วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๒



way cover









ชลนิล






(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เบื้องหน้าเป็นลานหินกว้าง ถัดไปเป็นบันไดลดเลี้ยวพาขึ้นสู่ปากถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

            ยมทูตหินผาบอกบัวบุษราว่าคืนนี้จะพาไปเที่ยวสถานที่พิเศษ อีกทั้งมีโอกาสส่งสามผีหอพักสมเกียรติ เธอจึงกระตือรือร้นอยากร่วมทางเต็มที่

            เพียงแค่กะพริบตา ยมทูตก็พาทุกคนมายืนอยู่ลานกว้างแห่งนี้แล้ว

            “ตามมาสิ ท่านอยู่ด้านบน”

            ยมทูตบอกแล้วเดินนำหน้าตัดลานหินกว้างขึ้นบันไดก่อน สามผีเดินตาม ขุนคีรี บัวบุษราปิดท้าย ระหว่างทางทุกคนเงียบงันสงบสำรวม

            สองผีตัวป่วนเรียบร้อยผิดหูผิดตา ผีตัวที่สามเหลือบมองเพื่อนแล้วอมยิ้ม เดาออกว่าพวกมันตั้งใจทำตัวดีสุดฤทธิ์ หวังให้ท่านพญามัจจุราชส่งไปเกิดในที่ดี ๆ

            บันไดชันลดเลี้ยว พ้นขั้นสุดท้ายพบลานหินหน้าปากถ้ำ มองเข้าไปด้านในปรากฏแสงสว่างเรืองไม่มืดมิดเช่นถ้ำทั่วไป

            ยมทูตหินผาพาสามผีก้าวเข้าถ้ำแล้ว ขุนคีรี บัวบุษราอดเหลียวมองเบื้องหลังไม่ได้

            จากปากถ้ำมองเห็นเบื้องล่างเป็นลานหินกว้างสลับโขดหิน เนินหินเป็นระยะสุดสายตา มันดูเวิ้งว้างน่ากลัว เปลวร้อนสัมผัสจาง ๆ บอกให้ทราบ...ที่นี่แค่ปากทางนิรยภูมิ

            สองหนุ่มสาวเข้าไปในถ้ำไม่กี่ก้าวพบที่มาแสงสว่าง เกิดจากผนังถ้ำโดยรอบสาดแสงอันอบอุ่นจับพระพุทธรูปปางไสยาสน์บนแท่นสูงงดงาม มลังเมลืองทั่วทั้งคูหา

            ขนาดองค์พระพุทธรูปใหญ่กว่าคนธรรมดาสามเท่า ทั้งองค์เป็นสีทองงามจับตา พุทธสรีระในปางไสยาสน์โดยพระกรหนุนพระเศียรไว้แสดงออกถึงความมีสติ รู้ตื่น เบิกบานทุกขณะ

            สามผีคุกเข่าก้มลงกราบโดยไม่ต้องมีใครสั่ง ขุนคีรี บัวบุษราคุกเข่ากราบตาม โดยมียมทูตหินผายืนสำรวมอยู่ด้านข้าง

            “ทราบหรือไม่...เหตุใดคูหาถ้ำแรกถึงประดิษฐานรูปจำลองพระพุทธองค์ปางนี้เอาไว้”

            คำถามเอ่ยลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าใครต้องตอบ

            “พระพุทธองค์ยังเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน...มนุษย์ทุกคนย่อมหนีความตายไม่พ้น”

            บัวบุษราตอบ แววตายมทูตอ่อนลงดังเป็นการตอบรับ ผีทั้งสามเหลียวมองพระพุทธรูปอีกครั้ง ก่อนก้มหน้ายอมรับวาจาด้วยความเข้าใจ

            “เข้าไปด้านในเถอะ ท่านพญามัจจุราชกำลังออกมาแล้ว”



            ‘ด้านใน’ ไม่เหมือนคูหาถ้ำใด ๆ คล้ายห้องกว้างเพดานสูงโปร่ง ผนังแต่ละด้านเป็นหินเรียบขึ้นเงาวับ เสาแต่ละต้นสูงใหญ่ราวค้ำภูเขาไว้ทั้งลูก พื้นหินสีขาวสะอาดสลับสีดำเข้มวางเรียงมีศิลปะไม่ลายตา ไม่เหมือนตารางหมากรุก ช่วยให้ผู้เดินเข้ามารู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม

            กลางคูหาตั้งโต๊ะหินทรงกลมวางเก้าอี้ตัวเล็กสามตัว เก้าอี้ใหญ่เป็นประธานหนึ่งตัว

            “นั่งสิ” ยมทูตหินผาบอกกับผีทั้งสาม

            ผู้รอพบพญามัจจุราชนั่งประจำที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำ จากนั้นยมทูตโบกมือให้ขุนคีรี บัวบุษราถอยไปยืนตรงผนังถัดจากตนเอง

            “นับจากนี้ พวกเธอทำได้แค่เฝ้าดู หากท่านพญามัจจุราชไม่ถาม ห้ามเอ่ยปากเด็ดขาด”

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ

            การรอคอยไม่เนิ่นนาน เพียงแค่ทุกคนประจำที่เรียบร้อยอยู่ในอาการสำรวม ผู้เป็นใหญ่ในนรกก็เดินออกมาจากคูหาอีกด้าน

            ภาพในจินตนาการคนทั่วไปพญามัจจุราชมักมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ผิวสีแดง ดุทรงอำนาจ น่ากลัว บางทียังคิดว่ามี ‘เขา’ อยู่ด้วย

            พญามัจจุราชที่ปรากฏให้เห็นแทบหักล้างจินตนาการผู้คนเกือบทั้งหมด ‘ท่าน’ รูปร่างสูงสมส่วนพอกับขุนคีรี ซึ่งเตี้ยกว่ายมทูตหินผา ผิวขาวอมชมพูแดงระเรื่อ ศีรษะตั้งตรงเข้มแข็งไม่มี ‘เขา’ ปรากฏ ใบหน้าปราศจากหนวดเคราคาดเดาอายุไม่ถูก ดวงตาฉายแววทรงอำนาจ ยุติธรรมยิ่ง แผ่บารมีบางอย่างออกมาทำให้ผู้พบเห็นเกิดความระย่อเกรงกลัว

            พอเข้ามาในห้อง ทุกคนต่างแสดงความเคารพทันทีโดยไม่จำเป็นต้องบอกล่วงหน้า ดวงตาคู่นั้นมองมาทางขุนคีรี บัวบุษราเป็นเชิงทักทาย ก่อนแลตรงยมทูตหินผา รออีกฝ่ายทำหน้าที่ตน

            “กระหม่อมนำนายคมสัน นายตฤณโชค และนายฐาปกรณ์มาพบพระองค์ตามกำหนดเวลาแล้วขอรับ”

            ดวงหน้านั้นผงกรับเพียงนิดแล้วนั่งบนเก้าอี้ประธานหัวโต๊ะ สายตามองผู้เข้าพบด้วยแววอ่อนลงด้วยเมตตา

            “ไม่ต้องแนะนำตัวหรอกนะ เรารู้ว่าพวกเจ้าเป็นใครชื่ออะไรแล้ว”

            วาจาแรกหลุดจากปาก ไม่ดังนักแต่กังวานชัดทั่วห้อง

            วิญญาณทั้งสามเกิดอาการเกร็ง เกรงบารมีเจ้าของสถานที่จนพูดอะไรไม่ออก พญามัจจุราชเอ่ยถามเสียเอง

            “พูดคุยกันแบบธรรมดาได้นะ...อยากเกิดในภพภูมิไหนล่ะ...นรก...เปรต...อสุรกาย...เดรัจฉาน...มนุษย์...สวรรค์ หรือพรหมโลก”

            “เลือกได้เลยหรือคะ...เอ๊ย...ครับ” อีแต๋วเผลอหลุดปากก่อน

            “ได้สิ ถ้ามีต้นทุนพอ” คำตอบรวบง่ายชัดเจน

            “ต้นทุน” คมสันทวนวาจาถอนใจเบา ๆ

            “ต้นทุนสำหรับอบายภูมิทั้งสี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับมนุษย์” เจ้าแห่งนรกขยายความ “แค่สะสมความโลภ โกรธ หลงให้หนาแน่นเข้าไว้ กระทำชั่วตามแต่กิเลสสั่งโดยไม่ต้องขัดขืน เดี๋ยวก็ไหลลงอบายตามอำนาจกรรมแล้ว”

            “เอ่อ...ถ้าอยากเกิดเป็นคนอย่างเดิม ต้องใช้ต้นทุนอะไรบ้างครับ” ไอ้ถึกถามเสียงอ่อย

            “การจะเกิดเป็นมนุษย์ต้องมีต้นทุน ‘ศีลห้า’”

            “หา...” คราวนี้สามผีหลุดอุทานหนักใจ พยายามนึกทบทวนพวกตนเคยรักษาตั้งใจศีลบ้างหรือไม่

            พญามัจจุราชดูออกพวกเขากำลังหวั่นไหว ไม่มั่นใจ ‘ต้นทุน’ ตัวเอง จงใจพูดถึงต้นทุนในภพภูมิสูงยิ่งขึ้นไปอีก

            “สำหรับสวรรค์สมบัติ นอกจากมีศีล กระทำกรรมดีเป็นนิตย์แล้ว จิตใจต้องมี ‘หิริโอตัปปะ’ ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป...ส่วนพรหมโลก อาจยากนิดหน่อยต้องมีต้นทุน ‘ปฐมฌาน’ เป็นอย่างน้อย”

            แค่ต้นทุนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นับว่าน่าหนักใจแล้ว ภพภูมิสูงกว่านั้นสามผีไม่กล้าอาจเอื้อม

            เมื่อเห็นผู้ร่วมโต๊ะนิ่งอั้นพูดอะไรไม่ออก ในใจพยายามทบทวนความดีที่เคยกระทำมา พญามัจจุราชค่อยพูดต่อ...

            “มนุษย์ทั่วไปชอบคิดกันเองว่า...การกลับมาเกิดเป็นคนไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำบุญนิดหน่อย ตั้งอธิษฐานจิตเอาเดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นคนมีสมบัติพรั่งพร้อมแล้ว เผลอ ๆ ทำบุญมาก ๆ ระดับสร้างโบสถ์สร้างวิหารคงได้เกิดเป็นเทวดามีวิมานสวยงามรออยู่บนสวรรค์”

            “แล้ว...ไม่จริงหรือคะ...เอ่อ...ครับ” อีแต๋วแถมเสียงอ่อย

            “ทำบุญแต่ไม่ละบาป ไม่ตั้งใจแน่วแน่รักษาศีล เจริญภาวนา ถือว่าประมาท อยู่ในกลุ่มเสี่ยงลงนรกได้ทั้งนั้นแหละ”

            “พระพุทธองค์เคยเปรียบเทียบไว้...เหมือนฝุ่นที่อยู่ปลายเล็บของท่าน กับฝุ่นบนผืนแผ่นดิน...บอกว่ามนุษย์เมื่อตายจากโลกไปแล้วสามารถเกิดเป็นคนอีกครั้ง หรือไปสู่ภพภูมิสูงขึ้นมีจำนวนน้อย ขณะที่ร่วงลงอบายภูมิทั้งสี่มีจำนวนมากกว่า อย่างนี้จะมัวประมาท มั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเองตายแล้วจะไปสู่สุคติ หรืออย่างน้อยได้เกิดเป็นมนุษย์แน่ ๆ”

            ความจริงข้อนี้ทำให้ผีทั้งสามเสียวสันหลัง ต่อให้มั่นใจไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย แต่รู้ดี ‘ต้นทุน’ ศีลห้าที่จะพากลับเป็นมนุษย์ยังไม่หนักแน่นพอ

            “ตอนนี้ พวกผมมี ‘ต้นทุน’ อยู่เท่าไหร่ครับ” คมสันกัดฟันถาม

            “พวกมานั่งคุยกับเราที่นี่ ส่วนใหญ่ต้นทุนก้ำกึ่ง ภาษามนุษย์อาจบอกว่า...ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ...เพราะปกติแล้วส่วนใหญ่เมื่อตายไป กรรมวิบากใดเด่นชัดก็จะพาไปเสวยผลเช่นนั้น ประเภทคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างพวกเจ้าต้องเสียเวลาไล่เลียงหา ‘ต้นทุนเก่า’ กันมีไม่มากนักหรอก เมื่อเทียบกับมนุษย์ทั้งโลก”

            ความเงียบงันบังเกิดชั่วขณะ ผีทั้งสามพยายามคิดถึงบุญกุศลเคยทำเต็มที่...พูดออกมาได้แค่

            “หนู...เอ๊ย...ผมเคยใส่บาตรวันเกิด...เอ่อ...เกือบทุกปี” อีแต๋วคิดได้แค่นี้

            “ผมใส่บาตรวันเกิดแล้วก็...เอ่อ...อ้อ...เคยสมทบทุนช่วยน้ำท่วมด้วย” ไอ้ถึกจำได้มากกว่า...นิดนึง

            “ผมไม่ค่อยทำบุญ แต่ช่วยทำงานให้วัดที่บ้านเกิดเป็นประจำตั้งแต่เด็ก พอมาเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ว่างไปช่วยเลย” คมสันตอบคนสุดท้าย

            พญามัจจุราชกวาดสายตามองทั้งสามเผื่อมีใครคิดถึงบุญกุศลอื่นมากกว่านี้ พอเห็นแต่ละตนก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา จึงเอ่ยถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลย

            “มีใครเคยเห็นเด็กอ่อนแรกเกิดมั้ย”

            ทั้งสามเงยหน้าสงสัย อีแต๋วเป็นผู้ตอบคำถามนี้

            “เคย...เอ่อ...ครับ เป็นลูกของญาติผู้พี่...ได้เจอตอนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล”

            “เห็นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”

            “เด็กน่ารักดี ถึงจะตัวเหี่ยว ๆ แดง ๆ ไปหน่อยก็เถอะ” ตอบตรงตามรู้สึกคิดว่าไม่น่าใช่คำตอบเหมาะสม

            “ประมาทนะ” เจ้าแห่งนรกบอก “แทนที่จะเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ เด็กน้อยร้องไห้จ้าต้องคอยป้อนน้ำป้อนนมนั้นเป็นการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว เพิ่มภาระหนักต้องดูแลกว่าจะโต”

            สามผีนิ่งงัน วาจาพญามัจจุราชคล้ายกำลังชี้เส้นทางบางอย่างซึ่งพวกตนยังคลำไม่ถูก

            คำถามต่อมา

            “มีใครเคยเห็นคนแก่...คนเจ็บบ้าง”

            “ผมครับ...ที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่อากง อาม่าอายุยืน ป่วยบ่อย เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตลอด” ไอ้ถึกตอบ

            “เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร”

            “สงสารครับ อยากให้พวกท่านอยู่สบาย ๆ ไม่ทรมาน ไม่เจ็บป่วยบ่อยแบบนี้ พยายามหาเครื่องมือเครื่องใช้มาอำนวยความสะดวก ประดิษฐ์ของใช้ที่ช่วยผ่อนแรงพวกท่านกว่าเดิม” คราวนี้คนตอบมั่นใจว่าตนต้องได้คะแนน

            “ยังนับว่าประมาทอยู่นะ” วาจาเกินคาด “นั่นเป็นแค่การบรรเทาปลายเหตุ เห็นผู้สูงอายุในบ้านแสดงความแก่ ความเจ็บให้ดูเช่นนั้น ทำไมไม่ย้อนกลับมาดูตัวเอง...ไม่นานเราต้องแก่ ต้องเจ็บป่วยเช่นกัน เหตุใดปล่อยวันเวลาล่วงเลย ไม่สะสมสร้างบุญกุศลด้วยความไม่ประมาท เหตุใดไม่ฝึกเจริญภาวนา พิจารณากายใจเป็นของไม่เที่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อความแก่ ความเจ็บป่วยมาถึงจิตใจจะได้ยอมรับ ไม่หวั่นไหว”

            คำถามสุดแสนธรรมดา คำตำหนิ ตักเตือนตามมานั้นเกินคาด กระตุ้นผีทั้งสามให้ย้อนกลับไปมองสิ่งที่ตนละเลยอย่างน่าเสียดาย

            “คราวนี้มีใครเห็นคนตายบ้าง”

            “ผมครับ” คมสันตอบ “วัดที่เคยช่วยทำงาน มีศพมาเผาประจำ”

            “พบคนตายแล้วรู้สึกอย่างไร”

            “ตอนเด็ก ๆ ผมกลัวครับ กลัวศพจะลุกขึ้นมาหลอกหลอน พอโตมาหน่อยก็สังเวชใจ สงสารคนที่อยู่ข้างหลัง เคยคิดว่าถ้าพ่อแม่เราตายคงเสียใจมากเหมือนกัน”

            “ประมาทจริง ๆ” พญามัจจุราชตำหนิอีกครั้ง “มีโอกาสเห็นความตายบ่อยครั้งขนาดนั้น ทำไมไม่นึกน้อมเข้ามายังตนเอง...วันหนึ่งเราต้องตาย ชีวิตที่ผ่านมาได้สะสมคุณงามความดี ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นอย่างไรบ้าง ‘คนตาย’ เป็นครูที่ดี ‘ความตาย’ เป็นบทเรียนอันเลอเลิศ สอนถึงความไม่ประมาท...เสียดายจริง ๆ เจ้าพบเห็นความตายตั้งแต่เด็กเช่นนั้นกลับประมาทชีวิต หลงโลกขนาดนี้”

            สามผีนิ่งงันก้มหน้างุด เสียงตำหนิติเตียนไม่ได้ก่อให้จิตใจหวาดกลัว กลับสัมผัสกระแสเมตตาแทรกในนั้น กระตุ้นให้เกิดสติ นึกถึงเรื่องราวผ่านมาในชีวิตแจ่มชัดกว่าเคย

            “เอาล่ะ...คำถามนี้น่าจะตอบได้ทุกคน...มีใครเคยพบเห็นสมณะ พระภิกษุสงฆ์บ้าง”

            “เคยครับ” ทั้งสามตอบเบา ๆ

            “เมื่อพบแล้วมีใครไถ่ถามท่านหรือไม่ว่า...เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาเช่นนี้แล้ว ควรกระทำอย่างไรจิตใจจึงจะเจริญ พ้นทุกข์ได้ตามลำดับ”

            เงียบกริบไม่มีคำตอบ พวกเขามีโอกาสพบพระภิกษุสงฆ์เฉพาะตอนทำบุญใส่บาตร ไม่เคยสนใจฟังธรรมเทศนาใด ด้วยคิดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่ม สนใจแค่เรื่องเรียน เรื่องทำมาหากินในอนาคตก็พอ การเข้าวัด ฟังธรรม รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นเรื่องของคนแก่

            ...ลืมไปว่า...บางคนอาจไม่ได้แก่ตาย...เช่นพวกตนเป็นต้น!

            “ต่อให้ไม่เคยถามไถ่เรื่องการภาวนา...อย่างน้อยควรถามว่า ‘บุญกิริยาวัตถุ ๑๐’ มีอะไรบ้าง เพราะจะทำให้พวกเจ้าทราบ...การสละปัจจัยทำบุญให้ทานเป็นเพียงข้อแรกข้อเดียว บุญที่เหลืออีกเก้าข้อ ไม่ต้องเสียทรัพย์ใด ๆ เลย”

            วาจาพญามัจจุราชครั้งนี้จุดประกายในใจขึ้นมา ทั้งสามเอ่ยถามรัวเร็ว

            “การทำบุญมีถึงสิบอย่างเลยหรือ...ครับ” อีแต๋วเกือบหลุด ‘คะ’ ออกไปด้วยความเคยชิน

            “ชาวพุทธสมัยนี้เหมือน ‘ลูกเศรษฐี’ ไม่รู้จักคุณค่า ‘ธรรมสมบัติ’ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้กันเลยนะ” เจ้าแห่งนรกพูดเชิงบ่น ก่อนอธิบายรวบรัด เข้าใจง่าย

            “บุญกิริยาวัตถุสิบประกอบด้วย...การให้ทาน...รักษาศีล...เจริญภาวนา...อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ...ลงแรงช่วยเหลือสังคม ทำกิจที่ชอบที่ควร...ชักชวนและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นร่วมทำบุญ...อนุโมทนาบุญ...ฟังธรรม...แสดงธรรม...และมีสัมมาทิฐิ ตั้งความเห็นที่ถูกชอบ”

            คำบอกเล่าถึงบุญทั้งสิบประการคล้ายบานประตู หน้าต่างปิดทึบถูกเปิดออกกว้างขวาง มองเห็นภาพไกลกว่าเดิม

            เมื่อถูกกระตุ้นชี้นำด้วยคำถามแรก ๆ เห็นว่าตนใช้ชีวิตประมาทขนาดไหน จนต้องพยายามนึกทบทวนเฉพาะสิ่งดี ๆ ที่เคยกระทำ พอได้รับการชี้แนะว่า ‘บุญกิริยาวัตถุ ๑๐’ มีอะไรบ้าง จิตใจพวกเขากระจ่างยิ้มกว้าง ระลึกได้ว่าตนก็เคยกระทำสิ่งที่อยู่ในบุญกิริยาวัตถุมาเช่นกัน

            “ผมตั้งใจรักษาศีลห้างดเหล้าตอนเข้าพรรษา” คมสันพูดขึ้น “เพื่อนคนไหนชวนก็ไม่ยอม จะตัดเพื่อนเลิกคบกันก็ไม่ว่าอะไร”

            “ดี...อยู่เฉย ๆ ไม่เรียกว่ามีศีลหรอก...ศีลคือการตั้งใจงดเว้น...ต่อให้มีสิ่งเร้าสิ่งกระทบอย่างไรก็ไม่ยอมเสียศีลเสียความตั้งใจเด็ดขาด” เจ้าแห่งนรกเอ่ยวาจารับรอง

            “อากง อาม่าสอนให้ผมมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่...เก่งแค่ไหนก็อย่าอวดเก่ง ทำตัวเป็นชาล้นถ้วย ถึงผมไม่ค่อยทำบุญให้ทาน แต่ก็พาญาติผู้ใหญ่ไปวัดเสมอ ท่านบอกให้อนุโมทนา ยินดีในบุญที่พวกท่านทำ...ผมก็ไม่เคยขัด ดีใจที่พวกท่านมีความสุขในการทำบุญ”

            ถึกบอกด้วยรอยยิ้ม ทุกวาจาไม่แปลกปลอม ไม่เสแสร้ง

            “เจ้าน่าจะทำบุญมาดี ถึงได้เกิดท่ามกลางญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสัมมาทิฐิ สั่งสอนสิ่งที่ถูกควรแก่ลูกหลาน” ผู้พูดพยักหน้ารับรองวาจานั้น

            “หนู...เอ๊ย...ผมมีกลุ่มเพื่อนชอบทำงานช่วยเหลือสังคม ตั้งแต่มูลนิธิหมาแมว สัตว์พิการ ช่วยดูแลคนแก่ บ้านคนชรา ซ่อมแซมบ้านเด็กกำพร้าที่ทรุดโทรม พวกเขาจะให้ผมออกหน้า ออกแรงเป็นตัวยืนตลอด และผมจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้รับรอยยิ้มจากคนแก่ คำขอบคุณจากเด็ก ๆ”

            ถ้าดูจากหุ่นสูงล่ำบึ้ก กล้ามแขนเป็นมัดของอีแต๋วแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเพื่อน ๆ ถึงให้นางออกหน้า ลงแรงมากกว่าใคร ๆ

            “ดี” พญามัจจุราชบอกแค่นั้น แล้วเอ่ยอีกครั้ง “พวกเจ้าลืมเลือนไปแล้วหรือ ว่าเพิ่งทำบุญให้ ‘ทาน’ มาไม่นาน”

            “ทำบุญให้ทาน...อะไร” คมสันสงสัย

            “อภัยทาน...ไม่ถือโทษ ไม่อาฆาตพยาบาทผู้ที่มีส่วนทำให้เสียชีวิต”

            ทุกคนนึกถึงใบหน้า ‘นล’ ในใจปราศจากความโกรธเคืองอาฆาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดหาวิธีลงโทษกันอยู่ พอเจอตัวกันจริง ๆ ใจมันก็ให้อภัยเองโดยอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องร้องขอ

            ความรู้สึกโล่ง ปลอดโปร่งจากการไม่ถือโทษโกรธเคืองทำให้ใบหน้าพวกเขาผ่องใสผิดเคย

            “มองโต๊ะตรงหน้าสิ...ภพข้างหน้าพวกเจ้าปรากฏแล้ว”

            วาจาพญามัจจุราชกระตุ้นให้ทั้งสามทอดสายตามองโต๊ะหินทรงกลมเบื้องหน้า แผ่นหินหนาทึบกลับกลายเป็นเสมือนบานหน้าต่างเปิดอ้า ฉายภาพให้เห็นเฉพาะตน

            คมสัน ตฤณโชค ฐาปกรณ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ต่างยกมือประนมไหว้เจ้าแห่งนรกเป็นการขอบคุณ ก่อนร่างพวกเขาจะเลือนหายทีละคน

            ไม่มีภูตผีเฝ้าหอพักสมเกียรติอีกต่อไปแล้ว จิตแต่ละดวงต่างดับและไปเกิดใหม่ตามกรรมวิบากที่ปรากฏชัด หลังได้รับคำชี้นำจากพญามัจจุราช

            ขุนคีรี บัวบุษราเฝ้ามองด้านข้างเกิดอาการใจหาย รู้สึกเหมือนสูญเสียเพื่อนสนิท คนรู้จักทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง อาจเพราะส่วนลึกในใจมองเห็นแล้วว่า...

            ...ตลอดวัฏสงสารอันยาวไกล...สัตว์โลกต้องประสบกับการพบ และจากพรากเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน...




--------------- ------------ --------------




            กลางห้องโถงเงียบงัน โต๊ะทรงกลมยังเป็นแผ่นหินหนาเช่นเคย ผู้เป็นใหญ่ในนรกนั่งเก้าอี้ตัวเดิมส่งสายตามายังลูกน้องและอาคันตุกะทั้งสอง

            ยมทูตหินผาพาสองหนุ่มสาวไปยังโต๊ะกลม ตรงจุดที่สามผีเคยนั่งอยู่ บัดนี้เก้าอี้พวกเขาหายไปแล้ว ทั้งสามจึงยืนสำรวมเบื้องหน้าพญามัจจุราช

            “อยากทราบหรือไม่ พวกเขาทั้งสามไปเกิดที่ใดบ้าง” เจ้าแห่งนรกถามแทนการทักทาย

            บัวบุษราขยับปากจะตอบรับ ใครที่เฝ้ามองเหตุการณ์เมื่อครู่ย่อมอยากทราบคำตอบ แต่แล้วสติเกิดขึ้นวูบหนึ่ง รอยยิ้มน้อย ๆ ประดับใบหน้าหญิงสาว

            “ท่านจะบอกบัวจริงหรือคะ”

            “ไม่บอกหรอก”

            คำตอบไม่เกินคาดหมาย

            “การได้รู้ว่า ‘ใคร’ ไปเกิดที่ไหนไม่สำคัญ เท่ากับตัวเราเองจะเลือกภพข้างหน้าอย่างไร...เวลาบนโลกมนุษย์มีน้อยนัก ถ้ารู้ว่ายังต้องเกิดใหม่อีกก็อย่าประมาท...อบายภูมิเป็นทางลาดต่ำ ไหลลงมาง่ายดายแต่กลับขึ้นไปแสนยากเย็น”

            พญามัจจุราชจบวาจาลุกขึ้นยืน สายตามองขุนคีรีด้วยรอยยิ้มมุมปากนิด ๆ

            “ผู้ช่วยยมทูต...เห็นการชี้นำของเราเมื่อครู่เป็นอย่างไรบ้าง”

            “ท่านเมตตาพวกเขาอย่างยิ่ง”

            “เราเมตตาทุกคนที่มานั่งเบื้องหน้าโต๊ะนี้ แต่กับบางคนต้องวางอุเบกขา เพราะใช่ว่าผู้มาอยู่ตรงนี้จะระลึกถึงกรรมดีตัวเองได้ทั้งหมด”

            “แสดงว่าท่านไม่ต้องการให้ใครลงนรก” ขุนคีรีแสดงความเห็น

            “สัตว์โลกจะเกิดภพภูมิใดล้วนเป็นด้วยกรรมวิบากตน...หากพวกมันกระทำ ‘เหตุ’ สมควรลงนรก ต่อให้เรารังเกียจไม่ต้อนรับ มันยังต้องลงมาอยู่ดี”

            พูดพลางเดินมาหาถึงเบื้องหน้า

            “อยากชม ‘นรก’ รู้จักสัตว์ในนรกไหม”




--------------- ------------ --------------




            มันผู้นั้นสมัยเป็นมนุษย์ชื่อ ‘ตูมิน’ ร่ำเรียนวิชาอาคมสารพัดจนเก่งกาจหาตัวจับยาก แต่ใช้วิชาอาคมในทางที่ผิด หลอกล่อผู้คนลุ่มหลงงมงาย ชักนำให้ตกในทางที่ชั่ว ยุแยงให้เกิดการแตกแยก จนพาไปสู่ความวิบัติฉิบหาย

            เมื่อกระทำสำเร็จโดยไม่มีผู้ล่วงรู้ กรรมวิบากด้านชั่วยังไม่ทำงานมันจึงฮึกเหิม ลำพองใจ คิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ เห็นการล่อลวง ควบคุมผู้มีอำนาจเป็นเรื่องสนุกสนาน

            มันจึงใช้อาคม เวทมนตร์ เล่ห์เหลี่ยม กลลวง ความฉลาดเฉลียวของตนชักใย โน้มนำ หลอกล่อผู้นำประเทศใหญ่ ๆ ดำเนินนโยบายเบียดเบียดประเทศเล็ก ๆ หวังผลในทรัพยากรอันมีค่า หวังครองอำนาจเป็นเจ้าโลก บางคราสะกดปลุกปั่นให้ก่อสงคราม ฆ่าฟัน ผู้คนตายเป็นเบือ ประชากรเดือดร้อนเป็นวงกว้าง โดยตนเองยืนหัวเราะสะใจในความโง่เง่าของผู้นำที่โดนชักใยเบื้องหลังเหล่านั้น

            ไม่มีมนุษย์คนใดเอาชนะตูมิน ความเจ็บป่วย แก่ชรา และความ ‘ไม่เที่ยง’ กลับได้ชัยจอมเวทร้ายกาจ

            ความชั่วสะสมมาตลอดชีวิตลิดรอนอาคมจนเสื่อมโทรม สุดท้ายกลายเป็นชายชราความทรงจำเลอะเลือน เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาอย่างไข้หวัดที่ระบาด แต่สามารถพรากชีวิตผู้คนจำนวนมากง่ายดาย

            เมื่อเสียชีวิตจึงร่วงลงสู่นิรยภูมิทันทีโดยไม่ต้องให้ใครพิพากษา

            ดินแดนที่มันเสวยผลกรรมอยู่นี้ไม่ใช่กระทะทองแดงที่มีน้ำมันเดือดพล่าน เป็นผืนดินแห้งแล้งปราศจากพืชพันธุ์ความร้อนระดับหลอมละลายเหล็กกล้าแผ่กระจายทั่ว ดินทุกก้อน ทรายทุกเม็ด แข็งกระด้างร้อนฉ่า แผ่พื้นที่กว้างใหญ่ มนุษย์ธรรมดาอยู่ห่างร้อยโยชน์ยังไม่อาจทานทนไหว

            ตูมินได้อัตภาพใหม่เป็นสัตว์นรกรูปร่างบิดเบี้ยวพิกลพิการ เนื้อหนังหนาเตอะ ตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดน่ากลัวทนทานต่อทัณฑ์ทรมานโดยเฉพาะ

            ‘มัน’ ไม่อาจนั่งนอนบนแผ่นดินแห่งนี้ยาวนาน ทุกครั้งที่นั่งหรือเอนหลังแนบพื้น ความร้อนจะเผาไหม้เนื้อหนังสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ต้องกระโดดเร่า ๆ ไปมา ต่อให้ผิวหนังร่างกายทนทานขนาดไหนก็ยังถูกเผาไหม้จนกลายเป็นฝุ่นผงคลีในเวลาไม่นาน

            ทว่า...กรรมชั่วที่มียังก่อให้เกิดลมพัดม้วนฝุ่นผงเหล่านั้นกลับมารวมตัวอีกครั้ง สร้างร่างสัตว์นรกใหม่ขึ้นมาเพื่อรับทุกข์ทรมานซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำอีก

            นอกจากโดนความร้อนเผาผลาญ ยังโดนหอก ดาบ ศัสตราวุธระดมทิ่มแทงฟาดฟัน เพิ่มความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเดิม

            บางคราได้กายใหม่เป็นสัตว์นรกมือเท้า อวัยวะต่าง ๆ เป็นอาวุธแหลมคม ประสบกับสัตว์นรกอื่นในขุมเดียวกันก็จะเข้าไปต่อสู้ทำร้าย ตบตีฉีกกระชากเนื้อหนังโดยไม่มีเหตุผล ต่างฟาดฟันเพิ่มความเจ็บปวดทรมานแก่กันจนร่างแหลกเป็นชิ้น ๆ แล้วกลับมามีร่างกายใหม่ ต่อสู้ไล่ล่า ทรมานกันและกันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด

            วันเวลาแห่งนรกขุมนี้ยาวนานนัก...นานเกินกว่ามนุษย์อายุไม่เกินร้อยปีจะคาดคะเนถึง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP