วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๗



way cover














ชลนิล











(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สวดศพคืนสุดท้าย

            แขกร่วมฟังสวดมากกว่าทุกคืน ทั้งยังมีแขกคนสำคัญเพิ่งมาถึงเป็นคืนแรก เป็นนักธุรกิจใหญ่เจ้าของกิจการขนส่ง สายการบินดัง ‘เกรทนภากรุ๊ป’

            นายบัณฑิต...ชายกลางคนร่างท้วมไหล่กว้าง ลักษณะแข็งแรงอย่างคนเคยออกกำลังกาย ใบหน้ามีราศีแบบคนฐานะดี ดวงตาเจิดจ้ามีพลังกระตือรือร้นคล้ายผู้ใหญ่ใจดี ลึกลงไปในนั้นซ่อนรอยดำมืดยากสังเกตเห็น

            เขามากับเลขาคนสนิท...เจตน์...ชายวัยสามสิบเศษ ร่างผอมสันทัด เวลายืนข้างผู้เป็นนายไหล่จะค้อมลงเล็กน้อย ซ่อนรอยฉลาดเฉลียวในแววตา ริมฝีปากหุบสนิทเสมือนเก็บงำความลับมากมาย

            “ขอโทษด้วยนะคุณพลเทพ ผมติดต่องานต่างประเทศเพิ่งกลับมา...เสียใจจริง ๆ หลานแพรไม่น่าอายุสั้นเลย”

            บัณฑิตเข้ามาจับมือทักทายแสดงความเสียใจเจ้าภาพด้วยน้ำเสียงสนิทสนม

            “ไม่เป็นไร ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมฟังสวดด้วยกัน” พลเทพบีบมือตอบตามมารยาท

            “ผมให้เลขาเร่งตารางงาน ยังไงต้องมาให้ทันสวดคืนสุดท้ายให้ได้ ครอบครัวคนกันเองไม่มาได้ยังไง”

            “ขอบคุณที่ให้เกียรติผมขนาดนี้”

            จังหวะนั้นพ่อเลี้ยงบุญชัยพาลูกชายเข้ามาทักทายผู้มาใหม่เช่นกัน

            “คุณบัณฑิต ดีใจที่ได้เจอ...ผมพาลูกชายมาแนะนำให้รู้จักชื่อขุนคีรี”

            ชายหนุ่มยกมือไหว้ก่อนอีกฝ่ายจะยื่นมือให้จับอย่างผู้ใหญ่ไม่ถือตัว

            “โอ้...พ่อเลี้ยงมีลูกชายโตเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้วเรอะ” ทักทายด้วยรอยยิ้ม มือบีบกระชับอย่างคนเจนมารยาทสังคม “ดีจริงจะได้มีคนหนุ่มมาช่วยงาน”

            ขุนคีรีฝืนยิ้มรับ บีบมือตอบตามมารยาทแล้วคลายออกโดยไม่น่าเกลียด ในใจบังเกิดอาการขยะแขยงคล้ายสัมผัสปฏิกูลเน่าเหม็น เหลือบตามองเลขาคนสนิทด้านข้างรู้สึกถึงอาการจับจ้องไม่เป็นมิตรในชั่วแวบแรก

            “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นแหละ” พ่อเลี้ยงบุญชัยตอบพลางยกมือโอบไหล่ลูกชาย “มันก็อยู่ที่ตัวเขาด้วยเหมือนกัน”

            “คนหนุ่มนี่นา มีความคิดเป็นของตัวเอง ผู้ใหญ่อย่างเราบังคับอะไรไม่ค่อยได้หรอก”

            ‘ผู้ใหญ่’ ทั้งสามสนทนาสนิทสนมเป็นจุดเด่นในงาน คนหนุ่มค่อย ๆ ขยับตัวจากวงแขนพ่อแล้วเลี่ยงออกมายืนวงนอก รู้สึกหมดหน้าที่ ‘แนะนำตัว’ แล้ว

            สายตามองนายบัณฑิต ลุงพลเทพ และบิดาตนเองเหมือนพวกเขากำลังเล่นละครฉากหนึ่ง แสดงความคุ้นเคยสนิทสนมให้คนทั่วไปทราบ ‘พันธมิตรสีเทา’ กลุ่มนี้แน่นแฟ้นเพียงใด

            ขุนคีรียังให้ความสำคัญอีกบุคคลหนึ่ง ‘เจตน์’ เลขาคนสนิท ต่อให้ไม่มีดวงตายมทูตก็เห็นถึงความมืดดำเข้มข้นห้อมล้อมรอบตัว

            ยิ่งกระทำตัวเล็ก ๆ เสมือนไร้ตัวตนท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ กลับรู้สึกชายคนนี้น่ากลัวกว่าใคร



            ขณะพยายามสังเกตรายละเอียดเลขาฯ ผู้บริหารใหญ่มากกว่าเดิม ไหล่ก็ถูกสะกิดเบา ๆ

            “มีอะไรหรือพี่เข้ม” หันไปถามเสียงเบา

            “พี่สืบเรื่องศพนายสัตยามาแล้ว”

            “ได้ความว่ายังไงบ้างเผาหรือยัง ตอนนี้อยู่ไหน”

            “เผาแล้ว เดี๋ยวพี่แชร์โลเคชั่นสถานที่ไปให้ในมือถือคุณขุน”

            “ดี...งั้นฟังสวดคืนนี้เสร็จผมจะรีบไปทันทีเลย”

            “อืม...มีเรื่องบางอย่างไม่ตรงกับข้อมูลตอนแรกนะ”

            “ยังไงพี่...”

            “ไปคุยกันนอกศาลาดีกว่า”

            สองหนุ่มหลบมุมคุยกันเงียบ ๆ บริเวณปลอดคนนอกศาลาสวดศพ เรื่องราวถ่ายทอดออกมากระชับไม่เยิ่นเย้อ ผู้ฟังขมวดคิ้วคาดไม่ถึง อดเหลือบตามองไปยังมุมมืดใต้ชายคาไม่ได้

            ณ ตรงนั้นเงาร่างโปร่งบางยืนฟังด้วยเช่นกัน ใบหน้าดวงวิญญาณยิ่งเผือดซีดกว่าเดิม คล้ายได้รับรู้เรื่องเกินคาด กระทบใจเธออย่างแรง











บทที่ ๑๖



            ‘เตาเผา’ อยู่สถานที่รกร้าง ทางเข้าซับซ้อนหลายลดเลี้ยว อาศัย GPS อย่างเดียวอาจพาหลงตกน้ำ ลงคู ไม่ก็วนเวียนหาเส้นทางอีกนานหลายชั่วโมง

            ยังดีสองข้างทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนมีพวกสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อนให้เห็นเป็นระยะ ช่วยบอกทางชี้จุดจนมาถึงสำเร็จ

            ขุนคีรีจอดมอเตอร์ไซค์ดับเครื่องยนต์ รอบกายเงียบสงัด มืดสนิท ปราศจากแสงไฟฟ้าบริเวณใกล้เคียง

            เบื้องหน้าเป็นตัวตึกเก่าชั้นเดียว สภาพทรุดโทรม ต้นไม้ขึ้นรกเรื้อรอบไปหมด บานประตูเก่าคร่ำคร่าคล้องโซ่เส้นใหญ่ กุญแจดอกเบ้อเริ่มปิดล็อคแน่นหนา ดูจากภายนอกไม่น่ามีใครอยากบุกรุกเข้าไป

            สะเดาะกุญแจนิดเดียวก็หลุดออก เสียเวลาแกะโซ่เล็กน้อย พอเปิดประตูออกมาค่อยทราบ บานประตูคร่ำคร่ากลับเป็นเหล็กหนา เปิดโดยไม่มีเสียงเอี๊ยดอาด แสดงว่ามีการใช้งานประจำ

            แสงไฟฉายมือถือสาดส่องให้เห็นลังเปล่า ข้าวของระเกะระกะเป็นฉากหน้า พอเข้าไปด้านในค่อยพบเตาเผาพิเศษ สามารถกำจัดศพไร้ร่องรอย

            ชายหนุ่มเข้าไปสำรวจเตาเผาและบริเวณโดยรอบพบว่าสะอาดเรียบร้อย ไม่เหลือเศษผ้าสักผืน กระดูกสักชิ้น หรือข้าวของผู้ใช้บริการรายล่าสุด คาดว่าพอเผาทำลายจนกระดูกป่นเป็นผง คงนำไป ‘ลอยอังคาร’ กลืนหายในแม่น้ำลำคลองเรียบร้อยแล้ว

            ขุนคีรีไม่มีทีท่าผิดหวังเมื่อไม่สามารถทำตามคำขอร้องแพรตะวัน เขาระบายลมหายใจเบา ๆ ปิดไฟฉายมือถือ ปล่อยให้ความมืดห้อมล้อมรอบกาย

            “ออกมาเถอะครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”

            ส่งเสียงเบา ๆ เบือนหน้าไปทางด้านหลังลังเปล่า จากนั้นใช้จิตจดจ่อเข้าไป ‘บีบคั้น’ เบา ๆ กระตุ้นให้ผู้ซุกซ่อนยอมปรากฏกายออกมา

            ท่ามกลางความมืด มีเงาดำมืดมิดยิ่งกว่าก่อตัวช้า ๆ แรก ๆ คล้ายลังเล ขลาดกลัวต่อพลังยมทูต ต่อมารู้สึกว่า ‘พลัง’ ภายนอกนั้นส่งเสริมตนให้แข็งแรงกว่าเดิม สามารถควบคุมร่างกายจนแสดงตัวตนชัดเจนเป็นรูปร่างมนุษย์คนหนึ่ง

            ‘สัตยา’ ผู้ชายจืด ๆ ไม่มีพิษมีภัยต่อใคร แววตาสะอาดอ่อนโยนชวนให้คนอยู่ใกล้สบายใจ ใบหน้าเรียบ ๆ ธรรมดาไม่โดดเด่น ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าเชื่อจะถูกใจแพรตะวันลูกสาวเจ้าพ่อ

            “คุณ...เอ่อ...ท่าน”

            “ไม่ต้องเรียกท่านหรอก แพรขอให้ผมมา”

            พอชื่อหญิงสาวหลุดจากปาก ดวงวิญญาณนั้นชะงักดวงตาฉายแววรู้สึกผิด ก้มหน้าถอยหลังพยายามเร้นกายในเงามืดอีกครั้ง

            “แพรเสียใจมากที่คุณถูกพ่อเธอฆ่าตาย” ขุนคีรีจงใจ ‘จี้’ อีกฝ่ายชะงักรีบเงยหน้าค้าน

            “ผมไม่ได้ถูกพลเทพสั่งฆ่า!”

            “ศพคุณนอนแทบเท้าเจ้าพ่อพร้อมสมุนอย่างนั้น คนที่เห็นคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก”

            วิญญาณดวงนั้นเงียบงัน ริมฝีปากเม้มสนิทราวเก็บงำความลับไม่อาจแพร่งพราย

            “คุณ ‘ตั้งใจ’ เข้าหาแพรทำไม” วาจาเน้นคำ นัยน์ตาหรี่เรียวคาดคั้นแสดงชัด ตนรู้ไม่น้อยแล้ว

            เวลารอบกายเสมือนหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนอีกฝ่ายค่อยเอ่ยวาจาลังเล

            “ท่าน...เอ่อ...เป็นใคร...ใช่ยมทูตที่จะมารับหรือเปล่า ทำไมถามถึงเรื่องผมกับแพร”

            กระไอความร้อน กลิ่นอายทรงอำนาจเหนือภูตผีธรรมดา ไม่แปลกที่สัตยาจะคิดว่านี่คือยมทูตมารับตนเอง เพียงแต่สงสัยในกิริยาคำถามเหล่านั้น

            “ตอบคำถามผมก่อนดีกว่า”

            “เอ่อ...” อ้ำอึ้งไม่อยากตอบแต่ไม่กล้าขัดวาจา “มันเป็นงาน...”

            “งานของคุณไม่ใช่สอนหนังสือในโรงเรียนกวดวิชาหรือ?”

            “ท่านยมทูตรู้เรื่องผมดีอยู่แล้วจะถามอีกทำไม”

            ผู้ถูกสอบสวนเริ่มหงุดหงิด

            “เอาเป็นว่าผมสอบปากคำคุณ ก่อนโดนท่านพญามัจจุราชซักฟอกแล้วกัน”

            “ครับ...เชิญ” พูดกึ่งประชด แววตาเปลี่ยนไปไม่อบอุ่นเซื่องซึมเช่นตอนแรก

            “งานจริงของคุณไม่ใช่อาจารย์สอนพิเศษ”

            “ครับ”

            “การตั้งใจติดต่อ ทำความสนิทสนมกับแพรตะวันเป็นหนึ่งในงานแท้จริงของคุณ”

            “ใช่”

            “ถ้างั้นบอกได้มั้ย...ความรักที่คุณมีให้เธอเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

            ผู้ถูกสอบสวนนิ่ง ไม่เอ่ยวาจา ขุนคีรีพูดต่อ

            “ที่เงียบนี่แสดงว่าคุณยังแยก ‘หน้าที่’ กับ ‘หัวใจ’ ไม่ออกใช่มั้ย”

            คราวนี้ดวงหน้าซีด ๆ ชืดชาไร้สีสัน บังเกิดรอยโทสะ เมื่อถูกเปิดโปงความลับในใจ

            “ถ้ามันแยกได้ก็ดีสิ” วาจาประชดเจ็บปวด “งานผมคือเข้าหา สร้างความสนิทสนมกับแพรตะวัน เพื่อสืบหาหลักฐานความผิดพลเทพ พ่อเธอให้ได้...”

            “เล่าตั้งแต่แรกเลยดีมั้ย...คุณตำรวจสายสืบ!”

            สัตยาไม่สะดุ้งสะเทือนกับวาจาเจาะจงบอก ‘ตัวตน’ ชัดเจนเช่นนี้

            “ทางตำรวจระแคะระคายมานานแล้วว่าพลเทพมีเบื้องหลังอย่างไร แต่อย่างรู้ ๆ กันเขามีบริษัทใหญ่โตบังหน้า มีทีมกฎหมาย ทนายระดับประเทศคอยจัดการ ‘เคลียร์’ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อีกทั้ง ‘อดีตผู้ใหญ่’ หลายคนก็ให้ความคุ้มครองอยู่ ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวชนิดดิ้นไม่หลุด ทางเราไม่มีวันแตะต้องได้”

            “ผมถูกส่งเป็นสายสืบหลายปี ทำอาชีพอาจารย์พิเศษบังหน้า จนได้รับคำสั่งให้คบหาแพรตะวันเพื่อหาหลักฐานการค้ายาเสพติดพ่อเธอ...ไม่นานนักโดนจับได้ พลเทพยื่นคำขาดให้เลิกกับลูกสาวแล้วหายสาบสูญไป เขาจะไม่ติดใจเอาความเรื่องเป็นตำรวจสายสืบ จากนั้นสั่งแพรตะวันให้เลิกกับผมเหมือนกัน”

            “เท่าที่ผมรู้จักเจ้าพ่อรายนี้ เขา ‘เมตตา’ คุณมากเลยนะ”

            “นั่นสิ ผมคาดไม่ถึงจะรอดจากการโดนเก็บง่าย ๆ แต่แพรไม่ยอมเลิก เราจึงแอบคบกันเงียบ ๆ ต่อไป”

            “แพรไม่ยอมเลิก หรือคุณหลงรักเธอจนตัดใจไม่ได้กันแน่”

            สัตยาหัวเราะขื่น ๆ บอกโดยไม่ปิดบัง

            “ผมบอกแต่แรกแล้วไง...ถ้าแยกหน้าที่ กับหัวใจได้ง่าย ๆ มันคงไม่มีปัญหาอะไร...ผมกลับพลาดหลงรักเธอจริง ๆ คุณไม่รู้หรอกว่าแพรเป็นผู้หญิงน่าทึ่งแค่ไหน ห้ามใจยังไงก็ไม่ยอม เอาหน้าที่ความรับผิดชอบมาขวางก็ไม่ได้”

            “ก็...ไม่เท่าไหร่หรอก” พึมพำเบา ๆ รู้จักกันตั้งแต่เล็กไม่เคยรู้สึกอะไรเช่นนี้กับเพื่อนสนิทเลย

            “วันที่เกิดเรื่อง...เราแอบนัดเจอกันตามปกติ วันนั้นเกิดเหตุแทรก ‘ธนนท์’ พยานคนสำคัญถูกวางยา ‘ผู้การ’ สั่งระดมคนไปเซฟเฮ้าส์ ‘จอห์น’ มั่นใจว่าต้องเป็นเหยื่อรายต่อไป ผมจำเป็นต้องเบี้ยวนัด พวกเราไปถึงที่นั่นพบกลุ่มชายชุดดำ ลักษณะไม่ใช่คนของพลเทพเข้ามาชิงตัวจอห์นจากการคุ้มครองของตำรวจ”

            “ชิงตัว...หมายความว่าคนกลุ่มนั้นไม่ต้องการฆ่าจอห์น”

            “ผมคิดว่าอย่างนั้น...ดูเหมือนจอห์นเต็มใจไปกับพวกมันด้วยซ้ำ อาจเพราะไม่เชื่อว่าตำรวจจะคุ้มครองตัวเองได้ ผมลอบติดตามคนกลุ่มนั้นได้ยินมันติดต่อกับใครสักคนชื่อ ‘เจตน์’

            ขณะแอบซุ่มรอเจอตัวหัวหน้าใหญ่ ร่องรอยผมโดนเปิดเผยเสียก่อน เลยต้องรีบหนีเอาตัวรอด เจอพวกมันดักทำร้ายระหว่างทาง หนึ่งต่อสิบอาวุธครบมือ ไม่รู้หมัดใครตีนใครเข้ามาแบบไม่ให้หายใจ สุดท้ายเห็นสมุนพลเทพกรูมาช่วยก่อนจะ ‘สลบ’ ยาว”

            “แสดงว่าลูกน้องพลเทพไม่ใช่คนทำร้ายคุณ แต่กลุ่มชายชุดดำที่ชิงตัว ‘จอห์น’ เป็นคนทำให้คุณเสียชีวิต”

            “ใช่” ตอบโดยไม่ปิดบัง “ผมรู้สึกเหมือนสลบไปพักใหญ่ รู้สึกตัวอีกทีเห็นแพรกำลังประคอง ‘ศพ’ ผมด้วยสีหน้าเจ็บปวดที่สุด ผมรู้สึกผิดที่ทำให้เธอเศร้าเสียใจขนาดนั้น ถ้าเรายอมเลิกกันแต่แรก ถ้าผมบอกความจริงว่าตัวเองเป็นตำรวจสายสืบ แพรคงเจ็บปวดไม่นาน อาจแค้นใจผู้ชายสักพักแล้วเริ่มต้นใหม่ได้...นั่นทำให้ผมละอายใจ ไม่กล้ามองหน้า ต้องปลีกตัวหนี ไม่ยอมพบเธออีก อยากลงโทษตัวเองที่ทำให้คนรักเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดนี้”

            “คุณเลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับแพร”

            “รู้...แพรเก็บตัวอยู่ในห้อง เกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”

            “คุณรู้ขนาดนี้ยังหนีหน้าเธออีก” ขุนคีรีขึ้นเสียง โมโหจนอดไม่อยู่

            “เพราะผมทำให้เธอตาย จึงไม่กล้าพบหน้ายังไงล่ะ” อีกฝ่ายขึ้นเสียงตอบ “คุณยมทูตไม่รู้หรอก ความรู้สึกผิดที่ทำให้คนรักตายมันเจ็บปวดแค่ไหน ต้องรับโทษหนักหนาเท่าไหร่ก็ไม่พอ”

            “รู้สิ...” ขุนคีรีตอบเบา ๆ อดคิดถึงตนเองไม่ได้ ขนาดไม่รู้จักไม่เคยพบหน้า แค่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งมองไม่เห็น เขาก็รู้สึกผิดจนต้องพยายามชดใช้จนถึงวันนี้

            ดวงวิญญาณสัตยาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเป็นต้นเหตุให้คนรักเศร้าเสียใจจนตาย

            “คุณคิดถึงแต่ตัวเองไปหน่อยนะ” ผู้ช่วยยมทูตเอ่ยวาจาหนักแน่น “ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่าแพรต้องการเจอคุณขนาดไหน ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังอยากอยู่ร่วมกัน”

            “ถ้าเธอรู้ความจริงทั้งหมด ยังจะรัก...อยากอยู่กับคนหลอกลวงอย่างผมอีกหรือ?”

            “ทำไมไม่ถามเจ้าตัวเองเลยล่ะ”

            ขุนคีรีโบกมือทางด้านข้าง ดวงวิญญาณแพรตะวันปรากฏขึ้นหลังจากถูกพลังยมทูต ‘บดบัง’ มาตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ามาในเตาเผาแห่งนี้

            นัยน์ตาหญิงสาวแดงช้ำจากการร่ำไห้หนัก ดวงหน้าเปียกปอนด้วยน้ำตา ร่างสะอึกสะอื้นด้วยแรงสะเทือนจากความเศร้าเสียใจ

            ...เธอได้ยินทุกวาจาตั้งแต่แรก...

            สัตยาเห็นอย่างนั้นเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด...ต่อให้อยากลงโทษ ทำร้ายตัวเองขนาดไหน พอเห็นหยาดน้ำตา ความเศร้าโศกเสียใจคนรักก็อดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปหา โอบกระชับกอดร่างโปร่งบางด้วยความรักเต็มหัวใจ

            ‘ดวงตายมทูต’ ของขุนคีรีไม่อาจคาดเดาเรื่องราววิญญาณสองดวงหลังจากนี้ได้เลย




--------------- ------------ --------------




            ขุนคีรีขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์หน้าโลงศพบนเมรุเกือบคนสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องนำชิ้นส่วนใดของคนรักแพรตะวันบรรจุลงไปในโลงด้วย

            วิญญาณสองดวงพบกันแล้ว เพียงแต่...หลังจากนั้นเป็นอย่างไร...เกินอำนาจหยั่งรู้

            ทั้งคู่อาจปรับความเข้าใจมีความสุขร่วมกันในสัมปรายภพอย่างทั่วไปคาดหวัง หรือไม่ ‘กรรมวิบาก’ อาจซัดพาให้ชดใช้กรรมตาม ‘หน้าที่’ ผู้อยู่ในวัฏสงสาร

            หลังจากพวกเขาเลือนหาย ผู้ช่วยยมทูตส่งคำถามไปยังยมทูตหินผา

            ผมต้องพาสองคนนี้ไปพบท่านพญามัจจุราชหรือไม่ครับ

            ยังไม่ใช่เวลานี้

            คำตอบกลับมาแทบทันที ทำงานมาหลายภารกิจจึงเริ่มเข้าใจ ‘พวกเขา’ แต่ละตนมีจังหวะเวลาไม่เท่ากัน ยากกำหนดชี้ชัด...แต่ละตนต้องอยู่ในช่วงเวลา ‘ชดใช้’ สั้นยาวเพียงใดก่อนรับโอกาสช่วยเหลือ ‘ชี้นำ’ จากพญามัจจุราช

            มันเป็นความ ‘ไม่แน่นอน’ อันน่ากลัว

            ...ต่อให้กังวลเป็นห่วงอยากช่วยเหลือเพียงใด ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้...

            พิธีเผาศพเสร็จสิ้นแขกเหรื่อทยอยกลับจนหมด เหลือแค่คนสนิทคุ้นเคยกันจริง ๆ อย่างพ่อเลี้ยงบุญชัย และขุนคีรี

            “บุญชัย ขุน...เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นกันนะ ยังไงคืนนี้ค้างที่บ้านอีกสักคืน...พรุ่งนี้จะได้มาเก็บ...กระดูก...ลอยอังคาร ส่งแพรเป็นครั้งสุดท้าย”

            คนเป็นพ่อย่อมเจ็บปวด เศร้าใจนักหนา เมื่อต้องมา ‘ส่ง’ ลูกสาวที่รักก่อนวัยอันควร

            “ได้ครับลุง” ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ออก



            ร้านอาหารที่คนระดับเจ้าพ่อพาไปรับประทานไม่ใช่ภัตตาคารหรู ห้องอาหารลอยฟ้าชมวิวเมืองกรุง เป็นร้านเล็ก ๆ อาหารอร่อย บรรยากาศส่วนตัว ไม่พลุกพล่าน

            ขุนคีรีรับประทานเสร็จก่อนผู้ใหญ่ ระหว่างนั่งฟังพ่อกับลุงพูดคุยดื่มเบียร์โดยไม่มีวี่แววจะรีบกลับ วิญญาณปู่ทองก้อน ที่วนเวียนแถวบ้านบัวบุษราปรากฏกายรายงาน

            “คนแปลกหน้ามาด้อม ๆ มอง ๆ แถวบ้านตั้งแต่ตอนเย็น ท่าทางเหมือนกำลังดูลาดเลา บัวบุษราอยู่บ้านคนเดียว กว่าพ่อกับพี่สาวจะกลับก็ดึก คุณยมทูตไปดูหน่อยมั้ย”

            ได้ยินแค่นี้ใจแทบโลดแล่นไปแล้ว ต้องพยายามฝืนสีหน้าระงับอารมณ์ แกล้งหยิบโทรศัพท์มาดูไลน์ข้อความใหม่ แล้วบอกกับผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยน้ำเสียงปกติ

            “ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ ยังไงคืนนี้จะกลับไปนอนบ้านลุงพลแน่”

            “เบื่อคนแก่คุยกันล่ะสิ” พลเทพหัวเราะหึหึ “ไปเถอะ”

            พ่อเลี้ยงบุญชัยพยักหน้า ลูกชายลุกขึ้นค้อมศีรษะออกมาอย่างมีมารยาท สังเกตเห็นพ่อกับลุงพลมีสีหน้าโล่งใจท่าทางมีเรื่องสำคัญต้องการพูดคุยตามลำพัง กำลังรอให้เขาลุกจากโต๊ะพอดี




--------------- ------------ --------------




            หัวค่ำ

            ภายในบ้านเปิดไฟสว่างทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต่อบัวบุษรา เพียงช่วยให้ยามค่ำคืนมีสีสันชีวิตชีวา บ้านเป็นบ้าน ไม่มืดมิดเงียบร้างเช่นบ้านผีสิง

            คืนนี้พ่อกับพี่สาวกลับดึก ดาบตำรวจพนามีงานติดพัน พรไพลินต้องไปแก้งานโฆษณาสินค้าที่คอนโดเหมยลี่ พยายามชวนน้องสาวไปด้วยแต่เธอสมัครใจอยู่บ้าน ไม่ติดตามเป็นภาระโดยไม่จำเป็น

            บัวบุษราใช้ชีวิตสะดวกเกือบปกติเมื่ออยู่บ้าน เธอหยิบจับข้าวของเครื่องใช้คล่อง เดินรอบบ้านโดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใด เพราะจดจำเป็นภาพในหัวจนขึ้นใจ

            ตั้งแต่รับรู้การตายของธนนท์ จิตใจเป็นห่วงบิดาคอยเตือนอ้อม ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคอยระวังตัวอยู่เช่นกัน

            ยังดีที่หลังกลับจาก ‘ทัวร์นรก’ ยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรง ขัดใจแค่ไม่ได้รับการติดต่อจากยมทูต และผู้ช่วยฯ อีกเลย รู้สึกสิ่งสำคัญในชีวิตขาดหาย ไม่แน่ใจช่วงนี้ไม่มีภารกิจ หรือฝ่ายยมโลกไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานเธออีกแล้ว

            ใจหายวูบเมื่อรู้สึกว่าจะไม่ได้เจอขุนคีรี...ผู้ช่วยยมทูตจริง ๆ

            หัวอกเกิดความหวานปนขมลึก ๆ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ยังอดผูกพัน เผลอใจเกาะเกี่ยวเมื่อใดไม่ทราบ แค่ไม่เห็นหน้าเจอกันในฝัน ยังคิดถึงขนาดนี้

            ถ้าเขาเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ เธอคงไม่รีรอที่จะเริ่มต้นพูดคุยสานสัมพันธ์เองกระมัง

            ...พรึบ...เสียงคัตเอาท์ไฟถูกสับ บัวบุษราชะงักใจหล่นวูบ ไฟฟ้าทั้งบ้านดับพร้อมกัน เธอกำมือแน่นเรียกความรู้สึกตัว ไม่แตกตื่นลนลาน

            หูแว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบา หากไม่ตั้งใจฟัง โสตสัมผัสดีกว่าปกติคงไม่ได้ยิน...หนึ่งคน...สองคน...สามคน พวกเขาลอบเข้าบ้านเงียบกริบ แอบสับคัตเอาท์แล้วหล่อนค่อยรู้สึกตัว แสดงว่าเป็นมืออาชีพไม่ธรรมดา

            หญิงสาวจดฝีเท้าจากห้องนั่งเล่นไปซ่อนตัวยังช่องใต้บันได กั้นม่านผ้าเอาไว้เพื่อเก็บลังข้าวของเหลือใช้ ตรงนั้นหล่อนจัดวางกล่องใหม่ให้มีช่องพอดีตัวอยู่แล้ว

            เธอหลบทันก่อนฝีเท้าทั้งสามจะย่องมาถึงห้องนั่งเล่น เสียงลมหายใจฟึดฟัดกำลังขัดใจที่เหยื่อไม่อยู่ตรงจุดหมาย ไม่มีเสียงพูดคุยสนทนาสั่งการ ด้วยรู้เป้าหมายหูไว มองไม่เห็นแต่สดับเสียงชัดเจน

            พวกมันไม่แปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงโวยวายตกใจตอนไฟฟ้าดับ เนื่องจากลอบสำรวจแต่แรกว่า หญิงสาวตาบอดอยู่คนเดียว พ่อกับพี่สาวยังไม่กลับ จึงแอบสับสวิตช์ไฟไม่ให้คนนอกบ้านเห็นเหตุการณ์ด้านใน

            ผิดคาดพอสมควรเมื่อตัดไฟแล้วไม่พบเธอในห้องนั่งเล่น นั่นทำให้รีบส่งสัญญาณกระจายกำลังออกค้นหาก่อนมีใครกลับมา หรือคนภายนอกเริ่มผิดสังเกต



            บัวบุษราแอบส่งข้อความด่วนบอกบิดาให้รีบกลับบ้านก่อนปิดโทรศัพท์ ไม่กล้าโทรแจ้งตำรวจเพราะเสียงพูดคุย แสงไฟจากโทรศัพท์อาจบอกที่ซ่อนตนเอง พยายามเบียดร่างลึกยังมุมสุดใต้บันได มือกำไม้เท้าเหล็กแน่น พร้อมฟาดใครก็ตามที่บุกรุกถึงตัว

            ลูกสาวตำรวจเช่นเธอรับการอบรมให้เข้มแข็ง มีสติยามเผชิญอันตราย ยิ่งรู้ล่วงหน้าว่าอาจมีผู้บุกรุก ‘เช็กบิล’ บิดา ก็เตรียมทำที่หลบภัยยามฉุกเฉิน หาวิธีป้องกันตัวทุกวิถีทาง

            ...หวังว่าบิดาจะกลับมาก่อนพวกมันหาที่ซ่อนเจอ...

            กลิ่นบุหรี่ติดตัวผู้บุกรุกลอยมาจาง ๆ บอกทิศทางให้ทราบ พวกมันเปิดไฟฉายดวงเล็กแยกย้ายตามหาเธอทั่วบ้าน ตั้งแต่ชั้นบนห้องนอนห้องน้ำ ไล่ลงมาถึงชั้นล่าง คนหนึ่งยืนดักหน้าประตูเผื่อเหยื่อลอบหลบหนี อีกสองซอกซอนค้นหาอย่างละเอียด เงียบเชียบ

            บ้านหลังนี้สองชั้น ไม่ใหญ่โตกว้างขวางเกินจำเป็น การค้นหาผู้หญิงตาบอดคนหนึ่งทั่วบ้านย่อมใช้เวลาไม่นาน บัวบุษราภาวนาขอให้ผีบังตา ไม่ให้พวกมันพบที่ซ่อนตรงนี้เร็วเกินไปนัก

            สิ่งหนึ่งควรทราบ...กระทั่งเทวดาก็ไม่อาจช่วยเหลือมนุษย์เกินกว่า ‘กรรม’ เจ้าตัว ดังนั้นภูตผีใช่ว่าจะช่วยเหลือได้เสมอไป...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...นี่คือความจริงแท้

            เสียงฝีเท้าวนเวียนบริเวณใกล้ใต้บันได ผ้าม่านถูกรูดออกเผยให้เห็นกล่องวางเรียงราย อาศัยแค่ไฟฉายดวงเล็กย่อมไม่สังเกตช่องหลบซ่อนหญิงสาวง่าย ๆ

            กลิ่นบุหรี่จากลมหายใจฉุนกึกบอกให้ทราบหนึ่งใน ‘ผู้ล่า’ อยู่ใกล้แทบหายใจรดต้นคอ กลิ่นตัวจาง ๆ ของอีกคนลอยมากระทบบอกว่าผู้อยู่ใกล้มีสองคน คลับคล้ายสงสัยกล่องลังใต้บันได

            บัวบุษราสงบใจขยับไม้เท้าในท่าเตรียมพร้อม สูดลมหายใจแผ่วเบา สมองคิดหาหนทางเอาตัวรอด...เธอควรตั้งสติใช้วาทศิลป์แกล้งไถ่ถามพูดจาอ้อนวอน ขอร้อง ขอความเห็นใจเพื่อยื้อเวลารอบิดากลับมา หรือจู่โจมฝ่ายตรงข้ามทันทีไม่ให้ตั้งตัว

            เมื่อแผ่สัมผัส ‘รับรู้’ กระจายออกกว้าง เสียง กลิ่น คลื่นความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามเข้ามากระทบเกิดอาการขนลุกซู่ ขยะแขยง สัมผัสจิตใจที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย กระเหี้ยนกระหือรือ อีกทั้งเร่งร้อนแข่งกับเวลา ลักษณะแบบนี้ไม่มีทางยอมสนทนา ฟังวาจาอ้อนวอนขอร้องใดแน่

            เสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังชัด คลื่นความย่ามใจแผ่กระทบ กลิ่นตัวผู้บุกรุกเคลื่อนช้า ๆ อ้อมแนวกล่องที่ตั้ง พยายามไม่กระทบถูกให้คนข้างในรู้ตัว

            หญิงสาวทราบทันที...พวกมันรู้ที่ซ่อนเธอแล้ว!

            ทันทีที่เสียงลมหายใจกลิ่นกายปรากฏตรงหน้า เธอฟาดไม้เท้าในมือโดยไม่ลังเล

            ...โป๊ก...

            “โอ๊ย...นังนี่ฟาดกู”

            มันหลุดปากคำแรกก่อนจู่โจมอีกครั้ง บัวบุษราตั้งหลักมั่น ถอยหลังชิดข้างฝาฟังเสียงการเคลื่อนไหวแล้วหวดไม้เท้าตามสัญชาตญาณ ทำได้เพียงสร้างความเจ็บปวด หยุดยั้งชั่วคราวเท่านั้น

            “เฮ่ยมาช่วยกันหน่อย อีบอดนี่ฤทธิ์มาก”

            กล่องที่ขวางกั้นถูกรื้อโดยผู้บุกรุกอีกสองคน บัวบุษรากรีดร้องสุดเสียงพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือซ้ำ ๆ หวังว่าคุณป้าบ้านใกล้เคียงอาจได้ยิน...เป็นความหวังอันริบหรี่ ระหว่างรอพ่อกลับมาช่วยทัน

            “อย่าให้มันแหกปาก รีบจัดการเร็ว” เสียงสั่งห้วนอำมหิต

            ผู้หญิงตาบอดคนเดียวกับนักล่ามืออาชีพสามคน ไม่นานไม้เท้าถูกหักกระชากจากมือ อุดปากไม่ให้ส่งเสียง ร่างโดนลากมากลางห้องรับแขก พยายามฉีกเสื้อผ้าจะย่ำยี

            ชั่วเวลานั้นบัวบุษราดิ้นรนสุดกำลัง ปากกัด เล็บข่วน สู้สุดฤทธิ์ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้ความหวาดกลัวครอบงำ หาจังหวะกระเสือกกระสนหลบหนี ต่อสู้ทั้งที่ไม่เห็นทางรอด ความหวังคือขอให้พ่อรีบกลับมาทันเวลา หรือไม่คนบ้านข้างเคียงได้ยินเสียงกรีดร้อง เห็นไฟในบ้านดับสนิทแล้วรีบโทรบอกตำรวจมาช่วย

            สิ่งเดียวทำได้ตอนนี้คือยื้อเวลาเอาตัวรอดให้นานที่สุด...ไม่หวังปาฏิหาริย์อื่นใด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP