วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๒๕



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ที่อยู่ต้นตอข่าวนี้ รอยธาราได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่ม ‘คนหลังจอ’ เซียนคอมพิวเตอร์ระดับพระกาฬ ซึ่งไม่แสดงตัวตนให้คนทั่วไปรู้จัก

            แรก ๆ ที่ติดต่อขอความช่วยเหลือ ทุกคนล้วนปฏิเสธเพราะเชื่อตามสื่อกันหมดว่ารอยเธียร พยุหะผิดจริง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน พวกเขาไม่สนใจอยากขุดข้อมูลเบื้องหลังเหล่านี้

            หญิงสาวอ้อนวอนขอร้อง ยอมเปิดเผยตัวว่าเป็นน้องสาวรอยเธียร อีกทั้งส่งหลักฐานเกี่ยวกับพี่ชายให้ดูว่าช่วงเวลาที่นักข่าวมโนกันนั้น เขาอยู่ในกรมทหาร ออกมาทุกครั้งต้องเขียนใบลาเป็นหลักฐาน ซึ่งภายในหกเดือนนั้นเขาออกจากกรมน้อยมาก หนำซ้ำวันหยุดเสาร์อาทิตย์ต้องช่วยงานประชาสัมพันธ์กองทัพ มีหลักฐานพยานที่อยู่อ้างอิง จึงไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องสร้างความสัมพันธ์กับน้องนิวจนท้องแน่นอน นอกจากนี้ยังส่งภาพเบื้องหลังการถ่ายโฆษณาจริงซึ่งเห็นว่ารอยเธียร มัชฌิมาไม่ได้มีสัมพันธ์รักหวานอย่างที่สื่อออกไป

            ฝ่ายนั้นแย้งมาว่าหลักฐานเธออ่อนเกินไป ถ้าเป็นน้องสาวรอยเธียรจริง ทำไมไม่นำหลักฐานพวกนี้แสดงต่อสื่อเพื่อแก้ข่าวไปเลย

            รอยธาราจนตรอกไม่รู้ควรอธิบายอย่างไร รู้สึกเหมือนคนเหล่านี้ถูกฝังความเชื่อผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างเหนียวแน่น จนผิดปกติวิสัยชาวไซเบอร์ แฮกเกอร์มือพระกาฬที่ชอบคุ้ยแคะหาหลักฐาน ไม่เชื่อตามสื่อง่าย ๆ

            แวบหนึ่งนึกถึงคำ...สะกดจิตหมู่...ขึ้นมาได้ ศัตรูรอยเธียรไม่ธรรมดา ตาอ่ำเคยบอกว่า เหตุที่เขายังไม่จู่โจมเล่นงานรอยเธียร พยุหะตั้งแต่แรกที่ออกจากฌานสมาธิเพราะต้องใช้เวลาเรียนรู้โลกปัจจุบันก่อน จึงเป็นไปได้ที่เขาอาจรู้วิธีสะกดจิตผ่านสัญญาณอินเตอร์ก็ได้

            ถ้าฝ่ายนั้นเล่นไสยศาสตร์ผ่านไฟเบอร์ใยแก้ว สัญญาณสี่จี รอยธาราก็อยากลองว่าตนเองจะทำได้บ้างหรือไม่

            หญิงสาวยกสร้อยประคำข้อมือขึ้นจบอธิษฐาน ขออำนาจอาคมในนั้นช่วยสลายสิ่งผิดปกติ พลังมืด คลื่นรบกวนใด ๆ ที่ครอบงำแฮกเกอร์กลุ่ม ‘คนหลังจอ’ ให้หมดสิ้นไป

            จากนั้นหล่อนจึงส่งข้อความไปให้พวกเขาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ

            ‘สติ’

            กระแสพลังงานฝ่ายขาวจากลูกประคำถูกผสานไปพร้อมข้อความนั้น เกิดผลขึ้นในพริบตา

            กลุ่มคนหลังจอเปลี่ยนท่าที คล้ายเพิ่งฟื้นคืนสติ หลุดจากม่านหมอกบาง ๆ ที่ครอบงำโดยไม่รู้สึกตัว ตอบกลับข้อความเธออย่างรวดเร็ว พร้อมร่วมมือค้นหาต้นตอที่มาแหล่งข่าวให้ได้

            ผ่านไปแค่วันสองวันได้รับข้อมูลอย่างน่าพอใจ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            กระดาษที่รอยธารายื่นให้มีข้อมูลสำคัญทุกอย่าง ใจชายหนุ่มโลดแล่นอยากบุกไปสถานที่นั้นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดเรื่องรับปากมารดาเอาไว้

            “ถ้าลุยมีธุระไม่ต้องห่วง แม่ไปคุยคนเดียวได้” รอยจันทร์บอก

            “ประธาน บี.บี. พรอม. ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นะแม่” รอยเธียรเป็นห่วง

            “ไม่เป็นไรหรอก เขานัดคุยที่บริษัทคนเยอะแยะ ไม่มีทางทำอะไรแปลก ๆ หรอก น่าจะแค่คุยตกลงตามเงื่อนไขสัญญา อาจมีลูกเล่นอะไรบ้างแม่ก็รับมือไหว ถ้าคุยกันไม่ได้จริง ๆ ค่อยให้ทนายจัดการ สัญญาที่แม่ขอให้แก้ไขก่อนเราเซ็นน่ะ มันปกป้องสิทธิของเราเรื่องนี้อยู่แล้ว”

            รอยเธียรจำได้ว่าสัญญาฉบับแรกค่อนข้างเอาเปรียบ เปิดช่องว่างให้บริษัท บี.บี. พรอม. ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากพรีเซนเตอร์ได้เต็มที่

            หลังจากสิงหานาคราชส่งสัญญาณเตือน บริษัทพ่อเกิดปัญหาแล้วแก้ไขเอาตัวรอดได้ แม่ค่อยฉุกใจสงสัยกลับไปอ่านสัญญาใหม่แล้วขอให้มีการแก้ไขอย่างยุติธรรมกว่าเดิม

            คิดทบทวนเช่นนี้จึงเข้าใจชัดว่า ฝ่ายตรงข้ามวางแผนล่วงหน้าแล้ว

            “งั้นน้ำไปเป็นเพื่อนแม่เอง” จู่ ๆ รอยธาราเสนอตัว

            ทั้งแม่และพี่ชายต่างแปลกใจ

            “นึกยังไงจะไปกับแม่” รอยจันทร์ถามลูกสาว

            “เป็นห่วง...มีอะไรน้ำน่าจะพอช่วยได้บ้าง ถ้าอีตาบรรพตมันพูดไม่เข้าหูจะได้ซัดให้หมอบเลย”

            หญิงสาวพูดอย่างหมายมั่น

            คนเป็นแม่ชักสงสัย

            “น้ำรู้จักเขาเหรอ?” ประโยคนี้ไม่ได้ถามถึงน้ำ...รอยธารา...แต่หมายถึงความทรงจำเก่าของอีกคน

            คนเป็นลูกสาวเป่าลมจากปากดังฟู่ คล้ายต้องการสลัด...วาง...ความทรงจำเก่าลงบ้าง

            “ก็...รู้จัก...นานมากแล้ว”

            ตอบแบบนี้ทั้งแม่และพี่ชายต่างเข้าใจ

            “ตามใจ...แต่อาจเจอนักข่าวนะ...ไม่กลัวคนอื่นรู้ว่าเป็นน้องพี่ลุยแล้วเหรอ”

            “พี่ลุยเขาเปิดเผยความลับน้ำกลางวงแฟนคลับตัวแม่หมดแล้วล่ะ มีถ่ายรูปคู่กันเป็นหลักฐานด้วย ยังไงก็หนีไม่รอด” พูดกึ่งปลงตก

            รอยจันทร์มองหน้าลูกชาย เห็นอีกฝ่ายแค่อมยิ้มไม่พูดอะไร ใจอดคิดถึงสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วไม่ได้

            สมัยเธอเป็นรอยจันทร์ นางร้ายชื่อดัง ตอนนั้นน้องชายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว

            แรก ๆ คนทั่วไปไม่รู้จักริว ราเมศว์น้องชายรอยจันทร์ นักข่าวแอบถ่ายรูปไปออกสื่อ ลงข่าวมั่วว่าเป็นคู่รัก จนเธียรซึ่งเวลานั้นเรียนอยู่ต่างประเทศเกิดความเข้าใจผิด

            คิดไม่ถึง...ช่วงเวลานั้นผ่านมานานขนาดนี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รอยเธียรอาบน้ำแต่งตัว โทรศัพท์นัดพยุหะเรียบร้อย ลงมาชั้นล่างพบมารดากับน้องสาวกำลังจะออกไปบริษัท บี.บี. พรอม.

            “อ้อ เดี๋ยวก่อนพี่ลุย” รอยธารารั้งพี่ชายไว้ แล้วบอกให้แม่ไปรอที่รถก่อน

            “กลุ่มคนหลังจอ...ที่ช่วยหาที่อยู่ต้นตอข่าว เขามีเรื่องรบกวนขอร้องสักหน่อย”

            “จะให้พี่ช่วยเรื่องอะไร” ชายหนุ่มถาม

            “มันเสียเวลานิดหน่อยนะ”

            รอยธาราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วบอกเรื่องที่กลุ่ม ‘คนหลังจอ’ เพิ่งส่งข้อความขอความช่วยเหลือบางอย่าง อาจทำให้รอยเธียรเสียเวลาบ้าง

            ชายหนุ่มฟังจนจบแล้วยิ้มน้อย ๆ ยกนาฬิกาคำนวณเวลา

            “ได้สิ...พอมีเวลาเหลืออยู่ แต่พี่ช่วยได้มากกว่าที่พวกเขาขออีกนะ”

            รอยเธียรอธิบายว่าตนสามารถทำอะไรได้บ้าง ก่อนจะไปทำธุระตามนัดพยุหะ

            หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างคาดไม่ถึง

            “ขอบคุณมากค่ะ” นานครั้งหรอกน้องสาวตัวแสบจะพูดคำนี้กับพี่ชาย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โรงพยาบาลเก่าร้างตั้งอยู่บริเวณชานเมือง สภาพอาคารตัวตึกเก่าโทรมขาดการดูแล กำแพงล้อมตลอดแนวทรุดโทรมเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนพ่นสีสเปรย์ ประตูเลื่อนบานใหญ่ถูกปิดล็อคกุญแจ

            รอยเธียรยกนาฬิกาดูเวลา...สี่โมงเย็น...ยังไม่นับว่าเย็นมากนัก ‘ภารกิจแทรก’ ที่คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน กลับเกินเวลากำหนดไปบ้าง ยังดีคู่หูจำเป็นไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียใส่

            พยุหะเดินดูรอบกำแพง สังเกตถนน ประตู กุญแจที่คล้องปิดก่อนเงยหน้ามองบริเวณโดยรอบอย่างสำรวจตรวจตราไม่ให้ผิดพลาด

            สองหนุ่มใช้สัมผัสพิเศษเข้าไปสืบค้นร่องรอย คลื่นความเป็นตัวตนเนวะตั้งแต่ลงจากรถ ไม่พบสัญญาณที่ต้องการ ใจไม่อยากกลับไปเฉย ๆ จึงลงเดินตรวจสอบให้รู้ชัดด้วยสายตาอีกที

            นัยน์ตาคมหรี่เรียวมองตัวตึก ชื่อโรงพยาบาลอย่างทบทวนความทรงจำแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเข้าอินเตอร์เน็ต ตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง

            “ที่นี่เคยเป็นโรงพยาบาลในเครือตายายคุณ” รอยเธียรค้นข้อมูลมาก่อนแล้ว

            “ไม่ใช่โรงพยาบาลในเครือ” พยุหะแย้งโดยไม่เงยหน้าจากจอ “มันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ตั้งมาแล้วขาดทุน ตายายผมรับช่วงต่อแต่ดำเนินการไม่ไหว เลยปิดไปเมื่อสิบปีที่แล้ว”

            หลานชายผู้บริหารโรงพยาบาลหาข้อมูลเจาะลึกกว่า

            “เนวะจะซ่อนตัวในโรงพยาบาลร้างอย่างนี้เหรอ”

            รอยเธียรสงสัย ไม่อยากคิดว่าทีมแฮกเกอร์ระดับพระกาฬจะค้นหาสถานที่ผิดมาให้

            พยุหะไม่แสดงความเห็น สายตาจดจ่อหน้าจอมือถือครู่หนึ่งก่อนถอนใจเก็บโทรศัพท์

            “เมื่อไม่กี่เดือนก่อน บรรพตจาก บี.บี. พรอม. ขอรับหน้าที่ดูแล รักษาสภาพอาคารสถานที่โรงพยาบาลนี้จากตายายผม น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เนวะเพิ่งออกจากถ้ำ”

            ข้อมูลใหม่รอยเธียรค้นไม่เจอ...

            พอฟังคำวิเคราะห์ต่อมาค่อยเชื่อว่า โปรดิวเซอร์หนุ่มละเอียดรอบคอบแค่ไหน

            “ถ้าดูดี ๆ จะเห็นว่ามีการลากโยงสายไฟฟ้าเส้นใหม่ รวมถึงมีฉนวนใยแก้วจากเสาไฟฟ้าเข้าไปข้างใน แสดงว่าต้องมีการใช้ไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตอยู่ข้างในแน่”

            “มิน่า...พวกนั้นถึงบอกว่าต้นตอแหล่งข่าวอยู่ที่นี่” รอยเธียรเริ่มเห็นว่าตนเองขาดความเฉลียวใจพอสมควร

            พยุหะอธิบายเสริม

            “ดูที่ประตูให้ดีจะเห็นว่าทั้งโซ่และกุญแจเป็นของใหม่ ไม่น่าใช้มาเป็นสิบปีตั้งแต่ปิดโรงพยาบาลแน่ ส่วนประตูนั่นมีรอยเลื่อนเปิดเข้าออกประจำ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นรอยล้อรถใหม่ตรงนั้นด้วย”

            ถ้ามีผู้ชายคนไหนที่รอยเธียรอยู่ใกล้แล้วรู้สึกโง่ไปถนัดใจ คนนั้นคงเป็นพยุหะ โปรดิวเซอร์เพลงดังที่น่าผันตัวไปเป็นนักสืบเอกชนมากกว่า

            “งั้นเราเข้าไปกันเถอะ”

            กุญแจดอกใหญ่หลุดคามือง่าย ๆ ด้วยพลังนาคา ถึงสติปัญญา ความละเอียดรอบคอบจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อดีตนาคาก็เชื่อว่าเรื่องแรงพละกำลังตนไม่แพ้ใคร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ทันทีที่เข้ามาในเขตหลังกำแพง บรรยากาศภายในรั้วโรงพยาบาลเปลี่ยนจากภายนอกชนิดคนละขั้ว

            คลื่นความเป็นตัวตนเนวะปรากฏชัด แสดงความเป็นเจ้าของสถานที่แผ่กระจายออกมาราวกับท้าทาย

            แสดงให้เห็นว่า หากเจ้าตัวต้องการปกปิดร่องรอย ต่อให้อยู่ห่างแค่ประตูกั้น สัมผัสรู้ทั้งครุฑ นาคาล้วนเปล่าประโยชน์ ตรวจสอบไม่ได้

            รอยเธียรฉุกใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูพบว่าไม่มีทั้งสัญญาณมือถือ และอินเตอร์เน็ต นับว่าพวกตนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์

            หันโทรศัพท์ให้เพื่อนร่วมทางดู อีกฝ่ายแค่พยักหน้ารับทราบ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบมือถือตนเอง สภาพคงไม่ต่างกัน

            เมื่อถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาค้นหาเนวะอยู่ไหน เจ้าของบ้านย่อมเชื้อเชิญต้อนรับแขกทั้งสองเป็นพิเศษอยู่แล้ว

            คลื่นความเป็นตัวตนเนวะเข้มข้นขึ้น รวมตัวเป็นสายคล้ายสะพานเชือกนำทางสองหนุ่ม เพียงแค่ใช้สัมผัสรู้เฉพาะตัวก็สามารถเดินตามรอยง่ายดาย

            ก้าวขึ้นตึกร้างด้วยความระมัดระวังตัว ผ่านโถงใหญ่ผู้ป่วยเงียบวังเวง ประตูห้องตรวจเก่าโทรมมีกลิ่นอับลอยอบอวล ยิ่งเดินไปแต่ละก้าวหางตามองเห็นเงาวอบแวบตามห้องต่าง ๆ หลืบเงามุมมืด อากาศเย็นยะเยือกบรรยากาศไม่ต่างจากโรงพยาบาลผีสิง

            รอยเธียร พยุหะไม่ใส่ใจสิ่งแปลกปลอมรอบกาย เดินตามกระแสชักนำไปเรื่อย ๆ จนพบบันไดทอดต่ำพาลงไปชั้นใต้ดิน

            สองหนุ่มหันมาสบตากันแวบเดียวก็ก้าวขาลงตามขั้นบันไดอย่างไม่ลังเล กระทั่งมาถึงพื้นข้างล่างแลเห็นต้นเสาอาคารขนาดใหญ่ทอดเรียงเป็นระยะ เพดานสูงโล่ง รอบกายสะอาดปลอดโปร่งแสดงว่ามีคนมาปรับปรุงดูแลทำความสะอาดไม่นานมานี้

            เงยหน้ามองตรงมุมตึกเห็นสายไฟ ฉนวนใยแก้วเดินสายใหม่ตรงไปทางประตูบานใหญ่ไม่ไกลนัก บอกให้ทราบว่าเบื้องหลังประตูต้องมีผู้อยู่อาศัย

            อดีตครุฑ นาคาเตรียมตัวพรักพร้อม แผ่สัมผัสพิเศษกระจายรอบร่างป้องกันการจู่โจม ลอบทำร้าย กระทั่งไปยืนอยู่ด้านหน้า ประตูเปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

            ก้าวเข้าห้องก้าวเดียวก็ชะงักเท้า มองรอบตัวอย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะมีสถานที่เช่นนี้ซ่อนอยู่ชั้นใต้ดินโรงพยาบาลร้าง

            ห้องกว้างขวาง สูงปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเท ผนังสองด้านติดตั้งชั้นสูงแบบบิวด์อิน แน่นขนัดด้วยหนังสือทุกประเภท หลากหลายภาษาจนไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของห้องสามารถอ่านรู้เรื่องทั้งหมด

            ผนังด้านหนึ่งวางจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ใกล้กันเป็นโต๊ะทำงานตัวเขื่อง ตรงกลางวางแป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ มุมโต๊ะตั้งหนังสือรออ่านเป็นชั้น ข้างโต๊ะมีเคสซีพียูตั้งเรียงราย พาวเวอร์ซัพพลายวัตต์สูง แสดงให้ทราบว่าผู้ใช้มีความ ‘เซียน’ ไม่แพ้ใคร

            ...ไม่อยากเชื่อ...เจ้าของห้องคือเนวะ...ชายผู้มีอายุไม่น้อยกว่าสองพันหกร้อยปี!...

            “มาถึงจนได้นะ” เสียงดังจากมุมห้อง

            เนวะเปิดประตูบานเล็กจากห้องด้านข้างออกมายืนทักทาย

            “เรามาตามที่บอก...ค้นหาต้นตอ...แล้วท่านจะยืนรออยู่ปลายทาง” รอยเธียรพูดยิ้ม ๆ

            หึหึ เนวะหัวเราะขัน

            “กว่าจะหาเจอก็เสียเวลาหลายวัน แล้วก็ยังยืมมือคนอื่นค้นหา น่ายินดีตรงไหน”

            พูดเช่นนี้แสดงว่าอีกฝ่ายรู้ว่าคนสืบหาที่อยู่ตนเป็นบุคคลอื่น แต่ยังยอมให้สืบค้นจนพบสถานที่

            “ไม่ว่ายังไง พวกเราก็มาแล้ว จากนั้นท่านจะว่าอย่างไร”

            อดีตนาคาไม่สนใจท่าทีดูแคลน

            “ตามมารยาทเจ้าของบ้านยุคนี้ เราต้องเชิญพวกเอ็งจิบชา กาแฟใช่มั้ย หรือถ้าสนิทสนมรู้จักกันมานานก็ต้องยกเหล้าเบียร์มาชวนร่วมวง”

            เนวะจงใจประชดประชัน ร่างสูงใหญ่ก้าวมายืนกลางห้องเปล่งอัตตาใหญ่โตจนคนอยู่ด้วยรู้สึกอึดอัด

            “เสียดายนะที่เราไม่สนใจมารยาทพวกนี้” ดวงตาผู้ทรงฤทธิ์ฉายแวววับ จ้องอาคันตุกะทั้งสองราวกับเห็นเหยื่อ

            พยุหะขยับตัวออกห่างรอยเธียรสองสามก้าว จงใจยืนเป็นสามเส้าเพื่อง่ายต่อการจู่โจม เฝ้าระวัง

            “ไหน ๆ พวกเราก็มาถึงนี่แล้ว ควรตกลงกันดีกว่า...ทำยังไงถึงจะจบปัญหาเก่า และไม่มีการทำร้ายคนรอบข้างพวกเราอีก”

            รอยเธียรทำหน้าที่ทูตไกล่เกลี่ย เพราะพยุหะยังคงคับแค้นเรื่องที่อีกฝ่ายทำให้ตายายเสียชีวิต

            “กัลยา...อ้อ...ไม่ใช่สิ...มัชฌิมาไม่ได้มาด้วยหรือ นางเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด” ถามด้วยแววตาเล่ห์กล

            “เรื่องนี้มัชฌิมาไม่เกี่ยว” พยุหะพูดห้วน ๆ แววตาบอกชัดพร้อมลุยทุกเมื่อ

            ทั้งสามยืนคุมเชิงเป็นสามเส้า ไม่ขยับไปไหน เนวะจงใจยืนกลางห้องเหมือนกำลังคุมเกมให้ทุกคนเคลื่อนไหวตามตนเองต้องการ

            “จะตกลงยังไง...ใช้การต่อสู้ตัดสินงั้นรึ” ท้ายเสียงเย้ยหยัน

            “ต้องคุยกันก่อนว่าต่อสู้แบบไหนอย่างไร และใช้เกณฑ์ใดตัดสิน” รอยเธียรสงบสติค่อย ๆ ต่อรอง

            เนวะหัวเราะเสียงไม่ดังนัก

            “พวกเอ็งเคยทดสอบฝีมือกับเรามาแล้ว ต่อให้ไม่มีใครตัดสินย่อมรู้ดีว่าห่างชั้นกันเพียงไร...หรือจะค้านว่าตอนนั้นยังลงมือไม่เต็มกำลัง”

            ทูตจำเป็นไม่กล้าค้าน ใจย่อมรู้ดีพลังนาคา ครุฑที่มีไม่ทรงฤทธิ์เช่นเดิม ขณะอีกฝ่ายฝึกฝนจนสูงล้ำกว่าเดิมหลายเท่าตัว

            “หากเราใช้วิธีอื่นประลองกันล่ะ” อดีตนาคาหาช่องว่าง

            “คิดจะประลองด้วยสติปัญญางั้นรึ” เนวะยิ้มหยัน “ต่อให้พวกเอ็งมีสติปัญญาสูงล้ำ ได้ชัยจริง ๆ เราก็สามารถยกเลิกสัญญาทั้งหมดได้ เพราะ ‘สัจจะ’ ไม่มีความหมายสำหรับเรา!”

            ได้ยินเช่นนี้เสียววูบถึงขั้วหัวใจ ฝ่ายตรงข้ามแสดงเจตนาชัดว่าไม่คิดตกลงด้วยเงื่อนไขใด ๆ จุดประสงค์เดียวคือต้องการบีบคั้นพวกเขาให้ทุกข์ทรมานถึงที่สุด

            เหมือนแมวร้ายหยอกล้อลูกหนูในกรงเล็บ รู้ว่าตะปบเหยื่อเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น จึงแกล้งปล่อยให้วิ่งวุ่นดิ้นรนจนหมดแรงไปเอง

            รอยเธียรระบายลมหายใจแผ่วไม่พูดจา สภาวะตึงเครียดเช่นนี้เขายังใจเย็น สุขุมเสมือนกลับเป็นชัยยะนาคาอีกครั้ง

            อัตตะความถือดีเนวะกระทบอัตตาในใจอดีตครุฑอย่างพยุหะเต็มแรง เกิดโทสะลุกโพลง ดวงตาคมทอประกายกล้าราวคมมีดบางเฉียบร้อนแรง

            เนวะแย้มริมฝีปากเพียงนิดอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม เลือกเวลานี้เปิดฉากโจมตีทันที

            พลังงานไร้รูปร่าง สีสัน ร่องรอย แต่รวดเร็วเฉียบคมพุ่งปลาบเข้าใส่พยุหะเป็นรายแรก ก่อนเกิดกระแสพลังอีกสายตามเข้าใส่รอยเธียรอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

            พยุหะยืนนิ่งร่างมั่นคงดุจขุนเขารับมืออย่างไม่ตระหนก รอบร่างบังเกิดกลุ่มพลังงานแผ่ออกเป็นปีกกล้าแข็งแกร่ง โบกสะบัดโรมรันกับพลังไร้รูปนั้นโดยไม่มีวี่แววเพลี่ยงพล้ำ

            รอยเธียรขยับกายเพียงเล็กน้อยเคลื่อนไหวคล้ายสายน้ำ พลังนาคาแปรรูปเป็นพญางูสีเขียวอ่อนเกือบเหลืองพลิ้วบางคล้ายผ้าแพร ตวัดรัดตอบโต้ จู่โจมพลังเนวะกลับอย่างรวดเร็ว ว่องไวไม่แพ้กัน

            ทั้งสามยืนห่างกันในระยะพอดีไม่มากไม่น้อย ไม่มีใครยอมเสียเปรียบกัน สองหนุ่มรับ-รุกฝ่ายเจ้าของบ้านอย่างไม่หวั่นเกรง สติสมาธิเข้มข้นหวังสยบอีกฝ่ายให้อยู่มือ

            สีหน้าเนวะไม่มีร่องรอยวิตก พลังงานไร้รูปแปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด บางทีคล้ายกระแสคลื่นกลางทะเลกว้าง บ้างก็เหมือนลมพายุหมุนปราศจากทิศทาง บางคราวเป็นการโจมตีแบบพญาเหยี่ยว บางครั้งกลายเป็นอสรพิษนับร้อยนับพันสลับกันทำร้ายโดยไม่ให้พักหายใจ

            การต่อสู้ครั้งนี้สองฝ่ายต่อกรกันอย่างคู่คี่ ตัดสินไม่ถูกว่าใครเหนือกว่าใคร ด้วยอดีตครุฑนาคผสานกันร่วมมือปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งกันและกันจนเนวะบุกทำร้ายไม่ถนัด แต่สองหนุ่มยังไม่สามารถเจาะทำลายพลังของเนวะได้เช่นกัน

            ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่มีฝ่ายใดแสดงความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครเผยช่องว่างเพลี่ยงพล้ำ เนวะจึงเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ ปล่อยพลังงานประหลาดคล้ายหลุมดำดึงดูดทุกสรรพสิ่งให้ไหลทะลักเข้าไปโดยไม่มีสิ้นสุด

            รอยเธียร พยุหะสังเกตเห็นความแปลกเปลี่ยน รีบชะงักรั้งพลังตนกลับคืน แล้วตั้งท่าเตรียมพร้อม กลัวว่าเป็นกลลวงโจมตีอีกแบบหนึ่ง

            “พลังแข็งแกร่งขึ้นนะ” เนวะยิ้มหยันแล้วเดินช้า ๆ เข้าห้องโดยไม่พูดอะไรอีก

            พยุหะรีบก้าวตาม ไปได้ครึ่งก้าวก็ชะงักได้สติ หันมาเห็นรอยเธียรขมวดคิ้วมองประตูห้องด้านในอย่างสงสัย

            ...เนวะจะล่อหลอกพวกตนให้ตามเข้าไปใช่หรือไม่?...

            สองหนุ่มเดินไปหน้าห้องนั้นอย่างระมัดระวัง เอื้อมมือเปิดประตูออกโดยให้อีกคนคอยระวังหลัง เตรียมรับการจู่โจมแบบไม่คาดฝัน

            ...ห้องนั้นว่างเปล่า...

            ทั้งห้องมีเตียงหลังเดียวตั้งไว้เพื่อให้นอนพักผ่อน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้อื่น ไม่มีโต๊ะตู้เตียง ไม่มีกระทั่งประตูหน้าต่างให้หลบหนี

            พยุหะ รอยเธียรมั่นใจว่าต่อสู้กับเนวะตัวจริง ไม่ใช่เงาจำแลง แต่ลืมคาดคิดไปอย่าง...

            บุคคลผู้สำเร็จฌาน ได้ฤทธิ์อภิญญาขนาดนี้ การหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งนับเป็นเรื่องง่ายดาย!

            ฝีมือระดับเนวะไม่มีทางพ่ายแพ้พวกเขาง่าย ๆ จนต้องหลบลี้หนีหน้าแน่นอน การหายตัวไปทั้งที่ยังไม่รู้ผลต่อสู้เช่นนี้ย่อมเป็นแผนการอย่างหนึ่ง...แผนการซึ่งวางไว้ล่วงหน้า

            ...แผนล่อเสือออกจากถ้ำ...

            ประโยคนี้ผุดขึ้นในหัวรอยเธียร ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งได้...ใจหายวาบรีบกระโจนออกจากห้องนอนเนวะ มองเห็นประตูด้านหน้าเปิดกว้าง ไม่ถูกปิดตายอย่างที่คิดก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

            ชายหนุ่มมาหยุดยืนตรงที่ที่ควรเป็นบันไดขึ้นไปข้างบน มันอันตรธานไปเสียแล้ว รอบกายเป็นชั้นใต้ดินโล่งกว้างปิดทึบด้วยผนังหนาสี่ด้าน ไม่มีทางออก มันถูกปิดตายกลายเป็นกรงขังขนาดใหญ่

            ตั้งสติพบว่าพยุหะไม่ได้ตามตนเองออกมา นึกสงสัยรีบเดินกลับไปยังห้องนั้นอีกครั้ง

            พอก้าวเท้าเข้าห้องพบคู่หูจำเป็นกำลังยืนจ้องจอทีวีอย่างตั้งใจ ค่อยเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ บ้าง

            ทันทีที่เห็นภาพปรากฏบนจอ หัวใจรอยเธียรหล่นวูบ ใบหน้าซีดเผือด เข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้น

            อดีตนาคาพยายามเรียกสติกลับมารวดเร็ว กัดฟันแน่น พูดด้วยน้ำเสียงเข้มกร้าว นัยน์ตาเจิดจ้ากว่าปกติ

            “เราต้องออกจากที่นี่...เร็วที่สุด!”

            พยุหะพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่พูดจาใด ๆ เข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายว่ากำลังร้อนรนใกล้ระเบิดแค่ไหน

            ...นี่คือแผนล่อเสือออกจากถ้ำ...เป้าหมายเนวะไม่ได้อยู่ที่อดีตครุฑ นาคาทั้งสอง...เหยื่อแท้จริงเป็นบุคคลอื่นต่างหาก











บทที่ ๑๙



            ห้องประชุมเล็ก บริษัท บี.บี. พรอม.

            บรรพต ประธานบริษัทเรียกฝ่ายกฎหมาย หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ และเชิญรอยจันทร์ ผู้จัดการส่วนตัวพรีเซนเตอร์คนดัง มาร่วมพูดคุยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาแอนตี้พรีเซนเตอร์ที่เกิดขึ้นหลังมีข่าวดาราประกอบสาวแท้งลูก จนเกิดผลกระทบกับแป้งหอมสามฤดูผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุด

            การประชุมพูดคุยผ่านไปไม่นาน รอยจันทร์ รอยธาราก็ทราบว่าทาง บี.บี. พรอม. ได้ข้อสรุปแนวทางแก้ปัญหาก่อนพวกเธอมาร่วมประชุมอยู่แล้ว

            โฆษณาชิ้นนี้จะถูกถอด!

            สิ่งที่รอยเธียรคาดไว้ไม่ผิดความจริงนัก ถึง บี.บี. พรอม. จะไม่โพล่งตรง ๆ ว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพรีเซนเตอร์ แต่การขอคำปรึกษาจากผู้จัดการดาราเกี่ยวกับเรื่องเงินชดเชยต่าง ๆ เท่ากับเป็นการยืนยันกลาย ๆ

            รอยจันทร์เตรียมรับสถานการณ์นี้มาก่อน เธอนำเอกสารสัญญาฉบับถ่ายสำเนาแจกจ่ายให้ทุกคนดู พร้อมกาเครื่องหมายขีดเน้นข้อความสำคัญเกี่ยวกับสิทธิของตัวพรีเซนเตอร์ที่จะไม่ต้องชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างในกรณีใดบ้าง

            ทาง บี.บี. พรอม. รู้สิทธิเหล่านี้อยู่แล้ว ยังหาช่องว่างในสัญญาเรียกร้องให้พรีเซนเตอร์คืนเงินค่าตัว ชดเชยค่าเสียหายต่าง ๆ เช่นเงินลงทุนโฆษณา มูลค่าภาพลักษณ์สินค้าที่โดนบอยคอตแอนตี้

            รอยจันทร์รักษาผลประโยชน์ลูกชายเต็มที่ ยินดีคืนเงินเฉพาะค่าตัวพรีเซนเตอร์ในกรณีโฆษณาถูกถอด ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ที่ตามมา เพราะข่าวออกมาเป็นการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน กระทั่งตัวต้นตออย่างน้องนิวก็ไม่เคยพูดสักคำว่าพระเอกดัง สามีแห่งชาติคนนั้นเป็นใคร

            เรื่องที่เกิดเพราะคนเสพข่าวอุปทานหมู่เห็นตามกันหมดว่าพระเอกดังคนนั้นคือรอยเธียร แล้วเกิดยุทธการล่าแม่มดด้วยการแอนตี้ เรียกร้องไม่ให้ใช้สินค้าที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์

            รอยจันทร์ กับฝ่ายกฎหมาย บี.บี. พรอม. พูดคุยต่อรองโดยไม่มีใครยอมใคร การเจรจามีทีท่ารุนแรงขึ้นโดยหาข้อสรุปไม่ได้ ประธานผู้นั่งฟังมานานอย่างบรรพตค่อยเอ่ยปาก

            “ถูกครับที่คุณรอยจันทร์บอกว่าข่าวเสื่อมเสียที่ออกมา ไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นรูปธรรมว่าคุณลุยเป็นผู้ชายคนนั้น แต่คนทั่วไปเชื่อกันจริง ๆ ว่าเขาคือสามีแห่งชาติที่ทำให้น้องนิวท้องแล้วทอดทิ้ง จนตอนนี้เธอแท้งลูกอย่างน่าสงสาร และกระแสความสงสารนี่แหละ มันตีกลับมาบริษัทเรารุนแรงมาก ไม่ใช่แค่แป้งหอมสามฤดูที่คุณลุยเป็นพรีเซนเตอร์ แต่รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือของเราอีกหลายชิ้นที่โดนด้วย มูลค่าความเสียหายมันมากกว่าค่าตัวที่ทางคุณจะคืนมาหลายเท่า...เพราะว่าทุกคนเขาเชื่อ และยอมรับมันเป็นเรื่องจริง...ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไงก็ตาม!”

            รอยธาราผู้สงบเสงี่ยมนั่งเงียบไม่แสดงความเห็นใดมาตลอด พอได้ยินท้ายวาจาบรรพตก็สะดุ้งนิด ๆ เหมือนคำพูดนั้นกระตุ้นความทรงจำเก่าบางอย่าง จึงยืดกายนั่งตัวตรง แววตาเปลี่ยนจากเดิม

            “จริงค่ะ ถึงไม่มีหลักฐานก็ไม่เป็นไร เพราะแค่ความเชื่อ กับการยอมรับ...มันก็พอแล้ว”

            หญิงสาวจ้องชายกลางคนผู้มากบารมีด้วยแววตาคล้ายผู้ใหญ่ตำหนิเด็กน้อย

            “แต่...เราควรใช้ให้เหมาะสมในกรณีอื่น...อย่างเช่น ถ้ามีลูกนอกสมรสคนหนึ่ง มาแสดงตัวว่าเป็นพี่หรือน้องคุณโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ไม่มีใบรับรองบุตรจากพ่อคุณ ไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกัน แต่พ่อคุณเคยบอกอยู่แล้วว่าคนนั้นเป็นลูกของท่าน...เป็นน้องชายคุณ กระทั่งแม่คุณก็รู้แต่จงใจปกปิดมิดชิด อย่างนี้สิคะถึงเรียกได้ว่า...ไม่มีหลักฐานแต่ทุกคนเชื่อ และควรได้การยอมรับ”

            คำพูดรอยธาราเหมือนออกนอกเรื่องไกล ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่คุย ฝ่ายกฎหมายขยับจะคัดค้านตำหนิ แต่เห็นท่านประธานใบหน้าซีดเผือด เม้มริมฝีปากแน่นคล้ายถูกตีโดนจุดสำคัญไม่ทันตั้งตัว

            “เธอ...พูดเรื่องอะไร” บรรพตแทบพูดไม่ออก จ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง เหมือนต้องการค้นหาความจริงบางอย่าง

            รอยจันทร์เหลือบมองลูกสาวอย่างสงสัย สงบใจนิ่งไม่เอ่ยปากขัด

            “ดิฉันแค่ยกตัวอย่างค่ะ” รอยธาราบอกเรียบ ๆ ด้วยกิริยาท่าทางกระทั่งคนเป็นแม่เพิ่งเคยเห็น “หรือว่า...ท่านประธานคิดว่าดิฉันกำลังพูดถึง...ใคร”

            ท้ายคำไม่มีรอยท้าทาย ทอดหางเสียงแปลกเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก...เป็นลักษณะเฉพาะตัวของใครบางคนที่บรรพตจดจำเสมอมา

            “เธอเป็นใคร?” หลุดปากถามทั้งที่รู้สถานะอีกฝ่ายอยู่แล้ว

            “เอ่อ...ลูกสาวรอยเองค่ะ...ขอโทษที่เธอเสียมารยาท” รอยจันทร์รีบออกรับแทน

            กิริยาวาจารอยธาราไม่ถึงขั้นเสียมารยาทต่อผู้ใหญ่ เพียงแต่ทุกถ้อยคำมันกระตุ้น คุ้นความทรงจำบรรพตเหลือเกิน

            “ถ้าดิฉันพูดจาก้าวร้าวไปต้องขอโทษด้วยค่ะ” รอยธาราเสียงอ่อนลง “ดิฉันจำได้ว่าท่านมาดูที่กองถ่ายโฆษณาวันแรกด้วย ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นบางอย่าง...”

            น้ำเสียงอ่อน ๆ ชวนฟังของรอยธาราทำให้ผู้ร่วมประชุมผ่อนคลายความตึงเครียด พร้อมรับฟังวาจาโดยไม่ขัดแย้งแทรกแซง

            “พี่ลุยทำงานด้วยความเป็นกันเองกับทุกคนที่อยู่ในกองโฆษณา รวมถึงทีมประชาสัมพันธ์ บี.บี. พรอม. ไม่เคยถือตัวว่าเป็นดาราใหญ่ ซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพง ยกมือไหว้ทักทายทุกคนที่อายุมากกว่าตั้งแต่ช่างไฟ แม่บ้าน ตากล้อง ยันผู้กำกับ ขอบคุณทุกคนที่อำนวยความสะดวกให้อย่างเด็กเสิร์ฟน้ำ คนซับหน้า ไม่เรื่องมากงอแงแม้มีอุปสรรคปัญหาระหว่างถ่ายทำ ไม่เคยบ่นเรื่องการถ่ายทำล่าช้าเกินเวลา...นั่นเพราะพี่ลุยถูกสอนให้คิดว่า ผู้ร่วมงานทุกคนเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน!”

            คำท้ายนี้ทำให้ประธาน บี.บี. พรอม. เบิกตากว้าง ถูกจี้ใจดำอย่างแรง มองหญิงสาวอย่างลังเลไม่แน่ใจ

            เมื่อไม่มีใครขัดวาจา รอยธาราจึงพูดต่อจนจบ

            “คนในครอบครัวเดียวกันจะไม่หักหลังกัน เชื่อใจและให้โอกาสกัน ในเมื่อไม่มีหลักฐานพยานสักนิดว่าพี่ลุยเป็นคนผิด...ทำไมทุกคนถึงปักใจเชื่อและคิดเอาเปรียบกันขนาดนี้ พี่ลุยเห็นพวกคุณเป็นคนในครอบครัว ตั้งใจทำงานเต็มที่ และพวกคุณล่ะคะเห็นพี่ลุยเป็นอะไร?”

            สิ้นวาจาบังเกิดความเงียบชั่วขณะ บรรพตระบายลมหายใจเข้าออกเนิบช้า พยายามควบคุมตนเองก่อนเอ่ยวาจาตอบ

            “ถ้าอย่างนั้น...ทางเราจะขอเบรกการออกอากาศโฆษณาไว้ชั่วคราว และยังไม่พูดถึงเรื่องเงินค่าชดเชยใด ๆ จนกว่าข่าวเสื่อมเสียนี้จะมีความชัดเจนกันทุกฝ่าย”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


Kesara
About the author:


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP