วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๔



way cover



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



หน้าห้องฉุกเฉิน

นอกจากร้อยตำรวจเอกไทธัตจะงุ่นง่านเดินไปมาราวหนูติดจั่น เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลผู้ต้องสงสัยก็รุ่มร้อน แอบมองในห้องบ่อย ๆ ไม่แพ้กัน

...ไม่มีใครคิดว่าธนนท์จะโดนวางยาในอาหารแบบนี้...

ดาบตำรวจพนามาถึงหน้าห้องสบตานายตำรวจหนุ่ม ก่อนทั้งสองจะเลี่ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นออกมาคุยกันในที่ลับหูลับตาคน

“ใครวางยามัน ผู้กองทราบมั้ย”

“น่าจะเป็นตำรวจเก่าโดนปลดไปแล้ว แอบเอาข้าวกล่องมาให้ผู้ต้องสงสัยตอนไหนไม่มีใครทันสังเกต มันปลอมตัวหลบกล้องวงจรปิดเก่ง เห็นแค่ข้างหลังมองหน้าไม่ชัด”

“คิดว่ารับคำสั่งจากใคร” ตำรวจอาวุโสถามทั้งที่ตนคาดเดาออก

“น่าจะเป็นคนกลัวโดนซัดทอดนั่นแหละ”

“นายพลเทพ”

“ผมคิดเหมือนดาบ ครั้งนี้หลักฐานมัดธนนท์แน่นหนา ต่อให้ไม่ยอมรับแต่ลูกน้องมัน ‘จอห์น’ ถูกกันเป็นพยานฝั่งตำรวจ ยังไงเสียพลเทพต้องตัดความเสี่ยงตรงนี้ออกไปก่อนแน่นอน”

“หึหึ...เพราะทำอย่างนี้พลเทพถึงเป็นเจ้าพ่อค้ายาที่พวกเรารู้...แต่จับไม่ได้สักทีไง”

ดาบตำรวจพูดประชด เพราะ ‘เหตุผล’ ที่เจ้าพ่อคนนี้ยังลอยตัว พ้นคุกตารางมีมากกว่านั้น

“ดาบเองต้องระวังตัวด้วยนะ”

“ผมได้รับ ‘รูป’ เป็นคำเตือนแบบนั้น ต้องระวังตัวอยู่แล้ว มีอะไรอีกหรือเปล่าผู้กอง”

“ตอนดาบเข้าไปคุยกับธนนท์ ไม่แน่ใจว่านอกจากผมแล้วจะมีคนอื่นรู้อีกหรือเปล่า ถ้า ‘สาย’ ที่แทรกซึมในตำรวจรู้ว่าดาบได้พบเหยื่อเป็นคนสุดท้าย เจ้านายมันอาจระแวงกลัวธนนท์หลุดปากบอกอะไรไป ดาบต้องระวังตัวมาก ๆ ช่วงนี้อยู่นิ่ง ๆ ดีที่สุด”

ดาบตำรวจพนานึกทบทวนช่วงเวลาก่อนและหลังตนเข้าห้องสอบสวน ตอนนั้นนอกจากผู้กองไทธัตเฝ้าต้นทางแล้วไม่มีคนอื่น

ทว่า...อีกฝ่ายหลบในเงามืดหูตามากมาย มั่นใจไม่ได้เลยว่าการกระทำของตนจะรอดพ้นสายตาพวกมัน

“ได้สิผู้กอง ผมจะระวังตัวอยู่เงียบ ๆ สักพัก...น่าเสียดายจริง ๆ ไอ้ธนนท์เกือบยอมรับแล้ว ถ้ามีโอกาสเกลี้ยกล่อมอีกครั้งผมมั่นใจต้องหลุดอะไรออกมาแน่ ๆ”

“โอกาสผ่านไปแล้วช่างมันเถอะดาบ ตอนนี้เรายังเหลือจอห์นอยู่ในมือ ไอ้นี่อาจเป็นตัวพลิกเกมคว่ำเจ้าพ่ออย่างพลเทพก็ได้”

พูดไม่ทันจบประโยค โทรศัพท์มือถือไทธัตสั่นเรียกเข้า พอยกหูรับสายฟังรายงานหัวคิ้วก็ขมวดเคร่งเครียดทันที

ดาบตำรวจอาวุโสเห็นสีหน้านั้นเกิดลางไม่ดี พออีกฝ่ายวางสายก็ทราบข่าวโดยไม่ต้องถาม

“เซฟเฮาส์จอห์นโดนบุก ตำรวจบาดเจ็บ จอห์นหายสาบสูญ ไม่รู้หนีออกไปได้หรือโดน ‘อุ้ม’ ไปแล้ว”

ถอนใจเฮือกใหญ่อึดอัดเต็มที่ เส้นทางสืบหาความจริงอีกสายถูกตัดไปเสียแล้ว หรือว่าพวกเขาต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่




--------------- ------------ --------------




เหตุการณ์ บทสนทนาระหว่างผู้กองไทธัต ดาบตำรวจพนาอยู่ในสายตาบัวบุษรา ขุนคีรีตั้งแต่ต้นจนจบ

การทราบสาเหตุการตายธนนท์ รวมถึงพยานคนสำคัญหายไปจากเซฟเฮาส์ทำให้หญิงสาวใจหาย มองใบหน้าบิดาด้วยความวิตกเป็นห่วง

“ไปกันเถอะ” ขุนคีรีเอ่ยปาก ไม่อยากให้เธอฟังเรื่องราวมากกว่านี้

ความที่เคยโดนยมทูตหินผาตัดบท พาออกจากสถานการณ์คล้ายกัน บัวบุษราจึงไม่แปลกใจที่ผู้ช่วยยมทูตกระทำเช่นนี้

“ขอบัวอยู่ฟังอีกเดี๋ยวนะคะ”

“ได้ยินแล้วกังวลเป็นห่วงทุกข์ใจ พอตื่นตอนเช้าก็น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้ อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร” คำพูดเข้าใจสถานการณ์เธอดียิ่ง

“ค่ะ...ไปก็ได้” ยอมเดินตามออกมาด้วยไม่รู้จะเถียงอย่างไร

สองหนุ่มสาวเดินบนระเบียงยาวโรงพยาบาล แต่ละก้าวแฝงความกังวลครุ่นคิด เส้นทางคล้ายทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด จนขุนคีรีได้สติใช้พลังยมทูตเปลี่ยนสถานที่ทันที

แค่กะพริบตา รอบด้านกลายเป็นสวนสวยบนดาดฟ้าเพนท์เฮาส์บนตึกสูงยามค่ำคืน บรรยากาศหรูหราไฮโซมองเห็นแสงไฟตึกรายรอบระยิบพราย ถนนเบื้องล่างสว่างไสวทอดตัวคดเคี้ยวเป็นภาพสวยงาม

สถานที่เปลี่ยน อารมณ์เปลี่ยน บัวบุษราชะงักปรับความรู้สึกแทบไม่ทัน หันมองผู้ช่วยยมทูตอย่างสงสัย เหตุใดพามาที่นี่แทนกลับบ้าน

“คุณผู้ช่วยพาบัวมาเที่ยวที่ไฮโซแบบนี้ ไม่รีบส่งกลับบ้านแล้วหรือคะ”

“ถือว่าผมพามาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศแล้วกัน”

เขาบอกปัด ๆ ความจริงอยากหนีจากโรงพยาบาลให้พ้นเรื่องชวนปวดหัวเท่านั้น ไม่กำหนดสถานที่ทิศทางใดแน่นอน

“แหม ไม่ยักพาไปทะเลอีก”

“คราวก่อนพาไปแล้ว คิดว่าคุณอาจเบื่อเลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“บัวไม่เบื่ออะไรง่าย ๆ หรอก” หญิงสาวย่นจมูกน่ารัก “เค้ารักเดียวใจเดียว”

คนฟังอมยิ้ม หัวใจชุ่มชื่นบอกไม่ถูก

“ชอบภูเขา แม่น้ำทางเหนือมั้ย” อดถามถึงถิ่นบ้านเกิดตนไม่ได้

“ชอบค่ะ ชอบพอกันเลยทั้งทะเล ภูเขา แม่น้ำ”

“ไหนบอกว่ารักเดียวใจเดียว” คนถามแกล้งหน้ามุ่ย

“รักธรรมชาติ...ป่าเขา ลำธารแม่น้ำ ภูเขาทะเลไงคะ...ตอบเหมือนนางงามมั้ยเอ่ย”

เจอลูกไม้นี้ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาทอประกายความสุข จิตใจผ่อนคลายชั่วขณะ

บัวบุษรามองใบหน้านั้นด้วยรอยยิ้ม อดแหย่ไม่ได้

“คุณผู้ช่วยอย่ายิ้ม หัวเราะแบบนี้บ่อย ๆ นะคะ”

“ทำไม”

“เดี๋ยวสาว ๆ ที่เห็นจะละลายกันหมด...ผู้ชายอะไรหล่อไม่เกรงใจคนอื่น ถ้าวันไหนนึกสนุกอยากแปลงร่างเป็นมนุษย์ บัวขอจองตัวไปเดทสักวันนะ”

“แค่วันเดียว...พอหรือ” ถามด้วยรอยยิ้มในดวงตา

“พอแล้วค่ะ แบ่งให้สาวอื่นบ้าง” ตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องขันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง

“ได้ยังไงล่ะ...” ขุนคีรีพูดแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ “ผมก็รักเดียวใจเดียวเหมือนกัน”

เจอคำตอบเช่นนี้หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก บังเกิดความสุขอบอวลในอก ดอกไม้เบ่งบาน ผีเสื้อสีสวยบินว่อน เป็นบรรยากาศสวยงามถักทอจากอารมณ์ ความรู้สึกสองฝ่ายที่กำลังเชื่อมโยงกันช้า ๆ

สองหนุ่มสาวปล่อยเวลาเคลื่อนผ่านโดยไม่รีบเร่ง มองปลายฟ้ากำลังเปลี่ยนสีทีละน้อย ดวงดาวหรี่แสงทีละดวง แสงจันทร์ใกล้ลาลับ อรุณรุ่งกำลังย่างเท้ามาเยือน

“ขอบคุณ...คุณผู้ช่วยมากนะคะ ที่พาบัวมาเปลี่ยนอารมณ์ ช่วยให้คลายความกังวลเรื่องพ่อได้เยอะเลย”

“ดาบพนารักพวกคุณสองพี่น้องมาก คิดว่าไม่กล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ หรอก อีกอย่างคนวางระเบิดเสียชีวิตแบบนี้ คงเห็นแล้วล่ะว่ากรรมวิบากทำงานจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซง”

ขุนคีรีพยายามพูดให้เธอสบายใจ

“ค่ะ...เหตุการณ์คืนนี้ตั้งแต่ได้ไปพบท่านพญามัจจุราช จนมาเห็นสภาพคนวางระเบิดห้องอาหารในวาระสุดท้าย บัวเข้าใจเลยว่า...สิ่งน่ากลัวจริง ๆ ไม่ใช่มาเฟีย ผู้ร้ายที่ไหน แต่เป็น ‘กรรมวิบาก’ ที่ไม่รู้จะไล่ล่าเราเมื่อไหร่...ยิ่งได้ทราบว่าการจะเกิดเป็นมนุษย์ต้องมีต้นทุน ‘ศีลห้า’ เป็นอย่างน้อย ทำให้อดมองดูตัวเองไม่ได้ว่าเรามีศีลแค่ไหน”

คำพูดเรียบ ๆ กระแทกใจขุนคีรีจัง ๆ

ตอนเห็นสัตว์ในนรกชดใช้กรรม เขาเป็นห่วงพ่อกลัวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ลืมมองดูตัวเอง ลืมระลึกถึงสิ่งที่เคยทำในอดีต... ‘เด็กเกเร’ อย่างเขาเสี่ยงนรกไม่น้อยกว่าบิดา

คนเรามัวเพ่งโทษห่วงคนอื่นลืมดูตัวเอง แท้จริงเราก็ยังด่างพร้อย ศีลห้าไม่ครบ เสี่ยงลงอบายเช่นกัน!

...อย่างนี้ยังมีหน้าคิดชักจูงพ่อละความชั่ว กระทำกรรมดี ตั้งใจภาวนาอีก...

นี่กระมังพญามัจจุราชจึงบอกเอาไว้...ทำตัวเองเป็นตัวอย่างให้บุพการีเห็นเสียก่อน ถ้ายังทำไม่ได้จะไปสอนพ่ออย่างไร

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว มองหญิงสาวด้วยแววตารู้สึกผิด

“คุณอโหสิให้...ธนนท์ได้ง่าย ๆ เพราะเขากำลังจะตาย แต่กับ...เอ่อ...พ่อเลี้ยงบุญชัย คนออกคำสั่ง กับ...ลูกชายเขาที่มีส่วนพัวพันด้วย...คิดว่าจะให้อภัยได้มั้ย”

นี่เป็นคำถามหลุดจากปากแสนยากเย็น ถ้าไม่พูดตอนนี้คงไม่มีความกล้ายามเผชิญหน้าบนโลกจริง

“ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัย...” หญิงสาวทวนวาจา “เกี่ยวข้องเรื่องนี้ด้วยหรือคะ บัวไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงเลย”

การสืบคดีระหว่างดาบตำรวจพนา กับอดีตนายตำรวจรัชตะไม่ได้ลงลึกถึงสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกัน ไม่สืบเสาะละเอียดขนาดว่าระเบิดลูกแรกที่โยนเข้าไปในตึกข้างร้านอาหารใครเป็นคนผลิต

“เขาเป็นชนวนทำให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท ระเบิดลูกแรกที่โยนไปในตึกนั้น ถึงเจ้าตัวไม่ใช่คนโยนแต่ก็เป็นคนทำระเบิดเอง”

บัวบุษราทบทวนเรื่องราวตลอดการสนทนาเกี่ยวกับคดีอีกครั้งก่อนสรุป

“เท่าที่บัวทราบ...ต่อให้ไม่เกิดการทะเลาะวิวาท ไม่มีใครโยนระเบิดไปที่ตึกข้างร้านอาหาร ยังไงก็เกิดเพลิงไหม้อยู่ดี เพราะมันเป็นแผนเตรียมการล่วงหน้าอยู่แล้ว...คุณผู้ช่วยบอกเองว่า ‘เขา’ เป็นแค่ชนวนเหตุวิวาท เป็นคนทำระเบิด แต่ไม่ได้ร่วมเหตุการณ์ ไม่ใช่คนโยนเข้าไป...ถ้าไม่มีส่วนร่วมวางแผน ไม่มีเจตนาให้เกิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าผิดอะไร...บัวไม่จำเป็นต้องให้อภัยด้วยซ้ำ”

เหมือนได้ยินผู้พิพากษาพิจารณายกฟ้อง จำเลยไม่มีความผิด...ปมในใจขุนคีรีถูกปลดออกด้วยวาจาเรียบง่าย ตรงไปตรงมาของหญิงสาวผู้รับเคราะห์

“ขอบคุณมาก”

“คุณผู้ช่วยขอบคุณบัวทำไม แค่พูดตามเนื้อผ้าเท่าที่ได้ยินการสืบสวนมาเท่านั้นเอง”

“แล้วพ่อเลี้ยงบุญชัยล่ะ เขาเป็นคนสั่งธนนท์วางระเบิด...คุณอภัยให้เขาได้มั้ย”

คราวนี้ ‘ผู้รับเคราะห์’ เงียบ สังเกตจิตใจตัวเองจนกระจ่างก่อนตอบ

“สำหรับบัว...คนออกคำสั่งควรรับผิดชอบมากกว่าผู้รับคำสั่ง บัวคงให้อภัยพ่อเลี้ยงคนนี้ยากกว่าธนนท์”

ตอบเช่นนั้นชายหนุ่มไม่แปลกใจ แค่เกิดความหดหู่ขึ้นในอกเท่านั้น

บัวบุษรายังมีคำพูดต่อ

“ตอนกล่าวคำอโหสิกับธนนท์...รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งมีความสุขจริง ๆ เพราะคำพูดมันออกมาจากใจจริง สงสาร เห็นใจ และยกโทษให้จริง...เวลานี้ถ้าบอกว่าให้อภัย อโหสิกับพ่อเลี้ยงคนออกคำสั่ง...มันก็แค่คำโกหก...เป็นลมปากไม่มีความจริง บัวทำได้แค่ ‘ไม่ถือโทษ’ เอาความพวกเขา แต่ถ้าถึงขั้นไม่โกรธ อภัย ยกโทษ อาจต้องรออีกสักระยะ เชื่อว่าหากใจเราไม่ผูกพยาบาท สักวันความโกรธเกลียดในใจมันจะจางลง จนวันหนึ่งสามารถยกโทษ ให้อภัยเขาได้อย่างจริงใจ”

ขุนคีรีอยากดึงร่างบางมาโอบกอด ถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ ที่เอ่อล้นจากใจ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มารดาเสียชีวิต ที่หลุมดำในใจถูกถมจนเต็มด้วยแสงสว่างจากหญิงสาวคนนี้

“คุณ...เป็นผู้หญิงที่มีหัวใจมหัศจรรย์จริง ๆ”

หญิงสาวยิ้มเขิน ๆ กับคำชมโดยไม่ตั้งตัว

“บัวเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา...ที่ผ่านประสบการณ์ยากลำบากมาเท่านั้น ตอนมองไม่เห็นแรก ๆ กลัวตาบอดถาวรจนอยากตายหลายครั้ง ไม่อยากเป็นภาระพ่อกับพี่พร กว่าจะเข้มแข็งมาได้แทบแย่ ต้องขอบคุณทุกคนรอบตัว ขอบคุณโอกาสที่ทำให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่า...”

วาจาอ่อนหวาน รอยยิ้มนักสู้ปรากฏบนใบหน้า

“การได้ติดตามยมทูตหินผา ผู้ช่วยขุนคีรีมาพบเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้เห็นตัวเองสบายกว่าคนอื่นมากมาย คืนนี้เจอนรก โลกเปรตยิ่งรู้สึกโชคดีที่ยังไม่ตาย เพราะต่อให้ตาบอดมองไม่เห็นตลอดชีวิต ก็ยังเป็นมนุษย์มีความสุขกว่าอยู่ในภพเหล่านั้นแน่นอน...ตอนนี้ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว...บัวมีเป้าหมายใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีประโยชน์ สมค่าได้เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

นี่กระมังเหตุผลที่พญามัจจุราชเปิดโอกาสหายากแก่บัวบุษรา

แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า ระบายสีรุ่งอรุณแก่โลก มันงดงามไม่ต่างจิตใจหญิงสาวตรงหน้า ขุนคีรีได้รับโอกาสไม่ต่างจากเธอ ทว่ามันจะมีผลเปลี่ยนแปลงต่อจิตใจอย่างไร




--------------- ------------ --------------




ช่วงสามสี่วันหลังจากนั้นไม่มีภารกิจยมทูตชิ้นใหม่ ขุนคีรีใช้เวลาว่างตอนกลางวันติดตามข่าว ‘ธนนท์’ พยานคนสำคัญเสียชีวิต เห็นตำรวจไม่มีเบาะแสเพิ่มเติม ไม่มีอะไรคืบหน้า สื่อไม่กดดันจึงเงียบหายราวคลื่นกระทบฝั่ง

กลางคืนเฝ้าดูบริเวณรอบบ้านบัวบุษราเกรงว่าอาจมีการบุกรุก ‘เช็กบิล’ ดาบตำรวจพนาและครอบครัว เพื่อปิดปากผู้สอบพยานคนสุดท้าย

ขุนคีรี ‘เฝ้ายาม’ แค่คืนสองคืนสังเกตเห็นสัมภเวสี วิญญาณชายชราแต่งกายโบราณเดินวนเวียนแถวนั้น เข้าไปพูดคุยทราบว่าชื่อ ‘ทองก้อน’ เคยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ที่นี่ ไม่มียมทูตตนใดพาไปพบพญามัจจุราชเสียที

‘ดวงตายมทูต’ บอกว่าสัมภเวสีนี้เสวยภพเป็น ‘เปรต’ ประเภทหนึ่งอยู่ใกล้ชิดมนุษย์ ตายมาเป็นร้อยปีแล้วน่าจะยังอยู่อีกนาน ไม่ลำบากเท่าเปรตที่เคยเห็น ลำบากอดอยากแต่สามารถอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศลได้

ชายหนุ่มจึงทำบุญใส่บาตรให้ แล้วขอให้ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลครอบครัวบัวบุษรา หากมีเหตุฉุกเฉินหรือเรื่องร้ายใดให้รีบแจ้งทันที

พอจัดการเรื่องสำคัญ วางใจระดับหนึ่งค่อยคลายใจลง คาดไม่ถึงบ่ายวันนี้จะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นที่ร้านข้าวแกงยายปัน

ช่วงบ่ายจัดกับข้าวเกลี้ยงเกือบทุกถาด เหลือติดก้นเล็กน้อยโดยมากจะเก็บไว้ให้ลูกจ้างร้านกินเป็นมื้อเย็น

ขุนคีรีกินง่าย นอนง่าย ทำงานคุ้มค่าที่พัก สองสามีภรรยาผู้เฒ่าเคยสงสัย บิดามารดานักมวยหล่อเซอร์ผู้นี้เป็นใคร ประกอบอาชีพอะไร ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงมาใช้ชีวิตเช่นนี้

แรก ๆ ตาแคล้วเคยใช้ความสนิทสนมฉันอาจารย์ลูกศิษย์ถามทางตรงทางอ้อม เจ้าตัวมักเฉยไม่ตอบ ไม่แสดงกิริยาใดให้คาดเดาว่ามีสิ่งซ่อนเร้นในใจ อยู่นาน ๆ ค่อยชิน เลิกสนใจประวัติความเป็นมาเอง

ไม่มีใครคาดคิด บ่ายแก่ ๆ วันนี้จะมีชายกลางคนหน้าตาดีสวมเสื้อคอฮาวาย กางเกงขายาวลำลอง สวมรองเท้าแตะคีบ เดินมานั่งในร้าน ทำตัวเสมือนลูกค้าทั่วไป

“กับข้าวหมดเกือบทุกอย่างจะปิดร้านแล้ว อยากกินอะไรล่ะคุณ” ยายปันถามลูกค้า

“เหรอครับ”

ลูกค้าพูดจาสุภาพ เดินมาดูกับข้าวก้นถาดพลางถามกึ่งชวนคุย

“ของเหลือแค่นี้ไม่พอตักใส่ถุงแน่ ถ้าไม่มีใครสั่งตักราดข้าวจะทำยังไง”

“อ๋อ...พวกนี้น่ะไอ้ขุน...ลูกจ้างร้านมันเก็บไว้กินมื้อเย็นได้”

ดวงตาชายกลางคนฉายแววประหลาดใจ ริมฝีปากมีรอยยิ้มขันซึ่งนานครั้งจะเกิดขึ้น

“ขุน...เอ่อ...ลูกจ้างร้านกินกับข้าวก้นถาดแบบนี้จริงหรือ”

“ถึงจะก้นถาดแต่ฉันทำใหม่ ๆ ทุกวันนะ รสชาติไม่เสียหรอกเก็บไว้กินตอนเย็นก็ยังไม่บูด ขุนมันกินหมดทุกวันไม่เห็นบ่น”

ยายปันรู้สึกเหมือนโดนปรามาส เสียงจึงดังขึ้นทั้งที่ไม่โมโห โกรธเคืองอะไร

“ขอโทษด้วย” ลูกค้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมคิดไม่ถึงน่ะ”

พออีกฝ่ายเสียงอ่อนลง ยายปันเริ่มรู้สึกตัวพูดกับลูกค้าดีขึ้น

“ถ้ากับข้าวก้นถาดยังไม่ถูกใจ คุณอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวฉันทำให้ใหม่ก็ได้ ที่จริงกำลังจะเตรียมทำแกงถุงขายตอนเย็นเหมือนกัน มาถึงร้านแล้วไม่อยากให้เสียเที่ยว”

“ขอข้าวไข่เจียวแล้วกัน” ลูกค้าเลือกเมนูง่ายสุด ไม่ให้แม่ค้าลำบาก

“ได้...รอแป๊บนึง”

แม่ค้ากับลูกค้าตกลงกันเรียบร้อย ฝ่ายหนึ่งกลับไปนั่งรอที่โต๊ะ อีกฝ่ายตั้งกระทะ ตอกไข่ใส่ชามเตรียมอาหาร คนอยู่หลังร้านได้ยินเสียงดังแต่แรกเพิ่งเดินออกมา

ตาแคล้วเห็นภรรยาก้มหน้าตีไข่เจียว ลูกค้านั่งรอโดยไม่มีปัญหาค่อยคลายใจ กำลังจะดึงขุนคีรีที่ออกมาด้วยกันกลับไปซ้อมมวยต่อ เตรียมขึ้นสังเวียนรับแมตช์สำคัญข้างหน้า

หนุ่มนักมวยกลับยืนนิ่ง มองลูกค้ารายเดียวในร้านอย่างคาดไม่ถึง นัยน์ตาฉายแววตกใจทำตัวไม่ถูก สองผู้เฒ่าไม่เคยเห็นกิริยาเช่นนี้มาก่อน

“พ่อ!”

คำเรียกขานยามเมื่อสองสายตาสบกัน ลูกค้ารายนั้นส่งรอยยิ้มแปลก ๆ ไม่ขยับตัวจากเก้าอี้ ส่งเสียงขานรับแค่...

“ไม่เจอกันนานเลยนะ...ไอ้ลูกชาย”




--------------- ------------ --------------




ข้าวไข่เจียวหอมฟุ้ง แถมด้วยน้ำปลาพริกหอมซอยน่ารับประทานวางเคียงบนโต๊ะเรียบร้อย เจ้าของร้านตั้งใจทำสุดฝีมือให้บิดาลูกจ้างประทับใจ

สองพ่อลูกนั่งร่วมโต๊ะโดยไม่มีบทสนทนา ผู้เฒ่าสองสามีภรรยาแอบกระซิบกระซาบกันด้านหลัง พลางส่งสายตามองเป็นระยะ

“ว่าแล้วไอ้ขุนมันต้องไม่ธรรมดา” ตาแคล้วพูด

“ไม่เท่าไหร่หรอกว้า...แต่งตัวธรรมดาลากอีแตะเดินเข้าร้าน ไม่เห็นมีรถหรูมาจอดส่งเหมือนเศรษฐีที่ไหน น่าจะเป็นคนธรรมดานี่แหละ แต่ดูสุภาพไม่เถื่อนเหมือนลูกชาย”

“ยายปันแกดูยังไงบอกลูกศิษย์ฉันเถื่อน ผิวพรรณมันออกจะเป็นคุณชายคุณหนู พอเห็นหน้าพ่อมันก็รู้เลยว่าเศรษฐีแน่ ๆ สงสัยจะมาตามลูกชายกลับบ้าน”

“ไอ้แก่อย่ามาเดาอะไรส่งเดชน่ากลัวอย่างนั้นนะ ถ้าไอ้ขุนกลับบ้านจริงจะหาใครมาช่วยงานฟรี ๆ แบบนี้อีก”

“แกนี่น้ายายปันคิดถึงแต่ตัวเอง แทนที่จะสงสัยพ่อลูกทะเลาะเรื่องอะไร ลูกชายถึงหายหน้าเป็นปีสองปีกว่าพ่อจะยอมมาตามแบบนี้”

“ไม่อยากรู้เว้ย...ฉันกลัวไม่มีใครช่วยงานเท่านั้นแหละ”

ยายปันตอบสะบัด ๆ ทั้งที่ใจจริงก็อยากรู้ไม่น้อยกว่าสามี เพียงแต่สองพ่อลูกแทบไม่เอ่ยวาจา หรือต่อให้พูดก็เสียงเบาเกินกว่าจะได้ยิน



ขุนคีรีรอจนพ่อตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเรียบร้อย เลื่อนน้ำเย็นให้ดื่มแล้วถอนใจเบา ๆ คิดไม่ถึง ‘พ่อเลี้ยง’ ผู้มากบารมีจะมานั่งในร้านเก่าโทรมขนาดนี้

“พ่อมาทำอะไรที่นี่”

“ไม่เจอหน้ากันตั้งนาน แกถามพ่อแค่นี้เหรอ”

“ทุกทีมีอะไรเห็นสั่งพี่เข้มมาบอกตลอดนี่”

“ที่สั่งเข้มมาบอก เพราะแกไม่ยอมเจอหน้าพ่อเองนี่หว่า”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ขุนคีรีเถียงแบบเด็ก ๆ

“พ่อคิดไม่ถึงว่าแกจะอยู่ที่นี่มาเกือบสองปี กินกับข้าวก้นถาดได้ เมื่อก่อนเลือกกินนักหนา ไอ้โน้นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็ไม่ชอบ...จนแม่ครัวที่บ้านลาออกไปกี่คนแล้ว”

“ผมโตแล้วนะพ่อ” บอกปัดด้วยไม่อยากพูดถึงตัวตนเก่า ๆ “บอกธุระที่มาหาดีกว่า”

“มาเยี่ยมลูกชาย ต้องมีธุระอะไร” พูดอย่างนี้แสดงว่าอารมณ์ดี

“งั้นอยากไปดูห้องนอนผมด้วยมั้ย” ลูกชายประชด

“ไม่ต้องหรอก เข้มถ่ายรูปมาให้ดูแล้ว”

ขุนคีรีถอนใจ ไม่รู้ว่าโดนแอบถ่ายรูปห้องส่วนตัวตอนไหน ฝีมือ ‘สายสืบ’ พ่อร้ายกาจจริง

“เอาจริง ๆ มีธุระอะไร”

“จะชวนไปงานศพ” คำตอบเกินคาดหมาย

“งานศพใคร” ขุนคีรีสงสัย ผู้ตายต้องเป็นบุคคลสำคัญพ่อและเขารู้จักดี

“แพรตะวัน...ลูกสาวลุงพลเทพไง”

คำตอบเหมือนฟ้าผ่ากลางแดดเปรี้ยง ตกใจคาดไม่ถึง พูดอะไรไม่ออก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP