่อง
หรือต่อให้เราไม่เข้าหาความบันเทิง บางทีความบันเทิงก็เข้ามาหาเราเอง
อย่างเดินไปป้ายรถเมล์เจอโฆษณา เจออะไรที่มันเย้ายวน
เจออะไรที่มันยั่วยุให้ตำหูตำตาให้เกิดราคะบ้าง เกิดโทสะบ้าง หรือเกิดโมหะเพิ่มขึ้นบ้าง
เพราะฉะนั้นถ้าเราหลีกเลี่ยงจากความเป็นคนเมืองที่ต้องเสพความบันเทิงไม่ได้
เราหาประโยชน์จากมันก็แล้วกัน



เวลาที่เราดูซีรีส์ คนที่ดูซีรีส์ ปฏิบัติธรรมด้วยแล้วดูซีรีส์หรือดูหนัง
จะสั้นจะยาวอย่างไรก็แล้วแต่ จะพบความแตกต่าง จะมีมุมมองที่แตกต่าง
อย่างตอนเด็กๆ ตอนที่ไม่มีสมาธิเลย ตอนที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเกี่ยวกับการเจริญสติอยู่เลย
เราจะพบว่าทุกครั้งที่ดูซีรีส์อะไรมันๆ ดูหนังอะไรที่มันบันเทิงมากๆ เร้าใจมากๆ
แล้วทำให้เราอิน (
in) เข้าไปกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นผิดหวังสมหวัง
ไม่ว่าจะเป็นเคียดแค้นหรือว่าอยากให้อภัย
จิตของเราถูกจูงไปตามตัวละครหมดเลย
พูดง่ายๆ นักประพันธ์หรือว่าผู้กำกับเขากำหนดให้ทิศทางของหนังไปแบบไหน
ใจเราก็ไปแบบนั้นตามไม่ว่าจะขึ้นฟ้าหรือลงเหว


เสร็จแล้วพอดูจบคุณจะสังเกตได้
ตอนที่ยังไม่ได้ทำสมาธิ ยังไม่ได้มีการเจริญสติอะไรเข้ามาช่วย
ใจมันจะมีอาการหมุนๆ หมุนๆ เหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่กลางพายุที่หาทางออกไม่เจอ
บางทีต้องหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาใหม่ มันถึงจะหายหรือว่ามันถึงจะทุเลาเบาบางลง
หรือบางคนหนักกว่านั้น ละครบางเรื่องมันจบไปแล้วสามวัน
แต่ใจเรายังเมามันอยู่ มันยังอิน มันยังมีความรู้สึกไม่จบตามละคร
ในหัวปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ในอกมันมีอะไรม้วนๆ อยู่ไม่เลิก
ตรงนี้มันก็เป็นจุดสังเกตนะ ถ้าเราทบทวนไป
ตอนที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม มันจะมีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น



ทีนี้พอเรามาเจริญสติหรือว่ามีการทำสมาธิ
สิ่งที่ต่างไป มุมมองที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มันเกิด มันจะบอกเราได้
ว่าตอนที่เราดูหนังจบไม่ว่าจะสนุกขนาดไหน
ถ้าเรารู้สึกได้ว่ามีอะไรมันพันๆ อยู่ในหัว แล้วเราไม่ปล่อยให้มันม้วนตลบ
หรือว่ากลายเป็นคลื่นพายุปั่นป่วนแบบแต่ก่อน นี่แสดงว่าสติของเราดีขึ้น
จริงๆ ไม่ต้องเจริญสติก็ได้ อย่างถ้าตอนเด็กหรือตอนวัยรุ่น
คนคนหนึ่งอาจจะปล่อยใจตามละครหรือหนังเต็มที่เลย
แต่พอโตขึ้นทำงานทำการ คือผูกใจไว้กับเงิน หรือว่าตำแหน่งหน้าที่การงาน
หรือว่าชื่อเสียงมากกว่าสิ่งบันเทิงอะไรทั้งหลาย
แค่นี้ดูหนังดูละครจบ ก็จะทำให้เหมือนกับมีความรู้สึกคล้ายกันตื่นขึ้นมาจากฝัน
เมื่อกี้ฝันไปเต็มที่เต็มเหนี่ยวเลย พอตื่นจากฝันแล้ว เออ ผ่านๆ ไป
แล้วก็กลับมาทำงานทำการ หรือว่าสนใจกับเงิน กับชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่กันต่อ
นี่อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นสติแบบโลกๆ เหมือนกัน ที่ทำให้เกิดมุมมองความแตกต่างภายใน



แต่ถ้าเป็นนักเจริญสติ จริงๆ แล้วเราสามารถที่จะมองตัวเองได้เลย
ว่าใจของเราอยู่กับการเจริญสติมากน้อยแค่ไหน
ถ้าหากว่าอยู่กับการเจริญสติอยู่เรื่อยๆ มันจะมีอัตโนมัติขึ้นมา
แม้กระทั่ง ณ เวลาที่เรากำลังดูอยู่ แล้วเกิดอาการอินในบัดนั้นเลย
โอ้โห
! อินขนาดโมโหแทนตัวละคร อยากจะไปบีบคอไอ้ตัวร้าย
หรือว่าบางทีเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยมีตัวร้ายนะ พระเอกกับนางเอกนี่เป็นตัวร้ายเสียเอง
คือเราอยากจะไปเค้นคอว่าทำไมพระเอกมันทำแบบนี้ ทำไมนางเอกไม่ตัดสินใจอย่างนี้นะ
พออินมากเกินไปราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริงของตัวเอง
แล้วเกิดสติรู้ขึ้นมาเป็นอัตโนมัติ ว่าแบบนี้นี่จิตมันพลาดไปแล้ว

มันเป็นอุปาทานซ้อนอุปาทานแล้ว
อุปาทานในกายใจนี้ไม่พอ ตัวที่มันเป็นของจริงอยู่นี่
เราตั้งใจจะออกจากอุปาทานนี้อยู่แล้ว
ดันไปเจออุปาทานที่เกิดจากหนังละครมันยิ่งซ้อนหนักเข้าไปอีก
แล้วยิ่งหลงได้เท่ากันหรือบางทีหลงหนักกว่า
บางคนแค้นตัวละครมากกว่าที่จะแค้นคนในชีวิตจริงเสียอีก บางคนอินขนาดนั้นนะ
เพราะว่าบางทีชีวิตบางคนเจอแต่แบบคนธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร
แต่ตัวละครมันทำเดือด ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับพลุ่งพล่าน


ตรงนี้เราก็สามารถใช้เป็นมิเตอร์ (meter) บอกได้ว่าเวลาที่จิตมันหลงไป
หน้าตาของโมหะ หน้าตาของความหลงที่มันปักดิ่งแน่วเข้าไป มันเป็นแบบนี้
เราสามารถเห็นได้ ณ เวลาที่ดูนั่นแหละ
คือไม่ได้ทำให้ความสนุกมันลดลงนะ แต่เหมือนกับชีวิตประจำวันที่เราเจริญสติ
มันก็มีความอินเข้าไปกับการที่มีใครมาด่าหรือมีใครมาชม ไม่แตกต่างกัน
ประเด็นของการเจริญสติคือรู้ว่ากำลังเกิดตัวโมหะ
หรือว่าตัวโลภะ โทสะ หรือว่าราคะที่มันเขมือบจิตไปทั้งดวงเต็มๆ
เราไม่ปล่อยให้มันเกิดนาน เรามีสติเข้ามารู้

แล้วก็เห็นว่าราคะยังมีอยู่ในจิตไหม โทสะยังมีอยู่ในจิตไหม
โมหะยังห่อหุ้มจิตอยู่ไหม หรือว่าโมหะมันสลายตัวไปแล้ว

อันนี้ถ้าเราฝึกระหว่างดูมันจะไม่ทำให้เสียอรรถรส
แล้วมีผลดีคือพอดูจบเราก็กลับมาสำรวจตัวเองซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ว่ายังมีความปั่นป่วนมากหรือน้อยแค่ไหน
เราจะพบเลยนะตอนที่เราดูไปด้วยแล้วมีสติรู้ไปด้วย
พอดูจบมันจะไม่ถูกความฟุ้งซ่านเล่นงานหนักมาก


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP