วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๗



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ร้านข้าวแกงยายปันเก็บของเรียบร้อย ยังไม่ปิดทั้งที่ดึกขนาดนี้ ด้านในเปิดไฟสว่าง ตายายสองสามีภรรยานั่งกระสับกระส่ายสีหน้ากังวลเป็นห่วง

            พอขุนคีรีเดินเข้าร้าน ทั้งสองเหมือนยกภูเขาออกจากอก

            “เป็นอะไรมั้ย” ตาแคล้วรีบเข้ามาจับเนื้อตัวหาร่องรอยบาดเจ็บ

            “ไม่เป็นไรครับ” ถามพลางกวาดตามองชายชราตรงหน้า “พวกมันทำอะไรครูหรือเปล่า”

            “ไม่เลย...กลับบ้านปลอดภัยไม่เห็นพวกมันสักคน ยังแปลกใจอยู่นี่”

            สีหน้าชายหนุ่มละมุนลง

            “ไม่เป็นอะไรดีแล้วครับ”

            ขุนคีรีพูดแค่นั้น...อีกเสียงดังตอบมาจากในร้าน

            “เออ...มันไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไอ้แก่นี่ก็กลัวไม่เข้าเรื่อง นั่งรอไม่เป็นทำอะไรจะปิดร้านก็ไม่ได้”

            ยายปันบ่นตามประสา จนถึงวาจาปิดท้ายค่อยหันมาบอกชายหนุ่ม

            “กินอะไรมาหรือยัง ฉันทำข้าวต้มไว้ให้แน่ะ ไปกินก่อนเถอะไป๊”

            หญิงชราปากร้ายแววตาอบอุ่น มองชายหนุ่มเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง

            “ขอบคุณครับ” รอยยิ้มบาง ๆ แตะริมฝีปาก ก่อนหยิบชามข้าวต้มไปนั่งกินหลังร้านตามปกติ

            ยายปันงุนงงมองตามแล้วหันมาถามสามี

            “แกเห็นหรือเปล่าไอ้แก่...ตะกี้มันยิ้มให้ฉันด้วย อยู่ด้วยกันตั้งนานเพิ่งเคยเห็นเนี่ย”

            ตาแคล้วไม่ตอบ แกรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งเชื่อมสัมพันธ์ ให้ทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกัน



--------------- ------------ --------------



            หลังจากล้างถ้วยชาม เดินดูความเรียบร้อยรอบร้านเสร็จ ขุนคีรีค่อยกลับห้องพักตนเอง ก่อนถึงห้องต้องผ่านห้องพักที่มีคนผูกคอตายก่อน แทบทุกคืนจะมีบรรยากาศหม่นซึมให้รู้สึก คืนนี้แปลกจากเดิม

            รอบด้านเงียบจนผิดปกติ อากาศเย็นแผ่กระจายไร้ที่มา ชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งเมื่อสายตามองเห็นเงาร่างราง ๆ ชายคนหนึ่งกำลังเดินวนเวียนหน้าห้องกำลังค้นหาสิ่งของบางอย่าง

            เขาพบเชือกขดหนึ่ง หยิบมันมามองด้วยสีหน้าเศร้าซึม หม่นหมอง ก่อนเดินทะลุประตูเข้าไป

            นักมวยหนุ่มไม่จำเป็นต้องเปิดประตูตามไปก็ทราบ เงาร่างนั้นจะกระทำสิ่งใดต่อไป

            แขวนเชือกบนขื่อ ทำปมคล้องคอ ลากเก้าอี้มาตั้งแล้วปีนขึ้นไปเพื่อ...ฆ่าตัวตาย!

            ตลอดสายแห่งอัตวินิบาตกรรมนั้น เต็มไปด้วยเพลิงร้อนแห่งทุกข์เกินทน...จิตใจทรมานหวั่นไหว หวาดกลัวต่อการมีชีวิตจนต้องหาเส้นทางลัดสั้นเพื่อหลบหนี

            ...แล้ว...หนีความทุกข์ได้หรือไม่...สิ่งปรากฏขณะนี้เป็นข้อยืนยัน

            ชายคนนี้ต้องกลับมาเวียนฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยจิตหม่นเศร้า ทุกข์เกินทนอีกยืดยาว อย่างมิรู้จบสิ้นเมื่อใด

            ขุนคีรียืนนิ่ง ภาพที่เห็นทำให้ย้อนมาดูการกระทำตนเอง ถ้าเข้มไม่มาขวางเสียก่อน เขาจะลงมือฆ่าหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟหรือไม่

            ...ไม่กล้าตอบ...เพราะตอนนั้นจิตมืดด้วยโทสะ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถูกบดบัง เจตนาแรกแค่ข่มขู่ แต่ใครจะรู้เขาอาจสังหารจริงก็ได้

            บรรยากาศหม่นซึมของดวงวิญญาณฆ่าตัวตายเลือนหาย แปรเปลี่ยนเป็นกระแสอันเข้มข้นหนักแน่น แผ่กระไอร้อนจาง ๆ ให้รู้สึก

            ร่างสูงใหญ่ ไหล่หนา แต่งกายเหมือนคนทั่วไปปรากฏตัวขึ้น แววตานิ่งลึกไม่แสดงอารมณ์ดังเดิม

            “จะมาบอกภารกิจใหม่กับผม...หรือ...มารับ...เขา...”

            พูดพลางสายตาเหลือบมองประตูห้องที่ ‘ผู้นั้น’ เพิ่งเข้าไป

            “ภารกิจใหม่จะปรากฏในฝันคืนนี้...ส่วนเจ้านั่น...ฉันไม่จำเป็นต้องพาไปพบท่านพญามัจจุราชหรอก”

            “ทำไม”

            “ขณะนี้เขาอยู่ในภพที่ต้องรับโทษทัณฑ์ ชดใช้กรรมในการฆ่าตัวตายอยู่แล้ว”

            “ด้วยการวนเวียนกลับมาผูกคอตายซ้ำ ๆ แบบนี้หรือ”

            “จิตก่อนฆ่าตัวตายของคนผู้นี้มืดมนด้วยอกุศล เต็มไปด้วยความทุกข์ที่ ‘คิดว่า’ หาทางออกไม่ได้ จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยไม่อาจรู้เลยว่า...หากยังมีชีวิตอยู่ พยายามอดทนรู้ทุกข์ ยอมรับปัญหา ค่อย ๆ หาหนทางแก้ไข ย่อมพบทางรอดวันใดวันหนึ่ง...แต่เมื่อตัดสินใจจบชีวิตด้วยใจพอกหนาด้วยอกุศลความทุกข์ จิตจึงเกาะความทุกข์เกินทนก่อนตายไว้อย่างเหนียวแน่น อัตภาพใหม่จึงมาเกิดในภพที่ต้องเวียนซ้ำฆ่าตัวตายอย่างยืดยาว นานจนตอบไม่ถูกว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด”

            ขุนคีรีฟังแล้วหดหู่มืดมนตาม

            “วันนี้ ผมเกือบฆ่าคนตาย...ถ้าทำจริงจะเป็นอย่างไร”

            นัยน์ตายมทูตแลลึกถึงความรู้สึกในใจคนถาม ก่อนเลือกคำตอบเหมาะสม

            “ในทางโลก เธอจะกลายเป็น ‘ผู้ร้ายฆ่าคน’ ตำรวจตามจับ ลูกน้องคนที่ฆ่าก็ตามมาแก้แค้น”

            “ส่วนอีกทาง...เธอได้ทำแต้มบาปชิ้นใหญ่ขึ้นมา เป็นการนับหนึ่งบนถนนนักฆ่าที่ไม่ว่าอย่างไรย่อมมีผลย้อนกลับมาแน่นอน และอาจเป็นเชื้อให้เกิดการสังหารรายที่สอง สาม สี่ ห้าตามมาจนจิตใจมืดบอด ปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นั่นเท่ากับสร้างพื้นที่ในนรกให้ตัวเองไว้แล้ว หากตลอดชีวิตไม่เคยสร้างกรรมดีเด่นชัด เมื่อตายไป ต่อให้ท่านพญามัจจุราชไม่ประกาศ มันผู้นั้นย่อมร่วงลงนรกโดยไม่ต้องสงสัย”

            คำพูดเรียบ ๆ ทว่าเย็นยะเยียบถึงขั้วหัวใจ ทำให้จิตใจบังเกิดความกลัวบาปอกุศลขึ้นมาทันที

            “ดีแล้ว...ที่ยังไม่ลงมือสังหารผลาญชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อฆ่าคนแรกสำเร็จ...คนต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก...กว่าจะรู้ตัวอีกทีไฟนรกก็ล้อมร่างเสียแล้ว”



--------------- ------------ --------------



            กลับเข้าห้อง ขุนคีรีดึงท่อนเหล็กยืดทั้งสองมาวางบนโต๊ะ แล้วเหลือบมองกีตาร์เก่า ๆ ข้างเตียง ใจเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมา

            สิ่งหนึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือสังหาร อีกสิ่งสามารถทำให้ผู้คนเพลิดเพลินเบิกบาน...เขาได้รับถ่ายทอด เรียนรู้ทั้งสองสิ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

            สมัยเด็กขุนคีรีใจร้อน พลังงานเหลือเฟือมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนประจำ พ่อจึงพาไปเรียนศิลปะการต่อสู้กับ ‘พ่อครู’ ท่านหนึ่งตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ หวังให้ลูกชายอารมณ์หนักแน่น ลดความใจร้อน มีสติไม่วู่วาม ระบายพลังงานเหลือเฟือในตัวออกไปบ้าง

            แรก ๆ พ่อหวังแค่ให้เรียนหมัดมวย ได้คู่ชกสมน้ำสมเนื้อรู้จักอยู่ในกฎกติกา มีครูดีคอยอบรมสั่งสอน เบาะบ่มนิสัยลูกผู้ชาย ไม่เป็นลูกเศรษฐีเกเรเอาแต่ใจ

            กลายเป็นว่าลูกชายชอบวิชาการต่อสู้จริงจัง เรียนรู้ต่อสู้มือเปล่าจนครบ ยังเฝ้าอ้อนวอนขอร้องให้พ่อครูสอนวิชาอาวุธต่อไป ซึ่งผู้เฒ่าพิจารณาจากนิสัยลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนมาแต่เล็กแต่น้อยจึงยอมสอนกระบองเดี่ยว-คู่ พร้อมสำทับนักหนา

            “ที่ไม่สอนมีด ดาบ ของมีคมเพราะนั่นอาจพลาดพลั้งทำคนอื่นบาดเจ็บสาหัสถึงตายได้ง่าย ก่อนเรียนกระบองต้องเรียนรู้จุดสำคัญต่าง ๆ ในร่างกายก่อน ป้องกันไม่ให้พลาดไปทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน”

            “จำเอาไว้ให้ดี วิชาที่สอนเพื่อใช้ป้องกันตัว ป้องกันคนรักคนสำคัญ ไม่ใช่หวังเอาชนะกัน ไม่ใช่อาวุธสังหารผลาญชีวิตผู้ใด สัญญาด้วยว่าจะไม่นำวิชาพวกนี้ไปใช้ในทางที่ผิดเด็ดขาด”

            “ครับ...ผมสัญญา...”

            หลังร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เล็กจนโต เวลามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งก็แค่ชกต่อยไม่เคยใช้อาวุธทำร้ายใคร กับคนที่ฝีมือด้อยกว่าจะยั้งมือไม่ทำอะไรรุนแรง

            คนสนิทคุ้นเคยซ้อมมือ ซ้อมอาวุธด้วยกันอย่างเข้มจะทราบว่า เมื่อใดขุนคีรีมีอาวุธในมือจะกลายเป็นอีกคน ซึ่งร้ายกาจจนน่ากลัว วิชากระบองสั้นของพ่อครูกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างใจ ศิษย์รุ่นพี่เก่ง ๆ สามสี่คนลงมือพร้อมกันยังเอาชนะไม่ได้

            การได้กระบองเหล็กยืดจากเฮียบุ๋นคืนนี้ อาจเป็นกรรมจัดสรรมิใช่เหตุบังเอิญ!



            มารดาขุนคีรีทราบนิสัยลูกชายตั้งแต่เล็ก พอเห็นกลับจากซ้อมต่อสู้ทีไร ต่อให้มีร่องรอยฟกช้ำ บาดเจ็บแค่ไหน ดวงตายังเป็นประกายกระตือรือร้นอย่างคนพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเอง จึงพยายามหาบางสิ่งมาช่วยขัดเกลาจิตใจให้อ่อนโยน เพิ่มความเมตตามากขึ้น

            ยังดีเด็กชายชอบฟังแม่เล่นกีตาร์ร้องเพลง นั่งตาแป๋วตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่เคยบ่น อีกทั้งดีใจที่แม่รับปากจะสอนให้หัดเล่นด้วยกัน

            พอจับกีตาร์ได้ฟังคำแนะนำเล็กน้อยก็เข้าใจ นิ้วกดคอร์ดแม่นยำ ดีดบรรเลงตอนแรกอาจแปร่ง ๆ บ้างแต่ก็ถูกปรับจนไพเราะเข้าที่เข้าทางรวดเร็ว

            ฝีมือเล่นกีตาร์บรรเลงเพลงของขุนคีรีพัฒนารวดเร็วไม่ต่างจากศิลปะต่อสู้ บทเพลงไพเราะขับกล่อมจิตใจอ่อนโยน คล้ายสายน้ำไหลเย็นจนผู้ฟังเบิกบานมีความสุขไปด้วย

            แม่พาลูกชายไปเล่นกีตาร์ร้องเพลงหลายครั้ง คนทั่วไปฟังแล้วปรบมือชื่นชมรอยยิ้มเป็นสุข พอกลับบ้านมักถามเขาเสมอ

            “ขุนรู้สึกยังไงบ้างลูก”

            “สนุกจังเลยครับแม่”

            “มีความสุขมั้ย”

            “สุขสุด ๆ เลย”

            “เห็นมั้ยว่าพอลูกเล่นดนตรี ถ่ายทอดความสุข ความสนุกสนานออกไป คนฟังรับได้แล้วก็มีความสุขกลับมาให้เราเหมือนกัน”

            “จริงด้วยแม่”

            “นั่นแหละจำไว้ให้ดีนะ...ความสุขที่มอบให้เขาโดยไม่หวังอะไร เราก็จะได้รับความสุขตอบแทนกลับมาอย่างชื่นใจเหมือนกัน...การให้เปล่าก็คือการได้มาเปล่า ๆ นะลูก...”

            ถ้อยคำฝังจำในจิตใจ นับจากวันที่ฟังแม่เล่นกีตาร์ร้องเพลง ก็เป็นฝ่ายบรรเลงให้มารดาฟัง กระทั่งหลายครั้งสองแม่ลูกร่วมเล่นกีตาร์ บรรเลงบทเพลงไพเราะ...ถ่ายทอดความสุขออกไป แล้วได้รับความสุขกลับมาเป็นความทรงจำแสนสวยงาม

            ‘พ่อเลี้ยง’ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยห้ามภรรยาสอนลูกชาย ทั้งยังยิ้มเป็นสุข นั่งฟังแม่ลูกเล่นดนตรีขับขานบทเพลงร่วมกันได้ทีละนาน ๆ

            หากมีใครทำให้ผู้ทรงอิทธิพลรายนี้ ยอมลงให้ทั้งกายและใจ รักยิ่งกว่าชีวิตตนเอง คงมีแค่ภรรยาร่างเล็ก บอบบาง ใบหน้าสวยหวาน ผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยน วาจาไพเราะ เมตตาต่อบริวาร ทว่าจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมั่นคงคนนี้

            เธอเด็ดเดี่ยวขนาดกล้าเอาร่างตนบังกระสุนปกป้องลูกชาย ใช้ชีวิตเข้าแลกยุติความขัดแย้งระหว่างสองผู้มีอิทธิพลใหญ่สำเร็จ ทำให้เกิดความสงบราบรื่นจนถึงทุกวันนี้

            ขุนคีรีเสมือนมีสองภาคในตัว ด้านหนึ่งอารมณ์ร้อนดุดันเช่นบิดา อีกด้านอ่อนโยน เปี่ยมเมตตาไม่ผิดจากมารดาผู้ปรานี



--------------- ------------ --------------



            ฟ้ามืดเฉกเช่นทุกราตรี แสงไฟบนเสาข้างทางสว่างจ้า รถเข็นแผงก๋วยเตี๋ยวริมถนนกำลังว่างวาย เจ้าของแผงอาหารริมทางต่างนั่งซึมรอคอยลูกค้า สิ่งมาหากลับตรงข้ามความต้องการ

            บรื้น...บรื้น

            มอเตอร์ไซค์นับสิบคันแผดเสียงดังลั่น ไฟหน้าส่องกราดดั่งนัยน์ตาภูตร้ายกระหายความปั่นป่วน วิ่งแข่งกันมาแบบไม่มีใครยอมใคร ร่างแนบตัวถัง มือบิดคันเร่งสุด หวังให้เคลื่อนที่เร็วสุดเกินกว่าใครตามทัน

            “เก๋าเจ้ง...ไอ้เวรตะไล พวกนี้มาอีกแล้ว”

            “กูว่าแล้ว อย่างนี้ลูกค้าที่ไหนจะมา พวกแม่งแข่งรถกันแทบทุกวัน”

            “น่าจะมีใครเอาน้ำมันเครื่องราดถนน ไอ้นรกพวกนี้จะได้ตายโหงตายห่ากันบ้าง”

            เสียงด่าทอสาปแช่งดังยาวเป็นชุด ชนิดใครได้ยินควรไปทำบุญล้างซวย บางครั้งวาจาพวกนี้อาจเป็นคำพยากรณ์อันแม่นยำ!

            ท้ายขบวนนักแข่ง เป็นกลุ่มนักบิดขับตามด้านหลัง มาดูบรรยากาศไม่แข่งขันกับใคร หนึ่งในกลุ่มรั้งท้ายยังมีเด็กสาวซ้อนท้าย เกาะเอวแน่น

            พวกนี้หวังความสนุกสนาน ขับรถกินลมบนความเร็วเกินกว่าปกติ ทำตัวกลมกลืนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม โดยลืมสังเกตว่าสร้างความเดือดร้อนแก่ใครบ้าง

            เหตุเกิดเมื่อถึงโค้งอันตราย ยางมอเตอร์ไซค์คันที่ซ้อนเด็กสาวระเบิด รถหลุดโค้งพุ่งชนแผงกั้นอย่างแรง ร่างคนขับ เด็กสาวและรถกระเด็นไปคนละทาง

            คนซ้อนท้ายกระเด็นไกลกว่า ร่างถูกเสียบบนตอไม้แห้งข้างทาง เลือดแดงฉานไหลนอง คอหักพับ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

            ภาพศพบนตอไม้แห้งถูกซ้อนด้วยสถานที่แห่งหนึ่ง ตอบไม่ถูกว่าอยู่ใกล้กันหรือไม่

            มันเป็นตัวตึกสองชั้นรูปทรงเทอะทะโบราณ เต็มไปด้วยร่องรอยปูนกะเทาะ ลักษณะคล้ายอาคารเรียนสมัยก่อน แต่ถูกใช้เป็นหอพักห้องเช่า

            ห้องเช่าชั้นล่างเรียงยาวตามปีกตึกซ้ายขวา ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาย กับคนทำงานเงินเดือนน้อย อยู่อย่างอิสระ ไม่มีกฎระเบียบมากมาย

            บันไดกลางด้านหน้าพาขึ้นชั้นสอง เห็นทางเดินยาวสองด้านเรียงรายด้วยประตูห้องไม่ต่ำกว่าสิบบาน แต่ละห้องจะมีขนาดเล็กกว่าชั้นล่าง ค่าเช่าถูกกว่า เหมาะสำหรับนักศึกษารายได้น้อยเช่าพักรวมกัน

            ภาพหอพักชายปกติไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด จู่ ๆ กลับมีเพลิงปริศนาลุกไหม้กลางดึก หนำซ้ำเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ลามห้องต่าง ๆ ควันโขมงคละคลุ้งเต็มทางเดิน เหล่าผู้เช่าห้องพักตื่นขึ้นมาไม่รู้เรื่องราว ต่างหนีตายเอาตัวรอดจ้าละหวั่น

            ด้วยโครงสร้างแข็งแรงตัวตึกส่วนใหญ่ไม่เสียหาย พระเพลิงทิ้งผลงานไว้เพียงซากไหม้ดำตามประตู หน้าต่าง ข้าวของเครื่องใช้บางชิ้น หลายชีวิตรอดตาย หลายชีวิตสำลักควันเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ

            ภาพหอพักเต็มไปด้วยผู้คนเปลี่ยนไป กลายเป็นหอร้าง ตัวตึกยืนตระหง่านเงียบงัน เงามืดทาทาบชวนขนลุก หากมองเข้าไปด้านในจะเห็นเงาวอบแวบของ ‘บางตน’ สิงสู่

            แสดงให้ทราบ...จนถึงบัดนี้ ที่นี่ยังมีผู้อาศัย



            หลังพบเหตุการณ์ ‘ภารกิจ’ ทั้งสอง ขุนคีรีรู้สึกตัวที่ลานลั่นทม

            ทั้งลานยามนี้มีเพียงต้นลั่นทมแผ่กิ่งก้าน ยืนต้นเรียงรายนับร้อยผลิดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย

            บรรยากาศรอบด้านเงียบงัน ไร้การเคลื่อนไหว แสงสว่างเพียงแค่แดดผีตากผ้าอ้อมไม่สว่างสดใส ไม่ถึงกับมืดมัว สถานที่แห่งนี้ก่ำกึ่งระหว่างดินแดนความเป็นและความตาย

            ขุนคีรีเหลียวมองรอบตัว คาดว่ายมทูตหินผาคงมาสั่งงานในเวลาไม่นาน มิเช่นนั้นคงตื่นจากฝันแล้ว

            การรอคอยในดินแดนครึ่งเป็นครึ่งตายไม่ได้สร้างความอึดอัดลำบากใจ แค่ไม่ปลอดโปร่งชวนผ่อนคลาย ด้วยใจรู้ว่ายังมีสถานที่อื่นสว่างสดใส ควรแก่การดำรงอยู่มากกว่า

            ยมทูตไม่ให้มนุษย์รอคอยนานเกินไป กระแสลมอบอุ่นเริ่มพัดผ่าน ความสงบงันรอบด้านบังเกิดความเคลื่อนไหว

            สายตามองเห็นช่องว่างระหว่างต้นลั่นทมคู่หนึ่งเกิดการกระเพื่อม แหวกออกช้า ๆ ราวกับม่านน้ำ

            ยมทูตหินผาก้าวออกมาตนแรก ขุนคีรีกำลังจะเอ่ยทักถามรายละเอียดภารกิจใหม่ ต้องชะงักงันพูดอะไรไม่ออก

            นั่นเพราะยมทูตไม่ได้มาผู้เดียว ยังมีร่างผอมบางสมส่วนก้าวตามออกมาด้วย ดวงตาเธอสุกใสดุจประกายดาว ดวงหน้าประดับรอยยิ้ม คิ้วคางจมูกปากรับกันเหมาะเจาะ ไม่ใช่ผู้หญิงสวยจัด แต่มองแล้วไม่อาจละสายตาง่าย ๆ

            นี่คือบัวบุษรา...ตอนยังไม่สูญเสียการมองเห็น กระจกตาไม่ได้รับบาดเจ็บจนต้องใส่แว่นสีชาทุกครั้งที่ออกจากบ้านเช่นปัจจุบัน

            วันนี้ผู้หญิงคนนั้นยังมีรอยยิ้ม พูดจารื่นเริง คนใกล้ชิดรู้สึกว่าความเบิกบานในใจเธอเลือนหาย เจ้าตัวพยายามทำตัวสดใสมีความสุขเพื่อไม่ให้คนดูแลต้องทุกข์ใจ

            ผู้หญิงตรงหน้าขุนคีรีคือบัวบุษราก่อนเกิดอุบัติเหตุ หญิงสาวสดใสสวยน่ารัก มีพลังชีวิตด้านบวกทำให้คนอยู่ใกล้กระตือรือร้นมีความสุข

            เธอคนนั้น...ปรากฏตัวในฝัน...กลางลานลั่นทม

            ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้สว่างไสวขึ้นทันทีที่เธอปรากฏตัว

            “นี่ใช่มั้ยคะ...คุณผู้ช่วย...ที่ยมทูตหินผาพูดถึง...สวัสดีค่ะ”

            เธอเป็นฝ่ายทักทายก่อน ขุนคีรีอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เก็บสีหน้าความรู้สึกไว้ภายใต้กิริยานิ่งเฉย ดุจเป็นเกราะป้องกันตัว

            “ใช่...ขุนคีรี...ผู้ช่วยยมทูตที่ฉันบอกเธอก่อนมาที่นี่”

            ขุนคีรีหันขวับมองไม่เข้าใจ เหตุใดยมทูตชักพาหญิงสาวคนนี้มาเจอกันในฝัน จนเกิดความละอายใจรุนแรงอยากตื่นเสียเดี๋ยวนี้



--------------- ------------ --------------



            ฝันคืนนี้บัวบุษราไม่ผิดหวัง สถานที่ยมทูตหินผาพาไปเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ลูกค้าคึกคักเต็มทุกโต๊ะในช่วงพักเที่ยง พอบ่ายคล้อยผู้คนว่างวาย คนขายมีเวลาพักผ่อน

            ภายในร้านตกแต่งแปลกตาไม่เหมือนที่ไหน เพราะประดับด้วยใบปิดหนังเก่า แต่ละใบซีลพลาสติกอย่างดีป้องกันการฉีกขาด ใส่กรอบไม้เรียบ ๆ สไตล์เฉพาะตัว เรียงยาวบนผนังอย่างมีศิลปะ ใบปิดภาพยนตร์หลายเรื่องเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อน

            ใบปิดเด่นสุดเป็นหนังจีนชื่อดังสมัยก่อน ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’A Moment of Romance ภาพพระเอก ‘หลิวเต๋อหัว’ ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนนางเอก ‘อู๋เชียนเหลียน’ ดูสวยงามบอกโทนเรื่องราวชัดเจน

            บัวบุษราเคยทราบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างชื่อเสียงแก่หลิวเต๋อหัวมากมาย สิ่งที่หล่อนสนใจไม่ใช่ใบปิดหนังจำนวนมาก แต่เป็นแขกที่เข้ามาในร้านยามว่างจากลูกค้า

            ดาบตำรวจพนา...บิดาเธอ

            เจ้าของร้านเป็นชายกลางคน ใบหน้าคล้ำมีริ้วรอยความทุกข์พาดผ่านจำนวนมาก ดวงตาบอกเล่าเรื่องราวอดีตมากมาย ยามทอดถอนใจคล้ายระบายความทุกข์ออกมาด้วย

            สายตาเงยมอง ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ เฉยชา ไม่ยินดียินร้าย ไม่เอ่ยปากทักทาย

            “หวัดดีหมวด เป็นยังไงบ้าง” พนานั่งเก้าอี้ตรงหน้าโดยไม่มีใครเชิญ

            “เลิกเรียกแบบนี้เถอะ ผมไม่ได้เป็นตำรวจนานแล้ว”

            เสียงพูดแฝงรอยเหนื่อยหน่ายปิดไม่มิด ทั้งสองวัยไล่เลี่ยกันแต่ผู้มาใหม่มีพลังชีวิตมากกว่า ขณะอีกฝ่ายคล้ายหมดไฟ ทำงานดำรงชีพตามหน้าที่เท่านั้น

            ดาบตำรวจพนามองอดีตนายตำรวจอนาคตไกล ผู้กลายเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญขอความช่วยเหลือ คงไม่กล้ามาพบหน้าเช่นกัน

            “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” เจ้าของร้านถาม

            เอกสารข้อมูลปึกหนึ่งถูกวางตรงหน้าแทนคำตอบ

            “หมวดได้ยินข่าวไฟไหม้ครัวร้านอาหารชื่อดังระเบิดหรือเปล่า”

            “ที่บอกว่าไฟลามจากตึกข้าง ๆ จนทำให้ท่อแก๊สในครัวระเบิดน่ะหรือ”

            “ครับ นั่นแหละ”

            “ทำไม ดาบเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

            “ลูกสาวผมอยู่ในร้านนั้นด้วย!”

            ผู้ฟังนิ่งอั้น แววตาทอประกายหลากหลาย คล้ายวาจานั้นกระตุ้นความทรงจำเจ็บปวดในอดีตขึ้นมา

            “จะให้ผมช่วยอะไร”

            “ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่ผมหามาทั้งหมดที อยากรู้ว่ามีเงื่อนงำน่าสงสัยตรงไหนหรือเปล่า ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุจริง ผมจะยอมรับที่ลูกเจ็บขนาดนั้น...แต่ถ้ามีเบื้องหลังน่าสงสัย ผมจะสืบสาวเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”

            อดีตผู้หมวดถอนใจเบา ๆ มองปึกเอกสารข้อมูลตรงหน้าก่อนเอ่ยปากเบา ๆ

            “ดาบรู้มั้ย...บางทีความจริงมันเจ็บปวดยิ่งกว่าใครเอาปืนมายิงเสียอีก และการสืบสาวเอาเรื่องคนชั่วจนถึงที่สุด ก็อาจทำให้เรากลายเป็นหนึ่งในคนชั่วเช่นมันเหมือนกัน”

            “ครับ...ผมเข้าใจ”

            คำตอบรับไม่ใช่เอาใจคู่สนทนา ผู้พูดทราบดีว่าชายคนนี้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะใช้ชีวิตสงบเงียบเช่นนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP