วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๙



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สถานที่นำดวงวิญญาณมาส่งไม่ใช่ลานลั่นทม เป็นสวนสาธารณะออกกำลังกายใกล้หมู่บ้านบัวบุษรา

            เวลาดึกสงัด สนามไร้ผู้คน โคมไฟตามเสาสาดแสงสีส้มซีด ๆ อาบทั่วบริเวณ บรรยากาศวังเวงน่ากลัวผิดกับตอนเย็น

            ผู้คนมาออกกำลังกายต่างกลับบ้านหมด ไม่เหลือกระทั่งกลุ่มวัยรุ่นจับกลุ่มดื่มสุรา สรวลเสเฮฮา นับเป็นช่วงปลอดคนเหมาะแก่งานส่งดวงวิญญาณให้ยมทูตจริง ๆ

            ที่จริงขุนคีรีควรเสร็จงานเร็วกว่านี้ เพราะการไปเอา ‘ของสำคัญ’ ไม่ลำบากอะไร เมย์ มายาวีซ่อนกล่องเล็กใบนั้นไว้ในคอนโดอีกห้อง เป็นห้องเพื่อนสนิทซึ่งไปเที่ยวต่างประเทศเดือนกว่าแล้ว

            เรื่องนี้จอห์นไม่ทันฉุกคิด หรือต่อให้นึกได้ก็ไม่มีกุญแจเข้าห้องอยู่ดี ส่วนผู้ช่วยยมทูตมีความสามารถพิเศษนอกจากหายตัวแล้วยังสะเดาะกุญแจ เปิดประตูทุกบานโดยกล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพได้

            ปัญหาคือห้องลับที่ซ่อนตัวจอห์น...กว่าจะหาเจอใช้เวลานาน โชเฟอร์แท็กซี่กิตติมศักดิ์ยังบ่นอุบว่าทำไมซอกซอยซับซ้อน หลายลดเลี้ยวเหลือเกิน การสื่อสารวิญญาณผู้ตายก็ขาด ๆ หาย ๆ ช่วงการจราจรหนาแน่น ผ่านสถานที่ผู้คนพลุกพล่าน

            สุดท้าย ‘เธอ’ ทำตามความตั้งใจสำเร็จ...บอกลาคนรักและให้ของสำคัญเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้าย

            ขุนคีรีนึกสงสัย ถามแท็กซี่สุรชัยว่า การให้วิญญาณดวงนั้นช่วยคนรักหนีออกนอกประเทศ จะไม่เป็นการช่วยคนผิดไม่ให้ถูกลงโทษหรอกหรือ?

            คำตอบง่ายดายเกินคาด

            “ถ้าท่านหินผาอนุญาตให้ทำได้แสดงว่าไม่มีปัญหาอะไร...ยมทูตไม่กล้าแทรกแซงกฎแห่งกรรมหรอก”

            ผู้ช่วยฯประสบการณ์น้อยค่อยคลายใจ รู้สึกว่าการทำให้ดวงวิญญาณหมดห่วง หมดภาระทางใจน่าจะเป็นการสร้างกุศลอย่างหนึ่งเหมือนกัน

            แท็กซี่สุรชัยพาหนึ่งมนุษย์ หนึ่งดวงวิญญาณมาส่งสวนสาธารณะเรียบร้อยก็ชะโงกหน้ามาบอก

            “จากที่นี่ไปร้านข้าวแกงยายปันไม่ไกลเท่าไหร่ คุณเดินกลับเองได้นะ”            

            “ครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

            ไฟท้ายแท็กซี่เห็นเพียงจุดแดง ๆ ยมทูตหินผาค่อยปรากฏตัวออกมาพร้อมกับบัวบุษรา

            “สวัสดีค่ะคุณผู้ช่วย...สวัสดีค่ะคุณเมย์” หล่อนทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

            ขุนคีรีมองหน้ายมทูตเป็นเชิงถาม...เหตุใดพาหญิงสาวมาที่นี่ด้วย

            “บัวบุษราอยากมาดูเธอทำงาน...แล้วก็...มี ‘ของฝาก’ ให้เมย์ มายาวีด้วย”

            “หือ...” ฟังแล้วชวนงุนงง

            หญิงสาวยิ้มกว้างพูดเสียงสดใส

            “ตอนอุทิศส่วนกุศลที่คอนโด บัวรู้สึกว่ามันยังน้อยไปค่ะ เลยอยากทำอย่างอื่นให้ด้วย...นี่อุตส่าห์รีบทำภารกิจ ‘พิเศษ’ จนเสร็จแล้วกลับบ้านเข้านอนแต่หัวค่ำจนพ่อกับพี่พรแปลกใจเลยนะเนี่ย”

            ได้ยินแล้วไม่รู้ควรตอบอย่างไร เดาไม่ออกเธอตั้งใจทำให้อะไรเมย์ มายาวี

            บัวบุษราแกล้งยิ้มหวานให้ผู้ช่วยยมทูตก่อนเดินไปยืนต่อหน้าผู้กำลังไปหาพญามัจจุราช ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนพูดด้วยวาจาอบอุ่น

            “บัวเสิร์ชในเน็ต ฟังบทสัมภาษณ์คุณเมย์ ทราบว่าชอบทำบุญให้กับมูลนิธิหมาแมว สัตว์พิการเป็นประจำ บัวเลยโอนเงินในนามคุณเมย์ไปร่วมทำบุญกับมูลนิธิเดิม แล้วก็ทำบุญเพิ่มด้วยการสมทบทุนไถ่ชีวิตโคกระบือในนามคุณเมย์เหมือนกัน...ขอให้คุณเมย์อนุโมทนารับบุญกุศลที่บัวทำให้วันนี้ด้วยนะคะ”

            พอจบวาจา ดวงวิญญาณผู้ฟังเกิดปีติซาบซึ้ง ระลึกถึงบุญเก่าที่เคยกระทำมา ทำให้ร่องรอยหดหู่กับการจากพรากลดลง ใบหน้าแช่มชื่นขึ้น

            “ขอบคุณมากค่ะ...เสียดายเราเจอกันช้าไป”

            “จะช้าหรือเร็วถือว่าได้เจอกันแล้ว คุณเมย์อุตส่าห์ติดต่อขอความช่วยเหลือทั้งที บัวพยายามช่วยสุดความสามารถได้เท่านี้เอง ต้องขอโทษจริง ๆ”

            “เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เพื่อนเมย์แต่ละคนยังทำไม่ได้เท่าคุณเลย”

            ดวงวิญญาณเริ่มมีความสดใสกว่าเดิม ถึงกระนั้นวิบากเก่าก็ยังเป็นเงาสีเทาทาทาบ ทำให้ผู้ตั้งใจรีบมาช่วยเหลือยังไม่วางใจ

            “ถ้ายังไงพอคุณเมย์ไปเจอท่านพญามัจจุราชก็อย่ากลัวเกินไปนะ นึกถึงบุญที่เคยทำเอาไว้...นึกอะไรไม่ออกก็แค่ที่อนุโมทนาจากบัวตะกี้ยังดี...สู้สู้นะคะ...ขอให้เกิดใหม่ในที่ดี ๆ”

            นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนยมทูตหินผาจะพาเมย์ มายาวีเลือนหาย หลงเหลือขุนคีรีกับบัวบุษราอยู่สวนสาธารณะเพียงสองคน



--------------- ------------ --------------



            ขุนคีรีไม่คิดว่าสองคนจะพบกันคนละสภาวะอีกครั้ง เขาอยู่ในร่างมนุษย์ ขณะบัวบุษราเป็นแค่ดวงจิตออกมาเที่ยวในฝัน ต่อให้มองเห็นสื่อสารกันได้ก็แปลก ๆ อยู่ดี

            หญิงสาวไม่รู้สึกแปลกอะไร หล่อนเคยเห็นผู้ช่วยยมทูตในร่างมนุษย์สื่อสารกับคนอื่นมาแล้ว ทั้งพบว่าหากเขาไม่ต้องการให้ใครเห็น...พรไพลิน พี่สาวเธอยืนห่างแค่สามก้าวในคอนโดเมย์ มายาวียังไม่มองเห็นเลย

            “ผมพาคุณเที่ยวทะเลเหมือนคราวก่อนไม่ได้นะ” รีบออกตัวก่อน

            “บัวยังไม่ได้ชวนไปไหนเลย”

            หญิงสาวย่นจมูกก่อนไปนั่งเก้าอี้ยาวใต้เงาต้นไม้ใหญ่ พลางตบที่ข้าง ๆ ชวนนั่งด้วยกัน พอชายหนุ่มนั่งลง เจ้าตัวก็พูดหน้าตาเฉย

            “บัวตั้งใจชวนคุณผู้ช่วยมาเดทที่สวนสาธารณะนี่ต่างหาก”

            “เดทตอนดึกแบบนี้ไม่กลัวผีสางเหรอ”

            “มากับผู้ช่วยยมทูตทั้งทีจะกลัวอะไร...อีกอย่าง...” พูดพลางทำตาเจ้าเล่ห์ “ใครมาเห็นบัวตอนนี้ต้องคิดว่าเป็นผีแหง ๆ”

            รอยยิ้มบาง ๆ ผุดบนใบหน้าขุนคีรี ความอึดอัดหนักใจในงานชิ้นล่าสุดคลายลงจนไม่เหลือซากเหนื่อยล้าในใจ

            “ผมแปลกใจนะที่คุณรีบทำบุญให้เขาได้ขนาดนี้” ชายหนุ่มเริ่มต้นสนทนาจริงจัง

            “บัวรู้สึกว่าแค่อุทิศส่วนกุศลยังน้อยเกินไป พอทราบว่ามีเวลาเหลือเลยพยายามช่วยให้เขาได้รับบุญเป็น ‘เสบียง’ ติดตัวมากที่สุดเท่านั้นเอง”

            “วิญญาณดวงนี้โชคดีนะ”

            “ไม่หรอกค่ะ” บัวบุษราค้าน “แม่เคยสอน...คำว่า ‘โชคดี’ ไม่มี...มีแต่เหตุและผลของการกระทำ...คุณเมย์น่าจะเคยมีสายบุญสายกรรมเกื้อกูลบัวมาก่อน ตอนนี้บัวเลยมีโอกาสช่วยเหลือเธอกลับไปบ้าง”

            “คุณ...คิดถึงแม่มั้ย...” ไม่ทราบเหตุใดหลุดคำถามนี้ออกมา

            บัวบุษรานิ่งก่อนระบายรอยยิ้มบาง ๆ

            “คิดถึงสิคะ...ทุกครั้งที่คิดถึงบัวจะมองท้องฟ้า เพราะมั่นใจว่า...มีแต่สวรรค์เท่านั้นถึงคู่ควรผู้หญิงที่ดีอย่างแม่...”

            ก้อนแข็ง ๆ แล่นขึ้นจุกตันลำคอ เหลียวมองหญิงสาวด้วยแววตาเข้าใจ

            ...นึกถึงผู้หญิงอีกคนซึ่งกล้าสละชีวิตเพื่อลูกและสามี ยุติปัญหาไม่ให้ผู้คนจำนวนมากล้มตาย สติเข้มแข็งจนวาระสุดท้ายแม่เลี้ยงแสงจันทร์ มารดาเขา...มีแต่สวรรค์เท่านั้นจึงคู่ควรเช่นกัน...

            มารดาทั้งสอง อาจมองลูกของตนในสถานที่เดียวกัน

            “บัวตั้งใจเป็นคนดีอย่างแม่...เชื่อว่าสักวันอาจได้เจอกันข้างบน...” พูดแล้วยิ้มขัน “แต่ไม่รู้ว่าแม่จะจำลูกสาวคนนี้ได้หรือเปล่านะ...เหมือนในเนื้อเพลงนึง...”

            “Tears in Heaven”

            ขุนคีรีต่อให้อย่างลืมตัว หญิงสาวประหลาดใจ

            “คุณผู้ช่วยรู้จักเพลงนี้ด้วย”

            “อืมม์...” ตอบรับไม่มีทางเลี่ยง

            รอยยิ้มบนใบหน้าบัวบุษราเบ่งบาน รู้สึกเหมือนเข้าใกล้ผู้ช่วยยมทูตอีกนิด

            “ร้องให้ฟังได้มั้ยคะ...อยากฟังจังเลย”

            “จัดรายการวิทยุไม่ใช่หรือ เปิดฟังเองได้นี่”

            “แหม...ฟังจากแผ่นไม่เหมือนเล่นสดนี่คะ”

            “ที่ชวนผมนั่งคุยนี่...มีธุระอะไรหรือเปล่า” จงใจถามเปลี่ยนเรื่องสนทนา

            “ไม่เชื่อว่าบัวชวนคุณผู้ช่วยเดทจริง ๆ เหรอ”

            “อยากให้ผมช่วยอะไรบอกตรง ๆ ดีกว่า”

            “แหะแหะ...บัวลืมไปว่าคุณผู้ช่วยน่าจะอ่านใจคนออก” พูดเสียงอ่อย

            ขุนคีรีไม่อยากบอกว่าตน ‘อ่านใจ’ ตัวเองยังไม่ได้ จะมีปัญญาอ่านใจคนอื่นอย่างไร

            “บัวอยากให้ช่วยเรื่องพ่อค่ะ”

            “เรื่องดาบพนา...พ่อคุณ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อไม่เต็มปาก

            “ค่ะ...บัวเป็นห่วงพ่อมาก”

            เริ่มต้นแล้วเล่าเรื่องราวที่บิดาสืบสวนหาความจริง จนเข้าใกล้อันตรายทุกขณะทำให้หล่อนเป็นห่วง แต่น้ำท่วมปากพูดไม่ได้ ไม่ทราบควรเตือนอย่างไร

            “คุณ...รู้เบื้องหลัง...รู้ว่าใคร...ทำให้ตามองไม่เห็นแบบนี้หรือ...”

            ฟังจบ ขุนคีรีหลุดปากถาม เพื่อย้ำให้แน่ใจ

            “ค่ะ...คนวางระเบิดห้องครัวชื่อธนนท์ เป็นลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัย”

            คำตอบชัด คนฟังใจสะท้านเหมือนโดนแส้หวดกลางหลังรุนแรง

            “แล้วคุณ...โกรธเกลียดคนสั่งวางระเบิดมั้ย”

            ถามทั้งที่กลัวคำตอบอย่างยิ่ง

            “โกรธสิคะ...แต่ไม่ได้เกลียดเข้ากระดูก เวลาผ่านไปสองปีแล้วไม่รู้จะกอดความเจ็บแค้นทำไม คิดแค่ต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข พยายามเป็นภาระพ่อกับพี่พรให้น้อยที่สุดก็พอ”

            ชายหนุ่มระบายลมหายใจอึดอัด อยากสารภาพความจริงว่าตนคือลูกชายคนสั่งวางระเบิด อีกทั้งยังเป็นชนวนการทะเลาะวิวาทด้านนอกจนมีการโยนระเบิดลูกแรกเข้ามาด้วย

            “ตอนนี้...บัวไม่คิดแค้นอยากเอาเรื่องคนพวกนั้นแล้ว”

            วาจาต่อมาทำให้ชะงัก สงบใจฟัง

            “ยิ่งรู้ต้นสายปลายเหตุว่าเบื้องหลังมีทั้งมาเฟีย นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพลแย่งอำนาจกัน บัวก็อยากให้พ่อเลิกอาฆาต ถอนตัวออกจากวังวนพวกเขา เลิกสืบสวนเอาผิดเสียที เพราะมันอันตรายไม่คุ้มกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงเลย”

            จบวาจาหันมามองหน้าเขาจริงจัง

            “คุณผู้ช่วยเตือนพ่อบัวได้มั้ยคะ บอกเขาว่าอย่าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก”

            “คิดว่าเขาจะเชื่อผมหรือ” ฝืนถามด้วยใจเจ็บแปลบ...คนอย่างเขาไม่มีสิทธิเตือนใคร

            “ถ้าคุณผู้ช่วยปรากฏตัวให้พ่อเห็น แสดงอำนาจปาฏิหาริย์อะไรก็ได้ พ่ออาจฟัง”

            “คุณรู้จักพ่อตัวเองน้อยไป...อำนาจปาฏิหาริย์ไม่สามารถขจัดความแค้นในใจได้หรอก...ที่เขาระวังตัวไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงมาก ๆ จนปลอดภัยถึงทุกวันนี้เพราะ ‘ความรัก’ ที่มีต่อพวกคุณสองพี่น้องมากกว่า”

            บัวบุษรานิ่งอั้นยอมรับโดยไม่เถียง

            “ขอโทษค่ะที่ขอร้องในเรื่องเป็นไปไม่ได้”

            ขุนคีรีเงียบ...ในใจแอบสัญญาว่าจะปกป้องเธอและบิดา...ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเคยส่งคำเตือนเป็นรูปภาพไปแล้ว คนฉลาดรอบคอบอย่างพนาย่อมต้องเปลี่ยนแผนการสืบสวนใหม่ ระวังตัวกว่าเดิม

            “อยากฟังเพลง Tears in Heaven มั้ย”

            คำถามจากผู้ช่วยยมทูตเล่นเอาหญิงสาวตกใจ

            “หา...คุณผู้ช่วยจะร้องให้ฟังจริง ๆ หรือ...อยากฟังสิคะ”

            แหม...จะมีมนุษย์สักกี่คนได้ฟังยมทูตร้องเพลง

            ขุนคีรีหัวเราะท่าทีตกใจของเธอ

            “ขืนผมร้องเพลงให้ฟังตอนนี้ คนได้ยินคงคิดว่าเสียงเปรตขอส่วนบุญ...คุณฟังแค่ท่อนสั้น ๆ แบบนี้แล้วกัน”

            พูดจบดีดนิ้วเป็นจังหวะ ก่อนผิวปากบรรเลงเพลงท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ

            ...Time can bring you down, time can bend your knees…

            …Time can break your heart, have you begging please, begging please…

            …Beyond the door there’s peace I’m sure…

            …And I know there’ll be no more tears in heaven…

            มันเป็นท่อนเพลงที่ขุนคีรีจงใจสื่อสารโดยนัย...ไม่ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน แม้จะเจ็บปวดแทบใจแหลกสลาย แต่เชื่อเถอะว่าเบื้องหลังประตูบานนั้น...วันข้างหน้าจะมีความสุขสงบรออยู่

            ...เขาไม่ยอมให้เธอหลั่งน้ำตา เพราะสูญเสียสิ่งสำคัญใด ๆ อีกแล้ว...



--------------- ------------ --------------



            หลังจากส่งบัวบุษราเข้าบ้าน ขุนคีรีเดินทอดน่องช้า ๆ กลับร้านยายปัน ข้างทางมืดมิด บางส่วนอยู่ในเงาตะคุ่มดูน่ากลัว

            เลยบ้านหญิงสาวไม่ไกล ค่อยรู้สึกอุ่นใจเมื่อด้านข้างมีเงาร่างสูงใหญ่เดินเคียง เขาเริ่มคุ้นเคยกับกระไอร้อนที่แผ่ออกมา สีหน้านิ่งเฉยแววตาไม่แสดงความรู้สึก สัมผัสความอาทรลึก ๆ จากอีกฝ่ายได้

            “ผมอยากคุ้มครองบัวบุษรากับครอบครัวเธอ...ยมทูตหินผามีวิธีห้ามปรามดาบพนามั้ยครับ”

            “ลืมคำพูดตัวเองตะกี้แล้วหรือ” คำย้อนเรียบ ๆ ชายหนุ่มเถียงไม่ออก

            เขารู้ไม่มีทางหยุดตำรวจอาวุโสผู้นี้ แต่แอบหวังในใจลึก ๆ ยมทูตตัวจริงอาจมีวิธี

            “สุรชัยพูดถูกนะ...ยมทูตไม่แทรกแซงกฎแห่งกรรมหรอก”

            พอได้ยินวาจานี้สองครั้งภายในวันเดียว ใจจึงยอมรับไม่กล้าค้าน

            “งั้นที่ผมช่วยวิญญาณดวงนั้น นำกุญแจเซฟกับรหัสผ่านไปให้ ไม่ถือว่าแทรกแซงหรือครับ”

            “การที่เธอสองคนช่วยวิญญาณดวงนั้นได้ แสดงว่าเคยมีสายบุญสายกรรมเกื้อกูลกันมาก่อน ทำให้ ‘เธอตนนั้น’ หมดห่วง ไม่มีภาระทางใจค้างคา”

            “ได้ยินแล้วค่อยโล่งใจ...เพราะอย่างนี้ท่านถึงกลับมาเร็วใช่มั้ยครับ”

            ยมทูตไม่ตอบ ยังกล่าวเรื่องเดิมไม่จบ จึงพูดต่อ...

            “แต่...การหมดห่วงเป็นผลดีเฉพาะเมย์ มายาวี...วิบากกรรมที่นายจอห์นสร้างไว้ก็ยังมีผลต่อเนื่องอยู่ดี”

            “จอห์นต้องรับกรรมยังไงครับ” อดถามไม่ได้

            “ยมทูตไม่จำเป็นต้องอยากรู้...ทำกรรมเช่นนี้รับผลอย่างไร...แค่เฝ้ามองโดยไม่แทรกแซง กฎแห่งกรรมย่อมแสดงตัวให้เห็น...อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น...ละครแห่งกรรมไม่แสดงตามใจใคร มันแสดงตามเหตุปัจจัยของมันเอง”

            อีกครั้งที่ขุนคีรีนิ่งงัน ในอกเกิดอาการสะท้านหวาดกลัว ‘กรรม’ และ ‘ผลของกรรม’ ส่วนลึกยอมรับกฎแห่งกรรมโดยไม่รู้ตัว

            “ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรผมจะเข้าถึงตัวพี่นนท์ พาเขาไปหอพักสมเกียรติได้เสียที...ช่วงนี้กฎแห่งกรรมคงกดดันจนไม่กล้าโผล่ไปไหนแน่ ๆ”

            ยมทูตหินผาเหลือบมอง นัยน์ตาฉายรอยยิ้มบาง ๆ

            “ทำไมต้องไปหาเขาด้วยกายเนื้อ พาไปในสภาพ ‘ธนนท์’ ไม่ใช่ ‘นล’ ซึ่งผีพวกนั้นรู้จัก”

            วาจากระตุ้นให้ฉุกคิด ในหัวเกิดอาการสว่างวาบเข้าใจทันที

            “แสดงว่าผมยังมีความสามารถพิเศษอย่างอื่นนอกจากหายตัว สะเดาะกุญแจประตู...ความสามารถอย่างเช่นเข้าฝันพี่นนท์ พาดวงจิตไปหอพักนั่น...ได้ใช่มั้ยครับ”

            “อืม...ถ้าจิตมีสมาธิตั้งมั่นพอก็น่าทำได้...แต่คืนนี้เธออ่อนเพลียเกินไป วิ่งวุ่นทั้งวัน หัวถึงหมอนก็หลับวูบแล้ว”

            พอได้ยินคำชี้แนะเช่นนั้นค่อยยิ้มออก

            “เข้าใจแล้วครับ”

            “อ้อ...เข้าฝันเท่าที่จำเป็นนะ ไม่ต้องไปร้องเพลงในฝันให้ทุกคนฟังหรอก”

            “เอ่อ...”

            ลำคอสะดุดพูดไม่ออก ไม่คิดว่ายมทูตหินผาจะมีอารมณ์ขันแซวที่เขาผิวปากเป็นเพลงให้บัวบุษราฟังเมื่อครู่

            “ฉันรับรองได้อีกอย่างนึง...เสียงเธอไม่เหมือนเปรตขอส่วนบุญแน่”

            ขุนคีรีหลุดหัวเราะพรืดเต็มกลั้น มองหน้ายมทูตด้วยรอยยิ้ม จิตใจบังเกิดความอบอุ่นไม่ต่างอยู่ใกล้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ

            ถึงตอนนี้ทราบแล้วว่าหน้าที่ ‘ผู้ช่วย’ มีอะไรมากกว่าพาดวงวิญญาณมาส่ง ต่อให้ไม่รู้เบื้องหลังเจตนาจริงก็มั่นใจว่าผู้เดินเคียงข้างไม่มีประสงค์ร้ายแน่นอน



--------------- ------------ --------------



            บัวบุษรากำลังฝันดี

            หลังผู้ช่วยขุนคีรีเดินมาส่งหน้าบ้านหล่อนเข้าสู่อาการหลับลึก ไม่ได้ท่องเที่ยวต่อที่ไหน พอจิตพักผ่อนเต็มที่ก็ออกมาฝันฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยเช่นคนทั่วไป

            ความฝันพาไปยังงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ป้ายบนเวทีเล็ก ๆ เขียนว่า ‘สุขสันต์วันเกิด...แม่เลี้ยงของเรา’ ผู้คนในงานสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส

            ไฮไลท์งานเป็นการเล่นดนตรีคู่กันสองแม่ลูก ผู้หญิงสวยบอบบางนั่งร้องเพลงบนเก้าอี้ทรงสูง ด้านข้างเป็นลูกชายวัยรุ่นพาดกีตาร์บนตักดีดบรรเลงเพลงคลอเสียงร้องมารดา

            บัวบุษราตะลึงงันเมื่อเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มชัด ๆ ‘ขุนคีรี’ ผมตัดสั้นเผยดวงหน้าใส อ่อนวัย นัยน์ตาคมกริบเต็มไปด้วยรอยยิ้มความสุข ขนตางอนยาวสวยจนผู้หญิงแท้ ๆ ยังอาย ดูเหมือนคนละคนกับผู้ช่วยยมทูตในฝัน

            เพลงที่ร้องบรรเลงไม่ใช่บทเพลงเศร้าอย่าง Tears in Heaven เป็นเพลงสนุก ๆ รุ่นเก่าของวง Carpenters อย่างเพลง Top of the world และ Please Mr. postman ซึ่งมารดาเป็นคนร้องนำ โดยมีลูกชายคอยร้องประสานเป็นช่วง ๆ

            บรรยากาศอบอุ่น สนุกสนานกระจายทั่วงาน บัวบุษราจับจ้องเด็กหนุ่มขุนคีรีอย่างเผลอไผล หัวใจมีความสุขไปกับรอยยิ้ม เสียงห้าวทุ้มไพเราะของเขา

            มันอาจเป็นความฝันเลื่อนเปื้อนคืนหนึ่ง ไม่มีสาระความจริงใด นั่นทำให้หญิงสาวอยากรู้จักผู้ช่วยยมทูตมากกว่าเดิม อยากทราบว่าก่อนเป็นยมทูตเคยเกิดเป็นอะไร

            ไม่อยากเชื่อว่าเด็กหนุ่มรูปหล่อแสนมีความสุขคนนั้นจะกลายเป็นผู้ช่วยยมทูตพูดน้อย นานครั้งมีรอยยิ้มสักทีแบบนี้



--------------- ------------ --------------



            สนามบิน

            ตั๋วเครื่องบินพร้อม ไขเซฟธนาคารได้เอกสาร บัญชีเงินฝาก เงินสดสามารถเดินทางทุกที่ในโลกซึ่งอิทธิพลคนเหล่านั้นเอื้อมไม่ถึง

            จอห์นเช็คอิน นั่งรอในห้องผู้โดยสารขาออก คิดถึงโลกกว้างที่กำลังจะสัมผัส อิสรภาพไม่ต้องถูกจับตาควบคุมทั้งจากตำรวจและมาเฟีย

            สุดท้าย คิดถึงการบอกลาอันแสนเศร้าในฝันเมื่อคืน...ฝันเหมือนจริงราวปาฏิหาริย์ ช่วยให้มาถึงปากทางรอดในเวลานี้

            ทว่า ฝันแสนสวย อิสรภาพหอมหวานไม่อาจเกิดขึ้นจริง เมื่อชายร่างใหญ่สองคนในชุดพนักงานสายการบินมานั่งประกบด้านข้าง

            มีดปลายแหลม ๆ จี้ตรงเอวข้างหนึ่ง อีกข้างจี้ชายโครงเล็งจุดสำคัญ พร้อมเสียงทุ้มต่ำสั่งเบา ๆ

            “ถ้าอยากรอดชีวิต ตามเรามาเงียบ ๆ อย่ากระโตกกระตาก”

            จอห์นทราบว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนวงการสีเทาย่อมสัมผัสรังสีอำมหิตจากทั้งสองชัดเจน จึงลุกขึ้นยอมทำตามคำสั่งไม่อาจขัดขืน เหลือบมองดูชุดสายการบินที่พวกเขาสวมใส่

            ‘เกรทนภาแอร์’

            จากนั้นถูกพาออกจากสนามบิน ขึ้นรถตู้โดยไม่มีใครผิดสังเกต ถุงดำคลุมศีรษะมองไม่เห็นเส้นทางที่ถูกนำตัวไป ระหว่างทางพยายามครุ่นคิดพวกนี้เป็นใคร...ไม่ใช่ตำรวจ...ไม่ใช่มาเฟียลูกน้องธนนท์...เช่นนั้นอาจมาจากบุคคลน่ากลัวกว่านั้น...พลเทพ...เจ้าพ่อค้ายาเสพติด นายเหนือหัวเจ้าของแบล็ก มูนอีกที

            เพียงแค่คิดจอห์นก็หนาวเยือก คาดการณ์อนาคตตนเองออก ถ้าไม่ถูกฝังใต้ตึกใดตึกหนึ่ง ก็อาจถูกหล่อปูนโยนทิ้งทะเล

            เสียงกดโทรศัพท์จากคนในรถตู้ ตามด้วยเสียงพูดคุยเบา ๆ

            “ผมเอาตัวมาได้แล้วครับคุณเจตน์...จะให้ไปส่งที่ไหน...ครับ...รับทราบ... ‘ท่าน’ จะคุยกับมันเอง...ผมจะไปถึงภายในสามสิบนาทีครับ”

            คำสนทนาด้านเดียวพอจับใจความได้ ชื่อที่หลุดออกมาไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ลูกน้องธนนท์ อาจเป็นเลขาฯ ลูกน้องท่านพลเทพ

            สิ่งหนึ่งรู้สึกได้คือ...พวกนั้นมีเรื่องเจรจา ไม่ต้องการสังหาร...

            รถวิ่งรวดเร็ว เวลาไม่เกินสามสิบนาทีไม่ใช่คำพูดลอย ๆ จอห์นถูกพาตัวเข้าห้องโล่ง ไฟสลัว ถุงดำถูกถอดออกมองเห็นผู้คนในห้องถนัดตา

            ใบหน้าผู้นั่งเด่นเป็นประธานตกอยู่ในเงาตะคุ่มมองไม่ชัด สังเกตแค่ร่างท้วมไหล่กว้างเหมือนคนออกกำลังกายบ้าง แต่ด้วยวัยสูงขึ้นทำให้ไม่สามารถรักษารูปร่างเช่นวัยหนุ่ม

            คนยืนด้านข้างรูปร่างผอมสันทัด แววตาฉลาดเฉลียว ลักษณะเหมือนเลขาคนสนิท ก้มกระซิบกระซาบถามผู้เป็นนายสองสามคำ พอได้รับคำตอบก็ออกคำสั่งแทน

            “พามันมาตรงนี้เลย”

            จอห์นถูกพาตัวมาคุกเข่าต่อหน้าชายกลางคนซึ่งตนไม่รู้จัก มองเห็นใบหน้าชัดเจนกว่าเดิม...ไม่ใช่พลเทพ...เจ้าพ่อใหญ่ แต่คุ้นตาอาจเห็นในข่าว ดูเหมือนนักธุรกิจมีชื่อเสียงคนใดคนหนึ่ง

            พอมั่นใจว่าบุคคลนี้ไม่ใช่มาเฟียใหญ่ ฆ่าคนไม่กะพริบตา จิตใจคลายลงเริ่มมองเห็นหนทางรอด

            “ท่าน...เป็นใคร” เอ่ยถามเสียงแหบ

            “ไม่ต้องรู้หรอก...แต่แกทำงานให้ไอ้ธนนท์ กับพลเทพใช่มั้ย”

            “ครับ”

            “อยากมีชีวิตรอดมั้ยล่ะ”

            “อยากสิครับ”

            “งั้นทำงานให้ฉัน...รับรองว่าแกจะรอดชีวิต”

            “งานอะไรครับ”

            คำตอบที่ได้ผลักให้จอห์นเข่าอ่อนทรุดฮวบหมดเรี่ยวแรง มองสีหน้าแววตาผู้เสนอทางรอดแล้วหัวเราะแค่น ๆ ทราบทันทีว่าตนไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินอีกแล้ว



--------------- ------------ --------------



            เช้าวันต่อมา จอห์นแอบเข้าพบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่โดยความช่วยเหลือจาก ‘บางคน’ ทำให้รับสิทธิถูกกันเป็นพยานในคดียาเสพติด...ยา V...พร้อมมีหลักฐานแน่นหนาว่า ‘แบล็ก มูน’ เป็นแหล่งค้ายาเสพติดรายใหญ่ ธนนท์เป็นผู้ค้ายารายสำคัญ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP