ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าพ่อแม่ชอบพูดบั่นทอนกำลังใจ ควรทำอย่างไรให้เป็นทุกข์น้อยลง



ถาม – คุณพ่อคุณแม่มักพูดกับดิฉันในแง่ลบ เช่น อนาคตเธอจะลำบาก
เธอจะต้องเจอเรื่องแย่ๆ เธอจะเป็นไปในทางที่ไม่ดี ฯลฯ
ดิฉันฟังแล้วก็วิตกกังวลมากว่าจะเป็นไปตามคำพูดของพวกท่านหรือไม่
ควรวางใจอย่างไรกับถ้อยคำของพ่อแม่ที่ติดอยู่ในใจเราคะ



พูดแบบสุดโต่งเลยนะ พูดแบบสุดโต่งไปในทางหนึ่งก่อนเลย
พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่าที่เราจะรู้สึกว่าเราตอบแทนพ่อแม่ได้
คือ การเปลี่ยนมิจฉาทิฏฐิในใจของพ่อแม่ให้กลายเป็นสัมมาทิฏฐิได้

คำว่า มิจฉาทิฏฐิในที่นี้ก็เหมือนถ้าไม่มีศรัทธาที่ถูกต้อง ก็ให้มีศรัทธาที่ถูกต้องเสีย
ถ้าไม่เชื่อเรื่องผลของกรรมก็ให้เชื่อเรื่องผลของกรรมเสีย
ถ้ายังไม่รู้จักคำว่าสติ ยังไม่รู้จักการเจริญสติ ก็ให้รู้จักการเจริญสติ
อันนี้เป็นตัวอย่างนะว่าเราให้ที่พึ่งที่แท้จริงกับพ่อแม่
เป็นศรัทธา ทาน ศีล ภาวนา

การทำให้พวกท่านมีความเข้าใจพระพุทธเจ้า พูดง่ายๆ นะ
จะเป็นการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ



ทีนี้ย้อนกลับมา เมื่อกี้ไม่ได้ตอบคำถามนะ
เมื่อกี้แค่ยกว่าถ้าพ่อแม่เราไม่ดี สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดก็คือ ทำให้ท่านดีขึ้นมา
โดยความเป็นลูก พอยังไม่ได้คิดนะ
เราก็จะมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องกับเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีกับเรา ทุกสิ่งทุกอย่างสมกับความเป็นพ่อเป็นแม่
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ลูกจะสันนิษฐานไว้ในใจ จะตั้งความคาดหวังไว้ในใจ
แต่ในทางปฏิบัติ มีพ่อแม่น้อยคนในโลกครับที่จะมีสัมมาทิฏฐิ
หรือว่ามีทัศนคติ หรือท่าทีต่อการเป็นพ่อเป็นแม่ที่ถูกต้อง
ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ที่ไม่เคยผ่านการเป็นพ่อเป็นแม่มาก่อน
แล้วพอเป็นพ่อเป็นแม่ก็เป็นกันตามสัญชาตญาณ
เช่น อยากได้อะไรจากลูกบ้าง คาดหวังว่าลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง
บางคนนะ ลูกยังไม่ทันออกจากท้องเลย
คาดหวังแล้วว่าเกิดมาลูกจะเป็นอัจฉริยะ
เกิดมาลูกจะมาเลี้ยงตัวเอง มาทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น
หรือว่าพ่อแม่บางคนตั้งธงไว้เลยว่าจะขายลูก ถึงขนาดนั้นเลยนะ
อันนี้พูดเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นในโลก ไม่ได้มาพูดกันตามอุดมคติอะไร



ทีนี้พอเราตั้งมุมมองไว้ถูกต้องตรงตามจริงที่โลกมันเป็นอยู่
เราก็จะมองเห็นว่าอย่างเรามาคุยกันในรายการนี้ได้
มันแปลว่าเราต้องมีต้นทุนอะไรบางอย่าง ต้นทุนทางธรรม
มีต้นทุนทางธรรมที่สามารถจะยกระดับตัวเอง แล้วก็มีสิทธิ์จะยกระดับพ่อแม่ได้
คือมุมมองมันจะเปลี่ยนไปหมดเลยนะ
จากเดิมที่เราตั้งคำถามว่าทำไมพ่อแม่ถึงต้องพูดอย่างนี้กับเรา
ทำไมพ่อแม่ถึงไม่คิดถึงหัวอกเรา
ทำไมพ่อแม่ไม่รู้เลยเหรอว่าคำพูดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มันลบๆ
มันเป็นอัปมงคลแก่ลูก มันฝังความรู้สึกแย่ๆ กับชีวิตตัวเองให้กับลูก



เราจะเปลี่ยน เปลี่ยนไปเป็นมุมมองที่ว่า
ถ้าเราอยากทำบุญ ถ้าอยากตอบแทนที่พ่อแม่ให้เราเกิดมา
ในแบบที่สามารถรู้จักกับพุทธศาสนาได้ รู้จักกับธรรมะได้
มีโอกาสยกระดับจิตวิญญาณของตัวเองได้
ทำอย่างไรเราจะช่วยให้ทั้งพ่อแม่และทั้งเราเองรอดจากนรกทางใจ
หรือว่าเหตุการณ์ที่มันเหมือนกับมาบั่นทอนจิตใจ
คือเราไม่ยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ แต่เริ่มเอามาเป็นหน้าที่ของเราเอง
ว่าเราจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เราจะเป็นฝ่ายเริ่มก้าวแรก
คนที่มีกำลังใจเป็นฝ่ายเริ่มก้าวแรกที่จะยกระดับชีวิตของครอบครัวให้มันดีขึ้น
นั่นน่ะคนที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณนะ



เวลาที่โดนคำพูดลบๆ คำพูดแรงๆ มา ท่าทีของเรามันจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง
ต่อไปนี้นะ ลองสังเกตนะ ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีคิดหรือว่าวิธีมอง
ใจเราจะเป็นเหมือนเดิม เราก็ย้อนกลับไปโต้ตอบกับพ่อแม่
ด้วยวาจาที่มันดุร้ายหรือว่าที่มันหยาบคายเหมือนเดิมอีก
แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ครอบครัวเหมือนกับตกอยู่ในภัยพิบัติที่ไม่มีใครมาช่วยกู้
แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าตอนนี้เราเป็นฝ่ายที่มีธรรมะ
หมายถึงธรรมะในใจนะ ไม่ใช่ธรรมะทางความคิดนะ ไม่ใช่ว่าท่องจำว่าเรื่องศีลห้า
ไม่ใช่ว่าเรื่องมีการเมตตา การแผ่เมตตา การเจริญสติอะไร
ไม่ใช่ท่องแบบนั้น แต่มีธรรมะอยู่ในใจจริงๆ
ธรรมะในแบบที่เรารู้สึกถึงความเป็นตัวตั้งว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น
มันเริ่มขึ้นจากใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆ มันไหลมาแต่ใจ



ถ้าหากว่าใจเราตั้งอยู่ในทิศทางที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ร้ายๆ ให้มันดีขึ้น
ท่าทีของเราจะเปลี่ยนไป
คือเวลาที่ถูกด่ามา เราจะไม่ใช่มาคิดแล้วว่านี่เราเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่กระทำ
แต่จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเราเป็นคนที่มีสิทธิ์เป็นคนแรก

ที่จะทำให้อะไรๆ ในครอบครัวของเรามันยกระดับขึ้นเป็นกุศล

จากที่มันอยู่ก้นเหวที่มันเป็นความมืด ให้มันปีนป่ายขึ้นไปบนหน้าผา
แล้วก็สามารถเอาตัวรอดได้ ย้อนกลับมาฉุดดึงพ่อแม่ได้ ให้ไปตามขึ้นไป



มันเริ่มจากก้าวแรกตรงนี้ ก้าวที่เราตัดสินใจว่าจะเอาไหม
ว่าเราจะเป็นคนเริ่มต้น ว่าเราจะเป็นคนฉุด ไม่ใช่คนที่จมลงไปด้วยกัน

แล้วจิตใจที่มันมีความรู้สึกสว่างขึ้น สบายขึ้น แล้วก็มีกำลังใจมากขึ้น
จากธรรมะ จากการคุยกัน จากการมีกัลยาณมิตรที่มาร่วมสนทนาอยู่ด้วยกัน
ที่เป็นกำลังใจให้กันได้ บนเส้นทางเดียวกัน
บนเส้นทางที่จะไม่มีใครว่าคุณว่าไปยอมทำไม
หรือว่าทำไมยอมโง่อยู่ ถูกกระทำฝ่ายเดียวอะไร
แต่เป็นพวกที่เป็นกลุ่มที่พร้อมจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ว่าช่วยพ่อแม่สิ ช่วยตัวเองให้รอดสิ ช่วยให้อะไรๆ ในครอบครัวของเรามันดีขึ้นสิ
การที่มีกลุ่มกัลยาณมิตรมันดีอย่างนี้ มันมีกำลังใจ
และเห็นว่าเราไม่ได้เป็นบ้าไปคนเดียว เราไม่ได้แปลกอยู่คนเดียว
ทุกคนน่ะเคยผ่านมาหมดแหละ เรื่องร้ายๆ ในครอบครัว
แต่ใครเท่านั้นแหละที่จะได้คิดว่าฉันขอเป็นคนเริ่มที่จะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้น



เวลาที่เรามีความรู้สึกอย่างนี้ที่มันแข็งแรงพอ เวลาโดนคำพูดอะไรแย่ๆ มา
เราจะคิดใหม่ คิดถึงคำที่มันดีขึ้น คิดถึงอารมณ์ของตัวเอง
ที่ทำอย่างไรจะให้ใจของเรากลายเป็นน้ำจืด น้ำสะอาด
ที่ไปล้างหรือไปดับไฟที่เกิดจากคนในบ้านเดียวกัน
มันไม่ใช่มองโลกสวยๆ แล้วก็ทำได้ตั้งแต่ครั้งแรกนะ

แต่ถ้าพยายามทำ มันจะรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นนักกีฬา
ที่ค่อยๆ ฝึก แล้วก็ค่อยๆ มีความสามารถ ค่อยๆ มีฝีมือ
ค่อยๆ มีสกิล (skill) มีทักษะที่จะตอบโต้ แบบอยู่ในสถานการณ์จริงๆ
แล้วก็รับมือได้จริงๆ รู้สึกถึงใจของเรา ที่มีกำลังวังชามากขึ้นเรื่อยๆ
มีแก่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ มีสกิลมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็สมองที่จะคัดคำที่มันฉลาดๆ บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
แล้วก็รวมทั้งวิธีการ วิธีการทางจิตที่จะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
ใช้ความเย็นดับความร้อน ใช้ความมีสติไปชำระล้างโมหะ
ที่เรารู้สึกได้กับคู่สนทนา ไม่ว่าจะเป็นใครนะ
คือถ้าเรามีความเคยชินที่จะมองเข้ามาที่ใจของเราเองเป็นตัวตั้ง
แล้วสำรวจรู้ ว่ามีสติอยู่หรือว่ามีโมหะอยู่ มีความยุ่งเหยิงอยู่ หรือว่ามีความสงบอยู่
ตรงนี้ มันจะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นๆ
ไม่ใช่ทำได้ในทีเดียว แต่ว่ายิ่งทำไป มันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีสกิลมากขึ้นสตรอง (strong) มากขึ้น






ถาม – ดิฉันศึกษาธรรมะมานานแล้ว และอยากให้คุณพ่อคุณแม่ดีขึ้นทางด้านจิตใจอยู่แล้ว
แต่คำพูดของพวกท่านก็ยังติดอยู่ในใจอยู่ดีค่ะ


บั่นทอนกำลังใจเรา
นั่นแหละ ที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้คือจุดนี้
คือถ้าเรายังมองอยู่ว่าทั้งหมดที่เขาพูดมาคือการบั่นทอนกำลังใจเรา
เราก็จะอยู่กับฐานะนั้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราสวิตช์ (
switch) กัน
เปลี่ยนมาเป็นว่าเราโตพอที่จะทำให้เขาน่าจะกลับใจหรือว่าสำนึกได้
มันไม่ใช่เริ่มจากการพูดให้เขารู้สึกสำนึกผิด
แต่บางทีเป็นการโต้ตอบ เขาใช้คำรุนแรงมา เราใช้คำที่นุ่มนวลกลับ
เขาใช้คำที่ทิ่มแทงมา เราใช้คำที่มันเหมือนมีความอ่อนโยน มีความเข้าอกเข้าใจ
คือทำให้เขารู้สึกว่าเรามีความเติบโตทางจิตวิญญาณมากขึ้น


จากเดิมที่เราเป็นพวกเดียวกับเขา
คือเหมือนกับถูกเขากระทำได้ ถูกเขาบั่นทอนกำลังใจได้
มันเปลี่ยนเป็นว่าเขาพูดอะไรมา มันไม่สามารถบั่นทอนกำลังใจเราได้อีกแล้ว
เราต่างหากเป็นฝ่ายเลือกที่จะให้กำลังใจเขา
คือการให้กำลังใจเขาก็คือการให้ธรรมะกับเขา
ธรรมะในที่นี้คือความสว่าง ความเย็น ความนุ่มนวล แล้วก็ความมีสตินะครับ



ลองพิจารณาดูที่ผมพูดไป
ขอให้กำลังใจนะ ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจนะว่าที่คุณประสบอยู่ยากลำบากอย่างไร
แต่เห็นมาแล้วนะครับว่า ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก
มันสามารถพาคนอื่นที่อยู่รอบตัวเราที่อยู่ใกล้ตัวเรา
มันถูกตามไปด้วย มาตามทางถูกได้ตามเราไปด้วยนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP