วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๖



way cover













ชลนิล










(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าใช้มือควานหาบริเวณใต้ตู้กระทั่งพบสิ่งต้องการ พอดึงออกมาก็ยื่นให้อีกฝ่ายดู

            “นี่ใช่มั้ย”

            ...มันเป็นรูปถ่ายใบหนึ่ง...

            “ใช่” ดวงหน้าเธอผุดรอยยิ้มความทรงจำงดงาม

            “งั้นไปคุยกันที่ห้องขุนเถอะ”

            บอกง่าย ๆ แค่นั้น ออกจากห้องเงียบเชียบ รวดเร็วไม่ต่างจากตอนเข้ามา




--------------- ------------ --------------




            เข้ามาห้องนอนตนเอง เปิดโคมไฟหัวเตียง ภาพถ่ายนั้นปรากฏรูปสองหนุ่มสาวชัดเจน

            “นี่ไง...สัตยา...หล่อมั้ย” แพรตะวันนั่งด้านข้างถามด้วยรอยยิ้ม

            ใบหน้าชายหนุ่มในรูปดูสะอาดตา ไม่คมเข้ม หรือมีเอกลักษณ์ใดให้จดจำตั้งแต่แรกเห็น ตรงข้ามกับหญิงสาวข้างกายที่มีดวงหน้ารูปหัวใจ นัยน์ตาโตสุกใส จมูกเชิดรั้นแบบเด็กเอาแต่ใจ ริมฝีปากบางสวยแฝงความไว้ตัว

            “หน้าจืด ๆ หล่อไม่ได้ครึ่งขุนเลย” ตอบแบบไม่เกรงใจ

            “นี่ไอ้ขุนพูดดี ๆนะ แฟนแพรดีกว่าแกเป็นร้อยเท่า”

            “ดีกว่าแล้วทำไมไม่พามาให้รู้จัก เก็บเงียบนานขนาดนี้ รูปคู่ยังต้องซ่อนเลย”

            รอยเศร้าหม่นหมองทอจับใบหน้าดวงวิญญาณ ขุนคีรีรู้สึกคำหยอกล้อกระทบใจแรงเกินไปจึงขออภัย

            “ขอโทษนะแพร ลุงพลไม่โอเคกับผู้ชายคนนี้เลยใช่มั้ย ถึงต้องคบแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ”

            เสียงหัวเราะขื่น ๆ ดังขึ้นก่อนตอบ

            “นอกจากขุนแล้ว พ่อไม่เห็นผู้ชายอื่นเหมาะเป็นลูกเขยหรอก”

            ขุนคีรีเข้าใจว่าเหตุใดพลเทพถึงรักเอ็นดูตนขนาดนี้

            พ่อกับลุงพลบุกเบิกสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน ทั้งสองให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำธุรกิจ ‘ทับรอย’ กัน ฝ่ายหนึ่งจึงไปทางธุรกิจมืด ค้ายาเสพติด แล้วสร้างบริษัทใหญ่โตบังหน้า อีกฝ่ายทำธุรกิจสีเทา เปิดบ่อน ขายสุรา ขายหวยใต้ดิน ทำธุรกิจสถานบันเทิงกลางคืน

            นับสิบ ๆ ปีผ่านมาพ่อเลี้ยงบุญชัยประกาศชัดเจนไม่ขายอาวุธ ไม่ค้ายาเสพติด แต่คอยอำนวยความสะดวกงานพี่ชายร่วมโลกอย่างพลเทพเสมอต้นเสมอปลาย

            สองฝ่ายตีแผ่หัวใจกันและกัน ‘พันธมิตรสีเทา’ อาจเปลี่ยนแปลงตามผลประโยชน์ สิ่งล่อลวงต่าง ๆ คนทั้งสองกลับเป็นข้อยกเว้น ไม่แปลกเลยที่เจ้าพ่อใหญ่จะเห็นลูกชาย ‘น้องคนสนิท’ เป็นคนเดียวที่เหมาะสมจะฝากแก้วตาดวงใจ

            “เล่าให้ฟังได้มั้ย เรื่องของแพรกับผู้ชายคนนี้...เป็นมายังไงถึงเกิดเรื่องน่าเศร้าได้”

            ชายหนุ่มจำเป็นต้องซักถามหาข้อมูลเรื่องราวมากสุด

            นัยน์ตาคู่สวยหม่นลง ก้มหน้าพยายามกล้ำกลืนความเศร้าก่อนเล่าเรื่องตนเอง



            แพรตะวัน สัตยารู้จักกันผ่านเฟซบุ๊ค พูดคุยทางออนไลน์นานนับปีกว่าเจอตัวจริง ใช้เวลาศึกษาดูใจหลังจากนั้นไม่กี่เดือนค่อยเลื่อนสถานะเป็นแฟน แอบซุ่มคบกันเงียบ ๆ เป็นปี จนเรื่องหลุดถึงหูบิดา

            นี่ไม่ใช่ลูกเขยตามมาตรฐานพลเทพวางไว้แน่นอน

            สัตยาตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว อาชีพเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามโรงเรียนกวดวิชา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ลำบาก แต่ไม่มีหลักฐานมั่นคงพอเลี้ยงดูใคร

            พ่อจึงสั่งลูกสาวเด็ดขาด...เลิกคบ!

            แพรตะวันไม่ใช่ผู้หญิงหัวอ่อนเชื่อฟังบิดามารดา เธอดื้อรั้น หัวแข็ง มั่นใจสูง ทำอะไรตามใจตัวเองแบบลูกคนเดียวโดนสปอยล์ตั้งแต่เล็ก

            ถึงอย่างนั้นยังมีสติ ทราบว่าหักหาญปฏิเสธรุนแรง คนรักจะเดือดร้อน...อย่างเบาอาจแค่สั่งสอนพอให้หลาบจำ ไม่กล้าพบหน้าเธออีก...หนักกว่านั้นอาจถึงขั้นไม่มีอาชีพ ไม่มีที่ซุกหัวนอน

            หญิงสาวแกล้งทำตัวห่างจากคนรักให้พ่อเห็น แล้วติดต่อนัดพบกันเงียบ ๆ ชนิดไม่ให้ใครรู้ มั่นใจว่าสามารถรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไปได้ตลอด

            เมื่อไม่กี่วันก่อน สัตยาผิดนัดปล่อยให้เธอรอเก้อร่วมสองสามชั่วโมง โทรไปไม่รับสาย โชคดีโทรศัพท์มีแอปพลิเคชันติดตามคู่ตัวเองได้ พอเปิดเช็คดูทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใดแพรตะวันใจหายวูบ เกิดสังหรณ์ร้ายทันที

            ที่นั่นเป็นโกดังลับของพ่อ!

            เธอรีบติดตามไปด้วยใจร้อนเร่า ขับรถเกือบเฉี่ยวชนคันอื่นบนถนน พอไปถึงสถานที่นั้นแทบทรุด เข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรง

            ...สายไปเสียแล้ว สัตยาบอบช้ำหนักเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ...ไม่ต้องถามเป็นฝีมือผู้ใด พลเทพและลูกน้องอยู่ที่นั่นครบ

            แพรตะวันอยากแผดเสียงระบายโทสะ อยากร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด ทำได้เพียงคุกเข่าช้อนร่างเขามาซับเลือดด้วยปลายนิ้ว โกรธเกินกว่าจะโกรธ เศร้าเสียใจมากกว่าครั้งใด ตอนมารดาเสียชีวิตยังมีเวลาทำใจ เตรียมพร้อมรับการสูญเสีย

            ทว่า...การจากไปของชายคนรักไม่มีสัญญาณใดบอกเตือน มันยิ่งกว่าโดนฟ้าผ่ากลางแดดจ้า หอกแหลมพุ่งแทงกลางใจไม่ทันรู้ตัว

            ชั่วเวลานั้นคิดแค่อย่างเดียว อยากตายตามสัตยา!

            เธอปิดประตูขังตัวเอง ไม่ดื่มไม่กิน นั่นทำให้โรคกรรมพันธุ์ที่แฝงตัวอยู่แผลงฤทธิ์ เมื่อใจไม่อยากมีชีวิต ร่างกายตอบสนองด้วยการให้หลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

            พลเทพพังประตูเข้ามาไม่ทัน บุตรสาวเสียชีวิตก่อนหน้านั้นแล้ว



            “มั่นใจได้ยังไงว่าลุงพลฆ่าสัตยา” ขุนคีรีตั้งคำถามทันทีที่ฟังจบ

            “ขุนพูดเหมือนไม่รู้จักพ่อแพร คนคนนี้สั่งฆ่าใครก็ได้ถ้าต้องการ” น้ำเสียงเจ็บปวดขมขื่น

            “ขนาดตุ๊กตาเน่า ๆ ของเล่นพัง ๆ หมอนโคตรเหม็นของแพรตอนเด็ก ลุงพลขัดหูขัดตาจะตาย ยังไม่เคยแอบเอาไปทิ้งเลย”

            ชายหนุ่มพูดอย่างรู้ตื้นลึกหนาบางอีกครอบครัวดี

            หญิงสาวหัวเราะขื่น ๆ พูดน้ำเสียงประชด

            “ตุ๊กตา ของเล่น หมอนเหม็นมันทำอะไรแพรไม่ได้...แต่สัตยาสามารถพาแพรออกจากปีกของพ่อได้”

            พูดเช่นนั้นแสดงว่าเจ้าตัวแอบวางแผนหนีบิดาไปกับชายคนรัก ดังนั้นจึงเชื่อเหลือเกินว่าพ่อต้องรีบสั่งเก็บสัตยาก่อนสายเกินไป

            “ขุนหมายความว่า...” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “ลุงพลไม่กล้าทำลายคนรักแพรง่าย ๆ หรอก”

            “ไม่กล้า...แล้วทำไมศพสัตยาถึงนอนแทบเท้าพ่ออย่างนั้น เขาตายน่าอนาถ วิญญาณไปอยู่ไหนไม่รู้ ทั้งที่เราเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ว่าเป็นหรือตาย”

            เจ้าตัวมั่นใจขนาดนั้นชายหนุ่มคร้านอธิบาย การถอยมาดูวงนอกสามารถเห็นภาพรวมกว้างกว่า ขณะแพรตะวันหมกมุ่นแค้นใจ คิดอย่างเดียว...บิดาคือฆาตกร!

            “อย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ขุนจะเอารูปสัตยาให้พี่เข้มดู แล้วสืบให้ได้ว่าลุงพลจัดการศพยังไง เอาไปไว้ที่ไหน”

            “ตามหาให้เจอก่อนวันเผาแพรได้มั้ย”

            “ทำไม”

            “ขอแค่อะไรก็ได้เกี่ยวกับสัตยา ไม่ว่าเศษเสื้อผ้าที่เขาใส่ หรือกระดูกเหลือจากถูกเผา ขุนช่วยเอาไปใส่รวมในโลงแพร...ให้เราสองคนได้เผาเตาเดียวกันครั้งสุดท้าย...แพรมั่นใจว่าจะช่วยผูกพันวิญญาณเราทั้งสองดวง ตอนเป็นคนไม่ได้อยู่ร่วม ขอใช้ชีวิตด้วยกันในโลกหลังความตายก็ยังดี”

            ขุนคีรีแอบถอนใจ...ใจที่เป็นห่วง กังวล คิดถึงเช่นนี้เป็น ‘จิตอกุศล’ พาให้เกิดยังทุคติภพ

            นอกจากเจ้าตัวไม่สำนึก ยังหวังอีกว่าหากได้เผาร่วมกัน จะมีโอกาสเจอดวงวิญญาณคนรักใช้ชีวิตด้วยกันสืบไป

            เมื่อมองเรื่องราวผ่าน ‘ดวงตายมทูต’ ขุนคีรีไม่สามารถอวยพรใด ๆ แก่เพื่อนรักและผู้ชายของเธอได้เลย




--------------- ------------ --------------




            ฟ้าสาง ห้องทำงานเจ้าพ่อใหญ่

            พลเทพจิบกาแฟดำรับฟังรายงานจากลูกน้องคนสนิท นัยน์ตาเหม่อซึมคล้ายวาจาเหล่านั้นผ่านหูโดยไม่เข้าสมองสักคำเดียว

            “คดีธนนท์เรียบร้อย ‘มัน’ ข้ามชายแดนไปกบดานแล้ว ตำรวจไม่มีทางตามจับคนวางยาข้าวกล่องได้แน่ ทางเราส่งคนจับตามองผู้กองไทธัต ตำรวจสืบสวนคดีอยู่ เขายังไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม ส่วนตำรวจอีกคนที่ได้คุยกับธนนท์ก่อนตาย ดาบพนา...ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ไม่รู้มันง้างข้อมูลอะไรได้หรือเปล่า ท่านเห็นควรจัดการตำรวจรายนี้ยังไงครับ”

            พอคำถามย้อนกลับมาพลเทพไม่ตอบ คล้ายไม่ได้รับฟังวาจาตั้งแต่ต้น

            “ท่านครับ” ลูกน้องคนสนิทเรียกอีกครั้ง

            พลเทพหรี่ตา หัวอกหนักอึ้งเหน็ดเหนื่อยไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ยินรายงานเข้าใจทุกคำ ใจอ่อนล้าไม่อยากกระทำสิ่งใดทั้งสิ้น

            “ดาบพนา” เจ้าพ่อทวนชื่อนั้น ความทรงจำย้อนคืน “ใช่พ่อของผู้หญิงที่โดนแรงระเบิดจนตาบอดเมื่อสองปีก่อนหรือเปล่า”

            “ใช่ครับ”

            “มันคงสืบคดีเก่า น่าจะระแคะระคายว่าระเบิดเป็นฝีมือไอ้นนท์ ปล่อยไว้ก่อนแค่จับตาดูห่าง ๆ พอ ถ้าไม่กระทบกับธุรกิจเราตอนนี้ก็ไม่เป็นไร บุญชัยเคยขอเอาไว้”

            “ครับท่าน”

            “ตามเรื่องไอ้จอห์นไปถึงไหนแล้ว”

            “มันไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ ไม่ได้ข้ามชายแดน แต่เงียบหายกบดานอยู่ไหนยังสืบไม่เจอเลยครับ”

            ผู้ยิ่งใหญ่เคาะปลายนิ้วบนถ้วยกาแฟ นัยน์ตาเหน็ดเหนื่อยฉายรอยครุ่นคิด

            “น่าจะมีใครสักคนช่วยมันออกจากเซฟเฮ้าส์ เพราะรู้ว่าเราต้องบุกไปจัดการ ตอนนี้คงให้ความคุ้มครองมันอยู่”

            “ท่านคิดว่าเป็นใคร”

            “คนที่สามารถจ้าง ‘มือดี’ จัดการตำรวจรอบเซฟเฮ้าส์อย่างรวดเร็ว หมดจด พาตัวไอ้จอห์นไปซ่อนมิดชิดจนหูตาเราสอดส่องไม่ถึง”

            คำพูดพึมพำ แววตาคล้ายคาดเดาออกหลายส่วน

            “ท่านจะสั่งงานอะไรต่อไหมครับ”

            “ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไร จัดงานศพแพรให้เรียบร้อย ดูแลอย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็พอ”

            “ครับท่าน”

            คนสนิทรับคำจบรีบผลุนผลันไปยังมุมข้างประตู ซึ่งเป็นจุดอับบังสายตา คาดว่าจะพบบุคคลกำลังแอบฟัง

            ....ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีกระทั่งเงาผู้คน...

            “มีอะไร” พลเทพถามเนือย ๆ ไม่ตื่นเต้นตกใจ

            “ตะกี้ผมเห็นเงาคนหลบอยู่ตรงนี้ พอมาดูไม่เห็นใคร น่าจะตาฝาดขออภัยครับท่าน”

            ผู้เป็นนายพยักหน้าไม่ถือสา โบกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกจากห้อง

            เมื่ออยู่คนเดียวในห้องโล่ง ผู้ยิ่งใหญ่ค่อยฉายความอ่อนแอออกมาทางแววตา ลมหายใจเหน็ดเหนื่อยถูกระบายเชื่องช้า อ่อนล้าจนต้องถามตัวเอง

            ...ต้องดิ้นรน ต่อสู้ ฟาดฟันศัตรูทั้งที่มองเห็นตัวและไม่เห็นตัว พยายามรักษา ‘อาณาจักร’ ไว้เพื่ออะไร ในเมื่อภรรยา ลูกสาวสุดที่รักผู้ควรเสวยสุข ร่วมชื่นชมด้วยกันล้วนไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว...




--------------- ------------ --------------




            พ้นจากการลอบฟังเรื่องสำคัญในห้องทำงานส่วนตัวพลเทพ ออกมาถึงมุมลับสายตาไม่มีผู้พบเห็น ขุนคีรีค่อยระบายลมออกเบา ๆ ปรับการหายใจเป็นปกติหลังจากกลั้นลมหายใจ...หายตัวอยู่นานชั่วอึดใจใหญ่ ๆ

            เขาไม่ตั้งใจแอบฟังเรื่องเหล่านั้นแต่แรก หลังตื่นเช้ากำลังจะเดินลงไปข้างล่างพอดีเห็นคนสนิทพลเทพรีบไปห้องทำงานเจ้านาย อดไม่ได้ต้องลอบตามไปด้วย

            นั่นทำให้ได้รับการยืนยัน...ธนนท์ตายด้วยฝีมือใคร จอห์นกำลังเป็นเหยื่อรายต่อไป และดาบตำรวจพนาได้รับการยกเว้นชั่วคราว เพราะพ่อเขาขอเอาไว้

            ขุนคีรีควรคลายใจ ลดความเป็นห่วงครอบครัวบัวบุษรา สังหรณ์บางอย่างในใจกลับกระตุ้นเตือน...วางใจไม่ได้

            เดินลงบันไดถึงชั้นล่าง กำลังจะเอารูปถ่าย ‘สัตยา’ ไปให้เข้มก๊อปปี้ลงมือถือเพื่อสะดวกในการตามหาร่องรอย พบบิดานั่งพักผ่อนอยู่ตรงห้องรับแขกพอดี

            “ตื่นเช้าเหมือนกันนี่” พ่อทักทายลูกชาย

            “ปกติผมวิ่งออกกำลังกายทุกเช้า” ตอบพลางนั่งเก้าอี้ใกล้ ๆ

            “ชอบชีวิตแบบนี้หรือ” ถามลอย ๆ คล้ายชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ

            “ผมไม่ได้ลำบากอะไร” เลือกคำตอบกลาง ๆ

            “คิดว่าจะอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหน”

            นี่คือคำถามต้องการคำตอบจริง

            “จนกว่า...เธอคนนั้นจะใช้ชีวิตเป็นปกติ หรือกลับมามองเห็นอีกครั้ง”

            ลูกชายตอบตรง ชัดเจน แววตาสบต่อบิดามีความมั่นคง เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม

            พ่อเลี้ยงบุญชัยเบือนหน้า ซ่อนร่องรอยบางอย่างในดวงตา

            “ตอนแม่ตาย แกไม่ยอมเรียนต่อ...พ่อไม่ว่า...หนูแพรมาดึงแกไปเรียนจนจบแล้วไม่ยอมทำงาน ใช้ชีวิตกินเที่ยวไปวัน ๆ พ่อไม่เคยบ่น ไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบพ่อ แกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้”

            หากเป็นก่อนหน้านี้ขุนคีรีคงเถียงว่าตนก็มีส่วนรับผิดชอบไม่น้อยกว่ากัน พอ ‘เคลียร์’ เรื่องคาใจกับบัวบุษรา ภาระในใจลดลง วาจาตอบจึงเป็นอีกแบบ

            “ผมเป็นลูกพ่อ จะบอกว่าไม่ต้องรับผิดชอบได้ยังไง”

            คนเป็นพ่อมองลูกชายด้วยแววตาคาดไม่ถึง เหมือนเห็นเด็กน้อยดื้อรั้นเอาแต่ใจ กลายเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืน

            ขุนคีรีได้โอกาสจึงพูดความรู้สึกในใจออกมาโดยไม่ปิดบัง

            “ตอนแม่ตาย...ผมไม่อยากเรียนต่อเพราะไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร ในเมื่อจบมาก็ต้องทำงานต่อจากพ่ออยู่ดี ที่ยอมกลับไปเรียนจนจบเพราะแพรใช้ความเป็นเพื่อนบังคับ...ขอให้เรารับปริญญาด้วยกัน...ผู้หญิงที่ผมให้ความสำคัญรองจากแม่มาขอร้องจริงใจขนาดนั้น มันปฏิเสธไม่ออกต้องยอมทำตามเธอ...”

            วาจาหยุดชั่วขณะ นัยน์ตาฉายรอยรำลึกยาวนาน

            “ผมเรียนจบใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ยอมทำงานก็เพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งกับธุรกิจสีเทาของพ่อ ถ้าผมก้าวไปดูแลสวนผลไม้ โรงงาน ธุรกิจถูกกฎหมาย...ไม่นานพ่อก็จะดึงพี่เข้มไปทำงานด้วยเต็มตัว ผมไม่อยากให้คนที่รักเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเสี่ยงผิดกฎหมาย...ความขัดแย้งทางธุรกิจสีเทาทำให้เสียแม่ไปคนนึงแล้ว ผมไม่อยากเสียพี่ชายที่โตมาด้วยกันไปอีกคน”

            “ตอนเกิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน ผมทำอย่างนั้นไม่ใช่แค่รับผิดชอบแทนพ่อ แต่เพื่อให้พ่อเห็นว่าผมอยู่ได้ทั้งที่ไม่ต้องอาศัยเงินทองมากมาย...ตอนเด็กเวลาครูถามพ่อแม่ทำงานอะไร ผมไม่กล้าตอบเลยว่าพ่อเป็นเจ้าของบ่อนกาสิโนใหญ่ เพราะครูสอนเสมอว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี พาคนล่มจมสูญเสียทรัพย์สินเงินทองมากมาย ต่อไปวันข้างหน้าถ้ามีลูก...ผมอยากให้ลูกบอกครูกับเพื่อน ๆ เรื่องอาชีพพ่อเขาอย่างภูมิใจ...แม้ว่าจะเป็นแค่นักมวยจน ๆ คนนึงก็ตาม”

            เหล่านี้เป็นสิ่งซ่อนเร้นในใจขุนคีรีมานาน เพียงแต่เมื่อก่อนมีแม่แสนดีคอยปลอบโยนว่า...ผู้ใหญ่...มีหลายเรื่องเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ยากถอยหลังกลับ...พยายามชี้ให้ลูกชายเห็นแง่มุมดี ๆ ของบิดา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรักครอบครัว ไม่เจ้าชู้ เป็นคนจิตใจกว้างขวาง ช่วยเหลือคนลำบากโดยไม่หวังผลตอบแทน เงินที่ได้จากธุรกิจสีเทาส่วนหนึ่งก็ทำบุญสร้างกุศล สร้างถาวรวัตถุมากกว่าใคร ๆ

            สมัยเด็กคิดเสมอว่าทำบุญล้างบาปได้...พ่อเปิดบ่อน ขายเหล้า ขายหวย เปิดสถานบันเทิงกลางคืน แต่ก็ทำบุญมากมาย หลายคนได้รับความช่วยเหลือจนชีวิตดีขึ้นจริง ๆ

            วันสูญเสียแม่ ความเชื่อนั้นเริ่มคลอนแคลน...พ่อแม่ทำบุญมากมายขนาดนั้น เหตุใดเกิดเรื่องชวนสลดใจแบบนี้...

            กระทั่งมาเป็นผู้ช่วยยมทูต ได้พบพญามัจจุราช เห็นโลกหลังความตายอันน่าสะพรึง ความเชื่อเหล่านั้นถูกทำลายสิ้นเชิง จิตใจเห็นความจริง...บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ลบล้างกันไม่ได้

            นั่นเองคือสาเหตุให้แสดงความคิด ความรู้สึกออกมาทันทีเมื่อมีโอกาส...หวังว่าพ่อจะฉุกคิด หันกลับมาทันท่วงที

            “แกอยากให้พ่อเลิกอาชีพนี้หรือ” พ่อถามตรงไปตรงมา

            “ครับ” คำตอบชัด แววตาวิงวอน “ต่อให้พ่อเลิกทำธุรกิจนั้น เรายังมีสวนผลไม้ มีโรงงาน ยังไงไม่มีทางจนกว่าเดิมอยู่แล้ว”

            พ่อเลี้ยงบุญชัยหัวเราะหึหึ แววตาคับแค้นยากอธิบาย

            “แกรู้มั้ยถ้าพ่อเลิกทำธุรกิจนี้ จะมีกี่คนลำบากเดือดร้อน...คนที่หวังพึ่งใบบุญ ฝากชีวิตไว้กับเรา คนที่ยอมตายแทนเราได้ พวกนี้จะกลายเป็นคนไม่มีค่า ไม่มีที่ไป ครอบครัวพวกเขาจะย่ำแย่ขนาดไหน”

            ขุนคีรีถอนใจ พยายามหาวาจาหว่านล้อม

            “พ่อรู้มั้ย บ่อนใหญ่ของพ่อที่อยู่ ‘ฝั่งโน้น’ อาจถูกกฎหมาย แต่ทำให้ครอบครัว ‘ลูกค้า’ ไม่รู้เท่าไหร่ต้องวิบัติล่มจม ต่อให้บอกว่าไม่เคยบังคับใครเล่นการพนัน แต่การเปิดกับดักล่อแมลง ยังไงก็มีส่วนในการฆ่าเหมือนกัน”

            พ่อไม่เถียง ไม่แสดงโทสะ ระเบิดอารมณ์หงุดหงิดเมื่อถูกลูกชาย ‘สั่งสอน’ การนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ กระทำตนเสมือนภูเขาลูกหนึ่งที่มิอาจโยกคลอน ยากปีนข้าม ทำให้คนพยายามชักจูงท้อใจเอง



            “สองพ่อลูกมานั่งคุยอะไรหน้าเครียดเชียว” เสียงพลเทพดังขึ้นจงใจขัดจังหวะ

            สีหน้าขุนคีรีผ่อนคลายลง หันไปยิ้มบาง ๆ ให้เจ้าของบ้าน

            “ลุงพลตื่นนานแล้วหรือครับ”

            “นานแล้วอยู่ห้องทำงานน่ะ ไปกินข้าวเช้ากันแม่ครัวตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว”

            “ดีจริง ไม่ได้กินข้าวบ้านพี่พลนานแล้ว แม่ครัวคนเดิมหรือเปล่า” บุญชัยหาโอกาสเปลี่ยนเรื่อง

            “คนเดิมสิวะ” ตอบพลางหัวเราะเบา ๆ พยายามละลายความอึดอัดระหว่างสองพ่อลูก

            “อ้อ...จริงสิ ผมลืมขอบคุณที่ช่วยไว้คราวก่อนเลย ขอบคุณมากครับ ถ้าไม่ได้ลุงพลเรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แบบนี้”

            ชายหนุ่มพูดถึงเรื่องที่ไม่ยอมล้มมวยจนมีเรื่องกับแก๊งบิ๊กเพลิง

            “เฮ่ยเรื่องเล็กน้อย ไอ้เด็กนั่นมันไม่รู้ใครเป็นใคร ลุงแค่บอกให้มันรู้เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้เลย”

            ‘ผู้ใหญ่’ ทั้งสองสบตากันเข้าใจ ขุนคีรีไม่จำเป็นต้องพูดจาอะไรมาก สายตาพ่อตวัดหันมามองชั่วแวบ คล้ายบอกให้ทราบ...ถ้าไม่มี ‘บารมี’ เช่นนี้คุ้มครอง จะปลอดภัยถึงตอนนี้หรือไม่

            ชายหนุ่มก้มหน้ารับไม่ตอบโต้ นึกถึงคำท่านพญามัจจุราช...หากต้องการสอนพ่อแม่ให้เดินทางถูก ตัวเองต้องทำเป็นตัวอย่างให้เห็นเสียก่อน

            ขุนคีรีปฏิญาณในใจ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีต่างจาก ‘คนเก่า’ จนพ่อยอมรับเปลี่ยนแปลงตามให้ได้สักวัน




--------------- ------------ --------------




            ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดข้างร้านข้าวแกงยายปันตอนสาย รีบทำงานคั่งค้างช่วยยกอาหารมาวางเรียงหน้าตู้ทันก่อนมื้อกลางวัน เจ้าของร้านไม่บ่นอะไร เพราะโทรบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

            ตาแคล้วเห็นรถที่ขับมาจอดอดถามไม่ได้

            “เอามอ’ไซค์ใครมาขับล่ะ”

            ขุนคีรีเหลือบมองจักรยานยนต์ที่ตนยืมจากเข้มแล้วตอบสั้น ๆ

            “ยืมของพี่มาใช้ครับ”

            “สวยเท่เชียว ท่าจะแพง” ครูมวยบอกตามสายตาคนทั่วไป

            ชายหนุ่มไม่ต่อวาจา...นี่ขนาดยืมรถมอเตอร์ไซค์สุด ‘ธรรมดา’ ของพี่เข้มมาใช้ชั่วคราว ตาแคล้วยังประเมินราคาขนาดนี้ ขืนเห็นจักรยานยนต์ใน ‘คอลเลกชัน’ ที่ตนสะสม ครูมวยคงตกใจ เพราะขนาดคันพื้น ๆ ราคาถูกสุดยังหกหลักกลาง ๆ

            ช่วงนี้จำเป็นต้องใช้รถเดินทางไปมามากกว่าปกติ ตอนกลางวันสามารถช่วยงานร้านยายปัน ซ้อมมวยตามปกติ กลางคืนต้องไปฟังสวดศพ และนอนค้างเป็นเพื่อนพ่อกับลุงพลเทพจนกว่าจะเผาศพแพรตะวันเรียบร้อย

            การอยู่ร่วมกันช่วงนี้นอกจากทำให้พ่อ ลุงพลรู้จักเขาดีขึ้น ยังช่วยให้ล่วงรู้แผนการก้าวต่อไปของ ‘เจ้าพ่อ’ ทั้งสอง อย่างน้อยสามารถป้องกันครอบครัวบัวบุษรา และยิ่งกว่านั้นอาจยับยั้งไม่ให้พวกเขาทำเรื่องร้ายกว่าเดิม

            “เออ ต้องไปช่วยงานศพ ดูแลพ่อแบบนี้จะมีเวลาซ้อม ขึ้นชกไหวหรือเปล่า” ผู้เฒ่าเป็นห่วง

            “ไหวครับ เฮียบุ๋นแกกำหนดวันแล้วเหรอ”

            “กำหนดวันชก โปรโมตแกเป็นคู่เอกไปแล้ว มาได้แน่นะ”

            “วันไหนครับ”

            “ศุกร์หน้า”

            “ไม่มีปัญหา หลังงานเผาศพแล้ว ผมไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนพ่อ”

            “เออดี”

            ตาแคล้วไม่พูดมากกว่านั้น แววตามองชายหนุ่มคลางแคลงไม่แน่ใจ ตั้งแต่เห็นบิดาตามลูกชายถึงร้าน วันนี้ก็เอาจักรยานยนต์ราคาแพงมาใช้ คาดว่าขุนคีรีคงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน

            ขึ้นเวทีรอบนี้ อาจเป็นไฟล์ตสุดท้ายของนักชกมาดเซอร์ก็ได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


Kesara
About the author:


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP