วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ทางยมทูต ๑๖
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ลิฟต์กำลังเลื่อนช้า ๆ ภายในเงียบงันได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง บัวบุษรายืนโดดเดี่ยวมีแค่ไม้เท้าในมือเป็นที่พึ่ง ภาพเบื้องหน้ามีแค่แสงพร่าริบหรี่ใกล้มืด นัยน์ตามองไม่เห็นสิ่งอื่น บอกให้ทราบนี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นโลกจริงที่ตนกำลังบกพร่องทางสายตา
...ติ๊ง...ลิฟต์หยุด ประตูเปิดกว้างลมเย็นยะเยือกโชยพัดมาสัมผัส แล้วตวัดรัดข้อมือเบา ๆ คล้ายการจับจูง เธอก้าวตามโดยไม่ขัดขืน
ไม้เท้าเคาะตามพื้นดังก๊อกแก๊กสะท้อนก้องตามทางเดิน หญิงสาวมิหวั่นเกรงบรรยากาศรอบข้าง แม้สัมผัสจับจูงมือนั้นจะมีความเย็นจาง ๆ แทรกอยู่
หยุดยืนหน้าห้อง ๆ หนึ่ง เอื้อมมือผลักเบา ๆ บานประตูเปิดออก กระแสเชื้อเชิญแผ่ออกมาต้อนรับ หญิงสาวเดินเข้าไปโดยไม่เห็นว่าตนผ่านเทปคาดประตูจนมันหลุดร่วงลงพื้น
พอเข้ามาในห้อง เจ้าของรอยสัมผัสที่จับจูงเหมือนมีพละกำลังมากกว่าเดิม ‘เธอ’ สามารถปรากฏกายให้บัวบุษราเห็นในนิมิต
“เมย์...มายาวี” หญิงสาวพึมพำชื่อซึ่งตนเพิ่งเห็นใบหน้าชัด ๆ ครั้งแรก
เธอเป็นสาวลูกครึ่งสวยจัด จุดเด่นอยู่ที่ดวงตาซ่อนรอยเศร้า เคว้งคว้างลึก ๆ ชวนให้ผู้พบเห็นอดใจอ่อนสงสารไม่ได้
“ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”
“จะให้ช่วยอะไร” พึมพำถามเบา ๆ
“ที่นี่...หลักฐานอยู่ที่นี่”
“หลักฐานอะไร”
“หลักฐานที่บอกว่า...ฉัน...ไม่ได้ฆ่าตัวตาย!”
นี่คือเหตุผลที่เธอพาหญิงสาวบกพร่องทางสายตามายังห้องตนเอง
...แชะ...สิ้นเสียงในหัวก็มีเสียงเปิดสวิตช์ไฟตามมา
บัวบุษราไม่มีปฏิกิริยาต่อแสงไฟที่เปิดกะทันหัน หูสัมผัสเสียงการเคลื่อนไหวใกล้ ๆ ลมหายใจของอีกบุคคลในห้องกำลังยืนมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา
“น้องบัว มาที่นี่ได้ยังไง”
เสียงคุ้นหูทราบว่าเป็นใคร
“พี่ธัต...พี่ไทธัตหรือคะ”
ร้อยตำรวจเอกไทธัต ผู้กองหน่วยสืบสวนเคยร่วมทีมกับดาบตำรวจพนา รู้จักสนิทสนมกันพอสมควร ก่อนบิดาเธอจะย้ายมาทำงานนั่งโต๊ะเมื่อสองปีที่แล้ว
--------------- ------------ --------------
กาแฟร้อนควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมฉุย รสชาติขมติดลิ้นกระตุ้นสมองบัวบุษราให้ทำงาน ทบทวนความทรงจำก่อนหน้านี้
หลังจัดรายการตอนบ่าย เธอมีงานอัดเสียงสปอตโฆษณาต่อ จากนั้นตามพรไพลินมาที่คอนโด ‘เหมยลี่’ ลูกค้าซึ่งติดต่อให้ช่วยวางแผนทำโฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์ของตน
ระหว่างพรไพลินคุยงานกับเหมยลี่เกี่ยวกับสินค้า การเจาะกลุ่มเป้าหมาย ทำการตลาด บัวบุษรานั่งเสียบหูฟังข่าว ฟังเพลงเงียบ ๆ ไม่รบกวนใคร
ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกร่างกายส่งกลิ่นหอมจาง ๆ คล้ายดอกลั่นทมในฝัน ผู้ช่วยขุนคีรีเคยบอกว่าเป็น ‘กลิ่นกุศล’ ลอยออกไปเบื้องนอก และคล้าย...เรียกบุคคลที่สี่เข้ามาในห้อง
บุคคลนั้นไม่ปรากฏตัวตน มีเพียงสัมผัสเบาบางไม่ต่างจากสายลมพัดผ่านผิว เสียงกระซิบข้างหูฟังแสนไกล
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
บัวบุษราต้องปิดเสียงเพลงในมือถือค่อยได้ยินวาจานั้น ในใจรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ต้องกระทำ...หน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ร้องขอ
หญิงสาวรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน คล้ายมีมือฉุดเบา ๆ ให้ลุกขึ้นยืน พรไพลินเหลือบเห็นน้องสาวจึงเอ่ยถาม
“บัวจะเข้าห้องน้ำเหรอ เดี๋ยวพี่พาไปเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตะกี้คุณเหมยลี่พาไปแล้ว บัวจำทางได้”
ตอบโดยไม่ต้องคิด ขาทั้งสองพาไปทางอื่นโดยพี่สาวและเจ้าของห้องไม่ทันสังเกต เปิดประตูเสียงเบา ก้าวตามแรงมือที่จับจูง รู้สึกเหมือนมีใครสักคนเดินอยู่ข้าง ๆ
จากในลิฟต์จนถึงหน้าห้อง ฝ่าเทปกันบุคคลไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ เห็นนิมิตเมย์ มายาวีค่อยทราบว่าใครเป็นคนจูงมือ และมาด้วยสาเหตุใด
“บัวไปถึงที่นั่นคนเดียวได้ยังไงนี่” พรไพลินถามน้องสาวหลังจากเจ้าตัวจิบกาแฟพอได้สติบ้างแล้ว
“ไม่ทราบจะบอกยังไงดีค่ะ” ขืนบอกว่า ‘ผี’ จูงมือไปคงเป็นเรื่องใหญ่ “บัวเดินไปเรื่อย ๆ จนเข้าไปห้องนั้นได้ยังไงไม่รู้ พี่ธัตมาเจอนั่นแหละค่อยรู้สึกตัว”
ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่หวาดหวั่น เจอผีหลายรายจนรู้สึกไม่ต่างจากคนธรรมดา หนำซ้ำเชื่อว่า ‘กลิ่นกุศล’ ที่ติดตัวจะช่วยให้ภูตผีเมตตา ไม่ทำร้ายอย่างผู้ช่วยยมทูตบอกจริง ๆ
“อย่างนี้อันตรายนะคะ ถ้าธัตไม่ไปเจอน้องบัวในห้องนั้นแล้วจะเป็นยังไงนี่” เหมยลี่เจ้าของห้องเอ่ยบ้าง
นับเป็นเหตุประจวบเหมาะมากกว่าคำว่า ‘บังเอิญ’ เหมยลี่ ลูกค้าโฆษณาพรไพลินเป็นแฟนไทธัต นายตำรวจที่สองพี่น้องรู้จักมาหลายปี
หน่วยที่ไทธัตสังกัดเป็นผู้รับผิดชอบคดีการตายนางแบบสาวมายาวี นายตำรวจหนุ่มวุ่นวายตั้งแต่ได้รับแจ้งข่าวตอนสาย หลังแม่บ้านเปิดประตูมาพบศพ...จากนั้นความวุ่นวายติดตามเป็นพรวน ยิ่งบุคคลมีชื่อเสียงนักข่าว ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ พวกผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจฯ ต่างกำชับให้ทำคดีรอบคอบ ระมัดระวัง
ไทธัตวุ่นวายจนเย็นย่ำ ตั้งใจกลับคอนโดมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ความที่ห้องผู้ตายอยู่คอนโดเดียวกับตนเองจึงแวะไปดูที่เกิดเหตุอีกครั้งจนพบบัวบุษรา
“ตอนนี้ตำรวจยังสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตายใช่มั้ยคะ”
หลังทราบข่าว เห็นนิมิตการตาย ดีเจสาวเปิดวิทยุติดตามข่าวฟังรายละเอียดจนมีข้อมูลพอสมควร
“ข่าวว่ายังไงก็ตามนั้นแหละ” ไทธัตบอกกึ่งปัด ๆ
เหมยลี่ตีแขนแฟนตัวเองเบา ๆ
“น้องเขาถามความเห็นตำรวจ ไม่ใช่ข่าวที่เอาไปลง...น้องเมย์อยู่คอนโดเดียวกับเรานะ ห่างกันแค่ไม่กี่ชั้นเอง เหมยก็อยากรู้เบื้องหลังจริง ๆ เหมือนกัน...เผื่อมีอะไรจะได้ระวังตัว”
นายตำรวจหนุ่มถอนใจเบา ๆ สีหน้าอึดอัดลำบากใจเล็กน้อย พรไพลินเห็นอย่างนั้นรีบออกตัว
“ถ้าพี่ธัตไม่สะดวกไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเล่าก็ได้ แค่ไปเจอบัวในห้องแล้วพาออกมาได้ก็ขอบคุณมากแล้ว พรตกใจแทบตายตอนไม่เห็นน้องอยู่ในห้องน้ำ กำลังจะโทรตามหา พี่ธัตก็พาบัวเข้ามาพอดี”
“แหม...บัวไม่ได้ตั้งใจหายตัวไปไหนเสียหน่อย” ตัวการเถียงเสียงอ่อย
“ขนาดไม่ได้ตั้งใจยังหายตัวข้ามชั้นไปห้องนั้นจนได้ ถามจริง ๆ เถอะไม่รู้เหรอว่าขึ้นลิฟต์ไปได้ยังไง”
“แหะแหะ...เค้าขอโทษน้า...ที่ทำให้เป็นห่วง” พูดจาออดอ้อนแล้วรีบเปลี่ยนประเด็น หันหน้าไปทางไทธัต “ตอนนี้ตำรวจสรุปหรือยังคะว่าเป็นการฆ่าตัวตาย”
บัวบุษรามั่นใจ การที่วิญญาณดวงนั้นพาเธอไปที่ห้องเพื่อต้องการบอกว่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย และกำลังจะบอกที่ซ่อนหลักฐาน เสียดายไทธัตมาขัดจังหวะเสียก่อน
“ยังหรอก” นายตำรวจบอก “ศพอยู่ในสภาพกรีดข้อมือ นอนแช่ในอ่างเปิดน้ำทิ้งไว้ก็จริง แต่มีร่องรอยหลายอย่างไม่สามารถปักใจเชื่อได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย”
“เช่นอะไรบ้างคะ” ดีเจสาวรีบถามทันที
“รายละเอียดพวกนี้ยังบอกไม่ได้หรอก มันต้องมีการสอบถามพยาน คนใกล้ชิดอีกหลายคน อย่างวันนี้ก็เพิ่งเรียกตัว ‘จอห์น’ แฟนเธอมาให้ปากคำ”
“เขาว่ายังไงบ้างคะ”
“บัว...” คราวนี้พี่สาวเป็นคนขัดเอง “นี่เป็นเรื่องของตำรวจ...เราเป็นแค่ลูกสาวตำรวจอย่าไปรู้มากนักเลย”
พอถูกเบรกหน้าม่อยนิดเดียว ยังสามารถพูดต่อได้อีก
“บัวไม่คิดว่าเมย์จะฆ่าตัวตายนะคะ เธอกำลังดังมากจากการเป็นนางเอกเอ็มวีให้วงยามาร์ ตอนนี้ทั้งหนังละครแย่งตัวกันจะตาย สินค้าแบรนด์ดังหลายชิ้นก็มาจองให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ คนกำลังรุ่งขนาดนี้ไม่มีทางฆ่าตัวตายเด็ดขาด”
“จริงด้วย เหมยคิดเหมือนน้องบัว” เหมยลี่สนับสนุน
พอมีคนเชียร์หญิงสาวก็เพิ่มข้อมูลทันที
“วันนี้บัวเพิ่งสัมภาษณ์วงยามาร์” พูดไม่ทันจบมีเสียงร้องยินดีแกมตกใจแทรกขึ้น
“ตายแล้ว...วงยามาร์หรือคะน้องบัว...เสียดายจังไม่ได้ฟัง...รายการอยู่คลื่นไหน ฟังย้อนหลังยังไงบอกพี่ด้วย...โหยน้องบัวทำบุญด้วยอะไรเนี่ยได้คุยกันตัวเป็น ๆ แบบนี้ พี่เองแย่งจองบัตรคอนฯ ยามาร์สู้เด็ก ๆ ไม่ได้สักที”
“นี่...จะติ่งศิลปินขนาดไหนก็เกรงใจแฟนตัวเองบ้างนะ” ไทธัตขัดแกมฉุนแล้วหันไปถามดีเจสาว “น้องบัว...วงยามาร์เขาพูดถึงนางเอกเอ็มวีด้วยเหรอ”
“คือ...เขาไม่ได้พูดถึงเองหรอก ดีเจถามแหละว่านางเอกเอ็มวีเป็นยังไงบ้าง ตอนแรกพวกเขาอ้ำอึ้งกัน ก่อนจะตอบแบบเป็นมารยาท พยายามพูดถึงแต่ด้านดี ๆ มากสุด ตอนท้ายโดนผู้จัดการวงเรียกตัวกลับทั้งที่ยังสัมภาษณ์ไม่จบ สาเหตุเพราะข่าวเสียชีวิตออกมาแล้วพวกแฟนคลับ คนฟังรายการเขียนมาถามเกี่ยวกับนางเอกเอ็มวีเต็มหน้าเฟซเลย ดูท่าทางเหมือนไม่อยากให้ศิลปินตัวเองต้องไปเกี่ยวข้องให้ความเห็นอะไรที่มันสุ่มเสี่ยงน่ะค่ะ”
แววตานายตำรวจหนุ่มฉายรอยครุ่นคิด ในหัวปะติดปะต่อเรื่องราวได้ราง ๆ
“อย่างนี้จะมีการผ่าพิสูจน์ศพมั้ยคะ” พรไพลินนั่งฟังมานานอดถามไม่ได้
“ต้องรอให้ญาติที่อยู่ต่างประเทศเขาอนุญาตก่อน ถ้ามีประเด็นน่าสงสัยอาจจะยอม”
“งั้นบัวว่าลองตรวจสอบห้องของเธออีกทีดีมั้ยคะ น่าจะได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติมบ้าง”
“ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานค้นไปรอบนึงแล้ว ยังไม่พบอะไรนะ” นายตำรวจตอบ
“สมมุติว่าเหมยอยากจะซ่อนของสำคัญบางอย่าง” คราวนี้ ‘แฟนตำรวจ’ เสนอความเห็นบ้าง “เหมยจะไม่ซ่อนของสิ่งนั้นให้มันลับตาผิดสังเกตเกินไป จะเลือกจุดที่คนทั่วไปมองข้ามมากกว่า”
“รู้ดีสมเป็นแฟนตำรวจจริง ๆ นี่แอบซ่อนอะไรไม่ให้ธัตรู้บ้างล่ะ” วาจากึ่งประชด
สามสาวยิ้มแทบพร้อมกัน บัวบุษราเอ่ยวาจาปิดท้าย
“บัวว่าพี่ธัตน่าจะให้กองพิสูจน์หลักฐาน หรือตำรวจมาตรวจสอบอีกที น่าจะมีอะไรหลงหูหลงตา หรือซ่อนไว้ในจุดที่คนไม่สงสัยอย่างพี่เหมยลี่บอกก็ได้นะคะ”
นายตำรวจหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แววตาบอกถึงความฉลาดฉับไว การสนทนาครั้งนี้สะกิดให้เขาเห็นคดีในมุมกว้างกว่าเดิม เชื่อว่าข้อสงสัยทั้งหมดจะถูกคลี่คลายในเวลาไม่นาน
--------------- ------------ --------------
ตั้งแต่เปิดประตูห้องพบรองเท้าไม่ใช่ของตนวางไว้ เข้มทราบทันทีใครอยู่ข้างใน มีแค่คนเดียวสามารถเข้าออกห้องคอนโดเขาราวกับเป็นบ้านตัวเอง
“คุณขุน”
วันนี้ขุนคีรีมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด แล้วให้พาไปส่งยังแบล็ก มูน จากนั้นบอกว่าจะทำธุระต่อเองไม่ต้องมารับ คาดไม่ถึงจะมานั่งรออยู่หน้าโต๊ะคอมพ์ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนตัวเดิมเรียบร้อยแล้ว
“ไปหานนท์ได้ความว่าไงบ้าง”
ลูกชายพ่อเลี้ยงไม่บอกจุดประสงค์การไปพบเจ้าของแบล็ก มูน เข้มจึงตั้งคำถามไม่จริงจังนัก
“ยังไม่ได้เรื่องเลย ผมกำลังจะพาพี่นนท์ออกมา เลขาเขาก็เอาข่าวอะไรสักอย่างให้ดู เลยต้องรีบไปทำธุระอื่น...พี่เข้มพอรู้มั้ยว่าตอนนี้มีเรื่องอะไรทำให้เขาก้นร้อนขนาดนี้”
“เมย์ มายาวีฆ่าตัวตาย” ตอบอย่างคนหูตาไว รู้ไส้พุงฝ่ายตรงข้ามดี
“ทำไม เกี่ยวอะไรกัน”
“นางแบบ นางเอกเอ็มวีดังคนนี้เป็นลูกค้าวีไอพีของแบล็ก มูน”
ไม่ต้องให้คำจำกัดความ ‘ลูกค้าวีไอพี’ คนเคยเป็นนักเที่ยว บิดามีหุ้นในสถานบันเทิงใหญ่ ๆ ทั่วภาคเหนือย่อมทราบความหมายดี
“เรื่องนี้กระทบกิจการพ่อด้วยหรือเปล่า” ถามลอย ๆ
“ไม่หรอก พ่อเลี้ยงทำกิจการสีเทาหลายอย่าง แต่ไม่มีวันค้ายา กับค้าอาวุธ!” เข้มบอกหนักแน่น
ใช่ว่าขุนคีรีไม่รู้จัก ‘ธุรกิจสีเทา’ บิดาตน พ่อเลี้ยงบุญชัยมีบ่อนขนาดใหญ่ถูกกฎหมายอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเจ้ามือหวยใต้ดินรายใหญ่ในภาคเหนือ มีหุ้นส่วนใหญ่ในสถานบันเทิงชื่อดังหลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับสัมปทานตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เหล้าขาวเพียงรายเดียว
นี่ยังไม่นับ ‘ธุรกิจสีขาว’ ที่เป็นสวนผลไม้ โรงงานผลไม้กระป๋องที่ให้เข้ม มือขวาเป็นผู้ดูแลธุรกิจแทน
“ถึงพ่อไม่ทำธุรกิจพวกนั้น แต่ ‘พันธมิตรสีเทา’ ของพ่อก็อยู่ในวงการนี้หลายคนนะ”
มือขวาพ่อเลี้ยงนิ่ง แววตาซ่อนรอยกังวล ขุนคีรีอดถามไม่ได้
“ความสัมพันธ์ของพวกเขามีปัญหาหรือพี่เข้ม”
“อืม...” ตอบแค่นี้แล้วนิ่ง ลังเลใจไม่ทราบควรพูดต่อแค่ไหน
“ถ้าเป็นความลับ ไม่ต้องบอกก็ได้” ลูกชายพ่อเลี้ยงตัดบท “ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวธุรกิจ และพวกของพ่อเท่าไหร่อยู่แล้ว”
ดวงตาหลังกรอบแว่นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประเมิน...เห็นกันมาแต่เล็ก ไม่ใช่น้องก็เหมือนน้อง...ต่อให้ไม่เคยวางตัวเป็นเจ้านาย ตนเองก็ให้ความเกรงใจระดับหนึ่ง
“ที่จริงคุณขุนน่ากลับไปช่วยงานที่บ้าน” นี่เป็นวาจาที่มือขวาพ่อเลี้ยงไม่เคยพูดมาก่อน “ต่อให้พ่อเลี้ยงมีลูกน้อง คนไว้วางใจได้มาทำงานให้มากแค่ไหน...ยังไงก็ไม่เหมือนลูกชายตัวเอง...พันธมิตรทางธุรกิจสีเทาอยู่ได้ด้วยผลประโยชน์ และแยกกันได้เมื่อหมดประโยชน์ หรือไม่ก็มีผลประโยชน์ใหม่ที่ให้มากกว่า”
ฟังแค่นี้ขุนคีรีเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรสีเทากับพ่อเลี้ยงบุญชัยเริ่มคลอนแคลนแล้ว หากเป็นลูกชายที่ดีควรซักถามรายละเอียดเพื่อช่วยเหลือ ยืนเคียงข้างบิดา
ลูกชายคนนี้กลับพูดเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย
“พี่เข้มว่า...ตอนนี้ผมควรตัดผมยาว ๆ พวกนี้ออกไปได้หรือยัง” พูดพลางจับเส้นผมเคลียไหล่ยกให้อีกฝ่ายดู
เข้มเข้าใจเจตนา
“คุณขุนปล่อยผมยาวตั้งแต่แม่เลี้ยง...ไม่อยู่...เพราะอะไรล่ะ”
เหตุผลนี้กระทั่งบิดายังไม่เคยถาม
ขุนคีรีหัวเราะ เสยผมไม่ใส่ใจนัก
“เมื่อก่อนเวลาผมมันยาว แม่ชอบบ่น ไล่ให้ไปตัดบ่อย ๆ บอกว่ารำคาญตา เป็นผู้ชายตัดผมสั้นถึงจะดูดี เรียบร้อยน่าเชื่อถือ...พี่ดูสิ...ผมของผมยาวขนาดนี้แล้ว...แม่ไม่เคยดุ ไม่เคยบ่นให้ได้ยินเลย...แม้แต่ในฝัน”
น้ำเสียงเบาเรียบ ไม่อาจซ่อนความเศร้าโศกโหยหาคิดถึงได้มิด เข้มเข้าใจ ไม่เอ่ยวาจาใด ด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าเติบโตเกินกว่าต้องการคำปลอบประโลม
“อ้อ...คืนนี้คุณขุนนอนที่นี่หรือเปล่า พี่จะเตรียมห้องให้” เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้เจ้าตัวจมอยู่ในความคิดถึงครู่ใหญ่
ขุนคีรีเพิ่งได้สติ ตนมีเจตนาที่รอเจ้าของห้องอยู่
“จริงสิผมเกือบลืม” พูดพลางหยิบของจากลิ้นชักโต๊ะมาวางให้อีกฝ่ายดู “พี่ได้รูปพวกนี้มายังไง”
มันเป็นภาพถ่ายดาบตำรวจพนา บิดาบัวบุษรากำลังแอบสืบความลับในสถานที่สำคัญสามสี่แห่ง
“คนของพี่ถ่ายส่งมาให้ เลยปริ้นเก็บไว้”
“ได้มานานหรือยัง”
“สามสี่วันแล้ว”
“ทำไมไม่บอกผม”
“กำลังคิดอยู่ว่าควรบอกหรือวางเฉยดี”
“เรื่องนี้ต้องบอกให้ผมรู้สิ จะเฉยทำไม”
“บอกไปคุณขุนทำอะไรได้...จะไปหาเขาแล้วบอกให้เลิกตามสืบคดีลูกสาว หรือบอกให้พันธมิตรพ่อเลี้ยงอย่าเอาเรื่องเขาล่ะ”
ขุนคีรีอึ้ง สองเรื่องที่บอกมาตนเองกระทำไม่ได้สักอย่าง มือขวาพ่อเลี้ยงเห็นแล้วถอนใจเบา ๆ
“ถ้าคนของพี่ถ่ายรูปนี้มาได้ ‘คนอื่น’ น่าจะระแคะระคายเหมือนกัน พี่รับรองได้แค่...พ่อเลี้ยงจะไม่ยุ่งไม่แตะต้องดาบพนากับครอบครัว ส่วนคนอื่น...ถ้าไปรู้เรื่องเขามากขนาดนี้...มันก็ไม่แน่”
ชายหนุ่มถอนใจอึดอัด ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ควรจัดการเรื่องใดก่อนดี
การที่ธนนท์เร่งร้อนออกจากแบล็ก มูน แสดงว่าการตายในข่าวมีผลกระทบต่อตนเองรุนแรง โอกาสที่จะพาไปหอพักสมเกียรติลำบากกว่าเดิม
รูปดาบตำรวจพนาตรงหน้า ยิ่งเป็นลางบอกเหตุว่าเขาและครอบครัวกำลังตกอยู่ในอันตราย
ขุนคีรีคล้ายกำลังยืนมองระเบิดเวลาสองลูก ไม่ทราบว่าควรปลดชนวนลูกใด และลูกใดจะระเบิดขึ้นมาก่อน!
บทที่ ๑๐
ช่วงเวลาเย็น ลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตกแต่งด้วยใบปิดภาพยนตร์กำลังเก็บโต๊ะเก้าอี้ เตรียมปิดร้าน
ดาบตำรวจพนาจอดรถไกลจากร้านพอสมควร พยายามลัดเลาะหลบสายตาผู้คนเข้ามาในร้านโดยคนภายนอกไม่ทันสังเกต
เด็กลูกจ้างเหลือบมองแวบเดียว ไม่แสดงอาการสนใจปล่อยผู้มาเยือนหลบเข้าหลังร้านรวดเร็ว ปฏิทินบนผนังบอกวันเวลาเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
นั่นคือเกือบปีหลังจากบัวบุษราได้เห็นการสนทนาครั้งล่าสุด
หญิงสาวยืนเคียงข้างยมทูตหินผาไม่ก้าวตามบิดาตน
“เหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนเอง พ่อยังสืบคดีอยู่หรือคะ”
“ตามเข้าไปดูด้วยสายตาตัวเองสิ”
“ถ้าบัวรู้ว่าพ่อกำลังทำเรื่องอันตรายแล้วจำเป็นต้องเฉย พูดไม่ได้ ห้ามไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์เลยนะคะ”
“แสดงว่าเธอไม่ต้องการรับ ‘รางวัล’ ครั้งนี้” ยมทูตไม่คะยั้นคะยอ
งานช่วยผีสามตนที่หอพักสมเกียรติยังไม่เรียบร้อย งานแทรกคดีเมย์ มายาวีที่เธอช่วยสะกิดให้นายตำรวจไทธัตกลับไปค้นหลักฐานอีกครั้งประสบความสำเร็จ การสืบคดีเป็นไปตามทิศทางถูกต้อง...รางวัลคือการได้มาเที่ยว...ที่นี่
ยมทูตหินผาทำหน้าที่ ‘นำทาง’ ผู้รับโอกาสมีหน้าที่เลือกจะ...รับรู้...หรือเพิกเฉย
บัวบุษรายืนนิ่งไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนความอยากรู้อยากเห็นได้ชัยชนะ รีบเดินตามบิดาไปหลังร้าน...อย่างน้อยขอให้รู้ว่าท่านกำลังทำอะไร ถ้ามันเสี่ยงอันตรายจริง ๆ เธออาจมีหนทางแทรกแซงขัดขวางได้
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|