วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๑



way cover






ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “นล...ไอ้เหี้ยนลเปิดประตู ทำอะไรอยู่วะ”

            เสียงเคาะประตูดังรัว ๆ ธนนท์รู้สึกกลับเป็น ‘นล’ นักศึกษาหนุ่มอีกครั้ง ค่อย ๆ แง้มเปิดประตูพบ ‘คมสัน’ เพื่อนร่วมหอพักยืนหน้าห้อง

            “มีอะไร” ขมวดคิ้วถามเบา ๆ

            “แดกเหล้ากัน วันนี้วันเกิดไอ้เม่น”

            “ไม่ล่ะ กูไม่กินเหล้า”

            “ไปร่วมวงกันหน่อยน่า ไม่กินไม่เป็นไร”

            “กูมีงานต้องทำ”

            “งานอะไรวะ ไม่ใช่ซ่อนหญิงไว้ในห้องเรอะ”

            พูดพร้อมออกแรงผลักประตูเปิดกว้าง ถือวิสาสะเดินเข้าห้องโดยเจ้าของไม่อนุญาต

            นลถอนใจไม่สามารถปกปิดบางสิ่งทันท่วงที เพื่อนร่วมหอจึงเห็นสิ่งที่เขากำลัง ‘เตรียมงาน’ อยู่

            โต๊ะทดลองชั่วคราวตั้งไว้กลางห้อง อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ สารเคมีสี่ห้าชนิดใส่ขวดวางเรียงรายเป็นระเบียบ

            “มึงทำเหี้ยอะไรอยู่เนี่ย” ใครเห็นก็ต้องสงสัย หนำซ้ำเข้าไปลูบคลำอุปกรณ์ไฟฟ้าหน้าตาแปลกอย่างสนใจ

            “ทดลองวิทยาศาสตร์ งานส่งอาจารย์” พูดพลางรีบดึงเพื่อนออกจากโต๊ะทดลอง

            “หาข้ออ้างไม่ไปแดกเหล้าหรือเปล่า ไม่เห็นคนอื่นทำอย่างมึงเลย”

            “กูทำโปรเจ็กต์พิเศษขอทุนเรียนฟรี”

            “อ๋อ ทำผลงาน คิดโครงการล้ำ ๆ แบบไอ้ถึกเหรอ”

            “เออ”

            “แล้วอันตรายมั้ยนี่ ทั้งสารเคมี ทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเครื่องมืออะไรของมึงพวกนี้”

            “ไม่หรอก ออกไปได้แล้วกูจะทำงานต่อ” พูดพลางผลักไสเพื่อนออกจากห้อง

            คมสันหันมาหรี่ตาดูอุปกรณ์ต่าง ๆ แอบอมยิ้มในใจอย่างขำขัน แต่แล้วเกิดสังหรณ์แปลก ๆ วูบหนึ่ง รู้สึกระแวงเหมือนจะเกิดอันตรายบางอย่าง ก่อนสลัดความคิด ข้อสงสัยต่าง ๆ ออกไป

            ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง นลถอนใจยาวรีบล็อคประตูป้องกันเพื่อนคนอื่นเข้ามาอีก

            การทดลองครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย ทางมหาวิทยาลัยจึงไม่อนุญาตให้นักศึกษาทำ เขาต้องหลอกล่อให้เพื่อนร่วมหอพักอย่างตฤณโชค หรืออีแต๋วขโมยอุปกรณ์ เครื่องมือและสารเคมีสำคัญมาให้ ถ้าผลการทดลองครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เป็นไปตามสูตรที่ฐาปกรณ์ หรือไอ้ถึก เพื่อนสนิทมันสมองจีเนียสคิดไว้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังงานทดแทนตัวใหม่ เขาจะได้รับทุนเรียนจนจบปริญญาเอกโดยไม่ลำบากอีกต่อไป

            ทว่าการทดลองไม่เป็นไปตามคาดหมาย ผลลัพธ์เลวร้ายเกินรับได้ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำมากินกำลังไฟมากเกินไปทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร สารเคมีที่ประกอบรวมกันสัดส่วนผิดพลาด เกิดควันตลบคลุ้งทั่วหอพัก

            นลคว้าข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋ารีบกระโดดออกทางหน้าต่างก่อนเพลิงไหม้ลุกลามใหญ่โต ซุ่มซ่อนตัวเงียบ ๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงาน ตกใจหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกจนไฟเริ่มมอด รถพยาบาลเข้ามาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและรับศพผู้เสียชีวิต

            ชั่วเวลานั้นความคิดเอาตัวรอดบังเกิดขึ้น...จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าต้นเพลิงเกิดจากไหน

            ไฟดับสนิทก่อนรุ่งสาง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายกำลังวุ่นวาย ช่วงเวลานั้นนลแฝงตัวเข้าไป ‘เก็บกวาด’ ซากหลักฐานในห้องจนไม่เหลือ แล้วแกล้งทำเป็นเพิ่งกลับหอพัก ไม่รู้เรื่องเพลิงไหม้ใด ๆ

            ปกติเขาเป็นคนเก็บตัวอยู่แล้ว ผู้ที่รู้ว่านลอยู่หอพักในคืนเกิดเหตุล้วนเสียชีวิตทั้งหมด ไม่มีใครเป็นพยาน จึงพ้นข้อสงสัยรอดตัวไปได้

            ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดกลับลงโทษจนนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านฝันเห็นเพื่อนที่ตายมาร้องขอความเป็นธรรมทุกคืน หาวิธีหลีกเลี่ยงข่มตานอนสารพัดไม่สำเร็จ สุดท้ายต้องดื่มเหล้าจนเมาค่อยหลับลงได้ นั่นทำให้การเรียนตกต่ำจนถูกรีไทร์ในที่สุด

            ชีวิตลำบากทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน จนกลายเป็นลูกน้องผู้มีอิทธิพลเข้าสู่ด้านมืดเต็มตัวเช่นในปัจจุบัน

            บางวูบแห่งสำนึกเคยถามตนเอง...หากย้อนเวลาได้จะเปลี่ยนช่วงเวลาใดในชีวิต

            หยุดการทดลองตั้งแต่คมสันเข้ามาเห็นอุปกรณ์ในห้อง ยอมรับผิดกับตำรวจที่เป็นต้นเพลิง...หรือ...ไม่ขอสูตร แนวทางการทดลองจากฐาปกรณ์...ไอ้ถึก ตั้งแต่แรก

            เมื่อย้อนเวลาแก้ไขอะไรไม่ได้ ถลำลึกมาถึงขนาดนี้โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง



            ‘นล’ กลับมายืนหน้าหอพักสมเกียรติอีกครั้ง

            ที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตัวตึกสองชั้นมั่นคงสวยงามกลับกลายเป็นตึกเก่าร้าง ร่องรอยปูนกะเทาะ คราบราดำเกาะหนาเป็นปื้น ผู้คนเคยอยู่กันคึกคัก มีเสียงพูดคุยหัวเราะ ตั้งวงเหล้าสนุกสนานก็เงียบงัน ปราศจากชีวิตชีวา ไร้ร่องรอยผู้อยู่อาศัย หนำซ้ำความวังเวง เย็นยะเยือกแผ่บรรยากาศอึมครึมน่ากลัวเกินบรรยาย

            เขายืนมองมันจากบันไดด้านหน้า แล้วมองหน้าต่างชั้นบนหวังจะเห็นเพื่อนบางคนโผล่มาทักทาย

            “มาแล้วหรือวะ ไอ้เหี้ยนล”

            เสียงทักทายแรกจากบันไดด้านหน้า คมสันยืนมองมาด้วยแววตาว่างเปล่า อธิบายไม่ถูก เห็นแล้วหัวอกเกิดแรงดันอัดแน่นขึ้นมา

            “กว่าจะมาได้นะอีนล...กูรอมึงมาทำตามสัญญาจนแห้งแล้วแห้งอีก...รู้มั้ยว่ากูไม่มีผู้ชายตกถึงท้องมากี่ปีแล้ว”

            อีแต๋วยืนข้างเสาทักทายด้วยการชี้หน้าด่าทอตามนิสัย

            “ยินดีต้อนรับไอ้เพื่อนเลว...มาอยู่เป็นผีเฝ้าหอกับกูแล้วใช่มั้ย”

            ไอ้ถึกลงมายืนตรงลานหน้าหอพัก แสยะยิ้มเหมือนต้องการข่มขู่ ส่วนลึกแววตาฉายรอยรำลึกถึง

            นลเคยคิดว่าการมาเจอ ‘ผีเพื่อน’ ทั้งสามแบบนี้ จะทำให้หวาดกลัว ประสาทถึงขั้นเสียสติ อาจร่ำร้องโวยวายขอชีวิตเป็นบ้าเป็นหลัง

            สิ่งที่เขาทำคือเปิดรอยยิ้มกว้าง ก้อนแข็ง ๆ แล่นขึ้นลำคอก่อนปล่อยเสียงสะอึกสะอื้นเต็มกลั้น แล้วน้ำตาก็ไหลพราก ร้องไห้ออกมาราวทำนบแตก

            “กูขอโทษ...ขอโทษพวกมึงด้วย...กูมันเลว กูมันชั่ว...แต่กูคิดถึงพวกมึงเหลือเกิน...”

            ...วินาทีนั้นเขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น อยู่ท่ามกลางเพื่อนสนิท สามารถแสดงความรู้สึกแท้จริงออกมาได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร...

            ปฏิกิริยาเช่นนี้นอกจากทำให้ ‘สามผี’ ยืนอึ้งคาดไม่ถึงตั้งตัวไม่ติด ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ผู้พาดวงจิตธนนท์มาหอพักก็งุนงง ไม่เข้าใจเช่นกัน

            ไม่อยากเชื่อเจ้าของแบล็ก มูนแหล่งค้ายาขนาดใหญ่ ร่ำรวยมีอิทธิพล ลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้งยังมี ‘ผู้ใหญ่’ เป็นแบ็คอัพจะยืนร้องไห้กลายเป็นเด็กแบบนี้

            หรือว่า...นี่คือตัวจริง ส่วนลึกในใจธนนท์ ซึ่งซ่อน ‘นล’ ในวัยเรียนผู้มีความฝันอนาคตสวยงามแรงกล้าเอาไว้ ถูกหุ้มด้วยเปลือกชายกร้านโลก ทำธุรกิจสีเทา มอมเมาผู้คนโดยไม่รู้สึกผิด

            ขุนคีรีตอบไม่ถูก ผีเฝ้าหอทั้งสามเจอ ‘เพื่อนเก่า’ เป็นแบบนี้จะจัดการอย่างไร




--------------- ------------ --------------




            หลายคนเคยบอก...วัยเด็กเหมือนผ้าขาว แล้วแต่ผู้คนประสบการณ์ชีวิตจะแต่งแต้มสีสันใดลงไป

            ‘นล’ ในวัยเรียนก็เหมือนผ้าผืนหนึ่ง ถูกความลำบากขาดแคลนแต่งแต้มสีสันอยู่บ้าง พื้นสีขาวเดิมยังหลงเหลือเป็นส่วนใหญ่

            เขาพยายามมุ่งมั่นเล่าเรียนใฝ่ฝันอนาคตสวยงาม ไม่สนใจอบายมุขใด พอเกิดเหตุพลิกผันกระทำเรื่องผิดพลาดแล้วไม่ยอมรับ จึงเลือกเส้นทางผิดพลาด ตั้งแต่คิดว่าสุราเป็นเครื่องดับทุกข์ ทำงานทุกอย่างที่ได้เงินไม่สนใจถูกผิด จนพาสิ่งดำมืด ‘สมแก่เหตุ’ เข้ามาในชีวิต

            เมื่อถลำลึก สีขาวหลงเหลือบนผืนผ้าถูกสีเทาดำแตะแต้มทีละน้อยจนมืดลงไม่รู้ตัว พอมีโอกาสย้อนกลับมาวันวานอีกครั้ง เห็นความสกปรกหม่นดำที่ผ่านมาจึงเสียใจอย่างหนัก ปล่อยน้ำตาร้องไห้กลายเป็นเด็กอีกครั้ง

            ผีทั้งสามสมัยเป็นมนุษย์ไม่ใช่คนเลวร้าย หนำซ้ำรักและผูกพันเพื่อนพ้องในวัยเรียนจริงใจ ตายมาสิบกว่าปีความรู้สึกเดิมยังคงอยู่ ต่อให้โกรธเกลียดเพื่อนผู้เป็นต้นเหตุเพลิงไหม้แค่ไหน เห็นเจ้าตัวร้องไห้โฮเหมือนเด็กอย่างนั้นก็อดปลอบใจไม่ได้

            “ไอ้เหี้ย ร้องไห้เป็นตุ๊ดเลยมึง...กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ไอ้ถึกปลอบเพื่อนแค่นั้น

            “เออ...เออ...ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ไม่ต้องทำตามสัญญาก็ได้...เห็นอย่างนี้กูกินมึงไม่ลงหรอก” อีแต๋วยอมยกเลิกสัญญาง่ายดาย

            คมสันถอนใจ ชี้มือตรงบันไดหน้าหอพัก ชวนเพื่อนมานั่งคุยกันเช่นในวันวานที่พวกเขาสรวลเสเฮฮา ไม่คิดถึงวันข้างหน้ามากมาย

            สามผีกับหนึ่งมนุษย์นั่งเรียงบนบันไดมองหน้ากัน สายตามีอาการกระอักกระอ่วนไม่น้อย คนหนึ่งรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า อีกสามไม่เคยคิดว่าจะต้องให้อภัยอะไร ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจ ความโกรธโมโหแค่ผ่านมาผ่านไปในใจชั่วคราวเท่านั้น ไม่ถึงขั้นอาฆาตฝังแน่นรุนแรง

            “ไม่เจอกันนาน สบายดีมั้ย” คมสันเอ่ยถามประโยคแรก

            นลส่ายหน้า คราบน้ำตาแห้งแล้ว

            “ไม่...กูไม่เคยรู้สึกสบายดีเลย”

            หากคำพูดนี้หลุดจากปาก ‘ธนนท์’ ลูกน้องในแบล็ก มูนย่อมไม่มีวันเชื่อ

            “ไม่สบายยังไงยะ เห็นมีคนบอกว่าร่ำรวยมีลูกน้องล้อมหน้าหลัง เป็นเจ้าของสถานบันเทิงดัง” อีแต๋วรีบเถียง

            “มึงรู้มั้ย...กว่ากูจะมีทรัพย์สมบัติอย่างวันนี้ ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง” พูดด้วยแววตาหดหู่รู้สึกผิด “แล้วมึงคิดว่าคนที่ต้องมีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นคนสบายดีมีความสุขหรือวะ”

            “เออจริง มึงไม่แดกเหล้าแต่เสือกเป็นเจ้าของสถานบันเทิง” ไอ้ถึกพยายามเข้าใจ

            “แบล็ก มูนมีชื่อกูเป็นเจ้าของก็จริง แต่ทำอะไรขัดใจ ‘นาย’ ไม่ได้ แล้วแม่ง ‘นาย’ กูมีเยอะเสียด้วย”

            คมสันถอนใจตบไหล่เพื่อนเบา ๆ เวลานี้ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่า ด้วยเห็นสภาพจิตใจหมองมัว ดูหม่นมืดยิ่งกว่าพวกเขาที่เป็นผีเฝ้าหอด้วยซ้ำ

            “กูขอโทษที่เป็นต้นเหตุเพลิงไหม้ ขอโทษที่หนีเอาตัวรอดไม่ยอมรับผิด ไม่เคยกล้ากลับมาที่นี่อีกเลย”

            ตัวต้นเรื่องยอมสารภาพผิดเองโดยไม่ต้องให้ใครกล่าวโทษ

            แววตาฐาปกรณ์...ไอ้ถึกหม่นลง ร่องรอยรู้สึกผิดฉายผ่าน

            “ที่จริงกูก็ผิดเหมือนกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าสูตรคำนวณ แนวความคิดนั้นมันยังไม่สมบูรณ์ ขาดองค์ประกอบแฟคเตอร์สำคัญ ทดลองผิดพลาดอาจเกิดระเบิดหรือมีปัญหาตามมา กูก็ยังยกให้มึงไปเสี่ยงทดลองแทน”

            “กูรู้ว่ามันเสี่ยง...แต่เต็มใจทำ เพราะถ้าสำเร็จกูอาจได้ทุนเรียนฟรี ไม่ต้องลำบากทำงานพิเศษงก ๆ หาเงินเรียนแบบนี้”

            นลพูดจบก็หันไปทางตฤณโชค...อีแต๋ว

            “แต๋ว...กูขอโทษที่หลอกใช้ให้มึงไปขโมยอุปกรณ์ สารเคมีจากแลปมาให้ ทั้งที่กูไม่เคยคิดยอมทำตามสัญญาแต่แรกอยู่แล้ว”

            “กูรู้...” อีแต๋วพูดด้วยรอยยิ้ม “และรู้อีกว่าทุนเรียนต่อเป็นปัญหาสำคัญของมึงเลยอยากช่วย แต่แกล้งขอให้สัญญาไปงั้นแหละ...เผื่อฟลุ๊ค...กระเทยอย่างกูสักคำว่า ‘โง่’ ตรงหน้าผากอยู่แล้วนี่หว่า”

            คราวนี้นลหันไปทางคมสัน ยิ้มอ่อนใจ

            “ถ้ากูยอมไปนั่งสังสรรค์วันเกิดไอ้เม่นตามที่มึงชวน เรื่องร้ายคืนนั้นคงไม่เกิด กูเสียใจจริง ๆ ว่ะ”

            “เออช่างเถอะ” คนฟังไม่อยากติดใจเอาความ “ที่จริงวันนั้นกูคิดว่าเดี๋ยวมึงคงตามมาอยู่ดี เลยไม่ได้บอกไอ้ถึก อีแต๋วให้ตามมาดูมึงทดลอง พอกินเหล้าติดลมเลยลืมไป”

            “ทำไมมึงถึงคิดว่ากูต้องตามไปอยู่ดีวะ” นลสงสัยวาจานั้น

            “อ้าว กูแอบดึงปลั๊กอะไรสักอย่างใส่กระเป๋าออกมาด้วย คิดว่าเดี๋ยวเครื่องมือมึงไม่ทำงานก็ต้องออกมานั่งดูพวกกูแดกเหล้าอยู่ดี”

            “ปลั๊กอะไร”

            “ปลั๊กอะไรวะ”

            คนและผี...นลกับไอ้ถึกถามพร้อมกัน

            คมสันตอบง่าย ๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ

            “มันเป็นสลักคล้ายน็อตแปดเหลี่ยมตรงใกล้สายไฟเข้าเครื่องไง กูแอบดึงแล้วซ่อนในกระเป๋า คิดว่าพอไฟไม่เข้า อุปกรณ์ไม่ทำงาน เดี๋ยวมึงก็ต้องออกมาถามกูอยู่ดีว่าไปทำอะไรกับเครื่องมือมึงหรือเปล่า”

            “ไอ้เหี้ย!”

            คราวนี้สามเสียงประสาน มือผี - มือคนตบคมสันจนหน้าคะมำ เสียงอีแต๋วดังแปร๋นลั่นกว่าใคร

            “อีห่าคมสัน นั่นเป็นตัวควบคุม ไม่ให้ดึงไฟฟ้ามาใช้เกินขีดจำกัดจนเกิดลัดวงจร เขาอุตส่าห์ซ่อนไว้ใต้เครื่องใกล้สายไฟ มึงยังเสือกดึงมันออกมาได้”

            “ไอ้ควาย” ถึกรับช่วงด่าต่อ “เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง อุปกรณ์ไฟฟ้าตัวนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ รุ่นพี่กูคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือทดลองที่ต้องใช้กำลังไฟแบบพิเศษ มีตัวควบคุมแต่ละจุดไม่ให้เกิดอันตราย...ไม่รู้แล้วเสือกเล่นพิเรนทร์”

            “เออ...กูไม่รู้ กูเป็นเด็กนิติฯ...ไม่ได้เรียนวิศวะวิทยาศาสตร์อย่างพวกมึงนี่...สมแล้วไงถึงต้องตายห่าเป็นผีเฝ้าหอกับมึงแบบนี้...ขอโทษโว้ย”

            พูดขนาดนั้นยังโดน ‘ผีเพื่อน’ ทั้งสองตบกะโหลกซ้ำอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

            “ไอ้ฉิบหาย เป็นผีมาสิบกว่าปีเพิ่งจะยอมเปิดเผยความจริงนี่นะ” ไอ้ถึกบ่น

            “ชาติหน้ามึงต้องยอมเป็นผัวกูด้วยอีคมสัน ถือว่าใช้หนี้ที่ทำให้กูอดกินผู้ชายเป็นสิบกว่าปี” อีแต๋วไม่ยอมเสียเปรียบ

            แรก ๆ อาจงุนงงคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์พลิกผัน สุดท้ายนลมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ คล้ายวันวานย้อนกลับมาอีกครั้ง

            ...ดีร้าย ทำผิดอย่างไรก็เป็นเพื่อนกัน...จะถือสา ถือโทษโกรธกันเนิ่นนานทำไม...

            นั่นทำให้ความรู้สึกผิด หลุมดำในใจคลายลง เอ่ยปากกับเพื่อนทั้งสามอย่างจริงใจ

            “กูก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ดีก่อนทดลอง ไม่อยากเชื่อนะว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกเรากลายเป็นแบบนี้ไปได้”

            “ช่างมันเถอะ” ไอ้ถึกหัวเราะ

            “เออ...ช่างมัน” อีแต๋วยิ้มกว้าง

            “มึงก็ด้วยนะ...ช่างมันเถอะไอ้นล...กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีส่วนผิดแบบนี้...ถึงต้องมาใช้กรรมเฝ้าหอร่วมกับไอ้อีผีบ้าสองตัวนี่สิบกว่าปีไง”

            “ถุย...มึงดีตายห่าล่ะไอ้เหี้ยคมสัน”

            “ย่ะ...พวกกูเป็นอีผีบ้าสองตัว แต่ผีโคตรดีอย่างมึงเนี่ย...อย่าลืมมาใช้หนี้เป็นผัวกูชาติหน้าด้วยล่ะ”

            อีแต๋วเริ่มผูกสัญญาตัวใหม่ทันที

            ผีทั้งสามหัวเราะรื่นเริง อารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส พันธนาการในใจผ่อนคลาย เลื่อนหลุดช้า ๆ เป็นธรรมชาติ

            นลรู้สึกหัวอกโล่ง ‘บาปผิด’ ฝังในใจนานสิบกว่าปีได้รับการอภัย โดยอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำว่า ‘ยกโทษ’ สักคำ

            ในใจผ่อนคลายลงชั่วคราว เพราะ ‘รู้’ ตนเองไม่ได้กระทำ ‘สิ่งผิด’ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

            กระทำกรรม ย่อมต้องชดใช้...เลี่ยงไม่ได้




--------------- ------------ --------------




            ดวงจิตธนนท์กลับไปอยู่ในอาการหลับลึกยังห้องควบคุมเช่นเดิม ขุนคีรีย้อนมายังหอพักสมเกียรติพบผีทั้งสามยืนรอด้านหน้า แต่ละตนสีหน้าสดใสกว่าเดิม

            “พวกเราพร้อมไปเกิดใหม่แล้วค่ะคุณยมทูต” อีแต๋วเป็นตัวแทนประกาศก้อง

            “ลาก่อนนะ หอพักผีสิง” ไอ้ถึกหันไปโบกมือหยอย ๆ

            “ผีที่ไหนจะมาสิงอีกวะ” คมสันอดพูดไม่ได้ “หอพักที่ทำให้นักศึกษาจีเนียส เด็กเรียนอย่างพวกมึงกลายเป็นผีบ้าได้ขนาดนี้ คงไม่มีผีตัวไหนกล้ามาอยู่หรอก”

            “หน็อย...ทำพูดเข้า...ที่นี่ก็ทำให้เด็กเรียน ๆ เล่น ๆ ไม่คิดถึงอนาคตอย่างมึง กลายเป็นผีปกติที่สุดได้นี่แหละย่ะ”

            “นั่นสิ...หอพักนี้มหัศจรรย์จะตาย” ไอ้ถึกยิ้มให้กับสถานที่เคยอยู่มานาน

            “มหัศจรรย์ของมึงตัวเดียว กูขอไปเกิดใหม่ดีกว่า” อีแต๋วอดขัดไม่ได้

            ก่อนที่ผีทั้งสามจะพูดจา อำลา ‘บ้านเก่า’ นานกว่านี้ ขุนคีรีรีบขัดขึ้น

            “พร้อมเดินทางหรือยังครับ”

            “พร้อมค่า...พร้อมมานานมากเลย”

            อีแต๋วรีบวิ่งทะลุม่านหน้าหอออกมาตนแรก คมสัน ไอ้ถึกเดินตามมีความสุข

            ผู้ช่วยยมทูตเห็นทั้งสามหลุดออกจากสถานที่เคยเหนี่ยวรั้งสำเร็จ จึงโบกมือไปข้างหน้า จิตใจระลึกถึงยมทูตหินผา ฉับพลัน สถานที่รอบกายเปลี่ยนเป็นลานลั่นทมอันคุ้นเคย



            ลานลั่นทม...ยมทูตหินผายืนรอคู่กับบัวบุษรา

            “คุณมาส่งพวกเขาด้วยเหรอ” ขุนคีรีอดถามหญิงสาวไม่ได้

            “ไม่ใช่แค่มาส่งค่ะ” เจ้าตัวทำตามีเลศนัยเงยหน้ามองยมทูตข้างกาย

            “ท่านพญามัจจุราชชวนพวกเธอไปดูท่านทำงาน”

            วาจาเกินคาดทำเอาชายหนุ่มตะลึงพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าตนจะได้ชม ‘นรก’ รวดเร็วขนาดนี้

            ผีทั้งสามไม่รู้สึกแตกตื่นหวาดกลัว ตามความเชื่อคนส่วนใหญ่ การไปพบพญามัจจุราชก็เพื่อตรวจสอบบาปบุญเคยกระทำ พวกเขามั่นใจต่อให้ไม่เคยทำบุญใหญ่ระดับสร้างโบสถ์วิหาร แต่ไม่เคยทำชั่วร้ายแรงถึงขั้นตกนรกแน่นอน

            “ไปกันได้แล้ว”

            ยมทูตหินผาไม่จำเป็นต้องถามความพร้อมผู้ร่วมเดินทาง เส้นทางนี้มีกำหนดเวลาเฉพาะของตน...เมื่อถึงเวลา...เหตุปัจจัยสมควร ผู้ใดก็เลี่ยงไม่ได้











บทที่ ๑๓



            ธนนท์เหมือนตื่นจากความฝันอันยาวนาน ร่องรอยความสุขโล่งใจค้างคากลางอก ก่อนพบความจริงตรงหน้าในห้องควบคุมสอบสวน ไม่อาจรู้วันเวลาแน่นอน

            ชั่วขณะระลึกถึงฝัน จิตใจแช่มชื่น ‘บาปผิด’ ฝังใจสิบกว่าปีได้รับการคลี่คลาย ทว่าไม่นานตัวตนปัจจุบันกลับคืน มองเห็นกรรมดำที่กระทำจากวันนั้นแต่ละเรื่องราวล้วนไม่น่าให้อภัย

            การถูกควบคุมสอบสวนเช่นนี้เป็นหนึ่งในผลกรรมที่กำลังได้รับ

            กลิ่นหอมอาหารกล่องกระทบจมูก อาการหิวมาเยือน จำไม่ได้รับประทานมื้อล่าสุดเมื่อไหร่ ทราบแค่ถึงเวลาจะมีเจ้าหน้าที่นำอาหารมาส่ง จึงเอื้อมมือหยิบอาหารกล่องนั้นมาโดยไม่สงสัย

            เพียงตักข้าวคำแรกเข้าปาก ใจหล่นวูบเกิดสังหรณ์ไม่ดี อยากหยุดรับประทานเพียงเท่านั้น ความหิวจู่โจมตามมาทำให้สลัดการระวังตัวทิ้ง ตักข้าวคำต่อไปโดยไม่แยแสใส่ใจ

            มันไม่ต่างจากกระทำผิดครั้งแรกแล้วเกิดสำนึก ตักเตือนให้หยุดแล้วไม่ยอมเชื่อฟัง ยินยอมกระทำตามกิเลสผลักดันจนยากถอยหลังกลับ...รู้สึกตัวอีกครั้งเกินแก้ไขแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP