วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๔



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดโดยไม่ปิดบัง ฟังแล้วนึกไม่ออกควรใช้วิธีไหนช่วยปลดพันธนาการทางใจแก่ผีทั้งสาม

            “คนชื่อนล ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยหรือคะ” บัวบุษราถาม

            “มันแอบมาเก็บหลักฐานหลังไฟไหม้ แล้วไม่มาอีกเลย” คมสันตอบ

            “แสดงว่าหลังจากซ่อมแซม ปรับปรุงหอหลังไฟไหม้เรียบร้อย เปิดบริการใหม่ ต้นเหตุคนนั้นก็ไม่ยอมกลับมาที่นี่อีก” คนฟังถามย้ำ

            “ใช่” คมสันตอบแล้วอธิบายเพิ่ม “หลังปรับปรุงเรียบร้อย หอพักเปิดบริการได้แค่ไม่กี่เดือนก็มีข่าวกลายเป็นหอพักผีสิงจนต้องปิดตัวลง”

            หญิงสาวถอนใจ สงสารเหล่าดวงวิญญาณเคยอาศัยที่แห่งนี้

            “ถ้าคุณนลกลับมา...พวกคุณจะทำยังไงคะ” ถามหยั่งเชิง

            “จับมันแก้ผ้า...แล้วให้เต้นระบำโป๊สามวันสามคืน” ผีอีแต๋วเข่นเขี้ยว

            “อีเหี้ย...กูไม่ทนดูหรอกเว้ย...คลื่นไส้ตายห่า” ผีไอ้ถึกค้านทันที

            คำพูดผีทั้งสองเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ด้วยไม่กล้ากล่าวความต้องการจริงในใจออกมา

            ดวงหน้าผีคมสันคล้ายหมอกมัวสีเทาครอบคลุมจาง ๆ แววตาสับสนอธิบายไม่ถูก เอ่ยวาจาโดยไม่ปิดบัง

            “ผมตอบไม่ถูกหรอกว่า...ถ้ามันมาที่นี่อีกครั้งจะจัดการยังไงดี...ใจนึงอยากฆ่าให้ตาย กลายเป็นผีเฝ้าหอแทนพวกเรา...หรือ...อีกใจก็แค่...ขอโทษคำเดียว...จบ”

            คำพูดนั้นทำให้บัวบุษราขนลุก กลัวขึ้นมาบอกไม่ถูก วาจาเรียบ ๆ ไม่แฝงรอยโกรธขึ้ง อาฆาตแค้น ส่วนลึกในใจบอกความเจ็บปวด คุกรุ่นยากอธิบาย

            ...นี่คงเป็นความต้องการใกล้เคียงกับสิ่งในใจผีทั้งสามมากสุดแล้ว...

            “พวกคุณพอจะสร้างภาพ ‘นล’ ให้ผมดูหน่อยได้มั้ย”

            ขุนคีรีนิ่งฟังตลอดเพิ่งเอ่ยปาก ‘ดวงตายมทูต’ เปิดอัตโนมัติ

            ผีทั้งสามพยักหน้ารับ ไม่นานปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดนักศึกษายืนตรงลานกว้างหน้าบันได รูปร่างสันทัด ตัดผมสั้นเรียบร้อย ใบหน้าใสออกตี๋นิด ๆ ลักษณะคล้ายเด็กเนิร์ดสนใจเฉพาะการเรียน

            ดวงหน้าเช่นนี้คลับคล้ายเคยเห็นมาก่อน พอคิดทบทวนลองเพิ่มอายุชายตรงหน้าอีกสิบกว่าปีค่อยคุ้นตากว่าเดิม

            สุดท้ายระบายลมหายใจแผ่วเบา...ทราบว่าจะตามหาบุคคลนี้ได้ที่ไหน



--------------- ------------ --------------



            ทะเลสีครามกว้างไกลสุดสายตา ขอบฟ้าปรากฏแสงระเรื่อรุ่งอรุณ คลื่นทยอยซัดชายหาดเป็นระยะ นกนางนวลบินเกาะเป็นฝูงตัดผืนฟ้าดูงดงาม

            บัวบุษราคาดไม่ถึง คำพูดกึ่งหยอกล้อหลังออกจากหอพักผีสิงไม่กี่คำ ทำให้ได้มายืนชมธรรมชาติยามเช้าริมทะเลแห่งนี้

            “แหม...น่าเสียดาย อุตส่าห์ทำใจกล้าบุกหอพักผีสิงทั้งทีกลับทำงานไม่สำเร็จ ไม่รู้คุณยมทูตหินผาจะดุเอาหรือเปล่า...เราแอบหนีไปเที่ยวทะเลสักแวบก่อนดีมั้ยคะ”

            สายตาทอดมองลงมาคล้ายอ่านความรู้สึกส่วนลึกในใจ ซึ่งโหยหาอยากชมธรรมชาติงดงามดังเก่าก่อน...วันนี้ไม่อาจเห็นมันยามลืมตาตื่น ขอได้ชื่นชมแค่ในฝันก็พอ

            “ได้สิ ผมจะพาไปเอง”

            แค่สิ้นวาจา บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนไปฉับพลัน มายืนอยู่ชายหาดริมทะเล รอชมพระอาทิตย์ยามเช้ากันแล้ว

            “เก่งจัง พาหายตัวมาที่แบบนี้ได้ด้วย...ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวยิ้มแก้มใส นัยน์ตาสะท้อนแสงสีอรุณรุ่งสวยงาม

            ผู้ช่วยยมทูตพยักหน้ารับแล้วเบือนหน้ามองขอบฟ้า แสงแรกดวงตะวันก่อให้เกิดเหลี่ยมเงาบนใบหน้าชวนมอง

            บัวบุษราอดหลุดปากชมไม่ได้

            “คุณผู้ช่วยรู้มั้ยคะว่าตัวเองหล่อขนาดไหน”

            “หือ...” คาดไม่ถึงกับคำชมหญิงสาว

            “จริง ๆ นะ” เจ้าหล่อนรีบยืนยัน “ถ้าเป็นคนธรรมดา บัวคงต้องแอบขอไลน์ ขอเบอร์ ค้นหาเฟซบุ๊คไม่ก็ฟอลโลไอจีไปแล้ว”

            กล้าพูดเช่นนี้เพราะคิดว่า ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ไม่เข้าใจนวัตกรรมคนยุคนี้

            รอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้าชายหนุ่ม แกล้งเบือนหลบมองท้องทะเลไม่สบตาหญิงสาว

            “คุณชอบผู้ชายแบบผมเหรอ” โดนจีบตรง ๆ ชายหนุ่มถามกลับตรง ๆ เช่นกัน

            เจอสวนเช่นนี้บัวบุษราหัวเราะกลบเกลื่อน ถ้าเป็นชีวิตจริงต้องหาวาจาหลีกเลี่ยงรักษาหน้าตัวเองบ้าง

            เมื่ออยู่ในฝัน ไม่คิดว่าบุคคลตรงหน้ามีเลือดเนื้อ ตัวตนเฉกเช่นมนุษย์ผู้ชายทั่วไป จึงกล้าต่อปากต่อคำดังใจคิด

            “ค่ะ...คุณผู้ช่วยดูหล่อแบบแบด ๆ ดี แถมยังสะอาด ไม่มีรอยสักเถื่อน ๆ ด้วย”

            “เคยเห็นผมถอดเสื้อแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าไม่มีรอยสัก” พูดพลางกลั้นยิ้ม

            “กล้าถอดให้ดูมั้ยล่ะคะ” ย้อนแบบนี้ขุนคีรีคิดคำตอบแทบไม่ทัน

            “เอาไว้คุณขอดูเมื่อไหร่ ผมค่อยพิจารณาอีกทีแล้วกัน”

            เจอวาจาหลีกเลี่ยงแบบเท่ ๆ หญิงสาวหลุดเสียงหัวเราะเบา ๆ สบายใจที่พูดคุยแบบไม่ต้องรักษาฟอร์ม

            “บัวว่าลุคคุณผู้ช่วยดู ‘แบด’ ร้าย ๆ แบบน่าค้นหาจากข้างใน ด้วยแววตา ท่าทางเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีรอยสัก สร้างความดิบเถื่อน โชว์แมนอะไรเลย”

            “พูดอย่างนี้แสดงว่าเคยมีแฟนเป็นผู้ชายร้าย ๆ มาแล้วสิ” ถามอยากรู้จริง

            “ถ้าให้ตอบตรง ๆ แค่ ‘เกือบ’ ค่ะ...ชีวิตจริงผู้ชายประเภทแบดบอย...มัน ‘แบด’ เลวของจริง...น่าแปลกผู้หญิงชอบผู้ชายลักษณะนี้กันเยอะ พวกเขาเลย ‘หล่อเลือกได้’ เจ้าชู้สุด ๆ แฟน-กิ๊ก-คนคุยมีเป็นโขยง หนักข้อกว่านั้น ถ้าไม่พอใจอะไร มันลงมือตบตีผู้หญิงด้วยซ้ำ”

            ขุนคีรีถอนใจ สมัยวัยรุ่นเขามีสาวเป็นโขยงจริง ๆ เพียงแต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับใคร

            พอแม่ตาย...กลางหัวใจบังเกิดหลุมขนาดมหึมาไม่มีผู้หญิงคนไหนแทนที่ จึงบอกเลิกสาว ๆ ทั้งหมด ใช้ชีวิตสนุกสนานสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูงแทน

            เคยคิดเล่น ๆ ด้วยซ้ำ...ถ้าผู้หญิงคนไหนทำให้หลุมกลางหัวใจเต็มขึ้นมา เขาจะหยุดที่เธอคนนั้นตลอดไป...

            “คุณโดนผู้ชายคนนั้นทำร้ายหรือเปล่า” ถามเป็นห่วง

            “ไม่หรอกคะ บัวทำบุญมาดี ได้เห็นความเลวที่เขาทำกับผู้หญิงคนอื่นเสียก่อนเลยถอนตัวทัน ขนาดนั้นยังตามมาเกาะแกะจนพ่อต้องเอาปืนวางขู่ต่อหน้าค่อยยอมถอยกลับไป”

            หญิงสาวส่งรอยยิ้มให้ดวงตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้า ความสุขฉายชัดในแววตา

            “งั้นต่อไปจะเลือกคบใครดูให้ดี ๆ แล้วกัน”

            “ชีวิตจริงบัวแทบมองไม่เห็นแล้ว จะมีปัญญาเลือกใครได้อีกล่ะคะ” พูดคล้ายไม่จริงจัง น้ำเสียงซ่อนความสะเทือนใจไม่มิด

            “ผมขอโทษ” คนฟังรับความรู้สึกนั้นได้

            ทั้งสองมองท้องฟ้า ท้องทะเลเงียบงันครู่ใหญ่ พยายามปรับความรู้สึกให้สงบลง

            “เรากลับกันเถอะค่ะ” หันมาบอกเมื่อตะวันลอยสูงขึ้น “ถ้าบัวตื่นสายกว่านี้เดี๋ยวพ่อกับพี่พรเป็นห่วงแย่”

            “ได้สิ”

            วาจาไม่ใช่แค่คำตอบรับพากลับบ้าน มันซ่อนความรู้สึกดี ๆ ข้างในมากมาย จนคนฟังอบอุ่นปลอดภัยเมื่อสัมผัสความจริงใจผ่านน้ำเสียง



--------------- ------------ --------------



            ‘แบล็ก มูน’ สถานบันเทิงยามค่ำชื่อดัง หนุ่มสาวไฮโซ ทายาทนักการเมืองดัง ดารา คนมีชื่อเสียงมักมาเที่ยวผ่อนคลาย หาความสนุกสนานประจำ จนมันติดอันดับต้น ๆ ในใจนักท่องราตรีทั้งที่เพิ่งเปิดไม่ถึงสองปี

            ยามบ่ายสถานที่นี้ปิดเงียบไร้แสงสี ตึกสำนักงานด้านข้างมีรถยนต์จอด แสดงให้ทราบว่าผู้บริหาร เจ้าของสถานที่มาทำงานแล้ว

            รถยุโรปยี่ห้อดังแล่นมาจอดหน้าตึกสำนักงาน ประตูเปิดออกพร้อมรองเท้าหนังสีดำมันปลาบก้าวลงมา

            ชายหนุ่มร่างสูงสวมเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ารูป เน้นหุ่นผอมเพรียวซ่อนมัดกล้าม กางเกงขายาวสีเทาแบรนด์เนมหัวจดเท้ายืนหน้าอาคารหลังรถแล่นจากไป

            ยามประจำตึกรีบออกมาดู พบใบหน้าขาวอมชมพู นัยน์ตาคมกริบ ผมยาวถูกรวบมัดเรียบร้อย ท่าทางเนี้ยบจัด มั่นใจตัวเองสูง เกิดความเกรงใจโดยไม่รู้ตัว

            “เอ่อ...คุณมาพบใครหรือครับ”

            “พี่นนท์...คุณธนนท์อยู่มั้ย”

            “ท่านประธานเพิ่งมาถึง คุณนัดไว้หรือเปล่า”

            “ขอโทษด้วย ผมไม่ได้นัด”

            “ถ้าอย่างนั้น...เอ่อ...”

            เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลำบากใจ หากเป็นคนอื่นคงโดนเชิญกลับแล้ว ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีสง่าราศี ดูดีเกินกว่าจะได้รับมารยาทแบบนั้น

            “เอาอย่างนี้แล้วกัน...รบกวนลุงช่วยเรียนท่านประธานว่า...ขุนคีรีขอเข้าพบ”



--------------- ------------ --------------



            ห้องทำงานเจ้าของ ‘แบล็ก มูน’ อยู่ชั้นบนสุดอาคารสำนักงาน ก่อนเข้าห้องมีบอดี้การ์ดร่างบึ้กสองคนยืนตรวจสอบผู้ขอเข้าพบทุกราย

            ขุนคีรีก้าวเข้าห้องด้วยมาด ‘คุณหนู’ ลูกชายผู้ทรงอิทธิพลคนเดิม เสื้อผ้าการแต่งกายทำให้แตกต่างจากนักมวยใต้ดินเป็นคนละคน

            “ขุน...เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานเลย” เจ้าของสถานที่ทักทายสนิทสนม

            ธนนท์...ชายวัยสามสิบกลาง ๆ ใบหน้าขาวเผือดขอบตาคล้ำเฉกเช่นคนกลางคืนทั่วไป รูปร่างสันทัดเริ่มบวม มีพุงแบบคนไม่สนใจออกกำลังกายดูแลสุขภาพ

            การแต่งกายเขาบอกรสนิยม ใช้ข้าวของราคาแพง สร้อย แหวน นาฬิกาข้อมือ รวมมูลค่าทั้งตัวน่าจะเกินหลักล้าน

            “ไม่เจอกันเกือบสองปี พี่ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ” ผู้มาเยือนทักทายด้วยรอยยิ้มในหน้า ดวงตาคมปลาบฉายประกาย ‘รู้ไส้’ กันดี

            “แหม ถ้าไม่ได้ท่านพลเทพ กับพ่อเลี้ยงสนับสนุน พี่คงเป็นไอ้กระจอกเหมือนเดิมนั่นแหละ”

            ธนนท์ถ่อมตัว เห็นกันหลายปีไม่ต้องปิดบังตัวตนกันแล้ว

            ขุนคีรีรู้จักธนนท์ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เวลานั้นกำลังหาช่างแต่งรถแข่ง พบว่าอีกฝ่ายมีความสามารถรอบรู้เกินตัว ทั้งเครื่องยนต์รถประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงสารเคมี การประกอบระเบิดแบบพิเศษยากหาร่องรอย

            นอกจากอาศัยจ้างวานแต่งรถแข่งเพิ่มสมรรถนะแล้ว ขุนคีรียังเรียนรู้เรื่องสารเคมี การทำระเบิดแบบไม่จริงจังนัก เพื่อป้องกันตัวเองกับพวกพ้องกรณีฉุกเฉิน

            ระเบิดที่เพื่อนในกลุ่มแอบนำไปใช้จนเกิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน เป็นผลงานจากการสั่งสอนของธนนท์นั่นเอง

            “ร้านพี่ดังน่าดูนะ ผมได้ข่าวว่าพวกคนดัง ไฮโซ ดารามาเที่ยวกันตรึม ทั้งที่เปิดไม่ถึงสองปี”

            “มันดังแบบบอกต่อ อาศัยกระแสโซเซียลช่วยนั่นแหละ ยิ่งพวกคนดังมากันเรื่อย ๆ อัพรูปลงเฟซบุ๊คไอจี เท่ากับช่วยประชาสัมพันธ์ให้เราในตัว”

            ก่อนการสนทนายืดยาวกว่านี้ ขุนคีรีรีบเข้าประเด็นทันที

            “พี่นนท์พอมีเวลาว่างมั้ย ผมรบกวนไปทำธุระด้วยกันหน่อย”

            “ไปไหนล่ะ”

            คนถูกชวนไม่แปลกใจ เมื่อก่อนไปไหนไปกันเป็นเรื่องปกติ ‘คุณหนูขุนคีรี’ มักทำอะไรไม่บอกใครล่วงหน้าอยู่แล้ว

            “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เอาไว้ไปถึงก็รู้เอง”

            เจ้าของสถานที่ลอบถอนใจ...นี่เป็นนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจแท้ ๆ ต่อให้ทราบว่าไม่มีเจตนาร้าย แต่นิสัยคิดเร็วทำเร็ว ไม่ค่อยเกรงใจผู้สูงวัยกว่า มักทำให้ไม่พอใจบ่อย ๆ แต่คัดค้านปฏิเสธไม่ได้ เพราะตนยังต้องอาศัยบารมีบิดาชายคนนี้อยู่ไม่น้อย

            “ได้สิ...ที่นั่นอยู่ไกลมั้ย พี่มีเวลาให้ถึงตอนเย็นก่อนเปิดร้านนะ”

            “น่าจะพอ...”

            ขุนคีรีพูดไม่ทันจบประโยค ประตูห้องถูกเคาะพร้อมเปิดเข้ามาเกือบทันที เลขาคนสนิทธนนท์รีบเดินเข้ามายื่นไอแพดเปิดหน้าต่างข่าวด่วนให้อ่านทันที

            สีหน้าธนนท์เปลี่ยนฉับพลัน ก่อนหันมาบอกชายหนุ่มเรียบ ๆ

            “ขอโทษทีนะขุน พี่ไม่ว่างแล้วล่ะ มีธุระต้องรีบไปหาผู้ใหญ่ตอนนี้เลย”



--------------- ------------ --------------



            ขุนคีรีออกมานอกอาคารด้วยความขัดใจไม่อาจทำตามแผนการสำเร็จ เขามั่นใจธนนท์ คือ ‘นล’ คนที่ผีทั้งสามพูดถึง เป็นตัวการทำให้หอพักเกิดเพลิงไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร

            เขาตั้งใจชวนไปหอพักร้างด้วยกัน หวังว่าเมื่อภูตผีทั้งสามได้เจอคง ‘รู้ใจ’ ทราบความต้องการตัวเองชัดเจน จะได้ปลดพันธนาการ พ้นการติดยึดสถานที่นั้นเสียที

            น่าเสียดายเกิดเหตุแทรกซ้อน...เจ้าของแบล็ก มูนติดธุระด่วนทั้งที่รับปากกันแล้ว

            ธนนท์อยู่ในวงการสีเทามานาน เจอปัญหาร้อนใจ เร่งด่วนเช่นนี้ประจำ ต้องอาศัยบารมีผู้มีอิทธิพลช่วยคลี่คลายเสมอ

            ถึงอย่างนั้นต้องทำงานรับใช้ตอบแทนไม่น้อยเช่นกัน การวางเพลิง สร้างระเบิดที่ร้านอาหารแบบแนบเนียนเมื่อสองปีก่อนเป็นฝีมือวางแผนจัดการของเขาทั้งหมด

            ค่าตอบแทนคือ...แบล็ก มูนแห่งนี้

            ตั้งแต่ขุนคีรีทราบเบื้องหลังก็ขยะแขยงไม่อยากติดต่อคนผู้นี้อีก ถ้าไม่มีความจำเป็นเกี่ยวกับงาน ‘ผู้ช่วยยมทูต’ คงไม่ยอมกลับเป็นคุณหนูขุนคีรีเพื่อพบปะชักชวนกันแน่

            เขาตั้งใจมาเจอธนนท์แค่ครั้งเดียวเพื่อจัดการธุระให้เรียบร้อย คาดไม่ถึงต้องนัดหมายกันใหม่ ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะว่างเมื่อไหร่

            วูบหนึ่งแห่งความคิด...ข่าวใดทำให้ธนนท์ ‘ก้นร้อน’ ต้องรีบไปหาผู้ใหญ่ขนาดนั้น



--------------- ------------ --------------



            น้ำกำลังอุ่นสบายพร้อมรองรับเลือดข้น ๆ ไหลย้อมจนอ่างแดงฉานน่ากลัว สายน้ำพาโลหิตเอ่อท้นถึงขอบอ่างแล้วล้นลงพื้นห้องน้ำไม่ขาดสาย

            ธารสีแดงไหลสู่ท่อระบายน้ำเชื่องช้า เสียงน้ำกระทบพื้นดังซ่า ๆ ไม่ผิดกับเสียงฝน...เป็นสายฝนหลั่งรินพร้อมกับการสะบั้นชีวิตผู้คน

            น้องเมย์...มายาวี นางแบบ เน็ตไอดอลชื่อดังเสียชีวิตแล้ว

            การตายของเธอสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วนตามมามากมาย











บทที่ ๙



            บัวบุษราตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย บิดากับพี่สาวไม่ผิดสังเกตถึงขนาดขึ้นมาปลุก หล่อนทำกิจวัตรประจำวันช้ากว่าเดิม คิดว่าคงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านหน้าบ้านแล้ว

            ดูเหมือนผู้ออกกำลังกายรายนั้นจะตื่นสายพอกัน เธอจึงได้ยินเสียงวิ่งผ่านหน้าบ้านตอนทำธุระส่วนตัวเสร็จพอดี

            ขณะรับประทานอาหารเช้า ใจครุ่นคิดถึงช่วงเวลาก่อนตื่นนอน ผู้ช่วยขุนคีรีมาส่งถึงหน้าบ้านเฉกเช่นตอนมารับ หล่อนถามถึงงานที่ยังทำไม่สำเร็จ

            “คุณผู้ช่วยจะจัดการเรื่องพาพวกเขาออกจากหอยังไงคะ”

            “ผมว่าจะไปตาม ‘นล’ คนต้นเรื่องมาคุยกับเขาเอง”

            “คุณผู้ช่วยทราบหรือคะว่า...”

            หล่อนกำลังจะพูด...ทราบหรือคะว่า ‘นล’ อยู่ที่ไหน? พอดีนึกได้ อีกฝ่ายเป็นยมทูต การตามหามนุษย์สักคนไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

            “อ้อ จริงสิบัวลืมไป เรื่องแค่นี้คุณผู้ช่วยต้องรู้อยู่แล้ว”

            ดวงตาผู้ฟังฉายรอยขำขัน ตั้งใจปล่อยให้เธอเข้าใจอย่างนั้นโดยไม่กล่าวแก้อะไร

            บัวบุษรานึกถึงอีกเรื่องได้

            “บัวต้องไปที่หอพักนั่นอีกมั้ยคะ ที่จริงคุยกับพวกเขาสนุกดี อีกอย่างคุณยมทูตหินผาบอกว่าเป็นงานที่บัวต้องช่วยเหมือนกัน”

            “ไม่จำเป็นหรอก ผมจัดการเอง คุณรีบเข้าบ้านเถอะ...เช้าแล้วนะ”

            วาจาทั้งหมดจบลงแค่นั้น

            บัวบุษราไม่มีเวลานั่งฟุ้งซ่านนาน วันนี้มีจัดรายการวิทยุ ต้องรีบไปเตรียมตัวก่อนเวลา



--------------- ------------ --------------



            มาถึงสถานีวิทยุพบเรื่องประหลาดใจน่าตื่นเต้น สุปรียา ดีเจหลักมาบอกด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มปิดไม่มิด

            “น้องบัวจ๋า วันนี้รายการเราได้แขกรับเชิญสุดยอดเซอร์ไพรซ์มาให้สัมภาษณ์ด้วยล่ะ”

            น้ำเสียงดีใจขนาดนั้น คาดว่าเป็นซุป’ตาร์ระดับพระเอกเบอร์หนึ่ง ไม่ก็นักร้องดังที่นานครั้งจะให้สัมภาษณ์รายการใด

            “ใครคะ”

            “วงยามาร์จ้ะ...มาครบทั้งห้าคนเลย”

            ได้ยินอย่างนี้ บัวบุษราแทบหลุดปากกรี๊ดตามไปด้วยอีกคน

            ‘ยามาร์’ สุดยอดบอยแบนด์ไทยผู้ตีตลาดเอเชียสำเร็จ กลุ่มนักร้องชายห้าคนสร้างผลงาน ชื่อเสียงมาตลอดสิบห้าปีโดยความนิยมไม่เคยลดน้อยลง หนำซ้ำเพิ่มมากขึ้นตามวันเวลาและการเติบโต

            “พวกเขามาสัมภาษณ์รายการเราโดยเฉพาะหรือว่ามาโปรโมทอะไรคะ” ถามเป็นการเป็นงาน

            “เขามาอัดเทปรายการทีวี ข่าวบันเทิงที่จะออนแอร์คืนนี้เกี่ยวกับซิงเกิลใหม่ และคอนเสิร์ตออนไลน์ที่จะจัดเร็ว ๆ นี้จ้ะ”

            “โห...ซิงเกิลล่าสุดของยามาร์เพิ่งทะลุยอดร้อยล้านวิวเร็วสุดขนาดนั้น ยังมาโปรโมทอีกหรือคะ”

            ขนาดคนบกพร่องทางการมองเห็นอย่างบัวบุษรายังได้ยินข่าว แสดงว่าซิงเกิลล่าสุดพวกเขาแรงจริง ๆ

            “แหม แฟนคลับก็อยากเห็นพวกเขาออกทีวีนะน้องบัว ผู้ใหญ่เลยเมตตาให้รายการเราได้อานิสงส์สัมภาษณ์ออกรายการวิทยุด้วย”

            “งั้นเรามาคุยเรื่องประเด็นคำถาม นัดแนะกันเรื่องสัมภาษณ์พวกเขาดีกว่าค่ะพี่สุ”

            หญิงสาวชักชวนกระตือรือร้น ไฟการทำงานลุกโชน ใช่ว่าซูเปอร์สตาร์ระดับนี้จะยอมมาให้สัมภาษณ์ทุกวัน เมื่อได้รับโอกาสจึงอยากทำหน้าที่ให้ดีสุด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP