ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเกิดความคิดไม่ดีกับพระขึ้นมา



ถาม – ผมเกิดความคิดไม่ดีกับพระอยู่เป็นประจำ พอจะกราบพระก็มักจะมีจิตอกุศลเกิดขึ้นมา
ผมได้ขอขมาแล้วแต่ก็ยังกลัวบาปมากๆ กลัวว่าจะต้องตกนรก
แบบนี้จะเป็นบาปไหมครับ แล้วควรจะปฏิบัติอย่างไรเมื่อความคิดไม่ดีนั้นเข้าสู่ใจของเรา



ก็คิดว่าความคิดเลวๆ มันมาตอนที่เราไม่ได้ตั้งใจให้มันมา
เพราะฉะนั้นความคิดเลวๆ นั้นไม่ใช่ความคิดของเรา
มันเป็นความคิดที่เกิดจากการปรุงแต่ง
จิตของคนยุคเรามันเต็มไปด้วยความโกลาหลนะ
มันถูกรบกวนด้วยเรื่องไม่ดีต่างๆ นานามากมาย
อย่างบางทีเรานึกว่ากำลังทำเรื่องเล่นๆ อยู่
ดูหนังดูละคร มันเป็นเรื่องที่ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร
แต่หารู้ไม่ เรื่องบางเรื่องนี่มันอัดฉีดนรกเข้าสู่หัวเราโดยตรงนะ
บางทีมันมาในรูปของความจำ บางทีมันมาในรูปของความคิดไม่ดีเวลามองสิ่งดีๆ



อะไรต่างๆ ที่มันเข้าสู่หัวเราโดยที่ไม่ใช่ความยินยอมพร้อมใจของเรา
มันไม่ใช่กรรมของเรานะ อันนี้ต้องท่องให้ขึ้นใจนะครับ ระลึกให้ได้
ว่ากรรมของเราคือเจตนายึดเอาความคิดแบบใดแบบหนึ่ง
ด้วยความเต็มใจพร้อมใจสมยอมนะว่าอันนี้แหละคือความคิดของฉัน
ฉันจะคิดอย่างนี้ ฉันพอใจคิดอย่างนี้ อันนี้คือกรรมของเรา เป็นมโนกรรม
เราพูดไปด้วยความเต็มใจ ถ้าเราลงมือทำไปด้วยความเต็มใจด้วยอีก
นั่นยิ่งเป็นกรรมที่ชัดเจนนะ ทำทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม



แต่ถ้าหากว่ามันผุดขึ้นมาในหัวเฉยๆ แล้วเราไม่มีความยินยอมพร้อมใจ
อันนั้นไม่ใช่กรรมของเราแล้วนะครับ
มันเป็นนรกที่ถูกอัดฉีดเข้ามาในหัวเราโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้มาจากไหน
หรือบางทีมันก็เป็นผลของกรรมเก่าๆ ของเรานั่นแหละ
ที่เคยไปคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีเอาไว้ แล้วมันย้อนกลับเข้ามาสู่สมองของเราอีกนะ
แต่ถ้าหากว่า ณ ขณะนั้นเราไม่ได้เต็มใจ ก็ไม่เป็นไร
มันไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม ณ ขณะนั้น
พิสูจน์ได้นะ ยืนยันกับตัวเองได้ให้สบายใจ
อย่างสมมติว่าเวลาคิดไม่ดีกับพระหรือว่าคิดอะไรหยาบๆ คายๆ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะครับ
ก็ถ้าอยู่คนเดียวนี่ให้พนมมือไหว้ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย
บอกว่านี่คือใจจริงของผม นี่คือใจจริงของดิฉัน
ว่าอยากกราบไหว้ อยากที่จะเคารพบูชา
ไม่ได้อยากที่จะลบหลู่ อย่างที่มันเกิดขึ้นทางความคิดนะ



ตรงนี้เราก็จะได้เห็นนะว่ากรรมของเราที่แท้จริง
คือการกราบไหว้ คือการนบนอบบูชา คือการที่มีใจอ่อนน้อมให้ความเคารพ
มันก็สบายใจแล้ว นี่กรรมที่แท้จริงของเราเป็นบุญไม่ใช่เป็นบาปนะ
แล้วพอเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราจะเข้าใจคำว่า อนัตตา ชัดเจน
เวลามันเข้ามาในหัวมันเข้ามาเองโดยที่เราไม่ต้องเชื้อเชิญ
แต่เวลาที่มันจะออกไป มันก็ไม่ได้ออกไปได้ด้วยการขับไล่ไสส่งเช่นกัน
คุณไประบุไม่ได้ว่าสิบโมงเช้าจงเข้ามาในหัวเรา สิบโมงห้านาทีจงออกไปจากหัว
แบบนั้นไม่ได้เพราะมันเป็นอนัตตา มันอยากจะเข้ามาเมื่อไหร่ มันมีรอบของมัน
คิดเสียว่ามันเป็นกระสุนที่ยิงเข้ามาให้กระทบใจเรานะครับ
ให้เกิดความเจ็บปวด ปวดแสบปวดร้อนนะ


แล้วปืนอยู่ที่ไหน ปืนใหญ่มันก็คือราคะ โทสะ โมหะ
อันเป็นกิเลสดิบที่ยังมีอยู่กับทุกตัวคนนะ
ถ้าหากว่ายังมีราคะ โทสะ ปนอยู่ด้วยกัน
มันเกิดความคิดพิเรนทร์ หรือว่าสัปดน หรือว่าอะไรที่มันน่ารังเกียจขึ้นมาได้เสมอ
ตัวนี้นะมันยังมีปืนใหญ่อยู่ เราก็ยอมรับไป เออ มันยังมีปืนใหญ่
แล้วถึงรอบมันขึ้นมา มันก็ยิงใส่เรานะ แต่ไม่ใช่เราเป็นคนยิง
กรรมของเรามันอยู่ตรงนี้แหละนะ เราเป็นคนยิงหรือเปล่า
ถ้าเราไม่ใช่คนตั้งใจยิง ไม่ใช่คนกดปุ่ม มันก็ไม่ใช่กรรมของเรา
แต่ถ้ามันยิงขึ้นมาเองตามรอบตามเวลาของมัน
เราก็จะได้รู้ว่าเรายังมีสิ่งที่มันพร้อมจะทำร้ายจิตใจของตัวเองได้อย่างสาหัสสากรรจ์นะ



แล้วก็พอเราสำรวจว่ากิจกรรมอะไรบ้างระหว่างวัน
ที่ทำให้ใจของเราเข้าไปเอาปืนพวกนี้มาจ่อหน้าประตูจิตใจของเรา
เราก็จะได้ห่างๆ ออกมาเสีย ไม่เอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วมาก

อย่างคุยกับคนบางคนนะ คือคุยเป็นชั่วโมงๆ
ไม่ได้พูดเรื่องอื่นน่ะ พูดเรื่องที่ใต้สะดืออย่างเดียว
คนพวกนี้แหละที่ก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้ในหัวของเราเต็มไปด้วยคำหยาบๆ คายๆ หยาบโลนอะไรแบบนี้นะ
มันมีให้พิจารณาเยอะ อะไรที่ทำให้ของหยาบโลน
หรือว่าของร้ายๆ คำร้ายๆ เข้าสู่หัวเรา
นั่นน่ะหมดเลย เป็นปัจจัย เป็นเหตุนะ
ไม่ต้องไปสนใจนะว่าจะเป็นใคร เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร
แต่นั่นแหละคือเหตุ คือต้นเหตุให้เรามีกระสุนปืนที่จะยิงตัวเองไม่หยุดนะครับ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP