วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๘



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            พนากลับไปแล้ว อดีตนายตำรวจยังนั่งที่เดิม พลิกดูเอกสารช้า ๆ อ่านละเอียดไตร่ตรองชนิดไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาดหลงหูหลงตา

            บัวบุษรากับยมทูตหินผาไม่ไปไหน นั่งโต๊ะข้าง ๆ ชมบรรยากาศในร้านพลางดูว่าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวจะพบพิรุธใดบ้าง

            “เอ่อ...บัวอยากถามอะไรหน่อยจะได้มั้ยค่ะ”

            “เรื่องอดีตนายตำรวจ ปัจจุบันเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวน่ะหรือ”

            “ค่ะ”

            “เธออยากรู้อะไร”

            “เขาผ่านอะไรมา ทำไมชีวิตถึงพลิกผันขนาดนี้”

            “ไม่ได้ยินที่พูดตะกี้หรือ...ความจริงมันเจ็บปวดนะ”

            “บัวยอมค่ะ...จะว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิงก็ได้”

            แววตายมทูตมีรอยยิ้มบาง ๆ เมื่ออีกฝ่ายยอมประณามตัวเองก่อน

            “หมวดรัชตะ เคยเป็นนายตำรวจอนาคตไกล ได้ทุนเรียนจบจากนอกเป็นนายตำรวจสืบสวนสอบสวนมือหนึ่งตั้งแต่อายุน้อย โอกาสก้าวหน้าสูงกว่าทุกคนในรุ่น...น่าเสียดายแฟนเขาถูกข่มขืน แล้วมาฆ่าตัวตายทีหลัง เขาแค้นมากตามล่าผู้ชายที่ข่มขืนแฟนตัวเองมาฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหดทีละคน ปกปิดร่องรอยซ่อนศพมิดชิด พอครบก็ยอมมอบตัวเข้ากระบวนการยุติธรรม ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะจำเลยสารภาพให้การเป็นประโยชน์ในชั้นศาล ระหว่างถูกคุมขังก็ประพฤติตัวดีได้รับการลดโทษลงเรื่อย ๆ สุดท้ายติดคุกยี่สิบกว่าปีค่อยได้ออกมา”

            ขนาดเตรียมใจไว้แล้ว...เรื่องจริงที่ฟังยังสร้างความเจ็บปวดในใจไม่น้อย ผู้ชายคนหนึ่งยอมทิ้งอนาคตทั้งมวลเพื่อแก้แค้นให้คนรัก

            “เขาคงรักแฟนมากนะคะ” บัวบุษราพึมพำ “มิน่าถึงเตือนพ่อแบบนั้น...คงกลัวพ่อจะทำอะไรร้าย ๆ ขึ้นมาถ้าคิดว่าอุบัติเหตุนั้นมีเบื้องหลังจริง ๆ”

            พูดพลางสายตาเหลือบมองปฏิทินข้างโต๊ะแล้วชะงัก เมื่อเห็นวันที่ในปฏิทินคือเมื่อเกือบสองปีก่อน หลังอุบัติเหตุแค่เดือนเดียว

            “เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน...นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปัจจุบันนี่คะ”

            “อือ...แล้วยังไง”

            “แสดงว่าเรื่องมันผ่านมาเกือบสองปีแล้ว พ่อไม่ได้ทำอะไรไม่ดี คงยอมรับแล้วล่ะว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ”

            ยมทูตไม่แสดงความเห็น ขยับตัวลุกขึ้นเอ่ยถามง่าย ๆ

            “พร้อมไปดูภารกิจใหม่หรือยัง”

            “ไปค่ะ” ตอบรับโล่งใจ

            “อ้อ...หลังจากเห็นภารกิจแล้วจะพาเธอไปพบใครคนหนึ่งด้วย”

            “ใครคะ”

            “ผู้ช่วยยมทูต”

            บัวบุษรากำลังจะเอ่ยปากซักถามต่อ บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไป เข้าสู่สถานที่ใหม่ซึ่งกำลังแสดงเหตุการณ์ในภารกิจข้างหน้า



--------------- ------------ --------------



            ช่วงเวลาชมเหตุการณ์ภารกิจทั้งสอง บัวบุษราลืม ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ชั่วคราว พอออกมาเจอกันที่ลานลั่นทมจึงอดแปลกใจแกมทึ่งไม่ได้

            ใครจะคิดว่าผู้ช่วยยมทูตมีรูปลักษณ์ตรงข้ามยมทูตหินผาคนละขั้ว ทั้งตาคมกริบ ผมยาว ผิวขาว ริมฝีปากเรียวบาง ‘หล่อเซอร์’ ตรงสเป็คขนาดนี้ ถ้าเจอกันในโลกปกติ ขณะเป็นนักศึกษาสาวคงแอบกรี๊ด แอบถ่ายรูป ไล่หาเฟซบุ๊ค กดตามไอจีไปแล้ว

            พอทราบอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้ช่วยยมทูต’ หน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึก ทักทายไปก็ไม่พูดจาด้วยจึงนึกเสียดาย ชักรู้สึกว่าบุคคลในดินแดนนี้ช่างไม่มีสีสัน ดูนิ่ง ๆ ขรึม ๆ กันหมด

            คิดในใจแล้วอดหลุดเป็นวาจาไม่ได้

            “แหม...คุณยมทูตหินผา...คุณผู้ช่วยขุนคีรี...นอกจากชื่อจะเข้าคู่กันดีแล้ว ยังพูดน้อยเหมือนกันอีก ยมทูตทุกตนเป็นแบบนี้กันหมดหรือเปล่าคะ”

            ยมทูตหินผาไม่แก้ความเข้าใจผิดหญิงสาว ขุนคีรีแค่เหลือบมองผ่านคล้ายเห็นเป็นอากาศธาตุ

            “คุยเรื่องงานก่อนมั้ย” ยมทูตหินผาเข้าประเด็น

            “ค่ะ คราวนี้คุณยมทูตจะให้บัวทำอะไรบ้าง”

            “ไปคุยกับผู้หญิงชื่อฟาง”

            “ฟาง...เอ่อ...น้องคนที่ตายตรงหัวโค้งใช่มั้ย”

            คราวก่อนไปคุยกับวิญญาณคลินิกทำแท้งเถื่อน ครั้งนี้คาดเดาได้ว่างานไม่น่าต่างจากเดิม

            “ใช่...ส่วนเธอ...” หันไปทางขุนคีรี “ไปคุยกับเต้...เด็กหนุ่มคนขับ...ถ้าเป็นไปได้ บอกเขาอย่าลงแข่งมอเตอร์ไซค์คืนมะรืนนี้”

            “เอ๊ะ...คุณผู้ช่วยติดต่อกับมนุษย์ธรรมดาได้หรือคะ” คนสงสัยกลับเป็นหญิงสาว

            ทั้งยมทูตและผู้ช่วยปรายตามองโดยไม่ตอบคำถาม บัวบุษรายิ้มแหย ๆ หาคำตอบให้ตัวเอง

            “จริงสิ บัวลืมไป...มือระดับคุณผู้ช่วยน่าจะไปเข้าฝันเด็กหนุ่มคนนั้นได้ ไม่ก็แปลงร่างเป็นคนไปห้าม หรือทำให้มอเตอร์ไซค์เขาเสียได้เหมือนกัน”

            บัวบุษราจินตนาการคาดเดาเปะปะตามใจ แล้วฉุกใจคิดถึงเบื้องหลังภารกิจชิ้นนี้

            “เดี๋ยวนะคะ ถ้าเต้ลงแข่งมอเตอร์ไซค์ ดวงวิญญาณคนรักอาจมาแทรกทำให้เกิดอุบัติเหตุเพื่อพาไปอยู่ด้วยกัน...นี่เป็นเหตุผลให้บัวกับคุณผู้ช่วยยมทูตแยกกันทำงานใช่มั้ยคะ”

            ยมทูตไม่ตอบ กระทั่ง ‘ผู้ช่วย’ ยังไม่แสดงข้อสงสัย เธอเหมือนกำลังพูดเองเออเอง โดยอีกฝ่ายรับฟังไม่คัดค้าน ไม่แก้ความเข้าใจผิด

            “รับงานแล้วก็กลับไปได้แล้ว” ยมทูตตัดบท

            “อ้าวแล้วงานสองล่ะคะ”

            “ค่อยคุยกันทีหลัง ที่พามานี่เพื่อให้รู้จักกันไว้ เผื่อยังไงงานแรกอาจต้องประสานกันสองด้าน”

            “อ้อเข้าใจแล้ว”

            บัวบุษรายิ้มกว้าง และเผื่อแผ่ให้ผู้ช่วยยมทูตหน้าหล่อด้วย

            “ถ้างั้นบัวขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณผู้ช่วยยมทูตขุนคีรีด้วยนะคะ”

            เจ้าหล่อนจงใจเรียกเสียเต็มยศ ก่อนยกมือไหว้สวยงามแสดงความเคารพโดยชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว

            หลังหญิงสาวจากไป ขุนคีรีระบายลมหายใจยาวค่อยเป็นตัวของตัวเอง ร่างกายจิตใจเหมือนเพิ่งถูกปลดพันธนาการ หันหน้าถามยมทูตหินผาตรง ๆ

            “ทำไมถึงต้องให้เธอมาเจอผมด้วย?”











บทที่ ๕



            “ทำไมถึงมาเจอไม่ได้...ในเมื่อเธอตามเขาเป็นเงามาเกือบสองปี”

            คำย้อนกลับเหมือนศรปักอกดังฉึก

            “เธอไม่ได้เป็นแค่เงาธรรมดา ยังคอยแอบช่วยเหลือมาตลอด...นายแพทย์ดนัย จักษุแพทย์เก่งระดับประเทศ เธอก็ขอร้องให้รับดูแลแต่แรก นอกจากนี้ยังขอให้ ‘เข้ม’ ผู้ดูแลธุรกิจทางกรุงเทพฯ ของพ่อเธอ ช่วยชักจูงคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เปิดโอกาสให้เขากลับมาทำงานดีเจ เปิดโอกาสให้ได้ลงเสียงอัดสปอตโฆษณาเป็นอาชีพเสริมเลี้ยงตัว นอกจากนี้ยังหางานส่งให้พี่สาวที่เป็นฟรีแลนซ์ด้วย”

            ขุนคีรีไม่มีคำอธิบาย ไม่ทราบควรพูดเพื่ออะไร ในเมื่อฝ่ายตรงข้าม ‘มองเห็น’ รู้จักเขาดีขนาดนี้

            นัยน์ตายมทูตหินผาฉายร่องรอยประเมินชายหนุ่มตรงหน้า ทุกคำหวังให้มีปฏิกิริยาตอบกลับทางใดทางหนึ่ง

            ลักษณะชายหนุ่มคล้ายลูกโป่งแฟบหมดลม สิ่งคั่งค้างภายในถูกระบายออกมา

            “ทั้งหมดที่ทำ...มันยังละลายความรู้สึกผิดในใจไม่ได้เลย ผมไม่กล้ายืนมองหน้าเธอตรง ๆ ด้วยซ้ำ”

            คำพูดแรกหลุดมาตามด้วยวาจาหลั่งไหลเกินต้าน

            “ถ้าผมไม่เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท ไม่คิดทดลองทำระเบิดเองเล่น ๆ จนพวกนั้นเอาไปใช้จริงจนเกิดเรื่องร้ายแรงตามมา...เธอก็อาจใช้ชีวิตปกติมีความสุขไปแล้ว”

            “แน่ใจหรือว่า...ถ้าไม่เกิดเหตุทะเลาะวิวาท ระเบิดลูกนั้นไม่ถูกโยนเข้าไปในตึก แล้วจะไม่เกิดไฟไหม้ลามจนแก๊สระเบิด” ถามอย่าง ‘รู้’ เบื้องหลังเหตุการณ์เช่นกัน

            ขุนคีรีหุบปากนิ่ง ดวงตาฉายแววเจ็บปวดคับแค้นกว่าเดิม ด้วยตนก็ทราบ ‘เบื้องลึก’ เหตุร้ายครั้งนั้นดี

            “ถามใจตัวเองดูสิว่า...ถ้าย้อนเวลาได้เธอไม่ลงแข่งมอเตอร์ไซค์ ไม่เป็นชนวนเหตุก่อการวิวาท ไม่คิดทำระเบิดเล่น รู้ล่วงหน้าก่อนพรรคพวกตัวเองออกไปทะเลาะวิวาทที่นั่น...เหตุการณ์เหล่านั้นยังเกิดอีกหรือเปล่า”

            ชายหนุ่มก้มหน้ายอมรับ...ต่อให้ตนไม่มีส่วนเป็นหมากในกระดานครั้งนั้นเลย เหตุร้ายก็ยังเกิดอยู่ดี เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบออกไป

            ยมทูตหินผาทราบคำตอบในใจฝ่ายตรงข้ามจึงพูดต่อ

            “เธอเองก็รู้จุดมุ่งหมายเบื้องหลังเหตุร้ายครั้งนั้นดีอยู่แล้ว สิ่งต้องเกิด...ยังไงเสียก็ห้ามไม่ได้...วิบากกรรม...ทำให้บางคนอยู่ผิดที่ผิดเวลา...และกรรมจัดสรรทำให้เธอต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้”

            วาจายมทูตเหมือนผู้ดูเหตุการณ์วงนอก พูดตามข้อเท็จจริงปรากฏโดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ ขณะขุนคีรีเอาความเป็น ‘ตัวตน’ ผูกมัดจนสลัดความรับผิดชอบไม่ออก

            “ไม่ว่าเบื้องหลังความจริงจะเป็นยังไง...ผมกับพ่อก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้หรอกครับ”

            ความเงียบงันกางกั้นระหว่างหนึ่งยมทูต หนึ่งมนุษย์ ลานลั่นทมไร้สรรพสิ่งเคลื่อนไหว มีแค่กลิ่นหอมโชยชายลอยมาสัมผัส แสงสว่างหรี่จางคล้ายใกล้ค่ำ

            นัยน์ตายมทูตหรี่เรียวลง กล่าววาจาปิดท้าย

            “ถ้าทำตัวเป็นเงาข้างหลังเกือบสองปียังละลายความรู้สึกผิดในใจไม่ได้ ทำไมไม่กล้าเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ แบบไม่ต้องหลบหลีกแอบซ่อน...บัวบุษรายังไม่รู้จักตัวตนเธอจริง ๆ ในขณะที่เธอมีโอกาสมองผู้หญิงคนนี้ชัดเจนกว่าเดิม...นั่นทำให้ทราบความต้องการแท้จริงของเธอ แล้วอาจเห็นหนทางชำระความรู้สึกผิดในใจจริง ๆ ก็ได้”

            “ผม...ทำอย่างนั้นได้จริง ๆ หรือ” พูดไม่มั่นใจตนเอง

            “นรกจริง ๆ มีอยู่แล้ว...อย่าให้ความรู้สึกผิดมาสร้างนรกในใจอย่างโง่งมงายแบบนี้เลย”

            ขุนคีรีไม่มีวาจาตอบโต้ ไม่ทราบควรบอกความรู้สึกในใจอย่างไร เพราะคำพูดอีกฝ่ายล้วนแทงเข้ากลางใจไม่พลาดเลยสักคำ



--------------- ------------ --------------



            ช่วงก่อนเที่ยงมีเสียงเอะอะโวยวายดังจากหน้าร้านข้าวแกง เจ้าของเสียงชัดเจนสุดคือยายปัน โดยเสียงตอบโต้เป็นภาษาต่างชาติ คนฟังออกจะทราบว่าสองฝ่ายสื่อสารกันไม่ได้

            ขุนคีรีกำลังล้างจานชามขึ้นผึ่งบนตะแกรงไม่สนใจ จนตาแคล้วเดินมาเรียกถึงหลังร้าน

            “เฮ้ย...แกพูดภาษาปะกิตได้นี่ ไปคุยหน่อยเถอะไป๊”

            ตาแคล้วทราบเพราะบางครั้งเวลามีฝรั่งจำพวก ‘แบ๊กแพ็ก’ มาถามทาง ซื้อข้าวแกงของกิน ชายหนุ่มสามารถพูดจาสื่อสารรู้เรื่องด้วยคำพูดสั้น ๆ ประกอบภาษามือ ซึ่งไม่แปลกในสายตาคนทั่วไป

            นักมวยหนุ่มออกไปตามคำสั่ง พบฝรั่งสองหนุ่มสาวแต่งกายเซอร์ ๆ คล้ายพวกฮิปปี้ หอบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบพวกแบ๊กแพ็ก สั่งอาหารเป็นกับข้าวสามอย่าง ข้าวสองจาน น้ำสองขวด กินหมดแล้วจ่ายเงินแค่ยี่สิบบาท

            ยายปันโวยวายเพราะค่าอาหารจริงเกือบสองร้อย ฝรั่งทั้งสองทำท่าไม่เข้าใจคำอธิบาย ไม่สนใจความพยายามสื่อสารจากอีกฝ่าย พยายามยัดเยียดให้เจ้าของร้านรับเงินยี่สิบบาทให้ได้

            แม่ค้าเจ้าอื่นอาจถอดใจ ขี้เกียจอธิบายภาษามือ ยอมรับเงินค่าอาหารเท่านั้นอย่างจำใจ ยายปันไม่ใช่แม่ค้าประเภทนั้น แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ยังพยายามหยิบกระดาษดินสอมาเขียนราคาอาหารแต่ละอย่าง แล้วบวกให้เห็นชัด ๆ ฝรั่งทั้งสองก็ไม่ยอมเข้าใจ

            ขุนคีรีเห็นอย่างนั้นเดาออกว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ยิ่งพอได้ยินชาวต่างชาติทั้งสองซุบซิบกันด้วยภาษาที่คิดว่าคนแถวนี้ฟังไม่เข้าใจ โทสะก็ขึ้นหน้า เดินเข้าไปหาแล้วพูดด้วยภาษาที่พวกเขาซุบซิบด้วยสำเนียงไม่ผิดเพี้ยนสักคำ

            “ค่าอาหารทั้งหมดร้อยแปดสิบบาท กับข้าวจานละสี่สิบ สามจานร้อยยี่สิบบาท ข้าวสองจานยี่สิบบาท น้ำสองขวดยี่สิบบาท...ผมอธิบายอย่างนี้เข้าใจมั้ย หรือจะให้เรียกตำรวจมาคุยถึงจะรู้เรื่อง”

            พอเจอคนไทยผมยาวท่าทางเซอร์ ๆ เหมือนลูกจ้างล้างจานพูดภาษาตนชัดเป๊ะขนาดนี้ ชาวต่างชาติฝ่ายหญิงนิ่งอั้น ส่วนฝ่ายชายหลุดสบถเป็นอีกภาษา พ่นวาจาเชิงแก้ตัว

            ชายหนุ่มเปลี่ยนภาษาตามอีกฝ่ายทันที

            “ผมไม่ได้คิดว่าพวกคุณโกง แค่แปลกใจว่าทำไมอ่านตัวหนังสือเลขอารบิกไม่ออก ทั้งที่เจ้าของร้านเขียนให้ดูชัดเจนขนาดนั้น”

            แค่ฟังและพูดภาษาแรกก็สร้างความประหลาดใจฝ่ายตรงข้ามมากพอแล้ว ภาษาที่สองยิ่งทำให้อีกฝ่ายพูดไม่ออกยิ่งกว่า ขุนคีรีปิดท้ายด้วยภาษาที่มั่นใจว่าทั้งสองฟังเข้าใจ

            “คุณคงได้ยินมาว่าคนไทยใจดีมีน้ำใจ ไม่ชอบเอาเรื่องเอาราวใคร นั่นก็ถูกต้อง...ถ้าคนลำบากไม่มีเงินจริง ๆ ซมซานยกมือไหว้ขอข้าวขอน้ำ เราพร้อมช่วยเหลือให้ประทังชีวิตไปได้ แต่เราไม่ได้โง่ ยอมให้ใครก็ได้มาเอาเปรียบด้วยแผนการตื้น ๆ ที่คิดว่าแกล้งทำเป็นพูดจาไม่รู้เรื่องก็กินฟรีได้ อยากจ่ายเท่าไหร่ก็ได้...หรือคุณยอมแลกศักดิ์ศรีตัวเองด้วยเงินไม่ถึงสองร้อยบาทไทย แค่ไม่เกินห้าหกยูโรของคุณเท่านั้นหรือไง”

            เจอชายหนุ่มใช้ภาษาแตกต่างกันสามภาษา สำเนียงชัดชนิดไม่เห็นหน้าคิดว่าเจ้าของภาษามาเองแบบนี้ ชาวต่างชาติทั้งสองรีบจ่ายเงินแล้วออกจากร้านรวดเร็ว

            ยายปันโล่งอก แปลกใจเกี่ยวกับลูกจ้างตนเองนิดเดียว

            “เออ...เพิ่งรู้ว่าแกพูดภาษาปะกิตยาว ๆ ก็เป็น”

            ตาแคล้วรีบเสริมภรรยา

            “นั่นสิ ทีภาษาไทยไม่เคยพูดยาวขนาดนี้”

            ขุนคีรีคร้านอธิบาย จังหวะนั้นสายตาพบชายกลางคนยืนอมยิ้มรอสั่งอาหารด้วยแววตาล้อเลียน ท่าทางคงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

            ...แท็กซี่สุรชัย...อดีตยมทูตฝึกหัด...

            คราวนี้แกจอดแท็กซี่ไว้นอกร้าน ยืนรอสั่งอาหาร พอได้รับก็เข้าไปนั่งโต๊ะด้านใน สายตามองชายหนุ่มเป็นเชิงบอกว่ามีเรื่องต้องการสนทนา

            ขุนคีรีรอจังหวะนำน้ำไปเสิร์ฟจึงนั่งคุยด้วย

            “น้ามาที่นี่มีธุระอะไร” เอ่ยวาจาด้วยสรรพนามคุ้นเคย

            สุรชัยไม่ตอบ พยักพเยิดทางสองตายายเจ้าของร้าน แกล้งลดเสียงพูดเบา ๆ

            “สองตายายนั่นไม่รู้เหรอว่าคุณไม่ได้พูดแค่ภาษาอังกฤษ...ตอนแรกที่คุยกับยายแหม่มนั่นเป็นภาษาฝรั่งเศส พอคุยกับผู้ชายใช้ภาษาเยอรมัน สุดท้ายค่อยพูดภาษาอังกฤษ...จงใจให้พวกมันได้ยินด้วยกัน”

            คำพูดไม่ตรงคำถาม หรือไม่ผู้พูดมีเจตนาเปิดโปงตัวตนอีกฝ่าย

            “ที่มานี่...มีเรื่องจะถามผมแค่นี้” นักมวยหนุ่มถามสั้น ๆ

            ผู้ฟังหัวเราะเบา ๆ

            “แหม...กำลังจะชมเสียหน่อยว่าคุณเก่งสมกับจบโรงเรียนนานาชาติ”

            “ผมแค่ชอบสุมหัวกับเด็กเกเรนานาชาติหลังห้องเท่านั้นแหละ” วาจากึ่งประชด

            ลูกชายคนเดียวของพ่อเลี้ยงผู้ทรงอิทธิพลทางเหนือย่อมได้รับการศึกษาอย่างดี เรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่อนุบาลยันเกรด ๑๒ จบมหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ ผู้เป็นพ่อหวังให้เรียนต่อต่างประเทศแล้วกลับมาขยายธุรกิจอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม...ถ้าไม่เกิดเหตุเกินคาดเสียก่อน

            “วันนี้ไปเที่ยวกันมั้ย” สุรชัยวกเข้าประเด็นสำคัญ

            “ที่ไหน”

            “ที่ที่คุณจะไปทำภารกิจนั่นแหละ”

            “ได้...แต่รอพ้นช่วงขายอาหารกลางวันก่อนได้มั้ย...ผมต้องเก็บโต๊ะล้างจาน”

            ถ้า ‘พ่อเลี้ยง’ ได้ยินลูกชายคนเดียวพูดแบบนี้คงแปลกใจคาดไม่ถึง คิดว่าอาจโดนผีสิง ไม่เชื่อว่า ‘คุณชาย’ อารมณ์ร้อนจะเปลี่ยนไปขนาดนี้

            “งั้นบ่ายโมงครึ่งผมจะมารับแล้วกัน”

            ขุนคีรีพยักหน้า ลุกจากโต๊ะไปทำหน้าที่ตน ไม่แปลกใจที่ได้รับการอำนวยความสะดวกเช่นนี้ แค่อยากทราบเหตุใดตนจึงถูกเลือกเป็นผู้ช่วยยมทูต



--------------- ------------ --------------



            “พี่พรว่างมั้ย...ช่วยเค้าหน่อยสิ”

            นานครั้งบัวบุษราจะโผล่หน้าขอความช่วยเหลือ พรไพลินวางงานในมือหันไปถาม

            “ว่าง...มีอะไร”

            หญิงสาวเข้าห้องทำงานพี่สาวโดยไม่สะดุดสิ่งกีดขวาง ยื่นโทรศัพท์มือถือพร้อมบอกความต้องการ

            “เค้าอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกแก๊งแข่งมอเตอร์ไซค์น่ะ แบบที่แข่งแล้วเกิดอุบัติเหตุยิ่งดี”

            “หือ จะเอาข้อมูลไปทำอะไร หรือพี่สุโทรมาบอกว่าจะคุยประเด็นข่าวนี้ในรายการ”

            “เปล่าหรอก พอดีฟังข่าวจับแก๊งมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองวันนี้ เลยอยากหาข่าวที่มีการแข่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ เผื่อยังไงเอาไปพูดในรายการเป็นการเตือนสติคนฟังด้วย”

            “งั้นเหรอ เอาสิเดี๋ยวพี่ดูให้”

            พรไพลินเสิร์ชหาข้อมูลข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุการแข่งขันมอเตอร์ไซค์บนถนนหลวง เลือกอ่านหัวข้อข่าวให้น้องสาวฟังทีละเรื่อง

            บัวบุษราฟังหัวข้อข่าวสามสี่เรื่องเงียบ ๆ โดยไม่ขอฟังรายละเอียดเพิ่ม จนถึงข่าวเก่ากว่าเพื่อน

            “เมื่อสี่ห้าเดือนที่แล้ว พวกแก๊งมอเตอร์ไซค์นัดแข่งกันตามปกติ คราวนี้พวกขี่ตามหลังไม่ได้แข่งด้วยเกิดอุบัติเหตุ ยางแตกแหกโค้ง แฟนสาวที่ซ้อนท้ายเสียชีวิต ตายคาที่...”

            “ข่าวนี้แหละค่ะ” รีบบอกพี่สาวทันที “มีคลิปข่าวทีวีช่องไหนเล่ารายละเอียดมากสุดมั้ยคะ”

            “มี...เดี๋ยวพี่เลือกให้”

            พรไพลินเลือกคลิปข่าวจากยูทูบมาให้น้องสาว

            “ขอบคุณค่ะ”

            บัวบุษราเสียบหูฟังแล้วกดเล่นทันที เสียงผู้ประกาศอ่านข่าว เล่ารายละเอียดพร้อมบทสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิต คนขี่มอเตอร์อย่างละเอียด

            พี่สาวสงสัย ระยะหลังน้องสาวกระตือรือร้นมีชีวิตชีวากว่าเดิม ร่องรอยพยายามปกปิดความหดหู่เศร้าใจเริ่มเลือนหาย บางครั้งเหมือนบัวบุษราคนเดิมกลับคืนมาชั่วคราว

            ถึงไม่ทราบสาเหตุ เธอให้อยากให้น้องสาวมีพัฒนาการด้านดีเช่นนี้เรื่อย ๆ



--------------- ------------ --------------



            แท็กซี่จอดข้างทางตรงจุดปลอดภัย ขณะชายหนุ่มออกไปยืนริมถนนมองรถราแล่นผ่าน สายตาจับจ้องยังหัวโค้งอันตรายข้างหน้า

            “มอเตอร์ไซค์คันนั้นแหกโค้งชนแผงกั้นข้างหน้านั่นแหละ จะเดินลงไปดูมั้ย” แท็กซี่สุรชัยถาม

            “ไปครับ”

            “งั้นผมรอที่รถนะ...ขี้เกียจลงไปเจอผี!”

            อุบัติเหตุครั้งนั้นผ่านมาเกือบห้าเดือน แผงกั้นถูกนำมาติดตั้งใหม่ ตอไม้แห้งที่ทะลุร่างเด็กสาวถูกขุดออกไปไม่เหลือซาก พ้นหัวโค้งเป็นเนินดินโล่งสามารถเดินลงไปสำรวจได้

            เมื่อขุนคีรีมายืนในจุดที่เคยเกิดอุบัติเหตุ ภาพในฝันถูกซ้อนทับด้วยสถานที่จริง ต่อให้สี่ห้าเดือนเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้างก็จดจำได้ว่ามอเตอร์ไซค์กระเด็นไปทางไหน ร่างเด็กหนุ่มกลิ้งทางทิศใด จุดที่เป็นตอไม้แห้งจบชีวิตเด็กสาวเป็นที่ใด

            ชายหนุ่มคุกเข่า มือสัมผัสพื้นดินเรียบตรงจุดเคยเป็นตอไม้แห้ง นิมิตในหัวเป็นภาพเด็กสาวถูกไม้เสียบเลือดไหลนอง

            ระบายลมหายใจยาว หลับตาลงระลึกภาพนั้นให้ชัดกว่าเดิมจนเห็นดวงวิญญาณเธอเฝ้าวนเวียนจุดที่เสียชีวิต รอคอยเด็กหนุ่มคนรักมาหาด้วยจิตหดหู่ พอเขาถือช่อดอกไม้ นำธูปเทียนมาไหว้ขอขมาก็ไม่อาจสื่อสารกันได้

            เธออยากติดตามไปด้วย แต่มีพลังงานบางอย่างฉุดรั้งไว้ ไม่สามารถอยู่ไกลจุดเกิดเหตุ ดวงจิตหม่นซึม แทบไม่มีสติรู้สึกตัว เลื่อนลอยไปวัน ๆ ไม่ทราบจุดมุ่งหมายความต้องการตนเองคืออะไร

            ขุนคีรีอยากช่วยเธอพ้นจากสภาวะชวนเวทนา จิตระลึกถึงยมทูตหินผาถามถึงวิธีช่วยเหลือ

            “จำไม่ได้หรือ งานเธอคืออะไร” คำถามในหัวกระตุ้นความทรงจำในฝัน

            “คุณให้ผมไปคุยกับเต้...เด็กหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์...ห้ามเขาลงแข่งขันคืนพรุ่งนี้”

            “ใช่...นี่คืองานของเธอ”

            “ผู้หญิงคนนี้ล่ะ ทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากที่นี่”

            “นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาใส่ใจ”

            วาจาตัดบท การสื่อสารขาดหาย นิมิตในหัวพลันโล่งว่างไม่เหลือภาพใด ชายหนุ่มลืมตามองรอบตัว สัมผัสความเงียบเหงาโดดเดี่ยวจากกระแสความรู้สึกวิญญาณดวงนั้นได้

            ...เขาไม่สามารถช่วยเธอเวลานี้...

            ความเข้าใจบังเกิดฉุกคิดถึงแท็กซี่สุรชัยที่นั่งรอในรถ ไม่ตามลงมาด้วย

            อดีตยมทูตฝึกหัดคงทราบแต่แรกว่ามาจุดเกิดเหตุไม่มีประโยชน์ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้สู้นั่งรอสบายในรถดีกว่า

            ขุนคีรีลุกขึ้นยืนเต็มร่าง นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้า สิ่งที่แท็กซี่กลางคนสามารถช่วยได้น่าจะเป็นการพาไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น...เต้...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP