วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๕



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ‘ยามาร์’ ประกอบด้วยสมาชิกห้าคน ญัง – อาร์ม – มูเซอ – แอป - รอม ฟอร์มวงตั้งแต่สิบห้าปีที่แล้วสมัยพวกเขาเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่มีใครเคยคิดว่าเด็กหนุ่มกลุ่มนี้จะสร้างผลงานต่อเนื่อง เติบโตตามวัย มีกลุ่มแฟนคลับติดตามเหนียวแน่น บทเพลงดังทั่วเอเชีย ประสบความสำเร็จจากคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ สร้างชื่อเสียงแก่ตนเองและประเทศขนาดนี้

            การสัมภาษณ์ราบรื่นสนุกสนาน ดีเจทั้งสองรับ - ส่งจังหวะตั้งคำถามได้ดีถูกใจผู้ฟัง ศิลปินมืออาชีพตอบคำถามมีสีสันแทรกอารมณ์ขันโดยไม่พลาดเป้าหมายการประชาสัมพันธ์เพลง

            “ยามาร์อยู่มาถึงสิบห้าปีอย่างนี้ ผ่านอุปสรรคความยากลำบากอะไรบ้างคะ”

            “เยอะครับ ตั้งแต่แรกที่โดนว่าเป็นศิลปินขายหน้าตา ไม่มีความสามารถพอ...แต่ทำไงได้ครับ พวกผมเกิดมาหน้าตาหล่อแบบนี้จริง ๆ นี่”

            เสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

            “พวกน้อง ๆ หล่อกันจริง ๆ นั่นแหละ พี่เชื่อว่านั่นอาจเป็นสิ่งแรกที่ทำให้คนทั่วไปสนใจ แต่ผลงาน บทเพลง เสียงร้อง โชว์บนเวทีคอนเสิร์ตสามารถตระเวนแสดงไปแล้วรอบโลก พิสูจน์ความสามารถว่า พวกน้องเป็น ‘ตัวจริง’ ในวงการที่หาคู่แข่งยากมาก”

            “ขอบคุณครับพี่สุ”

            “ปัญหาครั้งไหนคะ ที่วงยามาร์รู้สึกว่าหนักสุดจนถึงขั้นอาจต้องยุบวง” บัวบุษราถามบ้าง

            “ถ้ายังจำกันได้เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนวงเรากำลังจะจัดคอนเสิร์ตครบรอบสิบปี แล้วเกิดอุบัติเหตุเวทีถล่มในงานคอนเสิร์ตรวมศิลปินในค่าย ปัญหาตามมาหลังจากนั้น ทำให้พวกเราคิดว่าอาจไม่มียามาร์อีกต่อไปแล้ว”

            “เรื่องนี้พี่จำได้แม่นเลย ศิลปินบาดเจ็บหลายคน หนักสุดคือน้องรอมที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราเกือบปี...”

            “ค่ะ...บัวยังไปช่วยร่วมอธิษฐานให้พี่รอมฟื้นเร็ว ๆ เหมือนกัน”

            “ใช่ครับ ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่ารอมจะฟื้นเมื่อไหร่ พวกเราเสียขวัญกันมากเมื่อคิดว่ายามาร์จะเหลือแค่สี่คน จนเจ้ารอมฟื้นก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดเป็นปี ตอนจัดคอนเสิร์ตยามาร์รีเทิร์นเมื่อสามปีก่อนยังกลัวเลยว่าจะทำได้ไม่ดี แฟนคลับแฟนเพลงจะผิดหวัง”

            “ไม่ผิดหวังเลยค่ะ” บัวบุษรารีบตอบ “โดยเฉพาะเพลงเซอร์ไพรส์อย่าง ‘ทุ่งรวงทอง’ บัวฟังแล้วน้ำตาไหลเลย”

            “ขนาดนั้นเชียวหรือครับ”

            “จริง ๆ ค่ะ ตอนนั้นพวกพี่ร้องประสานเสียงโดยไม่ใช้ดนตรีสักชิ้น ทั้งฮอลล์เงียบกริบ ฟังอย่างไม่เชื่อหูว่ายามาร์จะเอาเพลงเก่าขนาดนั้นมาทำแบบอะแคปเปลลา มันเพราะจับใจเหมือนทุกคนกำลังอยู่ในทุ่งรวงทอง มีแสงแดดอ่อน ๆ สายลมอุ่น ๆ พัดมา แล้วเห็นคนรักที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก กลับมาหาอีกครั้ง...สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

            “บรรยายจนเห็นภาพเชียวนะคะน้องบัว...พี่ไปดูคอนเสิร์ตนี้เหมือนกัน ยอมรับว่าซาบซึ้งประทับใจ แต่ไม่เห็นภาพแบบเดียวกัน สงสัยเพราะแก่แล้วมั้ง” ดีเจหลักหยอกล้อ

            “แหมพี่สุยังไม่แก่หรอกค่ะ แค่บัวกับพวกเพื่อน ๆ มหา’ลัยที่ไปดูวันนั้นเป็นพวก ‘อิน’ กับเพลงง่ายเท่านั้นเอง”

            “ถ้าอย่างนั้นเรามาพูดถึงเพลงในปัจจุบันที่เพิ่งปล่อยออกมาไม่นานดีกว่า” สุปรียาเปิดประเด็นส่งให้ดีเจรุ่นน้อง

            “ใช่แล้วค่ะ...ตอนนี้ซิงเกิลล่าสุดของยามาร์...เพลง Shadow...เธอไม่ใช่แค่เงา ยอดวิวร้อยกว่าล้านแล้ว รู้สึกยังไงบ้างคะ”

            “ดีใจครับ ไม่คิดว่ายอดวิวจะไปเร็วขนาดนี้”

            “ใครเป็นคนแต่ง ได้แรงบันดาลใจจากไหนเอ่ย” ดีเจหลักถาม

            “เจ้ารอมเป็นคนแต่ง...ได้แรงบันดาลใจจากแฟน...ครับ”

            ญัง...หนึ่งในสมาชิกตอบพลางชี้มือทางเพื่อนที่นั่งอีกมุม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งสายตาล้อเลียน จงใจกระดกลิ้นลากคำยาวออกเสียงผิดเพี้ยน

            บัวบุษรามองไม่เห็นแต่หูไว จับน้ำเสียงหยอกล้อซ่อนนัยชัดเจน จึงถามต่อทันที

            “แฟนครับ...หรือแฟนคลับ...บัวไม่แน่ใจขอฟังชัด ๆ อีกทีได้มั้ยคะ”

            เสียงหัวเราะเบา ๆ จากเหล่าหนุ่ม ๆ

            “แฟนคลับ...ครับผม”

            มูเซอ...รับหน้าที่ตอบคำถาม รอม...คนแต่งเพลงอมยิ้มไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

            อาร์ม...ลีดเดอร์ หัวหน้าวงรับช่วงอธิบายความหมายเพลงละเอียด

            “เวลาพวกเรายืนบนเวทีเห็นแฟนคลับแต่ละคนอยู่ในเงามืดแทบไม่เห็นหน้ากัน รู้สึกได้ถึงกำลังใจ เสียงเชียร์ ความรักที่พวกเขามีให้ เลยอยากบอกความรู้สึกผ่านเพลง Shadow ว่าพวกคุณไม่ได้อยู่แค่ในเงา...แต่อยู่ในหัวใจพวกเราทุกคนด้วย”

            ดีเจสุปรียาสังเกตรอยยิ้มขำขันในสีหน้ารอม...คนแต่งเพลง สมาชิกพูดน้อยสุด อดไม่ได้ต้องถามบ้าง

            “เอ็มวีเพลงนี้ได้น้องเมย์ มายาวีนางแบบเน็ตไอดอลชื่อดังมาเป็นนางเอก บทของเธอเป็นผู้หญิงที่คอยสนับสนุนแฟนตัวเองทุกอย่างให้ทำตามความฝัน มีชีวิตอยู่ในแสงสีท่ามกลางผู้คน โดยตัวเธอหลบอยู่ด้านหลังคอยส่งรอยยิ้ม ความรัก และกำลังใจ ไม่เคยแม้แต่จะออกมาจากเงามืด...พี่อยากรู้ว่าการทำเอ็มวีแบบนี้ ขัดกับธีมของเพลงที่น้องรอมแต่งให้แฟนคลับหรือเปล่าคะ”

            เมื่อดีเจเจาะจงถามคนแต่งเพลง เพื่อนในวงอมยิ้มซ่อนรอยล้อเลียนโดยไม่มีใครแก้ตัวแทน

            “ไม่ขัดเลยครับ” รอมตอบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากระจ่างใสฉายรอยซุกซน ยามเอ่ยวาจาใบหน้าฉายออร่าซูเปอร์สตาร์ชวนมองกว่าเดิม

            “เพลงของเราสื่อสารผ่านผู้คนในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะแค่แฟนคลับแต่หมายถึงผู้ฟังทุกคนที่อาจมีประสบการณ์คล้ายเนื้อหาในเพลงนี้ ผมเชื่อว่าคงมีผู้ชายสักคนรู้สึกแคร์ เป็นห่วงคนที่อยู่เบื้องหลังในเงามืด...เขาอาจเคยขอร้องให้เธอมาอยู่ในแสงสว่างด้วยกัน แต่เธอปฏิเสธเพราะแสงสว่างบาดตาเกินไป ไม่มีความสุขเท่าอยู่ในเงาอันอบอุ่น มีชีวิตสงบราบเรียบ...”

            “เธอคนนั้นน่ารักจังเลยนะคะ” บัวบุษราหลุดปากชื่นชม “ตรงกับเนื้อหาเพลงท่อนนี้มากเลย...ที่ฉันอยู่นั้น สว่างเจิดจ้าเกินไป...เธอพอใจหลบอยู่ในเงา...เพราะแสงสว่างอาจทำตาพร่า มองฉันไม่ชัดเจน...”

            ศิลปินหนุ่มยิ้มให้ดีเจสาว น้ำเสียงตอบกลับมาอ่อนโยนลง

            “ดีใจที่ชอบนะครับ ‘เธอ’ คนนั้นได้ฟังก็น่าจะชอบเหมือนกัน...ร้อยล้านวิวที่ได้ตอนนี้อาจมาจากยอดวิว ‘เธอ’ ไปแล้วสักห้าสิบล้านก็ได้”

            คำพูดหยอกล้อเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน เพื่อนศิลปินมองคนแต่งเพลงด้วยรอยยิ้มปีติชื่นชม คล้ายพอจะรู้ว่า ‘เธอ’ ที่ถูกกล่าวถึงมีตัวตน ไม่ใช่คำสมมุติเลื่อนลอย

            พอสนทนาถึงเรื่องนี้ ดีเจมืออาชีพอย่างสุปรียาย่อมทราบว่าควรถามเรื่องเกี่ยวกับหัวใจของศิลปิน แต่ก่อนการสัมภาษณ์ได้รับการขอร้องจริงจังจากผู้จัดการวงให้คุยเฉพาะเรื่องงาน ห้ามถามเรื่องส่วนตัว เธอจึงเบนหัวเรื่องออกมา

            “เพราะอย่างนี้เองเนื้อหาในเอ็มวีถึงบอกเล่าในมุมคู่รัก ซึ่งประทับใจคนดูวงกว้างทุกชาติทุกภาษามากกว่า อยากถามหนุ่ม ๆ ว่าได้ร่วมงานกับน้องเมย์ มายาวีแล้วเป็นยังไงบ้าง ตัวจริงน้องน่ารักแค่ไหน”

            เกิดอาการนิ่ง มองหน้ากันชั่วแวบ คล้ายเกี่ยงให้กันตอบ

            “น่ารักมากครับ”

            แอป...น้องเล็กสุดในวงตอบด้วยรอยยิ้มฝืนนิด ๆ

            “รับบทนางเอกได้ ‘อิน’ จนพวกเราเชื่อ มาทำงานตรงเวลา เทคกี่รอบก็ไม่บ่น ถ่ายซ่อมแล้วซ่อมอีกจนเกินเวลาก็ยังยิ้มได้ นับถือสปิริตน้องเขาจริง ๆ”

            “พี่ว่าเอ็มวีนี้ยิ่งทำให้น้องเมย์ดังกว่าเดิมอีกนะคะ ข่าวว่ามีค่ายหนังละครแย่งตัวกันไปเป็นนางเอก สินค้าแบรนด์ดังก็อยากได้ตัวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะคนดูทั้งไทยทั้งต่างชาติหลงปลื้ม สงสารเห็นใจนางเอกเอ็มวีคนนี้กันเต็มเลย”

            “ครับ น้องเขามีงานดี ๆ เข้ามาพวกเราก็ยินดีด้วย”

            “ถ้างั้นเรามาฟังเพลง Shadow กันก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องคอนเสิร์ตออนไลน์ปิดเบรกสุดท้ายกันนะคะ”

            ดีเจสุปรียาพูดเข้าเพลง ดนตรีอินโทรเริ่มขึ้น ไมค์ดีเจ - แขกรับเชิญถูกตัดเสียง ทุกคนผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองมากกว่าเดิม

            “พี่ถามตรง ๆ เถอะ ตัวจริงน้องเมย์เขามีปัญหาอะไรหรือจ๊ะ”

            ดีเจมืออาชีพมีหรือสังเกตกิริยาผิดปกติเล็กน้อยไม่ออก

            “คุยเรื่องอื่นดีกว่าครับพี่” อาร์ม หัวหน้าวงกล่าวเลี่ยงสุภาพ

            สุปรียาทราบว่าควรหยุดคำถามไว้แค่นี้

            “งั้นพี่ถามอีกเรื่องก็ได้คราวนี้ห้ามเลี่ยงประเด็น ห้ามเฉไฉ...พวกน้อง ๆ มีคนในเงากันแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”

            อาศัยความเป็นดีเจอาวุโส อยู่วงการมานานจึงกล้าถามตรง ๆ หลังไมค์แบบนี้

            “พี่สุเล่นถามแบบนี้พวกผมจะตอบยังไงดีล่ะ” หัวหน้าวงรีบออกตัว

            “แหมตะกี้ใครฟังน้องรอมพูดแบบนั้นต้องอดคิดไม่ได้หรอกจ้า...ยิ่งถ้า ‘เธอ’ คนนั้นฟังรายการอยู่คงยิ้มแก้มปริหน้าบานไปแล้ว”

            รอมหัวเราะเบา ๆ ไม่กล้าพูดอะไรให้เข้าตัว

            น้องเล็กของวงตอบตรง ๆ

            “ผมอายุขึ้นเลขสามกันแล้วนะครับ...ถ้าไม่มีใครเลยคงน่าแปลกกว่ามั้ยพี่สุ แต่รับรองได้เลยว่าพวกเราจะไม่มีข่าวแต่งงานสายฟ้าแลบ แล้วอีกเดือนนึงกลายเป็นพ่อคนแน่ ๆ”

            คำพูดอ้างถึงข่าวดังศิลปินต่างชาติ ดีเจสาวใหญ่อมยิ้มไม่คิดคาดคั้นรายตัว

            “โอเค...ได้ยินอย่างนี้พี่หายคันในใจแล้ว คนอื่นไม่อยากรู้หรอก อยากรู้แค่ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจเพลง Shadow เป็นใคร...คนในหรือนอกวงการ”

            คราวนี้หนุ่ม ๆ หัวเราะแทบพร้อมกัน หลิ่วตามองเพื่อนร่วมวงซึ่งนั่งนิ่งอมยิ้มไม่ยอมปริปาก

            ก่อนจะมีการซักไซ้เพิ่มเติม ทางห้องควบคุมส่งสัญญาณบอกว่าผู้จัดการวงมีธุระบอกดีเจประจำรายการ

            “เฮียจุลมาเบรกพี่สุแล้ว” มูเซอยิ้มพร้อมหลิ่วตาให้ดีเจอาวุโส

            ผู้จัดการวงเข้ามาในห้องกระจายเสียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหนักใจ สิ่งที่บอกคือ จำเป็นต้องขอตัวศิลปินกลับค่ายทันที ไม่อาจให้สัมภาษณ์ใด ๆ ต่อได้อีก

            “ทำไมคะ...แล้วไม่คุยเรื่องคอนเสิร์ตออนไลน์ปิดท้ายด้วยเหรอ” ดีเจสุปรียาไม่เข้าใจ

            “ไม่เป็นไรครับ รบกวนยิงสปอตคอนเสิร์ตแทนแล้วกัน”

            คำตอบสั้น ๆ ทำให้ดีเจอาวุโสรู้สึกประหลาดใจ

            “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”

            ผู้จัดการวงถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบ

            “ตอนนี้น้องเมย์...มายาวีนางเอกเอ็มวีเราเพิ่งเสียชีวิต”

            “ว้ายตายแล้ว...เรื่องจริงหรือคะนี่”

            ดีเจสุปรียาอุทานตกใจคาดไม่ถึง ผู้จัดการวงอธิบายเพิ่มเติม

            “ในหน้าเฟซรายการมีคนให้ดีเจถามถึงสาเหตุเรื่องนี้กันเต็มไปหมด ศิลปินเราไม่สามารถตอบหรือให้ความเห็นใด ๆ ได้ครับ”

            ข่าวร้ายเล่นเอาศิลปิน ดีเจอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

            ชั่ววินาทีนั้น นิมิตปรากฏในหัวบัวบุษราทันที

            ...อ่างอาบน้ำเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ร่างขาวโพลนนอนจมโผล่แค่ใบหน้าปราศจากสีเลือด ข้อมือขาวซีด เส้นผมดำขลับสยายไหลลงมาพร้อมกับสายน้ำ...

            เมย์ มายาวีเพิ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแค่ปีเดียว บัวบุษราไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน ดีเจสาวกลับทราบทันทีว่าศพในอ่างอาบน้ำนั้นคือนางแบบ นางเอกมิวสิควิดีโอเพลง Shadow ของวงยามาร์



--------------- ------------ --------------



            ยามเย็นแดดโรย หอพักสมเกียรติวังเวงหม่นซึม คนทั่วไปไม่กล้าเฉียดใกล้ บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่จาง ๆ ยังไม่ชวนขนลุกเท่าตอนตะวันตกดิน

            ขุนคีรีแต่งกายชุดเดิมเหมือนตอนไปแบล็ก มูน ก้าวขึ้นบันไดหอพักท่าทางมั่นใจ สายตากวาดมองตามทางเดินยาวก่อนระบายลมหายใจแผ่วเมื่อพบเงาร่างตะคุ่มยืนหน้าประตูห้องไม่ไกล

            “คุณคมสัน”

            ผีปกติสุดในหอพักเดินออกมาช้า ๆ ใบหน้าสีเทาซึมเซา ดวงตามีร่องรอยจดจำได้

            “คุณยมทูต” เอ่ยทักแล้วหรี่ตาไม่แน่ใจ “ไม่คิดว่าจะมา...ในร่างมนุษย์แบบนี้”

            ชายหนุ่มไม่สนใจอธิบายตัวตนแท้จริง รีบพูดเข้าประเด็นทันที

            “ถ้าผมสามารถพา ‘นล’ มาที่นี่ได้ พวกคุณได้คำตอบในใจหรือยังว่าต้องการอะไรจากเขา”

            วาจาจริงจัง เชื่อว่าคราวนี้คงไม่ได้คำตอบหยอกล้อแกมประชด หรือคำพูดคลุมเครือสองจิตสองใจว่าอยากฆ่าให้ตายแล้วให้มาเป็นผีเฝ้าหอ กับแค่ขอโทษสั้น ๆ แล้วจบกัน

            คมสันนิ่ง...สังเกตความรู้สึกข้างในตรงไปตรงมา

            “ไม่รู้” นี่เป็นคำตอบจริงใจที่สุดแล้ว

            พวกเขาไม่ใช่ผีร้าย ความโกรธแค้นอาฆาตย่อมมีแต่ไม่ถึงขั้นต้องการให้ตายกลายเป็นผีเฝ้าหอพักด้วยกัน

            ขุนคีรีลอบถอนใจ เสียงอ่อนลง

            “นอกจากความรู้สึกผิด...คับแค้นใจ...พวกคุณคิดว่า...อะไร...ทำให้ตัวเองติดคาอยู่ที่นี่”

            เอ่ยพลางกวาดสายตามองประตูบานอื่น พบผีอีกสองตนยืนฟังเงียบ ๆ ไม่ออกฤทธิ์เดชจึงพูดต่อ

            “บางทีความ ‘ไม่รู้’ อาจเป็นกรงขังที่พวกคุณมองไม่เห็น...ลองสังเกตใจตัวเองดี ๆ หาคำตอบให้ได้ว่าความรู้สึกอะไรทำให้เรายังติดยึดที่นี่ ไปไหนไม่ได้สักที”

            ผีทั้งสามนิ่งงันไม่เถียง แต่ยังไม่เข้าใจจริง ๆ

            “ถ้าคุณยมทูตพูดอย่างนั้น ผมจะลอง ‘ดูใจ’ ตัวเองให้ชัด ๆ อีกที”

            “โอเค งั้นผมจะพยายามหาวิธีพาเขามาที่นี่ให้ได้...คิดว่าการเจอกันอีกครั้ง อาจทำให้พวกคุณเข้าใจจิตใจตัวเองมากขึ้น”

            จิตใจขุนคีรีผ่อนคลาย ภาระในใจเบาบางกว่าเดิม กำลังจะออกจากหอพัก ไอ้ถึกรีบก้าวมาถาม

            “คุณยมทูตเจอไอ้นลแล้วใช่มั้ย”

            “ใช่”

            “ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง” ถามด้วยความอยากรู้ อย่างน้อยเคยเป็นเพื่อนเรียนคณะเดียวกัน อยู่หอพักด้วยกัน

            รอยลังเลปรากฏในดวงตาผู้ช่วยยมทูต ไม่ทราบว่าบอกความจริงแล้วจะเกิดประโยชน์หรือโทษกว่ากัน

            “เท่าที่เห็นวันนี้...เขาร่ำรวยมีลูกน้องล้อมหน้าหลัง เป็นเจ้าของสถานบันเทิงกลางคืนชื่อดัง”

            ปฏิกิริยาคือความประหลาดใจจากผีอีกตน

            “หา...เด็กเรียนอย่างไอ้นลเนี่ยนะ เป็นเจ้าของสถานบันเทิง” อีแต๋วส่งเสียงไม่เชื่อถือ “เมื่อก่อนมันสนใจแค่การเรียน การทดลอง สร้างผลงานเพื่อจะได้ทุนเรียนถึงดอกเตอร์ ผับบาร์ไม่เคยเข้า...เหล้าสักหยดไม่แตะ ถึงได้หน้าใสกิ๊กขนาดนั้น”

            “เออ...เพราะความหน้าใสของมัน เลยหลอกใช้มึงได้ไงอีโง่” คู่ปรับได้ทีทับถม

            ถ้าไม่เคยเห็นภาพนิมิต ‘นล’ จากผีทั้งสาม ขุนคีรีคงนึกไม่ออกเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้...นล...หรือธนนท์...ไม่มีร่องรอยความสดใสแบบเด็กเรียนคนเดิมในอดีตเหลือเลย

            “เวลาสิบกว่าปี มันเปลี่ยนคนได้ขนาดนั้นแหละ” คมสันหดหู่ “มีแต่พวกเรายังเกาะกันอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนสักที”

            วาจาอันเหนื่อยหน่ายเช่นนั้น ทำให้ขุนคีรีรู้สึกว่าผีตนนี้มีโอกาส ‘หลุด’ จากสภาวะผีเฝ้าหอก่อนใคร



--------------- ------------ --------------



            เดินจากหอพักร้างมาริมถนนใหญ่ แท็กซี่สุรชัยจอดรอไม่ไปไหน แปลกตากว่าเดิมคือวันนี้โชเฟอร์ไม่ได้แต่งฟอร์มแท็กซี่ กลับสวมเชิ้ตสุภาพ กางเกงขายาว แขวนสูทไว้เบาะหลัง

            ขุนคีรีไลน์หาแท็กซี่ทีมยมทูตหลังออกจาก ‘แบล็ก มูน’ ตั้งใจนัดมาพูดคุยปรึกษาภารกิจหอพักผีสิง กลับได้รับคำตอบว่ายังไม่ว่างกำลังเข้าประชุม ให้ดื่มกาแฟรอที่ร้านข้างกระทรวงแห่งหนึ่ง

            ประมาณสี่โมงเย็นโชเฟอร์สุรชัยเข้ามาในร้านด้วยเสื้อผ้าชุดสุภาพ พาดสูทที่แขนราวกับเป็นคนละคน พอเห็นชายหนุ่มที่นัดตนอยู่ในเครื่องแต่งกาย ‘หล่อ’ ผิดตาจึงหัวเราะเบา ๆ

            “ผมคิดว่าต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องตัวเองก่อนแล้ว คุณเล่นมาในลุคคุณชายลูกพ่อเลี้ยงคนดังแบบนี้ ผมคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วมั้ง”

            “น้ารู้เรื่องผมหมดแล้ว ผมยังไม่รู้จักน้าเท่าไหร่เลยนะ”

            “ผมรู้เรื่องคุณเท่าที่ยมทูตหินผาบอกแหละ...แต่...เราจะมาคุยเรื่องของผมหรือธุระคุณก่อนดีล่ะ”

            ขุนคีรีดูนาฬิกาก่อนตอบ

            “รบกวนน้าไปกับผมที่นึงก่อน แล้วเราค่อยคุยกันในรถก็ได้”

            “ได้เลย ดีนะที่วันนี้ขับแท็กซี่มาทำงาน ไม่งั้นคุณคงต้องทนนั่ง BMW รุ่น X3 ที่เมียผมบังคับให้ขับมาทำงานทุกวัน...ลำบากแย่เลย”

            ชายหนุ่มหลุดยิ้มให้กับวาจาที่ไม่แน่ใจว่าเป็นมุก หรือเรื่องจริง

            การสนทนาบนรถระหว่างทางมาหอพักสมเกียรติทำให้ขุนคีรีทราบประวัติโชเฟอร์กว่าเดิม



            สุรชัยเรียนจบเริ่มต้นทำงานบริษัทไฟแนนซ์ยักษ์ใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจประเทศกำลังรุ่งเรือง ได้สมญาว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย ชีวิตเฟื่องฟูไม่นาน ‘ฟองสบู่’ ลวงตาแตกโพละ ไฟแนนซ์ถูกปิดเกือบหมด ตกงานอับจนหนทางต้องมาขับแท็กซี่เลี้ยงตัว กระทั่งพบ ‘น้ายม’ พญามัจจุราช ได้เรียนรู้ชีวิตแท้จริงอีกด้านผ่านการทำงานยมทูต

            พอได้สติก็ตั้งหลักมุมานะ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบบรรจุข้าราชการสำเร็จ ปัจจุบันเป็นนิติกรตำแหน่งสูงในกระทรวงแห่งหนึ่ง

            “ผมเจอภรรยาตอนไปช่วยงานยมทูตครั้งนึง เธอเป็นพนักงานแบงก์ช่วงฟองสบู่แตก ต้องทำงานยันค่ำมืดดึกดื่นเพื่อรักษางานตัวเองไม่ให้โดนเลย์ออฟ

            บ้านเธออยู่ในซอยที่ผมต้องไปทำงานพอดี เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่ามีบ้านผีสิงก่อนถึงบ้านตัวเอง...นั่นทำให้เรารู้จักกัน...ผมหยุดช่วยงานยมทูตตอนแต่งงานมีลูก พอลูกเข้ามหาวิทยาลัยค่อยมาช่วยเป็นครั้งคราว

            แท็กซี่คันนี้ผมซื้อไว้หารายได้พิเศษยามว่าง และเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเคยลำบากยังไง จะได้ไม่ประมาทชีวิตอีก

            คำบอกเล่าชัดเจนจนขุนคีรีไม่มีคำถาม นอกจากสะท้อนใจวาจาสุดท้าย ‘ประมาทชีวิต’

            ย้อนมองวันเวลาที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตโดยประมาทมาตลอด ไม่อาจรู้เลยว่าแต่ละวันมีค่ามากแค่ไหน การได้เกิดเป็นมนุษย์คือความหวัง ความต้องการของผู้อยู่โลกหลังความตายจำนวนมากมายเท่าไร

            โชเฟอร์สุรชัยสัมผัสจิตใจหดหู่ของผู้โดยสารชัดเจน พยายามหาวิธีดึงเขาให้มีสติต่องานตรงหน้า

            “เรื่องผมจบแค่นี้แหละ คุณล่ะจะปรึกษาเรื่องอะไร”

            ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้า ๆ นึกถึงภารกิจตนก่อนเอ่ยปาก

            “เรื่องหอพักสมเกียรติที่เราจะไปกันนี่แหละ”

            “ยังไงล่ะ”

            “ผมจะช่วยผีทั้งสามตนยังไงดี การพาพี่นนท์ไปหาจะช่วยปลดล็อกในใจพวกเขาได้แค่ไหน”

            “คุณไม่กลัวผีพวกนั้นหักคอเจ้า ‘นล’ นั่นหรอกเหรอ” ถามหยอกล้อ

            ขุนคีรียิ้ม

            “ตอนนี้ผมไม่เชื่อว่าผีจะหักคอคนได้ง่าย ๆ แล้วล่ะ สิ่งที่น่ากลัวกว่าโดนผีหลอก คือถูกกิเลสโลภ โกรธ หลงครอบงำ จนตายแล้วไม่ได้ไปสุคติกัน”

            แท็กซี่สุรชัยหัวเราะเบา ๆ

            “ถ้าเพื่อนฝูงคนรู้จักเก่าของคุณได้ยินอย่างนี้ คงคิดว่าลูกชายพ่อเลี้ยงสมองผิดเพี้ยนไปแล้ว”

            “น่าจะจริงครับ” เจ้าตัวยอมรับ “แค่ทำงาน ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ไม่กี่งาน สัมผัสโลกหลังความตายแบบนี้ ผมเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษมากกว่าตอนไปนั่งฟังเทศน์กับแม่สมัยเด็กเสียอีก”

            “แล้วคุณคิดว่าผีสามตัวนั่นมันไม่อยากเลื่อนภพภูมิตัวเองหรือ”

            ขุนคีรีชะงัก มองโชเฟอร์ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

            “คุณรู้มั้ย...คนบาปจำนวนไม่น้อย พอตกนรกได้รับโทษทัณฑ์ที่ตัวเองก่อ ก็เกิดสำนึกอยากย้อนกลับมาแก้ไข อยากทำตัวใหม่ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์สาหัสขนาดนั้น แต่ไม่มีโอกาสแล้ว...ภพที่ผีพวกนั้นอยู่ไม่เลวร้ายขนาดในนรก ถ้ามีใครมาสะกิดให้พวกเขาเกิด ‘สติ’ ระลึกบาปบุญได้ก็ยังมีโอกาสอยู่นะ”

            “ครับ ผมจะลองหาทางดู”

            นั่นคือเหตุผลการบุกเข้าไปหาผีทั้งสามพร้อมตั้งคำถามให้ค้นดูจิตใจพวกตน ก่อนรับปากจะพาตัวต้นเหตุมาหา



            หลังกระทำสิ่งตั้งใจไว้เสร็จเรียบร้อย กลับมานั่งบนแท็กซี่อีกครั้ง โชเฟอร์หันมาถามทันที

            “ไปคุยกับพวกผีเรียบร้อย...ผู้ช่วยขุนคีรีต้องการให้ผมรับใช้อะไรต่อครับ”

            “โหยน้าอย่าถึงขั้นใช้คำว่า ‘รับใช้’ เลย คนระดับน้ามาช่วยขับรถให้นี่ ผมก็รู้สึกผิดมากแล้ว”

            “งั้นถามใหม่...จะกลับไปที่พัก หรือไปส่งที่ไหนก่อน”

            โชเฟอร์มองการแต่งตัวผู้โดยสารแล้วคิดว่า เจ้าตัวคงไม่กลับห้องพักโทรม ๆ ในสภาพหล่อเท่แบบนี้แน่

            “ไปคอนโดแถว...ก่อนครับ ผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมีเรื่องต้องคุยกับพี่คนนึง”

            “โอเค”

            ตอบรับโดยไม่ไถ่ถามรายละเอียดอื่น อาจเพราะเจ้าตัวไม่ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ด้วยเคยผ่านงานยมทูตมาแล้วเช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP