วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ทางยมทูต ๒๘
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ทว่า...ปาฏิหาริย์สามารถเกิดได้หากเหตุและผลพอเพียง...ผู้ชายคนหนึ่งรีบบิดมอเตอร์ไซค์เร่งสุดกำลังฝ่าการจราจรอันหนาแน่นมาทันทีที่ได้รับรายงานจากสัมภเวสีรอบบ้าน
พลั่ก...ตุ้บ...หมัดลุ่น ๆ ซัดเต็มเหนี่ยวผู้ล่ารายแรกล้มคว่ำ มือกระชากรายที่สอง รายที่สามออกจากตัวหญิงสาวด้วยแรงโทสะ
พวกมันรู้ว่ามีแขกไม่รับเชิญก็ไม่แตกตื่นลนลาน หันมารับมือชายหนุ่มผมยาวในเงามืดเต็มกำลัง แยกย้ายจู่โจมสามต่อหนึ่งอย่างมืออาชีพ รู้จังหวะเข้าขากันดี
น่าเสียดาย...คู่ต่อสู้คือขุนคีรี...นักมวยใต้ดินผู้มีสถิติชนะเกือบทุกแมตช์
นักมวยหนุ่มใช้เวลาไม่นานสามารถสยบคู่ต่อสู้ทั้งสาม พวกมันบอบช้ำสาหัส แขนหัก ขาเดี้ยง หน้าช้ำบวมปูดหัวคิ้วแตก เลือดกบปากแต่ยังไม่หมดสติ พยายามกระเสือกกระสนลากขาหนีไม่ยอมโดนจับส่งตำรวจ
ขุนคีรีไม่สนใจติดตาม มองหาหญิงสาวด้วยใจเป็นห่วง พบเจ้าตัวซุกร่างมุมห้อง ขดตัวเป็นก้อนกลม กำหมัดแน่นพยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบข้างเพื่อติดตามสถานการณ์
พอเห็นเช่นนั้นค่อยโล่งอกที่เธอไม่ขาดสติ แตกตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ คุกเข่าห่างจากหญิงสาว ไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้กลัวเธอตกใจ บัวบุษรายามนี้เหมือนนักสู้หลังชนฝา ต่อให้มองไม่เห็นก็พร้อมฟาดฟันสุดกำลัง หากใครแหลมเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ
เสียงการต่อสู้เงียบลงแล้ว ผู้ล่าต่างหลบเร้นหนีหาย ในบ้านเหลือแขกไม่รับเชิญอีกหนึ่งคน เสียงลมหายใจดังซัดอย่างคนเพิ่งออกแรงหนัก แต่มีจังหวะสม่ำเสมอไม่หอบถี่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย
กลิ่นกาย จังหวะหายใจ และคลื่นความรู้สึกบางอย่างบอกว่าผู้มาใหม่ไม่ใช่บิดาตนเอง บัวบุษราเอ่ยปากถามเบา ๆ ด้วยทราบว่าคนนั้นไม่มีเจตนาร้าย
“ใคร...คะ...ใช่พ่อหรือเปล่า”
“บัวบุษรา...” ขุนคีรีเอ่ยปากเบา ๆ หวังให้เธอคลายกังวล
คำเรียกขานสั้น ๆ เสมือนสายฝนอันชุ่มฉ่ำพร่างพรมลงมากลางดินหน้าแล้ง ความหวาดกลัวที่ถูกเก็บกดด้วยจิตใจเข้มแข็งมาตลอดพังทลายลงมาทันที
“คุณผู้ช่วย...” บัวบุษราหลุดวาจาแล้วโผเข้ากอดตามทิศทางต้นเสียงอย่างลืมตัว
สิ่งที่สัมผัสไม่ใช่อากาศว่างเปล่า เป็นชายหนุ่มแข็งแรง ร่างเพรียวกล้ามเนื้อแน่น ลมหายใจอุ่น ๆ เป่าระต้นคอ สัมผัสปลายผมยาวของเขาตรงไหล่ หน้าอกกระเพื่อมตามจังหวะเต้นหัวใจ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่มายา ไม่ได้เกิดจากจินตนาการใด ผู้ชายมีเลือดเนื้อจริง ๆ ช่วยหล่อนพ้นจากวิกฤตเลวร้ายเฉียดฉิว
แรกที่โดนร่างบอบบางโผเข้ากอด ขุนคีรีไม่ทันตั้งตัวชะงักงันชั่วขณะ จนกระทั่งเธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเต็มที่ปลดปล่อยความหวาดกลัว ความอ่อนแอในใจออกมาจึงได้สติ โอบกอดเบา ๆ มือลูบหลังปลอบโยนนุ่มนวล หัวใจสะทกสะท้อนตำหนิตัวเองว่าควรมาให้เร็วกว่านี้
“ไม่เป็นไร...ผมอยู่นี่แล้ว...คุณปลอดภัยไม่ต้องกลัว...”
วาจาปลอบประโลมจากหัวใจถ่ายทอดถึงจิตใจอีกฝ่ายชัดเจน หญิงสาวอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น แข็งแรงดังปราการอันมั่นคง ซึมซับทุกหยาดหยดน้ำตา รับฟังทุกเสียงสะอึกสะอื้น สลายความหวาดกลัวอ่อนแอในใจ ช่วยให้ฟื้นคืนจากอาการเสียขวัญ รู้สึกราวกับโลกหยุดหมุนชั่วขณะ
ทั้งสองอยู่ในลักษณะนี้นานเท่าใดไม่ทราบ ความเข้มแข็งของชายหนุ่มแทรกซึมสู่จิตใจเธอช้า ๆ มันแฝงด้วยความห่วงใย อาทร อ่อนหวานจนไม่อยากคลายจากอ้อมกอดนี้เลย
ชั่วเวลานั้น ‘วิญญาณดูต้นทาง’ กระซิบบอกเบา ๆ
“ดาบพนากับตำรวจใกล้มาถึงแล้ว”
ขุนคีรีจึงคลายอ้อมกอด บอกต่อหญิงสาวด้วยวาจานุ่มนวล
“อีกเดี๋ยวพ่อคุณกับตำรวจจะมาถึง...ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะ”
ชายหนุ่มกำลังจะผละออก ปลายนิ้วเธอรั้งแขนเสื้อเขาไว้
“คุณผู้ช่วยจะไปไหน...” ถามเช่นนี้เพราะไม่รู้จะหาวิธีใดรั้งเขาไว้
“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ไม่ไกลคุณนักหรอก” ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มและใบหน้าเธอเบา ๆ “อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นอีกนะ ขนาดมืด ๆ แบบนี้ยังดูไม่ได้เลย”
จบวาจาด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้อให้คลายใจ
บัวบุษราพยายามจะเรียกรั้งเขาอีกครั้ง ประตูบ้านก็เปิดออก เสียงเรียกหาพร้อมพยายามเปิดสวิตช์ไฟดังตามมา
“บัว...บัว...อยู่ไหนลูก...”
คัตเอาท์ไฟถูกยกขึ้น แสงไฟสว่างทั่วบ้าน ดาบตำรวจพนาพบลูกสาวนั่งหลังพิงข้างฝาห้องนั่งเล่น เสื้อถูกฉีกขาดเห็นชั้นใน กางเกงที่สวมไม่โดนปลด ไม่ถูกล่วงละเมิด ใบหน้าบวมช้ำ ผมยาวระรุ่ยร่าย ไม้เท้าเหล็กถูกหักทิ้งใกล้ ๆ แสดงว่าเจ้าตัวต่อสู้เอาตัวรอดสุดกำลังแค่ไหน
คนเป็นพ่อเห็นแค่นี้ยังเข่าอ่อนทำอะไรแทบไม่ถูก เข้าไปหาลูกอย่างสงสาร
“บัว...พ่อมาแล้ว...ขอโทษที่มาช้า...เป็นอะไรมากมั้ยลูก” เสียงสั่นพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยากให้ลูกขวัญเสีย
แทนที่หญิงสาวจะโผเข้ากอด ร้องไห้ฟูมฟาย กลับยิ้มปลอดโปร่งมีสติ
“ไม่เป็นไรค่ะบัวปลอดภัย พวกมันเพิ่งหนีไปไม่นาน อาจตามจับทัน”
พนาทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเจอลูกสาวในลักษณะนี้ ทั้งที่สภาพร่างกายบอบช้ำ เจ็บตัวไม่น้อยยังยิ้มได้ราวกับผ่านเหตุร้ายแบบสบาย ๆ
สิ่งช่วยคลี่คลายสถานการณ์คือเสียงรถหวอตำรวจดังใกล้เข้ามา และคุณป้าข้างบ้านที่ตามดาบตำรวจมาติด ๆ เห็นสภาพหญิงสาวแบบนั้นก็รีบไปหาเสื้อคลุมยาวมาช่วยปกปิดเรือนร่าง
“ขอโทษจริง ๆ นะหนูบัว...ป้าได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือแล้ว แต่กลัวจนขาสั่น ยิ่งเห็นไฟดับทั้งบ้านอย่างนั้นยิ่งก้าวไม่ออก ทำได้แค่โทรเรียกตำรวจขอให้มาช่วยเร็ว ๆ พอมีแรงก็มายืนเกาะรั้ว ตั้งใจตะโกนขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านหน้าบ้าน แต่ไม่มีใครเลยจนดาบแกกลับมานี่แหละ”
บัวบุษรายิ้มเข้าใจ ตอบกลับน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
“ดีแล้วค่ะที่ป้าไม่เข้ามา พวกผู้ร้ายมันน่ากลัวจริง ๆ ถ้าป้าเป็นอะไรขึ้นมาบัวคงรู้สึกผิดน่าดู”
พอเห็นลูกสาวพูดจาปกติ ไม่มีร่องรอยเสียสติ หรือหลุดโลกใด ๆ พ่อจึงกล้าเข้าไปโอบกอดเบาใจ
“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก...พ่อจะไม่ให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก”
“ค่ะพ่อ” หญิงสาวกอดตอบแล้วฉุกใจเอ่ยถามป้าข้างบ้านที่ยังไม่ไปไหน
“ตอนป้ายืนเกาะรั้ว ไม่เห็นคนเข้าออกบ้านบัวเลยหรือคะ”
“ไม่มีเลยจ้ะหนูบัว หมาสักตัวยังไม่ผ่าน ป้าไม่รู้จะทำยังไง บ้านแถวนี้ก็ปิดกันหมดเลย”
บัวบุษราเริ่มครุ่นคิดสงสัย ไม่มีใครเห็นการเข้ามาและออกไปของผู้ช่วยขุนคีรี ทั้งที่อ้อมกอดอบอุ่นนั้นบอกถึงเลือดเนื้อมนุษย์ ลมหายใจผะแผ่ว เสียงเต้นของหัวใจ คำพูด เสียงหัวเราะหยอกล้อก่อนบิดาเข้าบ้านเป็นของจริง
ทั้งหมดล้วนยืนยันว่าเขามีตัวตน ไม่ใช่อยู่คนละภพ
ต่อให้เชื่อว่ายมทูตสามารถแปลงร่างปรากฏตัวให้ผู้คนเห็น ติดต่อสื่อสารกันได้ แต่ขนาดมีเลือดเนื้อชัดเจนคนตาบอดสัมผัสละเอียดทุกอณูเช่นนี้...ไม่น่าใช่แค่การ ‘แปลงร่าง’ แล้วกระมัง
--------------- ------------ --------------
ขณะรถตำรวจเปิดไซเรนแดงวะวาบหน้าบ้านดาบตำรวจพนา ผู้คนบริเวณใกล้เคียงทยอยมาสืบเสาะถามไถ่เหตุการณ์ ขุนคีรีไม่ไปไหนซุ่มยืนในเงามืดห่างจากบ้าน และเหล่าไทยมุงพอสมควร
คู่สนทนาเป็นดวงวิญญาณชายชราที่คอยดูแลรอบบ้านหญิงสาว
‘ปู่ทองก้อน’ แต่งกายโบราณประมาณร้อยกว่าปีก่อน ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ ปกติวนเวียนรอบหมู่บ้าน ด้วยความที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ทั้งหมดจึงเกิดอาการ ‘ติดยึด’ จนไปไหนไม่ได้ เฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจทำอะไรได้
ขุนคีรี ‘หายตัว’ ทั้งตอนเข้าและออกจากบ้านโดยไม่มีใครเห็น เพียงแต่เสียเวลาปลอบหญิงสาวนานไปหน่อยจึงไม่อาจติดตามคนร้ายทัน
“พวกมันหนีไปทางไหนแล้วน่ะปู่” ผู้ช่วยยมทูตถาม
“แอบหลบออกทางด้านหลัง ป้าที่เกาะรั้วหน้าบ้านเลยไม่เห็น...ไม่เหมือนท่านที่สามารถหายตัวเข้า - ออกทางหน้าบ้านได้”
“สภาพบอบช้ำขนาดนั้นไม่น่าไปได้ไกล ตำรวจอาจตามจับทัน”
“ไม่หรอกท่าน” ผู้เฝ้ามองค้าน “มันมีพวกช่วยเหลือ พาขึ้นรถลัดเลาะออกซอยอีกด้าน ป่านนี้หนีไปไกลแล้ว”
ขุนคีรีถอนใจคิดทบทวนหาตัวการเบื้องหลัง ก่อนเอ่ยปากถาม
“รถที่พวกมันหลบหนี มีตัวคนบงการอยู่ด้วยมั้ย”
“ตัวการใหญ่ไม่อยู่ มีแค่คนติดต่อรับคำสั่ง”
“คนนั้นรายงานให้นายมันรู้หรือยัง”
“มันโทรรายงานทันทีที่เห็นสภาพลูกน้องตัวเอง”
“พวกมันคุยกันว่ายังไงบ้าง”
“คนรายงานแจ้งว่าแผนการไม่เป็นไปตามเป้า ลูกน้องทำร้ายข่มขืนผู้หญิงไม่สำเร็จ มีคนแปลกหน้ามาช่วยก่อน”
“ทางปลายสายบอกว่ายังไง”
“มันถามรายละเอียดว่าลูกน้องสามคนนั่นทำอะไรไปบ้าง พอได้ยินก็หัวเราะบอกว่า...ดี...แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้ตำรวจนั่นแค้นพลเทพแทบกระอัก...รับรองมันต้องตามกัดเจ้าพ่อค้ายาฯชนิดไม่ตายไม่เลิกราแน่...”
“ปู่รู้มั้ย...คนปลายสายเป็นใคร”
“กระผมไม่สามารถเห็นใบหน้า ได้ยินแค่ทางนี้เรียกมันว่า ‘คุณเจตน์’”
ลมหายใจถูกระบายยาวเหยียด เรื่องราวกระจัดกระจายเริ่มปะติดปะต่อเป็นรูปร่างทีละน้อย
--------------- ------------ --------------
ภาพจากกล้องวงจรปิด ถ่ายได้ตั้งแต่ผู้บุกรุกทั้งสามลอบเข้ามาสับสวิตช์ไฟ บัวบุษรารู้สึกตัวรีบไปซ่อนใต้บันได พวกมันเสียเวลาตามหาครู่หนึ่งก่อนเจอตัว
จากนั้นเป็นภาพการสู้ยิบตาของหญิงสาวกับชายฉกรรจ์ทั้งสาม คนเป็นพ่อเห็นแล้วอยากเบือนหน้าหนี นึกไม่ถึงลูกสาวจะมีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ ไม่แตกตื่นลนลาน ต่อให้มองไม่เห็นก็ยังรู้จักหาวิธีป้องกันตัว กระทั่งถึงตอนที่เธอพลาดท่าเสียที ภาพในกล้องก็ดับวูบไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์หลังจากนั้น
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่ากล้องเกิดปัญหาอะไร เลยตอบไม่ได้ว่าใครมาช่วยบัวเอาไว้”
ดาบตำรวจพนาอธิบายให้กับไทธัต นายตำรวจหนุ่มตามมาถึงบ้านหลังทราบเหตุไม่นาน
“น้องบัวว่ายังไงบ้าง ดาบซักถามละเอียดมั้ย”
“บัวมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ตอนกำลังพลาดท่ารู้สึกเหมือนคนร้ายถูกกระชากไปทีละคน เลยรีบถดตัวไปหลบชิดผนัง ได้ยินแค่เสียงต่อสู้พักหนึ่งก่อนจะเงียบไป แล้วไม่นานผมก็เข้ามาเรียกหาเขานั่นแหละ”
ไทธัตถอนใจเบา ๆ เหลือบตามองชั้นบนบ้านนายตำรวจอาวุโส
“ตอนนี้น้องบัวเป็นยังไงบ้าง ขวัญเสียมากมั้ย”
พ่อลูกสองพยักหน้า แววตาดีขึ้น
“เขาสติดีจนผมแปลกใจ ตอนนี้ให้พรขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนน้องแล้ว น่าจะเพลียจนหลับทั้งคู่นั่นแหละ”
ค่ำคืนอันวุ่นวาย กว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ดึกโข หลังสองสาวพี่น้องขึ้นไปนอนเรียบร้อย พ่อกับนายตำรวจหนุ่มจึงมานั่งคุย ดูภาพวงจรปิดปรึกษากันในห้องทำงานเงียบ ๆ
“ดีที่ดาบแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้าน เราได้ภาพใบหน้าคนร้ายอย่างนี้คงล่าตัวการไม่ยาก”
“ผมดูหน้าพวกมันทุกคนแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นพวกไม่มีประวัติอาชญากรรม อาจสืบยากหน่อย”
ตำรวจอาวุโส ผ่านงานไม่ต่ำกว่าสามสิบปีเรื่องจดจำ ดูลักษณะใบหน้าคนร้ายมักเป็นความชำนาญเฉพาะตัว การคาดคะเนนี้ไม่คลาดเคลื่อนนัก
“ไม่ยากหรอกดาบ อย่างน้อยก็มีผู้เข้าข่ายต้องสงสัยอยู่คนนึงแล้ว”
“พลเทพ” พนาตอบโดยไม่ต้องคิด “มันคงจงใจใช้วันเผาศพลูกมาบังหน้า อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องเรื่องนี้แน่ ๆ”
“ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องหาหลักฐานมัดตัวจนได้ ธนนท์ถูกวางยา จอห์นหลบหนีจากเซฟเฮ้าส์ กระทั่งน้องบัวโดนทำร้ายแบบนี้ แสดงชัดเจนเลยว่ามันต้องการข่มขู่เรา...ไม่ว่าธนนท์จะให้ข้อมูลอะไรกับดาบก่อนตาย ถ้าสิ่งนั้นถูกนำไปใช้ ครอบครัวดาบจะตกอยู่ในอันตรายแบบนี้อีกแน่...”
วาจานั้นไม่ใช่การคาดเดาเล่น ๆ พนาเห็นด้วยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เขาเอ่ยวาจาสำคัญ
“ผู้กองช่วยขออนุญาต ‘ผู้การ’ ให้ผมร่วมทีมสืบสวนหน่อยสิ...จำเรื่อง ‘งานใหญ่’ พวกค้ายาที่ผมพูดวันก่อนได้มั้ย วันนี้ผมเพิ่งได้ข้อมูลล่าสุด อาจเป็นประโยชน์ในการวางแผนจับเจ้าพ่อแบบคาหนังคาเขา”
“ดีเลยดาบ...เรื่องขออนุญาตให้ร่วมทีมไม่ยากหรอก ผู้การท่านโอเคอยู่แล้ว แต่ดาบจะไม่มีเวลาดูแลน้องบัว น้องพรนะ เดี๋ยวจะห่วงหน้าพะวงหลังเปล่า ๆ”
“ไม่เป็นไร เห็นการเอาตัวรอดของบัวคืนนี้ ผมเชื่อว่าลูกเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้...แทนที่เราจะเป็นฝ่ายตั้งรับให้พวกมันเชือดเฉือนตามใจ สู้เป็นฝ่ายบุกทำลายรัง ลากคอมันเข้าคุกตัดปัญหาไม่ดีกว่าเหรอ”
ดวงตานายตำรวจอาวุโสทอประกายกล้า ความแค้นเคืองแปรเป็นพลังจุดไฟในใจลุกโพลง เขาจะไม่ยอมเป็นเหยื่อให้ลูกสาวใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงแบบนี้อีกต่อไป
--------------- ------------ --------------
เวลาล่วงเลยเที่ยงคืนพลเทพ บุญชัยนั่งคุยกันในห้องทำงานขณะลูกน้องคนสนิทเข้ามารายงานเรื่องสำคัญ
“ลูกสาวดาบพนาถูกทำร้ายในบ้านครับ”
“หือ...” พลเทพขมวดคิ้ว
บุญชัยถามลูกน้องอีกฝ่ายทันที
“เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยดีครับ”
พ่อเลี้ยงถอนใจ โล่งอกแทนลูกชายตัวเอง
“เออ...แล้วเกี่ยวอะไรกับกู” เจ้าพ่อสงสัย
“ตำรวจอาจคิดว่าเป็นคำสั่งท่าน...เพราะดาบพนาเป็นตำรวจคนสุดท้ายที่สอบปากคำธนนท์”
“เฮ่ย...แล้วไม่มีใครคิดบ้างหรือวะ ลูกกูเพิ่งเผากระดูกไม่ทันเย็น จะหาเรื่องทำร้ายใครเวลานี้”
ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าไม่โต้เถียง บุญชัยโบกมือเชิงไล่ให้ออกไปก่อน พอประตูปิดลงจึงพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“ลูกน้องพี่มารายงานแบบนี้ดีแล้ว จะได้เตรียมตัวป้องกัน ผมรู้ที่พี่ไม่ยุ่งกับครอบครัวตำรวจนั่นเพราะผมเคยขอเอาไว้...แต่ยังไงก็ควรจะรู้เขารู้เรา ดาบตำรวจนั่นยังไงก็ไม่ปล่อยให้ลูกสาวตาบอดฟรีแน่ ๆ”
“เออช่างเถอะ คนหวังล้มเจ้าพ่อพลเทพไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอก แต่ก็ยังอยู่มาได้จนถึงวันนี้นี่หว่า” พูดอย่างฮึกเหิมทั้งที่แววตาหม่น อ่อนล้า
คนที่ยืนอยู่จุดเดียวกันมองแล้วเข้าใจ ระบายลมหายใจเบา ๆ ก่อนเปลี่ยนคุยธุระอีกเรื่อง
“อ้อ...ทางเลขาฯ บัณฑิต แจ้งผมแล้วนะว่าจะนัดให้เจอท่านรัฐมนตรีวันศุกร์ที่จะถึงนี้”
พลเทพฟังแล้วเกิดสังหรณ์แปลกชั่วแวบ
“แปลกว่ะทำไมมันไม่บอกพี่ด้วย หรือรู้ว่าศุกร์นี้ทางพี่มีงานใหญ่เหมือนกัน”
บุญชัยไม่ซักถาม ‘งานใหญ่’ พลเทพคืออะไร ต่างฝ่าย ‘รู้’ และไม่ล้ำเส้นกันและกัน
“ผมคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้คงไปนอนที่คอนโด ปรึกษาเข้มเตรียมเอกสารข้อมูล ‘ข้อเสนอ’ จนทางนั้นไม่อยากปฏิเสธให้ได้”
“เออดี” พลเทพพยักหน้า อดไม่ได้ที่จะเตือน ‘น้องชาย’
“ถ้าฝั่งเรามีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย เงินทองจะได้อยู่ที่นี่เต็ม ๆ ไม่ต้องแบ่งใคร...ระวังหน่อยแล้วกัน อาจมีปัญหากับไอ้ปีเตอร์อีกครั้ง เพราะถ้าสร้างกาสิโนฝั่งเราได้ ลูกค้าจะแห่มาที่นี่กันหมด มันคงไม่ยอมง่าย ๆ หรอก”
เจ้าพ่อค้ายา ฯ รู้จัก ‘ปีเตอร์’ เจ้าของบ่อนคู่แข่งที่อยู่ชายแดนอีกฝั่งดี หลังแม่เลี้ยงแสงจันทร์เสียชีวิต สองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความกัน หากพ่อเลี้ยงบุญชัยสามารถเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายฝั่งไทยได้ ย่อมก่อชนวนขัดแย้งครั้งใหม่ซึ่งอาจก่อสงครามอีกรอบ
“กลัวอะไรพี่...ทำธุรกิจแบบนี้มันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว”
บุญชัยพูดใจนักเลง คนเป็นพี่หัวเราะเบา ๆ ดวงตาสองคู่สบกันเข้าใจลึกซึ้ง
ครั้งนี้ขุนคีรีไม่จำเป็นต้อง ‘หายตัว’ แอบฟังความลับเช่นคราวก่อน แค่หลบอยู่เงามืดนอกห้อง ตั้งสมาธิจดจ่อกับกระแสเสียงก็ได้ยินการสนทนาตลอดสาย...เพียงแต่เมื่อรู้แล้ว ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้เลย
บทที่ ๑๗
เช้าวันศุกร์
หลังจากไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านหน้าบ้านหลายวัน เมื่อวันสองวันก่อน ‘คนนั้น’ ค่อยกลับมาวิ่งออกกำลังกายตามปกติอีกครั้ง
วันแรก ๆ ที่ไม่ได้ยินเสียง...บัวบุษรารู้สึกเหมือนขาดบางสิ่งในชีวิต วันต่อมาก็แอบเฝ้ารอ แอบคิดถึง จนหลังเกิดเหตุร้ายคืนนั้น เจ้าของฝีเท้าค่อยกลับมาอีกครั้ง หล่อนยินดีอบอุ่นใจบอกไม่ถูก เหมือนชีวิตถูกเติมเต็มสมบูรณ์
กลับมาครั้งนี้แปลกจากเดิมบ้าง ตรงช่วงผ่านหน้าบ้านจะเปลี่ยนจังหวะเป็นเดินทอดน่องช้ากว่าเคย บางครั้งหยุดยืนชมนกชมไม้ครู่หนึ่งก่อนวิ่งตามปกติ
บัวบุษราสัมผัสความห่วงใย อาทรลอยมากับสายลม...
ลงจากห้องนอนชั้นบนมาถึงห้องรับประทานอาหารติดกับครัว ได้ยินเสียงเพลงคุ้นหูดังจากลำโพงมือถือพี่สาว
...เงานั้นไม่เคยมืดมิด เพราะความหวังดีเธอแทรกในเงา...
...ไม่ยอมเผยหน้า ไม่ปรากฏกาย แต่รักมีให้ไม่เคยเสื่อมคลาย...
...แค่เธอพอใจ อยากอยู่ในเงา ฉันไม่ขัดฝืน ทำได้แค่โอบกอดเธอไว้ในใจ...
“เพลง ‘Shadow’ คนในเงา...ของวงยามาร์...พี่พรโหลดมาฟังแล้วหรือคะ”
“เปล่าหรอก เปิดเอ็มวีในยูทูบน่ะ” พี่สาวตอบขณะตักโจ๊กใส่ชามเตรียมให้น้องสาว
“แหมน่าจะโหลดเพลงสนับสนุนศิลปิน” หยอกล้อไม่จริงจังนัก
“พี่เปิดเอ็มวีเพิ่มยอดวิวเขาก็ได้ประโยชน์เหมือนกันแหละ ตั้งแต่เมย์ มายาวีนางเอกเอ็มวีเสียชีวิต คนก็เข้ามาดูถล่มทลาย ตอนนี้ใกล้จะห้าร้อยล้านวิวแล้วนะ”
“โห...เยอะขนาดนั้นเชียว”
ตอนสัมภาษณ์คราวก่อนได้ข้อมูลว่ายอดวิวเพลง Shadow เพิ่งผ่านหลักร้อยล้านไม่นาน
“ตกใจอะไรจ๊ะ นี่วงยามาร์ บอยแบนด์อันดับหนึ่งนะ แค่แฟนคลับช่วยปั่นยอดวิวนิดหน่อยก็ทะลุร้อยล้านแล้ว ยิ่งมีข่าวแบบนี้กระแสยิ่งแรงเข้าไปอีก ไม่นับตัวเพลงที่ฟังเพราะจริง ๆ แมสระดับสากล แฟนต่างชาติเข้ามาฟังเยอะจนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งหลายประเทศแล้วนะ”
ต่อให้ทำงานด้านสื่อ เป็นดีเจรายการวิทยุ บัวบุษรายังมีข้อจำกัดทางสายตา ทำให้รับรู้ข่าววงกว้างไม่มากเท่าพี่สาว
“นี่โจ๊กนะ...ยังร้อนอยู่” พรไพลินบอกพร้อมเลื่อนชามมื้อเช้าวางตรงหน้า ถามกึ่งชวนคุย “อ้อ...ตอนยามาร์ไปสัมภาษณ์รายการ เขาให้ของที่ระลึกอะไรบ้างหรือเปล่า”
บัวบุษราใช้ช้อนเขี่ย ๆ คนโจ๊กให้หายร้อนก่อนตอบ
“ผู้จัดการวงเขาให้อัลบั้มเพลงพร้อมโฟโต้บุ๊กยามาร์กับทางรายการ - ทีมงานหกชุดได้มั้งคะ”
“ดีจัง บัวได้มาหรือเปล่า พี่ขอเอาไปให้คุณเหมยลี่ได้มั้ย”
หญิงสาวหัวเราะแหะแหะ
“บัวยกให้ทางรายการแจกคนฟังวันนั้นแล้วล่ะ”
พรไพลินถอนใจเสียดาย ไม่แปลกใจการกระทำน้องสาว บัวบุษราน้ำใจกว้างขวางไม่ค่อยหวงแหนอะไรเป็นพิเศษ อัลบั้มเพลงพร้อมโฟโต้บุ๊กที่แฟนคลับแย่งแทบเป็นแทบตายกลับหยิบยื่นง่าย ๆ โดยไม่เสียดาย
“เสียดายจัง ตอนนี้พี่ธัตงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาให้คุณเหมยลี่เลย พี่เลยอยากหาของฝากถูกใจไปให้สักหน่อย”
“เอาใจลูกค้าดีจังเลยนะคะ” บัวบุษราหยอกแล้ววกมายังครอบครัว “อย่าว่าแต่พี่ธัตงานยุ่งเลย พ่อเราก็งานยุ่งกลับบ้านค่ำเหมือนกันนะ”
พูดถึงตรงนี้สัมผัสได้ว่าพี่สาวชะงัก แสดงพิรุธไม่อยากบอกเรื่องงานบิดาในปัจจุบัน
“เออวันนี้บัวมีจัดรายการใช่มั้ย เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ให้พี่หาข้อมูลอะไรเพิ่มมั้ย”
“ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ แล้วตักโจ๊กเข้าปากอย่างเข้าใจ
หลังจากเหตุร้ายคืนนั้น ในบ้านมีการเปลี่ยนแปลงเงียบ ๆ เริ่มจากติดตั้งระบบกันขโมย กล้องวงจรปิดพิเศษ สามารถส่งสัญญาณภาพไปยังสถานีตำรวจใกล้เคียงทันทีที่เกิดการงัดแงะ บุกรุกเช่นคราวก่อน
ทั้งบิดาและพี่สาวต่างผลัดเวรดูแลเธอ ไม่ยอมปล่อยให้อยู่บ้านตามลำพังเช่นเดิม นอกจากนั้นบัวบุษรายังรู้สึกว่าใครบางคนกำลังเป็นห่วง คอยสอดส่องคุ้มครองเงียบ ๆ ไม่ให้คนอื่นทราบ ทำตัวเสมือนอยู่ในเงา...เป็นเงาอันแสนอบอุ่น วางใจได้ทุกครั้งที่ระลึกถึง
ต่อให้นัยน์ตามองไม่เห็น จิตใจกลับกระจ่างสัมผัสคลื่นความอาทร ห่วงใยชัดเจน
‘คนในเงา’ หรือ ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ผู้สร้างปริศนาในใจกำลังคุ้มครองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาอาจเป็นตัวแทนจากยมโลก หรือมนุษย์มีเลือดเนื้อตัวตนเช่นเธอก็ได้...ใครจะรู้
บัวบุษราไม่เร่งร้อนหาคำตอบ เชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าตัวจะเปิดเผยมันเอง
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|