วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒๐



way cover




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๒



            ขุนคีรีพบบัวบุษราครั้งแรกที่โรงพยาบาล หลังทราบเหตุร้ายที่กลุ่มเพื่อนสนิทตนก่อ จนเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ตอนนั้นเธออยู่ห้องฉุกเฉิน หมอพยาบาลกำลังช่วยเหลือสุดความสามารถ

            ภาพหญิงสาวเสื้อผ้ามีรอยไหม้ หยาดเลือดกระเซ็น บอบบางราวกับจะสิ้นลมทุกขณะยังติดตาจนถึงทุกวันนี้

            ดาบตำรวจพนากัดฟันแน่น ดวงตาลุกโชนดังเสือเฒ่าบาดเจ็บ

            “ใคร...ใครทำลูกผมเป็นแบบนี้”

            เพื่อนตำรวจด้วยกันต้องคอยเตือนสติ อธิบายเหตุการณ์ใจเย็นเพื่อคลายความคับแค้นเดือดดาลใจ

            พรไพลินนั่งอีกมุมบีบมือแน่น น้ำตาร่วงเผาะเป็นห่วงน้องสาว ไม่กล้าร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง กลัวทำให้บิดาใจเสียหนักกว่าเดิม

            ชายหนุ่มหลบจากสถานที่นั้นด้วยไม่อาจทนดูภาพชวนปวดใจเนิ่นนาน

            หลังทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมด เขาขึ้นเครื่องบินไปหาบิดาถึงบ้านทางภาคเหนือ ขอร้องให้แสดงความรับผิดชอบ ช่วยเหลือหญิงสาวผู้รับเคราะห์จากการฟาดฟันของผู้มีอิทธิพล

            “ทำไม่ได้...” นั่นคือคำตอบ

            หากพ่อเลี้ยงบุญชัยออกมาช่วยเหลือเหยื่อ หรือสั่งให้ธนนท์ออกหน้ารับผิดยอมติดคุก โดยตนเองแอบจ่ายค่าเสียหายก้อนโตเงียบ ๆ ตำรวจย่อมได้ร่องรอยสืบคดีจนรู้ตัวผู้บงการทั้งหมดอยู่ดี

            นักธุรกิจใหญ่ เจ้าพ่อค้ายาเสพติด และเจ้าพ่อบ่อนคาสิโน สายสัมพันธ์นี้จะถูกลากมาเผยโฉม ความเสียหายรุนแรงเป็นวงกว้าง

            “ถ้าพ่อไม่ทำ...ผมจะรับผิดชอบเอง” นั่นไม่ใช่วาจาเลื่อนลอย

            เขายอมเป็น ‘เงา’ แอบช่วยเหลือเงียบ ๆ มองเห็นความขมขื่น ลำบาก ทุกข์ทรมานตั้งแต่เธอเริ่มมองไม่เห็น จ่อมจมความเศร้า พยายามสะกดกลั้นไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น แต่ปล่อยน้ำตาไหลพรากคนเดียวเงียบ ๆ ทุกครั้งเมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้

            น้ำตาแต่ละหยดกัดกร่อนหัวใจ ‘ผู้แอบมอง’ รุนแรงไม่ต่างจากน้ำกรดร้ายแรง

            ทำได้แค่แกล้งปลอมเป็นบุรุษพยาบาล ไม่ก็ญาติผู้ป่วยคอยช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนพ่อกับพี่สาวเธอไม่อยู่ เอ่ยวาจาน้อยคำไม่ให้จับได้

            ติดต่อขอร้องนายแพทย์ดนัย จักษุแพทย์ระดับประเทศมาดูแลเป็นเจ้าของไข้ พยายามหากระจกตามาเปลี่ยน กระทั่งเธอกลับมาอยู่บ้านยังตามมาเช่าห้องพักใกล้ ๆ เพื่อสะดวกในการลอบช่วยเหลือ

            ปีแรกในการปรับตัว ยอมรับสิ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าครอบครัวบัวบุษรามีปัญหาติดขัดเรื่องใด ขุนคีรีจะแอบช่วยเหลือเงียบ ๆ ให้มันผ่านพ้นโดยสะดวกราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์

            พอขึ้นปีที่สองหญิงสาวดูเหมือนเข้มแข็งพยายามแสดงสีหน้าสดชื่นต่อหน้าพ่อกับพี่สาว พออยู่คนเดียวก็ซึมเซา หมดหวัง รู้สึกตนเองเป็นภาระครอบครัวเกินไป

            หลายครั้งตอนออกกำลังกายในสวนสาธารณะหล่อนแกล้งเดินเปะปะ จงใจหาเรื่องตกบ่อน้ำ แกล้งเดินให้รถชน หาวิธีจบชีวิตตัวเอง ทุกครั้งขุนคีรีจะเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกต ไม่มีใครสงสัย

            พอเข้าใจว่าหญิงสาวรู้สึกตนเองเป็นภาระ ไร้คุณค่าชายหนุ่มหาวิธีช่วยเหลือด้วยการให้ ‘เข้ม’ ซื้อสปอนเซอร์รายการวิทยุ พูดอ้อม ๆ เชิงกระตุ้นให้สุปรียา ดีเจประจำชักชวนเธอกลับมาร่วมงานอีกครั้ง

            พอได้งานดีเจร่วมรายการ บัวบุษรารู้สึกมีคุณค่าชีวิตชีวากลับมา จัดรายการด้วยน้ำเสียงสดใสไพเราะ แสดงเสน่ห์เฉพาะตนจนสามารถรับงานอ่านสปอตโฆษณาตามมา

            เวลาร่วมสองปีตั้งแต่สูญเสียการมองเห็นจนกลับมาเข้มแข็งเช่นทุกวันนี้ ขุนคีรีแอบเป็นเงาเคียงข้าง จิตใจผูกพันสนิทสนมโดยไม่รู้สึกตัว ทุกครั้งที่ลอบมองแววตาจะฉายรอยหวานอ่อนโยนอย่างไม่เกิดกับใครมาก่อน

            กระทั่งผิวปากเพลง Tears in Heaven ให้ฟังส่วนตัวแบบนี้ นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเคยได้ยิน

            ...อย่าถามว่านั่นใช่ความรักหรือไม่...เพราะชายหนุ่มยัง ‘อ่านใจ’ ตัวเองไม่ออกเหมือนกัน...



            ลูกค้าร้านยายปันบ่ายนี้เป็นบุคคลคาดไม่ถึง

            ‘เฮียบุ๋น’ เจ้าของสนามมวยใต้ดินมาสั่งข้าวราดแกงรับประทานคนเดียว ไม่มีลูกน้องติดตาม มีแค่ตาแคล้วนั่งคุยพูดจาธุระไม่กี่คำก็หันมาทางลูกศิษย์ซึ่งกำลังทำงานในร้าน

            “ขุน...มานั่งคุยกับเฮียแกหน่อย”

            “ครับ”

            ขุนคีรีนั่งเก้าอี้ด้านข้าง ผู้เป็นอาจารย์รีบบอกข่าวดีด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

            “เรื่องคราวก่อนเฮียบุ๋นเคลียร์ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว กว่าจะคุยกันได้เสียเวลานานหน่อย มิน่าบิ๊กเพลิงถึงไม่พาพวกมาเอาเรื่องถึงที่ร้าน ขอบคุณเฮียเขาสิ”

            “ขอบคุณครับ”

            “เออ ไม่เป็นไร” ตอบรับทั้งที่แววตาแปลก ๆ

            ชายหนุ่มสังเกตเห็นแต่เลือกที่จะนิ่งไม่พูดจามากความ

            “ตอนนี้เราไปขึ้นเวทีชกได้ตามปกติแล้วนะ” ตาแคล้วดีใจไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาผู้ร่วมโต๊ะ

            “ครับ” ขุนคีรีตอบสั้นเช่นเดิม

            “ตาแคล้ว ขออั๊วคุยกับลูกศิษย์ลื้อสักหน่อยสิ” พูดเช่นนี้แสดงว่าต้องการให้อีกฝ่ายออกจากการสนทนา

            “ได้สิเฮียบุ๋น งั้นผมไปช่วยอีแก่ขายของก่อนนะ”

            ผู้สูงวัยลุกขึ้นกระฉับกระเฉง ตบไหล่ลูกศิษย์เบา ๆ ก่อนไปช่วยภรรยาขายข้าวแกง

            ขุนคีรีสบตาเจ้าของสนามมวย พบร่องรอยบางอย่างบอกว่า ‘รู้จัก’ ตัวตนแท้จริงเขาแล้ว

            “ทำไมตะกี้ลื้อไม่แก้ความเข้าใจผิด บอกอาจารย์ว่าอั๊วไม่ใช่คนเคลียร์เรื่องคืนนั้นล่ะ”

            “ครูแคล้วเข้าใจอย่างเฮียบอกก็ดีแล้ว ผมไม่มีปัญหาอะไร”

            คำตอบชัดเจน แสดงว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน

            “ตาแคล้วคงไม่รู้ว่าคนอย่างอั๊วไม่มีปัญญาเคลียร์กับบิ๊กเพลิงได้”

            “เรื่องราวคืนนั้นมันเรียบร้อยแล้ว ใครเคลียร์ไม่สำคัญ ตอนนี้เฮียไม่มีปัญหาอะไรแล้วไม่ใช่หรือครับ”

            “มีสิ ไม่งั้นอั๊วจะมาที่นี่เหรอ”

            ขุนคีรีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นัยน์ตาหรี่ลงฉายแววสงสัย อีกฝ่ายหัวเราะหึหึก่อนอธิบาย

            “อั๊วสงสัยว่าคนที่สามารถทำให้ท่าน ‘พลเทพ’ ออกหน้าได้น่ะเป็นใคร คนที่เจ้าพ่อระดับนี้บอกว่าเป็น ‘หลานรัก’ มีประวัติความเป็นมาแบบไหน”

            ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ดวงตาหม่นชั่วแวบ

            “เฮียเลยเสียเวลาไปสืบประวัติอยู่นาน กว่าจะมาบอกครูแคล้วถึงร้านให้ผมกลับขึ้นเวทีได้หรือครับ”

            คืนนั้นบิ๊กเพลิงบอกจะโทรหาเฮียบุ๋นว่าไม่ติดใจเอาความใด ๆ ให้เขาขึ้นเวทีตามปกติ ถ้าเจ้าของสนามมวยไม่มีปัญหาน่าจะโทรแจ้งให้ทราบวันต่อมาทันที

            เฮียบุ๋นกลับนิ่งเฉยไม่พูดจา ไม่บอกข่าวคราว แท้จริงแอบสืบประวัตินักมวยมาดเซอร์เงียบ ๆ

            “อืม...อั๊วก็ใช้เวลาหลายวันเหมือนกันกว่าจะรู้ว่าลื้อเป็นใคร” อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ “ที่เสียเวลาเพราะลื้อตอนนี้ไม่เหมือนในรูปลูกชายพ่อเลี้ยงคนดังเท่าไหร่”

            ขุนคีรีเงียบไม่จำเป็นต้องอธิบาย...การที่ลูกชายพ่อเลี้ยงคนดังไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีภาพออกสื่อก็ด้วยนิสัยโลกส่วนตัวสูงไม่ชอบให้คนอื่นมาวุ่นวาย

            หลังมารดาเสียชีวิตยิ่งเก็บตัวอยู่กับเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิท ปล่อยตัวไว้ผมยาวรุงรัง ตรงข้ามกับภาพนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ หนุ่มเฟรชชี่มหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ชนิดเป็นคนละคน

            “ที่เฮียมาคุยกับผมวันนี้ ธุระจริงคืออะไร” ถามเข้าประเด็น

            “อั๊วจะไม่ถามหรอกว่าทำไมลูกเศรษฐีถึงมาทำตัวซอมซ่อแบบนี้ แต่อยากได้คำยืนยันว่า ถ้าลื้อยังขึ้นเวทีสนามมวยอั๊วต่อไป...แล้วเกิดเหตุพลาดพลั้งบาดเจ็บเป็นอะไรขึ้นมา พ่อกับลุงของลื้อจะไม่เข้ามาวุ่นวาย”

            “พ่อกับลุงพลไม่ยุ่งกับสนามมวยเฮียแน่...ผมรับรอง” คำพูดหนักแน่นไม่ปกปิดตัวตน

            “งั้นก็ดี อั๊วได้คู่ชกคนใหม่ให้ลื้อแล้ว ฝีมือดีมากไม่เคยเจอมาก่อน...แมตช์สูสีแบบนี้คนดูต้องชอบแน่...ถ้ารับรองว่าลื้อเกิดบาดเจ็บเป็นอะไรขึ้นมาแล้ว ‘ท่าน’ ทั้งสองไม่ส่งคนมาพังสนามมวย อั๊วจะได้เตรียมโปรโมตเลือกวันขึ้นชกเลย งานนี้ต่อให้แพ้ก็ยังได้เงินรางวัลเหมือนกัน”

            แรกได้ยินขุนคีรีอยากเอ่ยปากปฏิเสธ เขาไม่ต้องการเงินทองมากมาย พอหันไปเห็นตาแคล้วช่วยภรรยาทำงานหน้าร้านแล้วนึกสงสารจึงพยักหน้ารับคำ

            “ผมขึ้นชกได้ เฮียไม่ต้องกลัวปัญหาทางนั้นหรอก”

            “เออดี ได้ยินแล้วค่อยสบายใจหน่อย”

            “จริงสิ ผมมีของต้องคืนเฮียเหมือนกัน”

            “อะไร”

            “กระบองคู่ที่ให้มาวันนั้นไง”

            “ไม่ต้องคืนหรอก อั๊วยกให้แล้วไง” พูดสั้น ๆ ก่อนทบทวนความทรงจำบางอย่าง “ที่จริงอาวุธที่สนามมวยก็มีเยอะแยะ ทั้งมีด ไม้พลอง ปืน...แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้อั๊วหยิบกระบองคู่นั้นให้ลื้อไม่รู้”

            ขุนคีรีนิ่งอั้น ไม่อยากบอกว่าอาวุธคู่นั้นเป็นสิ่งที่เขาถนัดสุด หากไม่มีมันอาจเอาชนะสมุนบิ๊กเพลิงยากกว่านี้

            สิ่งดลใจเฮียบุ๋นอาจเป็น ‘พรายกระซิบ’‘ยมทูตสั่ง’ ไม่ก็ ‘กรรมจัดสรร’ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลให้ยุ่งยากปวดหัวอีกแล้ว




--------------- ------------ --------------




            ร้านกาแฟใกล้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

            ร้อยตำรวจเอกไทธัตเปิดประตูร้านพบคนโทรนัดตนกำลังนั่งจิบกาแฟเงียบ ๆ มุมร้าน สายตาสบกันฝ่ายนั้นกวักมือเรียก

            “ขอโทษครับดาบ ผมมาช้าไปหน่อย”

            “ไม่เป็นไรผู้กอง ผมใจร้อนอยากรู้เรื่องไอ้ธนนท์...เป็นไงมาไงถึงถูกจับได้”

            นายตำรวจหนุ่มนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หันไปสั่งกาแฟอีกแก้วก่อนตอบคำถามนั้น

            “มันโดนซัดทอด หลักฐานชัดเลยโดนเรียกตัวมาสอบสวนใหม่”

            “ใครซัดทอดมัน ไหนตอนแรกค้นแบล็ก มูนไม่เจอหลักฐานยาเสพติดเลย”

            ไทธัตรอกาแฟมาเสิร์ฟ มองรอบข้างไม่เห็นใครผิดสังเกตจึงพูดพอได้ยินสองคน

            “ดาบจำคดีเมย์ มายาวีเสพยาจนเสียชีวิตได้มั้ย”

            “จำได้ งานนั้นเห็นว่าลูกสาวผมไปมีส่วนด้วยนิดหน่อย”

            “ใช่ครับ น้องบัวยืนยันให้ค้นหาหลักฐานในห้องอีกรอบจนเราพบยา V ซ่อนอยู่จุดที่มองข้ามจริง ๆ”

            “คดีนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง หรือว่าแฟนดาราคนนั้นเป็นคนขายยา” ดาบตำรวจพนาคาดการณ์ตามประสบการณ์

            “ใช่ครับ ตอนแรกเราเชื่อว่า ‘จอห์น’ เป็นทีมปล่อยยาของธนนท์ แต่มันยืนยันปฏิเสธ เราหาหลักฐานพยานไม่ได้ แถมมันมีทนายดีคอยแก้ต่าง ผู้ใหญ่ไม่อยากจับแค่ปลาซิวปลาสร้อยเลยยอมปล่อยตัวไปก่อน”

            “ถ้าอย่างนั้นนายจอห์นใช่มั้ยที่กลับมาซัดทอดธนนท์” ตำรวจอาวุโสมองเหตุการณ์ออก

            “ครับ”

            “แสดงว่ามันกลัวโดนฆ่าตัดตอน เลยหอบหลักฐานมาหาพวกเราให้กันตัวเป็นพยาน”

            นายตำรวจหนุ่มหัวเราะเบา ๆ อดีตตำรวจสืบสวนมือดีคาดเดาแม่นยำ

            “ถ้าดาบอ่านเกมออกขนาดนี้ผมไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟังแล้วล่ะ”

            “ผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ ถ้าจอห์นมีหลักฐานเอาผิดธนนท์ก็น่าโดนเก็บแต่แรกแล้ว ไม่ก็ควรหนีออกนอกประเทศมากกว่าเสี่ยงเป็นพยานเอาผิดเจ้านายเก่า”

            “พวกเราก็คิดอย่างนั้น เพราะหลักฐานที่เอามาให้ คนระดับจอห์นไม่น่าหาได้”

            “ธนนท์เป็นยังไงบ้าง” ดาบตำรวจพนาเข้าเรื่องที่นัดอีกฝ่ายมาคุย

            “ตอนนี้ถูกควบคุมตัวรอฝากขังที่เรือนจำชั่วคราว”

            “ผมขอไปคุยกับมันหน่อยได้มั้ย”

            “ดาบจะเข้าไปคุยเรื่องอะไร”

            “คดีเพลิงไหม้ แก๊สระเบิดที่ร้านอาหารเมื่อสองปีก่อน”

            “คดีที่น้องบัวเป็นผู้เสียหาย” เรื่องนี้พรรคพวกตำรวจต่างทราบ เห็นใจอยากช่วยเหลือกันทุกคน

            “ผมสงสัยว่าธนนท์เป็นคนวางระเบิดครั้งนั้น ผมอยากให้มันยอมเปิดเผยความจริง เพื่อลากตัวคนบงการเบื้องหลังออกมารับโทษ”

            ไทธัตนิ่งอั้นสิ่งที่ได้ยินรวบรัด เข้าใจง่าย แต่ยากเหลือเกินจะทำให้เป็นจริง

            “ดาบคิดว่ามันจะยอมพูดหรือ ขนาดคดียาเสพติดมีหลักฐานพยานพร้อมยังไม่ยอมปริปากเลย”

            “ผมอยากลองดู เพราะมันเป็นกุญแจดอกแรกที่จะไขออกไปลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดออกมา”

            นายตำรวจหนุ่มอึดอัด ลำบากใจจะช่วยเหลือ

            “ธนนท์ก็เป็นกุญแจดอกสำคัญ ที่พวกผู้ใหญ่ตั้งใจใช้ไขเข้าไปลากเจ้าพ่อค้ายาฯ เบอร์ใหญ่ลงมาเหมือนกัน”

            “นายพลเทพไม่ยอมโดนลากลงมาง่าย ๆ หรอก” ดาบตำรวจพนาฟันธง “ถ้าจะจัดการเจ้าพ่อคนนี้จริง ต้องจับได้คาหนังคาเขาชนิดดิ้นไม่หลุด...ซึ่งโอกาสนั้นอาจมีในอีกไม่นานนัก”

            “ดาบพูดเหมือนรู้อะไรมา”

            “ตอนผมแอบสืบคดีได้ยินข่าวแบบไม่ยืนยันว่า พวกค้ายาฯจะมี ‘งานใหญ่’ เร็ว ๆ นี้”

            “งานอะไร แบบไหน”

            “ผมยังไม่รู้ชัด ขอเวลาอีกหน่อยน่าจะได้รายละเอียดเพิ่ม”

            “ดาบไว้ใจสายข่าวตัวเองแค่ไหน”

            ตำรวจอาวุโสถอนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือเปิดภาพที่ตนถ่ายก๊อปปี้จากรูป ‘คำเตือน’ ให้ดู

            “เฮ้ย...พวกมันรู้ความเคลื่อนไหวดาบแล้วนะ”

            “แปลกมั้ย ที่ผมยังรอดปลอดภัย แสดงว่าในกลุ่มพวกนั้นน่าจะมีคนอยากโค่นพลเทพ ถึงส่งคำเตือนมาแบบนี้ และอาจ ‘จงใจ’ ให้ผมได้ยินข่าวงานใหญ่นั้นด้วย”

            “หรืออาจเป็นกับดักก็ได้” ไทธัตแย้ง

            “ไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมถือว่าเป็นโอกาส...โดยเฉพาะครั้งนี้ ขอโอกาสผมคุยกับธนนท์เถอะ อย่างน้อย...แค่มันยอมรับผิด...ผมก็พอใจแล้ว” ตำรวจอาวุโสพูดหนักแน่น แววตาเข้าใจ

            ไทธัตถอนใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจรวดเร็ว

            “งั้นผมจะหาวิธีช่วย ดาบอาจได้คุยกับมันไม่เกินห้านาที”

            “เท่าไหร่ก็ได้ ขอบคุณผู้กอง”




--------------- ------------ --------------




            ห้องควบคุมผู้ต้องหา

            รูปถ่ายสามใบวางเรียงตรงหน้า ภาพแรกเป็นชั้นล่างร้านอาหารชื่อดังพังยับด้วยแรงระเบิด ภาพสอง...หญิงสาวเสื้อผ้ามีรอยไหม้ดำ หยาดเลือดกระเซ็น ใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าดำคราบเลือด ภาพสุดท้าย...ผ้าพันแผลรอบดวงตา ใบหน้าเผือดขาว ริมฝีปากซีดแทบปราศจากสีเลือด

            “จนถึงตอนนี้...เธอ...ก็ยังมองไม่เห็น...เพราะ...ระเบิดครั้งนั้น”

            ดาบตำรวจพนาพยายามสะกดกลั้นความแค้นใจพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            ธนนท์นิ่งรอยสลดใจฉายผ่านแค่วูบเดียวก่อนตอบเฉยเมย

            “คุณเอารูปพวกนี้มาให้ผมดูทำไม”

            “อดีตพนักงานในร้านอาหารเห็นคุณแอบเข้าไปในห้องครัวก่อนวันเกิดเหตุ”

            “ถ้ามีพยานยืนยันขนาดนั้นทำไมไม่จับผมไปเลยล่ะ”

            นายตำรวจอาวุโสไม่ตอบ เพราะความจริงพยานบรรยายแค่รูปร่างลักษณะ ประกอบกับเป็นตอนดึกปิดร้านแล้ว ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน ตอนนั้นเจ้าตัวคิดว่าเป็นพนักงานในร้านอีกคนที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกัน จึงไม่ได้บอกตำรวจแต่แรก

            “ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณเป็นลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัย แค่ทำตามคำสั่งเจ้านาย...ยอมรับมาเถอะ ไม่เห็นหรือว่ามีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่บาดเจ็บทั้งคน”

            “คุณตำรวจ...ตอนนี้ผมถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติดอยู่นะ ยังจะมาหาเรื่องเพิ่มคดีให้อีกหรือไง”

            พนาเข้าใจ ไม่มีคนร้ายที่ไหนอยากสารภาพเพิ่มโทษให้ตัวเองแน่...ทว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะเกลี้ยกล่อมจึงไม่อยากพลาด

            “ผมเข้าใจ ถ้าคุณยอมรับเรื่องนี้เท่ากับเพิ่มโทษให้ตัวเอง แต่มันสามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่อีกสามคนมาร่วมใช้กรรมได้นะ”

            พูดถึงตรงนี้คนฟังหัวเราะเสียดเย้ย มองตำรวจอาวุโสด้วยแววตาสมเพช

            “คิดว่าตัวเองเป็นใคร...คนพวกนั้นไม่ใช่ใครคิดจะโค่นก็ทำได้ง่าย ๆ หรอกนะ”

            “แสดงว่าคุณยอมรับแล้ว”

            “ยอมรับอะไร ผมแค่พูดไปตามที่คิด ตราบใดยังไม่มีคำวินิจฉัยจากศาล ก็ยังถือว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ”

            ดาบตำรวจหัวเราะหึหึ แววตากร้าว เก็บภาพทั้งสามใส่กระเป๋าเงียบ ๆ

            “ผมไม่รู้ว่าคุณนอนหลับได้ยังไงนะ ตั้งแต่ลูกสาวมองไม่เห็น ผมไม่เคยหลับเต็มตาได้สักคืน...ที่มานี่ไม่คิดหรอกว่าคุณจะยอมรับ ให้หลักฐานจับคนบงการเบื้องหลัง แต่อย่างน้อย...แค่คำขอโทษอย่างจริงใจก็ยังดี ผมรู้ว่าคุณไม่มีเจตนาทำร้ายเธอ เจ้านายคุณก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องลุกลามขนาดนี้...”

            วาจาชะงักชั่วขณะก่อนคำพูดสุดท้ายหลุดออกมา

            “แค่คุณสำนึกผิด ยอมรับแบบไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐาน ผมก็พร้อมให้อภัยแล้ว เพื่ออย่างน้อยจะได้นอนหลับเต็มตาเสียที”

            ความจริงใจจากนายตำรวจผู้เหนื่อยล้ากระทบใจผู้ถูกคุมขังอย่างแรง ชั่วขณะหนึ่งอยากเอ่ยปากยอมรับความจริงให้อีกฝ่ายคลายใจ ทว่า...เมื่อโกหกครั้งที่หนึ่งแล้ว จำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียวไปจนถึงที่สุด




--------------- ------------ --------------




            ผู้สอบสวนโดยไม่ได้รับเชิญออกไปนานแล้ว สารพัดวิธีเกลี้ยกล่อมทำได้เพียงโยกคลอนจิตใจผู้ต้องหา ไม่อาจง้างความจริงใดออกจากปากสำเร็จ

            ธนนท์อ่อนล้าแทบหมดแรง จิตใจปวกเปียกเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมจนแฟบแบน การถูกสอบสวนหลายรูปแบบทั้งข่มขู่ เกลี้ยกล่อม กระทั่งเรียกร้องขอความสงสารเห็นใจ ล้วนทำให้ซวนเซ ตั้งตัวแทบไม่อยู่ ไม่อาจฝืนรับวิธีการใดได้อีกชั่วคราว

            ความง่วงงุนจู่โจม ประสาทอ่อนล้าต้องการพักผ่อน ร่างค่อย ๆ เอนนอนจนหลับสนิทในเวลารวดเร็ว

            หลับลึกเช่นนี้ไม่ควรฝัน ธนนท์กลับฝันถึงเรื่องราวอดีต นานนับสิบกว่าปีซึ่งควรลืมเลือนได้แล้ว มันกลับแจ่มชัดราวกับเป็นเมื่อวาน

            วันที่เขาชื่อ ‘นล’



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP