วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๓



way cover










ชลนิล







(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ภาพเหล่านั้นปรากฏบนผนังคล้ายจอภาพยนตร์สามมิติชั้นดี มองเห็นละเอียดทุกซอกมุมโดยไม่ต้องใช้แว่นพิเศษใด ผู้บรรยายเป็นพญามัจจุราช บอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่มีอารมณ์สาแก่ใจ หรือสังเวช หดหู่

            ผู้ชมทั้งสองต่างตระหนก หวาดหวั่น ใจหายวูบ ความกลัวจากส่วนลึกพุ่งขึ้นมาจนแทบอยากหลับตา ไม่กล้ามอง อยากปิดหูไม่ต้องการฟังคำบรรยายจนจบ

            ถึงอย่างนั้นพวกเขาไม่ได้กระทำตามต้องการ ด้วยทราบว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ใครก็มีโอกาสชมได้

            ยมทูตหินผาจับตามองขุนคีรีเป็นพิเศษ เห็นความหดหู่ หวาดกลัวในแววตา ริมฝีปากเม้มแน่นสะกดกลั้นไม่กล้าหลุดวาจาใด ๆ

            ...เขากำลังกลัวโทษทัณฑ์ในนรกอย่างยิ่ง...เพราะบิดาตนเอง และคนใกล้ชิดต่างกระทำกรรมเสี่ยงต่อนรกทุกวัน!

            เมื่อภาพและคำบรรยายจบลง เจ้าแห่งนรกหันมาถามผู้ชมทั้งสอง

            “ได้ทัศนานิรยภูมิขุมนี้แล้วรู้สึกอย่างไร”

            “กลัวค่ะ” บัวบุษราตอบก่อน “แล้วก็สงสารผู้ใช้กรรมในนั้น”

            “ผลที่ได้รับย่อมสมกับเหตุที่กระทำ” พญามัจจุราชกล่าว “ถ้าเจ้ามีโอกาสห้ามสัตว์นรกเหล่านั้นตอนเป็นมนุษย์ ชี้แจงว่าอย่ากระทำกรรมชั่วเลย ผลที่ได้รับมันเผ็ดร้อนรุนแรงขนาดนี้ คิดว่าเขาจะเชื่อและหยุดกระทำชั่วหรือไม่”

            “คง...ไม่หรอกค่ะ” บัวบุษราไม่ใช่ผู้หญิงโลกสวย ยอมรับความจริงว่าคงไม่มีใครเชื่อ

            ‘ความชั่ว’ ที่ย้อมใจจากผิดเป็นถูก จากดำเป็นขาวเสียแล้ว คงยากที่จะฟังเรื่องกฎแห่งกรรม

            ถึงตรงนี้ขุนคีรีอดไม่ได้ต้องพูดบ้าง

            “ถ้า...คนผู้นั้นไม่ได้กระทำชั่วอย่างเดียว เขาอาจร่ำรวยจากธุรกิจเปิดบ่อนมอมเมาผู้คน ทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ทำธุรกิจกลางคืน บางครั้งสั่งลูกน้องไปเบียดเบียน ทำร้ายคู่อริ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีจิตใจกว้างขวาง ช่วยเหลือผู้คนลำบาก ตกทุกข์ได้ยาก อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เป็นเจ้าภาพสร้างโบสถ์ วิหารเป็นถาวรวัตถุให้ผู้คนมาทำบุญ...อย่างนี้มีโอกาสรอดจากนรกมั้ยครับ”

            พญามัจจุราช ยมทูตหินผาไม่แปลกใจคำถามนี้ รู้ว่าขุนคีรีหมายถึงพ่อเลี้ยงบุญชัย บิดาตน บัวบุษรากลับแปลกใจหันไปมองอย่างสงสัย ไม่กล้าเอ่ยถามก่อนผู้เป็นใหญ่ในนรกจะตอบวาจา

            “บุคคลประเภทเดียวที่ไม่รอดจากนรกแน่ ๆ คือผู้กระทำอนันตริยกรรมห้า...ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้หมู่สงฆ์แตกแยก ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต”

            คำตอบพญามัจจุราชชัดเจน ตรงไปตรงมา รอยแย้มมุมปากบอกให้ทราบว่า...ความเป็นจริง สัตว์นรกส่วนใหญ่ไม่ได้กระทำกรรมหนักขนาดนั้น

            “แล้ว...” ขุนคีรีกัดฟันถามคำเดิมอีกครั้ง “คนที่ผมยกตัวอย่าง...สามารถ...ไม่ตกนรกได้มั้ยครับ”

            “องคุลีมาลฆ่าคนเกือบพัน พอบวชบำเพ็ญเพียรยังสามารถเป็นพระอรหันต์ได้”

            ตัวอย่างที่เจ้าแห่งนรกยกมา ขุนคีรีได้ยินตั้งแต่เด็กสมัยเข้าวัดกับแม่ จึงเอ่ยค้านเบา ๆ

            “องคุลีมาลท่านได้พบพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมศาสดา พะ...เอ่อ...บางคนไม่มีโอกาสเช่นนั้น ‘เขา’ จะรอดจากโทษทัณฑ์ในนรกอย่างไร”

            เกือบหลุดปากเอ่ยถึง ‘พ่อ’ ด้วยแววตาวิงวอน จริงใจ สำหรับขุนคีรีเมื่อสามารถยืนต่อหน้าเจ้าแห่งนรก ย่อมหาหนทางช่วยเหลือบิดาเต็มที่

            “มนุษย์ทั่วไปมักทำกรรมดี กรรมชั่วคละเคล้าอยู่แล้ว...บางคนเวลาดีก็ดีใจหาย มีน้ำใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เวลาร้ายก็ร้ายจริง มีอำนาจทำชั่วเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนพวกนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง กรรมด้านใดส่งผลก่อนก็ไปรับวิบากนั้นก่อน มัจจุราชอย่างเราไม่ต้องเสียเวลาชักจูงตัดสินให้”

            ผู้ฟังยังไม่ลงใจ พญามัจจุราชกล่าวต่อ

            “หากคนผู้นั้น ‘สำนึกผิด’ เร็ว เกิดสติปัญญาหยุดกระทำชั่วเสีย แล้วเร่งสร้างกุศลกรรมฝั่งตรงข้ามกับบาปที่ทำไว้ ขยันบำเพ็ญภาวนาให้ใจพ้นทุกข์เช่นพระองคุลีมาล...ก็อาจมีสิทธิรอด”

            “หมายความว่าบุญใหม่หักล้างบาปเก่าได้ใช่มั้ยครับ”

            “ไม่ใช่...เปรียบบุญ - บาปเหมือนน้ำกับเกลือในโอ่งใบหนึ่ง...โอ่งที่มีเกลือมากกว่าน้ำย่อมทำให้น้ำเค็มปร่า ใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำเป็นต้องเติมน้ำสะอาดเข้าไปแทนที่...ต้องพยายามสร้างกรรมดีที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับกรรมชั่วนั้นไปเรื่อย ๆ จนมีปริมาณมากพอ ทำให้น้ำในโอ่งปราศจากความเค็ม...ทั้งที่หลงเหลือเกลืออยู่เท่าเดิมนั่นแหละ”

            วาจานั้นจุดสติปัญญาชายหนุ่มสว่างวาบ...ขณะเดียวกันก็นึกสงสัย...เขาอาจชักชวนพ่อสร้างกรรมดีได้บ้าง แต่ขอให้เลิกทำกรรมชั่วนั้นยากเย็นเหลือเกิน

            ...จะเป็นอย่างไร หากขยันเติมน้ำสะอาดลงไป โดยไม่หยุดเทเกลือถุงใหม่ลงในโอ่งใบนั้น...

            คำตอบกระจ่างแก่ใจ ด้วยภาพเปรียบเทียบชัดเจนโดยไม่ต้องการคำอธิบาย

            ผู้เป็นเจ้าแห่งนรกเห็นข้อสงสัยชายหนุ่ม จึงกวักมือเรียกทุกคนเดินออกจากห้องนั้น มายังประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดกว้าง มองเห็นสถานที่เวิ้งว้างเบื้องล่างสุดสายตา

            “เรามีอีกตัวอย่างให้ดู ลองทอดสายตามองเบื้องล่างสิ”

            ขุนคีรี บัวบุษรามองลงไปตามคำสั่ง ลานหินสลับเนินดินกว้างไกล แห้งแล้งดูเลือนราง สายลมพัดฝุ่นทรายปลิวว่อนเป็นม่านจาง ๆ ก่อนปรากฏภาพสถานที่กว้างขวาง ทุรกันดารแห่งหนึ่ง




--------------- ------------ --------------




            ที่นี่คือโลกเปรต แม้ความทุกข์จะน้อยกว่านรก แต่ยังเป็นดินแดนห่างไกลจากความสุข

            อาณาเขตกว้างขวาง แห้งแล้งกันดาร ผู้เสวยกรรมในภพนี้ล้วนอดอยาก หิวโหยเป็นนิตย์ จิตใจกอปรด้วยความโลภ รูปลักษณ์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพผอมโซ หนังติดกระดูก แขนขายืดยาว แสวงหาของกินโดยไม่รู้อิ่ม

            มันผู้นั้นสมัยมีชีวิตชื่อ ‘ศักดิ์ชาย’ มีตำแหน่งใหญ่โตเคยขึ้นเป็นถึงผู้บริหารประเทศ จิตใจกลับคิดคด ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกิน แอบนำทรัพย์แผ่นดินมาถลุงใช้กันเฉพาะตนและพวกพ้อง

            เมื่อมีคนดีขึ้นมาคัดค้านต้านทาน ก็กลับถูกเป็นผิด เปลี่ยนดำเป็นขาว หาเรื่องใส่ความสร้างหลักฐานเท็จ หนำซ้ำพอเขาพยายามหลบหนีเอาตัวรอด ยังสั่งคนวางระเบิดสังหารทั้งครอบครัว รวมถึงคนไม่มีความผิดด้วยใจอำมหิต

            กรรมเช่นนี้เพียงพอให้มาเสวยผลในนรกแล้ว ทว่าวิบากกรรมไล่ล่ามันตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์

            ศักดิ์ชายถูกพวกพ้องหักหลัง ร่วงจากตำแหน่งอย่างเจ็บปวด หนำซ้ำป่วยด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ดื่มกินแต่ละครั้งทุกข์ทรมานเกินทน ทรัพย์สินมหาศาลที่โกงมาไม่อาจช่วยให้มีความสุข ภรรยานอกใจ ลูก ๆ ต่างแก่งแย่งหวังสมบัติ

            ช่วงสองเดือนสุดท้ายก่อนตายเกิดสำนึกผิดรุนแรง มองเห็นบาปกรรมเหลือคณาสร้างไว้เกินแก้ เขาตัดสินใจสร้างกรรมดีฝั่งตรงข้ามขนานใหญ่ เขียนจดหมายสารภาพผิดทุกอย่างที่เคยกระทำ แก้ข้อกล่าวหาคนที่เคยถูกตนกระทำใส่ความจนตาย นำทรัพย์สมบัติที่มีตั้งมูลนิธิกองทุนช่วยเหลือ ‘แพะ’ เหยื่อที่ถูกใส่ความทั้งหลาย รวมถึงคนที่ไม่รู้กฎหมายแต่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีใครช่วยเหลือ

            เขาตายด้วยจิตมีสำนึก พยายามสร้างกรรมดีเท่าที่ทำได้ น่าเสียดาย ‘เกลือบาป’ ในโอ่งมีมาก ปริมาณน้ำสะอาดพยายามตักเติมเต็มกำลังสองเดือนสุดท้ายทำได้เพียงลดทอนความเค็มลง

            อัตภาพใหม่ของศักดิ์ชายกลายเป็นเปรตผอมสูงคอยืดยาว แขนขาเก้งก้าง ร่างกายผอมแห้งหนังติดกระดูก ริมฝีปากเล็กกว่ารูเข็ม ต่อให้พบอาหารสิ่งกินได้ก็ไม่สามารถนำเข้าปาก กระทั่งน้ำสักหยดยังหายาก

            พวกพ้องในภพเปรตมากมาย ล้วนอดอยากหิวโหยไม่น้อยกว่ากัน แต่ละตนอดอยากเป็นนิตย์ แสวงหาอาหารอย่างบ้าคลั่ง หลายครั้งคล้ายมองเห็นอาหาร แหล่งน้ำอยู่ข้างหน้าก็พยายามวิ่งกรูกันไปแย่งชิง กลับพบความว่างเปล่า ถูกหลอกล่อเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ

            นานครั้งเจออาหารจริง ๆ เปรตเหล่านั้นก็ตบตีแย่งชิง ทำร้ายกันเพื่อข้าวสักเม็ด น้ำสักหยด ทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสนสาหัสก็ยังไม่ได้อาหารตามต้องการ

            ความโลภโมโทสัน ความตระหนี่ถี่เหนียว เอาเปรียบโกงกิน อาจทำให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีบนโลกมนุษย์ เมื่อใดกรรมผลิดอกออกผล ตายแล้วเกิดในดินแดนแห่งนี้จะพบว่า...มหาสมบัติหามาทั้งชีวิต ไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย

            ชีวิตเสวยสุขจากสมบัติร้อน ทรัพย์สินได้มาด้วยความมิชอบนั้นสั้นนัก...วันเวลาแห่งความอดอยาก หิวโหยทรมานจากผลกรรมเหล่านั้น ยาวนานกว่ากันจนเทียบไม่ได้เลย




--------------- ------------ --------------




            ภพเปรตเบื้องหน้าเลือนหาย กลายเป็นดินแดนร้างโล่งเช่นเดิม

            ขุนคีรีนิ่งงัน ครุ่นคิดทบทวนพูดอะไรไม่ออก ลำคอจุกตันด้วยความอเนจอนาถกับสิ่งที่เห็น ใจพยายามหาหนทางช่วยเหลือบิดาไม่ให้ต้องมาอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้

            ...ทำอย่างไรพ่อถึงจะรอดพ้นจากบาปกรรมที่กระทำ...วิธีใดช่วยไม่ให้ลงมารับโทษสถานที่แห่งนี้ได้...

            “มนุษย์...ตราบใดยังมีชีวิต และไม่เคยกระทำอนันตริยกรรมฝ่ายชั่วย่อมมีโอกาสหลีกเลี่ยงอบายภูมิ หวังสุคติเป็นภพข้างหน้าได้...ถ้า...บังเกิดความเห็นถูก...ละความชั่วให้สิ้น สร้างกุศลความดีให้ถึงพร้อม และขัดเกลาจิตใจด้วยการบำเพ็ญภาวนาจนถึงที่สุด”

            พญามัจจุราชเฉลยข้อข้องใจชายหนุ่มโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

            เพียงแต่...พูดง่าย กระทำยากนักหนา

            “มีอะไรอยากถามเราอีกหรือไม่” ผู้เป็นใหญ่ในนรกเปิดโอกาสครั้งสุดท้าย

            ขุนคีรีย่อมไม่กล้าเอ่ยถาม บัวบุษรานึกถึงบิดาตนกำลังทำงานเสี่ยงอันตราย อยากหาวิธีชี้นำ ชักจูงให้เลิกอาฆาตพยาบาทเพื่อความปลอดภัยตัวเอง

            “บัวจะบอกหรือสอนพ่อยังไงคะ ให้ท่านเลิกตามสืบเอาเรื่องพวกที่ทำให้บัวเป็นแบบนี้...กลัวท่านเป็นอะไรไป”

            “การสั่งสอนบิดามารดา หรือกระทั่งแนะนำเส้นทางที่ถูกเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง”

            “นั่นสิคะ บัวก็คิดอย่างนั้น”

            “สิ่งที่เราทำได้มีแค่...” พูดถึงตรงนี้สายตาแลยังชายหนุ่มผู้ช่วยยมทูต

            ขุนคีรีเงยหน้ารอฟัง ดวงตาสบกันเข้าใจชัดว่าท่านต้องการบอกต่อตนเอง

            “แค่กระทำตนเป็นตัวอย่าง สิ่งไหนดี...ทำให้ดูก่อน ให้เขาเห็นว่าเราเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีแล้วเป็นสุขอย่างไร เมื่อใจหมดอาฆาต พยาบาทมันปลอดโปร่ง เบาสบายขนาดไหน...ยอมผละจากเส้นทางเสี่ยงอันตราย มาเดินบนเส้นทางสัมมาชีพจะรู้สึกไม่ต้องหวาดระแวงเพียงใด”

            วาจาจบเพียงเท่านั้น ผู้เป็นใหญ่ในนรกละจากบานประตูกลับเข้ามาห้องโถง บอกต่อขุนคีรีง่าย ๆ

            “เหตุผลที่เราให้พวกเจ้ามาที่นี่หมดแค่นี้ ผู้ช่วยยมทูตพาบัวบุษราไปส่งด้วย”

            “ครับ”



            หลังสองหนุ่มสาวออกจากห้องโถงคูหาถ้ำหลัก เหลือพญามัจจุราชกับยมทูตหินผา บรรยากาศโดยรอบมิร้อนอบอ้าวเท่าใด ผู้เป็นนายมีเรื่องสนทนากับลูกน้องตน

            “เป็นอย่างไรบ้าง มั่นใจเดิมพันครั้งนี้หรือไม่”

            “ชายหนุ่มผู้นี้พระองค์แนะนำ กระหม่อมย่อมมั่นใจ”

            รอยแย้มริมฝีปากผู้เป็นใหญ่แสดงถึงความเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชา

            “เรากลับไม่แน่ใจ จึงบอกให้เจ้าพาเขามาที่นี่เพื่อทัศนาบทลงโทษผู้กระทำบาปผิด”

            “มนุษย์จำนวนไม่น้อยเคยเห็นแดนนิรยภูมิมาแล้ว ยังไม่อาจรับรองว่าเขาจะสามารถ ‘ปิดอบาย’ ได้เลย”

            “นั่นสิ ‘กิเลส’ เป็นสิ่งทรงอานุภาพยิ่ง สามารถเคลื่อนโลกและวัฏสงสาร ขุนคีรีมีธาตุแท้ความดี และความชั่วพอกันทั้งสองด้าน...หากเป็นคนดี เขาจะดีกว่าใคร เป็นผู้นำบุญ สร้างแรงบันดาลใจใหญ่ขึ้นมา แต่เมื่อพลิกมาร้าย ด้วยปัจจัยปัจจุบันส่งเสริม เขาจะกลายเป็นจอมวายร้ายไม่มีใครทาบ อำนาจบารมีเหนือกว่าผู้ร้ายหลายคนทีเดียว”

            “ขอรับ...นี่จึงเป็นตัวเลือกดีสุดให้เสี่ยงเดิมพัน เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญส่งเสริม ‘ปลายทางยมทูต’ ของกระหม่อม”

            “อืม...ปลายทางแห่งยมทูต...เราจำไม่ได้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน”

            “นานมากแล้วพระองค์...กระหม่อมเคยเป็นตั้งแต่นายนิรยบาลลงโทษเหล่าสัตว์นรก จนเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นยมทูตรับดวงวิญญาณจากโลกมนุษย์ตั้งแต่สมัยผู้คนต่อสู้กันด้วยหอก แหลน หลาวจนถึงทุกวันนี้”

            “เรายินดีที่เจ้าใกล้หมดวาระยมทูตเสียที อัตภาพใหม่ที่จะไปเกิดนี้ นอกจากใช้กุศลกรรมเก่าที่เคยทำในอดีตชาติเป็นตัวบ่งชี้...ปัจจุบันกรรมก็มีส่วนไม่น้อย หวังว่าการเดิมพัน ‘เลือก’ ขุนคีรีจะเป็นเหตุแห่งกุศลแก่เจ้าเช่นกัน”

            “กระหม่อมก็หวังเช่นนั้น”

            “อย่าลืม ‘ยมทูต’ เป็นแค่ผู้ส่งสารจากยมโลก...ต่อให้เดิมพันชายผู้นี้เพียงไรก็ห้ามแทรกแซง ทำเกินหน้าที่ตน”

            “กระหม่อมทราบดี...เชื่อว่า ‘สาร’ ต่าง ๆ ที่ทยอยส่งให้ทีละชิ้น จะส่งผลเมื่อถึงวินาทีที่เขาต้อง ‘เลือกสรร’”

            “อืม...ถือว่าเราเอาใจช่วยเจ้าแล้วกัน”

            พญามัจจุราชพยักหน้า หันหลังเดินกลับเข้าไปยังหลืบคูหาถ้ำด้านใน ปล่อยยมทูตยืนสงบสำรวม สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งที่ทราบล่วงหน้า...

            วินาทีแห่งการ ‘เลือกสรร’ ของขุนคีรีใกล้เข้ามาแล้ว











บทที่ ๑๔



            ออกจากคูหาห้องพิจารณากลับมาคูหาแรกประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ สองหนุ่มสาวนั่งคุกเข่าเคียงกันก้มกราบอำลาด้วยความเคารพ

            เพียงพริบตาเดียวคูหาถ้ำแรกแปรเปลี่ยนเป็นอีกสถานที่หนึ่ง

            ...โรงพยาบาล...

            หมอ พยาบาลพยายามล้างท้อง ช่วยชีวิตผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดรายหนึ่งเต็มกำลัง ความอึกทึกวุ่นวายในห้องฉุกเฉินส่งผลให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าห้องกังวล ร้อนใจนั่งไม่ติดเก้าอี้

            บัวบุษรายืนอยู่ในห้อง มองผ่านบานกระจกเห็นหนึ่งในนายตำรวจเป็นคนคุ้นเคยกำลังมีสีหน้าอึดอัด บางครั้งเดินงุ่นง่านไปมาเหมือนมดในกระทะร้อน ๆ อดอุทานไม่ได้

            “นั่นพี่ไทธัตนี่คะ”

            ขุนคีรีมองตามพลางถาม

            “รู้จักเขาหรือ”

            “ค่ะ...พี่ธัต...ผู้กองไทธัต...พ่อบัวเคยทำงานสืบสวนหน่วยเดียวกัน รู้จักมาหลายปีแล้ว”

            พอเห็นนายตำรวจที่รู้จักกระวนกระวายผิดปกติ สองหนุ่มสาวจึงเดินเข้าใกล้ทีมแพทย์พยาบาล ชะโงกหน้าดูอยากรู้ผู้ป่วยเป็นใคร

            พอเห็นคนบนเตียงสภาพย่ำแย่ หน้าซีดเซียว ริมฝีปากเขียวคล้ำ บัวบุษราหันมาถาม

            “ใครคะ” เธอคิดว่าผู้ช่วยยมทูตน่าจะมีคำตอบ

            ชายหนุ่มเกือบหลุดปากเรียก ‘พี่นนท์’ ตามความเคยชิน นึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในฐานะผู้ช่วยยมทูต

            “ธนนท์”

            “ชื่อนี้คุ้นจังเลย...เป็นใครคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วพึมพำ

            “นึกดูดี ๆ สิ” ขุนคีรีมั่นใจว่าเธอต้องรู้จัก

            ความทรงจำผ่านชั่วแวบ บัวบุษราเบิกตากว้างมองใบหน้าผู้ป่วยบนเตียงอีกครั้ง

            “ธนนท์...คนวางระเบิดครัวร้านอาหาร ลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัยใช่มั้ยคะ”

            หญิงสาวทราบเรื่องเหตุระเบิดเพลิงไหม้ รู้จักชื่อบุคคลเบื้องหลังแทบทั้งหมด เพียงแต่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักตัวจริงสักคน

            พอชื่อบิดาหลุดจากปากเธอ ขุนคีรีแสลงใจจนพูดต่อไม่ออก

            “เขาเป็นอย่างนี้ได้ยังไงคะ...ทำไมถึงมีตำรวจมารอหน้าห้องฉุกเฉินด้วย”

            ชายหนุ่มตั้งสติ ข่มความละอายใจตอบเพียงคำถามท้าย

            “ธนนท์ถูกจับเกี่ยวกับคดียาเสพติด เพราะเป็นเจ้าของแบล็ก มูน สถานบันเทิงแหล่งค้ายา”

            พอได้ฟังรายละเอียดเพิ่มเติม หญิงสาวเริ่มคุ้น ๆ เพราะเกี่ยวพันกับเมย์ มายาวีด้วย

            “อ้อ...แล้วเขายังเป็นคนเดียวกับ ‘นล’ คนทำให้หอพักสมเกียรติไฟไหม้ด้วย” ชายหนุ่มขยายความโดยอีกฝ่ายไม่ต้องถาม

            บัวบุษราอึ้ง คาดไม่ถึงทั้งสองจะเป็นบุคคลเดียวกัน

            “ถ้างั้น...นล...ได้พบเพื่อนที่หอพักหรือยัง”

            “พบแล้ว เคลียร์กันเรียบร้อย...พวกเขาถึงไปหาท่านมัจจุราชได้” ชายหนุ่มตอบรวบรัด

            หญิงสาวพยักหน้ารับ มองใบหน้าผู้ป่วยอีกครั้ง ในใจสับสนไม่ทราบควรรังเกียจหรือเป็นห่วงสงสาร ‘ผู้ร้าย’ รายนี้ดี

            “ผู้ชายคนนี้ทำให้คุณสูญเสียการมองเห็น...จะโกรธเกลียดหรืออยากให้เขาตายก็ไม่แปลกหรอก”

            ขุนคีรีพูดตรง ๆ

            บัวบุษราส่ายหน้า ถอนใจเบา ๆ แววตาอ่อนลงราวกับมองเห็นเนื้อแท้ความรู้สึกในใจตน

            “บัวเคยบอกไงคะว่า...ไม่คิดแค้นเอาเรื่องพวกเขาแล้ว ยิ่งได้เห็นกรรมวิบากทำงานแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูด...นอกจาก...”

            “นอกจากอะไร” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้

            “อโหสิค่ะ” วาจาคำเดียวทำให้คนได้ยินยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

            เธอหันไปมองร่างบนเตียง ยกมือประณม กล่าววาจาหนักแน่น มั่นคง

            “เรื่องที่คุณธนนท์วางระเบิดจนทำให้บัวบาดเจ็บมองไม่เห็นนั้น บัวขออโหสิเลิกแล้วต่อกัน...ไม่ถือโทษผูกเวรใด ๆ ทั้งสิ้น...ขอความไม่มีเวร ไม่มีโทษภัยใด ๆ บังเกิดแก่สองเราด้วย”

            จบวาจา ร่างบนเตียงกระตุกเยือกราวกับรับรู้ได้ แพทย์ปั๊มหัวใจยื้อชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนชีพจรจะเงียบหายนิ่งสนิท

            บัวบุษราปลอดโปร่งจากการไม่พยาบาทผูกเวร จิตใจไม่รู้สึก ‘สะใจ’ ยินดีที่คนร้ายรับกรรมถูกจับเสียชีวิต ทั้งไม่หดหู่สงสาร กลางอกโล่งว่างสงบเย็นไม่เคยเกิดมาก่อน

            ด้วยอำนาจ ‘ดวงตายมทูต’ ขุนคีรีเห็นขณะจิตสุดท้ายผู้ตายชัดเจน

            ธนนท์รับรู้วาจาอโหสินั้น ใจผ่อนคลายเป็นกุศลชั่วขณะเดียว ทว่ากรรมดำสร้างไว้มากมายเกินไป ‘การยกโทษ’ จากบัวบุษราไม่แปลว่าเขาไม่ต้องชดใช้กรรมที่ทำให้เธอสูญเสียกระจกตา

            ‘ผู้รับเคราะห์’ ยอมไม่ถือโทษ ไม่ผูกเวรเป็นกรรมดีเฉพาะตัวเธอ ส่งผลให้เกิดการ ‘ตัดสะพานกรรม’ ไม่ต้องเป็นคู่เวรพัวพันกันอีกต่อไป

            ...แต่ ‘ผู้สร้างกรรม’ อย่างไรย่อมหนีผลกรรมไม่พ้น...

            คำว่า ‘อโหสิ’ คือผู้ทำกรรมชดใช้วิบากกรรมหมดแล้ว ไม่ใช่แค่วาจา ‘ยกโทษ’ ไม่ต้องรับกรรมอีกต่อไป

            ดังนั้นต่อให้ก่อนเสียชีวิตได้รับการยกโทษ แต่ ‘กรรมดำ’ ยังส่งผลห่อหุ้มดวงจิตสุดท้ายก่อนมันจะดับ คาดเดาคติภพข้างหน้าไม่ยากเลยว่าจิตดวงใหม่จะเกิดสถานที่ใด

            บัวบุษราปลอดโปร่งโล่งใจกับการไม่ผูกเวร ส่วนผู้กระทำกรรมเดินหน้าสู่กระบวนการชดใช้…นี่คือความจริงในวัฏสงสาร

            ขุนคีรีรู้สึกหวาดกลัวกับ ‘ความเห็น’ ที่ปรากฏ เวลาเดียวกันก็สบายใจที่หญิงสาวไม่ ‘เห็น’ เช่นตนตอนนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP