วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๒๑
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บนยอดเขาสูงสุด หิมะปกคลุม พื้นเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา ปลายยอดเขาปรากฏแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่น น้ำแข็ง หิมะขาวไม่อาจเกาะจับมันได้
วินตกะ ชัยยะยืนขนาบข้างแท่งหินนั้นในร่างมนุษย์ เงยหน้ามองปลายแท่งหินด้านบนอย่างพอใจ
นี่คือความคิดอุกอาจพิสดารของชัยยะนาคา
ความคิดที่ครุฑ-นาคร่วมกันสร้างสรรค์วัตถุทรงฤทธิ์ชิ้นหนึ่งซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อนนับแต่บรรพกาล
ทั้งสองเลือกสรรจุดอันสูงสุด หนาวเหน็บบนมนุษย์โลกเป็นสถานที่กอปรสร้าง กำหนดฤกษ์ยามเวลาเหมาะสมในการนัดหมายเพื่อร่วมมือรังสรรค์ให้สำเร็จ
เวลานั้นมาถึงแล้ว
วินตกะกระโดดลอยตัวขึ้นไปยืนเหนือแท่งหินอันแข็งแกร่ง ในมือมีขนปีกครุฑอันทรงฤทธิ์สามชิ้น หย่อนลงไปตรงกลางร่องแท่งหินนั้น ก่อนปีกมหึมาผุดขึ้นกลางหลังแล้วขยับโบกบินขึ้นสูง ใช้อิทธิฤทธิ์ปิดผนึกร่องหินจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ชัยยะกลายร่างเป็นพญานาคาลำตัวเหยียดยาว หางตวัดพันรอบยอดเขาแน่นหนา อ้าปากพ่นเพลิงพิษสีแดงเจิดจ้าเข้าหลอมแท่งหินแกร่งนั้นเต็มกำลัง
พญาครุฑกระพือปีกลอยตัวขึ้นสูง สร้างปาฏิหาริย์ก่อกำแพงแก้วเจ็ดชั้นกางกั้นไม่ให้เพลิงพิษกระจายนอกบริเวณยอดเขา
ถึงกระนั้นรัศมีความร้อนแรงที่เล็ดรอดเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ละลายหิมะ น้ำแข็งบริเวณนั้นจนกลายเป็นลำธารอุ่นไหลสู่เบื้องล่างไม่น้อย
เพลิงพิษเพิ่มความร้อนแรงจากสีแดงเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แท่งหินแกร่งดำทะมึนเริ่มกลายเป็นสีแดงแสดงถึงความร้อนที่กำลังเข้าไปหลอมละลาย
เวลาผ่านไป พญาครุฑที่ลอยตัวเบื้องบนถ่ายทอดกระแสพลังงานสู่ขนครุฑที่แทรกในเนื้อหินไม่หยุดยั้ง ขณะเดียวกันเพลิงพิษจากนาคาก็เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นไร้สีสัน แสดงถึงการเปล่งอานุภาพความร้อนแรงขั้นสูงสุด
หินค่อยหลอมละลายไหลลงช้า ๆ จนเกือบถึงแกนกลางที่บรรจุขนปีกครุฑ ชั่วเวลานั้นนัยน์ตาเจ้าแห่งปักษาเปล่งประกายสีทองเจิดจ้า คลื่นพลังงานที่มองไม่เห็นกระจายเข้าไปหลอมรวมกับเพลิงพิษขั้นสูงสุดเพื่อกอปรสร้างสิ่งมหัศจรรย์
แท่งหินขนาดใหญ่หลอมเหลวกลายเป็นลาวาขังในแอ่งกลางยอดเขา กระทบผืนหิมะก้อนน้ำแข็งบังเกิดเสียงดังฉี่...ซ่าควันขาวลอยคลุ้งโดยรอบ
หินทั้งก้อนกลายเป็นลาวาจนหมดในเวลาไม่นานนัก เผยผลึกใสกระจ่างตาอยู่ภายใน
มันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่หลอมรวมพลังสองฝ่ายตรงข้ามเข้าเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมดุลพอดี
...ผลึกครุฑนาค...
วินตกะครุฑร่อนลงสู่พื้น ชัยยะนาคาคลายขนดหางจากการโอบรัดยอดเขา ดวงตาครุฑและนาคเพ่งมองผลึกซึ่งร่วมกันสร้างด้วยแววภาคภูมิใจ
ผลึกนั้นเปล่งประกายเจิดจ้าบาดตา ส่งกระแสพลังอำนาจเกินหยั่งคาดออกมาเป็นการสำแดงฤทธิ์ครั้งแรก ครุฑนาคทั้งสองล้วนซึมซับรับกระแสพลังเข้าไปอย่างเต็มกำลัง
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
พลังจากผลึกครุฑนาคชาร์ตเข้าเต็มที่
สติคืนสู่รอยเธียร พยุหะ ในใจเหมือนโอบรับพลังงานจากผลึกจนเปี่ยมล้น ต่อให้อยู่ในความทรงจำอดีตก็ยังสามารถแยก ‘ตัวผู้รู้’ ออกมาต่างหาก แลเห็นช่วงเวลาที่ชัยยะนาคาส่งมอบกัลยาต่อวินตกะครุฑอีกครา
ผู้รู้ผู้ดูทั้งสองต่างรวมจิตเป็นหนึ่งเปล่งกระแสใจออกเป็นเสียงเดียว
“มัชฌิมา...ตื่น!”
กระแสใจเกิดจากพลังจิตแรงกล้าส่งเป็นคลื่นรุนแรงกระทบสู่จิตมัชฌิมาที่กำลังหลับลึก หลงอยู่ในความเป็นกัลยาโดยไม่ยอมตื่น
ตื่น...ตื่น...ตื่น...เสียงสะท้อนก้องไปมาไม่ยอมหยุด ปลุกเร้ากระตุ้นความรู้สึกหญิงสาวถี่เร็ว กระชั้น ไม่ต่างจากโดนเขย่ารุนแรง
จนกระทั่ง...เฮือก...มัชฌิมาสะดุ้งตื่นจากฝันอันยาวนาน
จิตหญิงสาวถอยออกมาเป็น ‘ผู้ดู’ โดยอัตโนมัติ มองเห็นอดีตในชาติก่อนเป็นเสมือนเงาในน้ำ รับรู้เข้าใจแต่ไม่ยอมหลงติดยึด
...กับดักอันร้ายกาจของเนวะถูกทำลายลงแล้ว...
รอยเธียร พยุหะ มัชฌิมาตามดูเรื่องราวช่วงสุดท้ายความสัมพันธ์ของวินตกะครุฑ ชัยยะนาคา และกัลยาด้วยจิตที่ไม่หลงเข้าไปเกาะเกี่ยว ยึดถือเป็นตัวตนอีก
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เสียงร่ำไห้ระงมทั่วบริเวณนอกและในสาลวโนทยาน คลื่นความโศกเศร้าแผ่กระทบจิตใจวินตกะและกัลยาไม่ต่างกัน
“เวลาไม่คอยท่า เร่งเข้าไปด้านในเถิด” วินตกะครุฑนำทาง
กัลยาอิดโรยเต็มที่แต่ฝืนสังขารก้าวตามพญาครุฑแปลงไปจนถึงสวนป่าด้านใน แลเห็นพระภิกษุจำนวนมากนั่งเรียงเป็นระเบียบ จิตใจละล้าละลังด้วยเห็นว่าสตรีเช่นตนไม่เหมาะที่จะเข้ามาเวลานี้
“เราจะช่วยกำบัง อำพรางไม่ให้ผู้ใดเห็นเจ้าเอง”
วินตกะครุฑรู้กาลเทศะ เห็นความไม่บังควรที่จะให้สตรีผู้หนึ่งเดินดุ่มฝ่ากลางหมู่สงฆ์ เพื่อมุ่งไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
กัลยาถูกอำพรางร่างด้วยมนตร์แห่งครุฑกำลังจะเดินผ่านหมู่สงฆ์เข้าไปด้านใน แต่ต้องชะงักเท้าเมื่อมีปริพาชกผู้หนึ่งส่งเสียงขออนุญาตเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา
“ข้าพเจ้าสุภัททะปริพาชก ขอโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
นักบวชผู้นี้เดินมาถึงด้านหลังหมู่สงฆ์ ส่งเสียงร้องบอกซ้ำอีกครา พระภิกษุเหลียวหันมามองแล้วค่อยขยับกายแหวกเป็นทางให้
พระอานนท์เร่งออกมาจากด้านในแล้วกล่าว
“อย่าเลยสุภัททะ องค์พระตถาคตประชวรหนัก พระองค์ลำบากพระวรกายมากแล้ว ขอให้พระองค์ได้พักผ่อนธาตุขันธ์เพื่อจะได้ปรินิพพานโดยสะดวกเถิด”
ต่อให้ได้ยินคำทัดทานเช่นนั้น ปริพาชกผู้นี้ก็ยังวิงวอนขอร้อง อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ย่อท้อ จนพระศาสดาที่อยู่ด้านในรับทราบ
องค์พระสัพพัญญูแลเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าบุคคลผู้นี้สั่งสอนได้ หากพระองค์ให้โอกาส เขาจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงตรัสอนุญาต เมตตาให้เข้าเฝ้า
หมู่สงฆ์แหวกเป็นทางเดินโล่งเพื่อให้พระอานนท์นำปริพาชกผู้นี้เข้าเฝ้า วินตกะครุฑและกัลยาในสภาพอำพรางกายถือโอกาสนี้เดินตามอย่างเงียบเชียบ ไม่แสดงพิรุธ
ถึงอย่างนั้นพระสงฆ์ผู้มีทิพยจักษุจำนวนไม่น้อยก็แลเห็น ต่างหันมามองแสดงให้ทราบว่าพวกท่านรับรู้ถึงการมาเยือนของอาคันตุกุผู้ไม่เปิดเผยตัวเช่นกัน
นั่นทำให้กัลยาชะงักเท้า รั้งแขนวินตกะครุฑไว้ด้วยใจละอาย ช่วงเวลาเดียวกับที่พระอานนท์ และสุภัททะปริพาชกคุกเข่าก้มลงกราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หนึ่งครุฑและนางมนุษย์รีบคุกเข่าราบโดยไม่ต้องมีใครบอก สายตาแลไปยังเบื้องหน้าด้วยใจเต็มตื้น รู้สึกว่าความเพียรพยายามทั้งหมดล้วนประสบผลแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกลนัก มองเห็นแท่นบรรทมพระพุทธองค์ตั้งเด่นระหว่างต้นสาละคู่ กิ่งใบโน้มเข้าหากันราวกับเป็นร่มบังธรรมชาติอันงดงาม
พระองค์ทรงอยู่ในท่านอนไสยาสน์ ลักษณาการชวนเคารพศรัทธา ดวงหน้าฉายแววมหากรุณาต่อมวลสรรพสัตว์ รัศมีแห่งพระศาสดาฉายชัดแก่ใจ
กัลยา วินตกะคุกเข่าเคียงข้าง ยกมือประณมไหว้แล้วก้มลงกราบด้วยจิตเคารพศรัทธาเสมอกัน ช่วงเวลานั้นไม่มีการแบ่งแยกครุฑ หรือมนุษย์ มีแต่หัวใจอันเต็มตื้นเห็นตนเองเป็นแค่เศษเสี้ยวธุลีที่พระองค์แผ่ความกรุณามาให้
น้ำตาไหลรินจากดวงตานางมนุษย์ หัวใจอบอุ่นอิ่มเอมอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน หูอื้อไม่ได้ยินแม้เสียงสนทนา หรือกระทั่งพระธรรมที่พุทธองค์กำลังสั่งสอนสุภัททะปริพาชก
ครั้นเมื่อปริพาชกผู้นั้นฟังธรรมจนเข้าใจแล้ว ได้ขออุปสมบทต่อหน้าพระศาสดา วินตกะครุฑ กัลยาจึงค่อยถอยกายออกมาอย่างรู้กาลเทศะ
หนึ่งครุฑ หนึ่งนางมนุษย์ พบชัยยะนาคารออยู่นอกสวนป่า ดูกลมกลืนกับหมู่ชนทั่วไป
หลังจิตใจเบิกบานได้ทำตามความมุ่งหวังสำเร็จ ร่างกายกัลยาแสดงอาการอ่อนเพลียยืนแทบไม่ไหว ต้องให้วินตกะช่วยประคอง
“ขอบพระคุณ...ท่านทั้งสองยิ่งนัก...ที่ช่วยข้าน้อยได้สมปรารถนา...” วาจาอ่อนล้า นัยน์ตายังแจ่มจรัส
“เจ้าได้ขอเรียนธรรมกับพระองค์หรือไม่” ชัยยะถามกระตุ้นเพื่อให้นางระลึกถึงธรรมะก่อนเสียชีวิต
“ข้าน้อยเห็นว่า...ไม่บังควร...แค่ได้กราบพระองค์...ก่อนตาย...ก็พอแล้ว”
วินตกะครุฑมองนางด้วยแววตาหดหู่ ตลอดเวลาที่เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ร่วมกัน ศรัทธาในใจนางเชื่อมโยงศรัทธาในใจเขาจนเกิดเป็นสายใยผูกพัน กลายเป็นความอาลัยห่วงหาอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้ามีสิ่งใดอยากกระทำอีกหรือไม่” วาจาเปี่ยมเมตตาผิดจากเคย
แม้ใจจะร้าวรอนต่อการจากลา เขาก็ยังอยากกระทำ ‘ทุกสิ่ง’ สุดท้ายเพื่อให้นางเดินทางต่อโดยไร้ข้อกังวลใจ
“ข้ามี...คำขอ...สุดท้าย”
วินตกะครุฑ ชัยยะนาคาก้มมองนางอย่างสงสัย พร้อมปฏิบัติตามคำขอสุดท้ายโดยไม่เกี่ยงงอน
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ลานหินกว้าง ริมฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี
คำขอสุดท้ายของกัลยาคือ...เมื่อนางเสียชีวิต ช่วยฝังร่างไว้ตรงริมฝั่งแม่น้ำสายนี้ หันศีรษะไปทางสาลวโนยานเพื่อแสดงความเคารพต่อสังเวชนียสถาน...สถานที่ปรินิพพานของพระตถาคต
เวลาล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมหายใจของนางอ่อนล้าลงเรื่อย ๆ
การรอคอยเวลาหมดลมหายใจควรเป็นช่วงทุกข์ทรมานที่สุด
สำหรับกัลยาไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เพราะตลอดเวลาที่อยู่บนลานหินนี้ ครุฑ-นาคทั้งสองต่างคอยบอกเล่าเหตุการณ์ทางสาลวโนทยานเป็นระยะ
ไม่ว่าพระพุทธองค์จะตรัสวาจาใด เทศนาเรื่องใด กระทั่งเรื่องที่พระสุภัททะเร่งบำเพ็ญเพียรจนบรรลุพระอรหันต์แล้วมาเข้าเฝ้ากราบพระบาทพระพุทธเจ้าก็ถูกถ่ายทอดออกมาจนเห็นภาพกระจ่างชัด
ดวงหน้ากัลยาสุกสว่างด้วยปีติแช่มชื่น เป็นอันหวังถึงสุคติภพข้างหน้าได้
ปลายปัจฉิมยาม ชัยยะนาคาเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์
“พระพุทธองค์ทรงประทานปัจฉิมโอวาทแล้ว”
ลมหายใจใกล้ขาดห้วงกลับมีแรงอีกเฮือก กัลยาขยับกายนั่งตัวตรงเพื่อน้อมฟังธรรมนั้น
“พระองค์...ทรงตรัสเช่นไร”
พญานาคานิ่งสงบชั่วขณะคล้ายต้องการจดจำทุกวาจาเพื่อบอกต่อนางโดยไม่ผิดเพี้ยน
“หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ต่อผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
สิ้นกระแสเสียงนั้น ทั้งสามต่างพร้อมใจกล่าว ‘สาธุ’ โดยพร้อมเพรียง ประหนึ่งเป็นเสียงเดียวกัน
ช่วงเวลาสุดท้ายมาถึง กัลยาฝืนยิ้มต่อสองครุฑนาคผู้มีพระคุณ รวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายกล่าวประโยคยืดยาว
“พระพุทธองค์ทรงสอน...ให้ยังกิจอันเป็นประโยชน์ด้วยความไม่ประมาท...ข้าน้อยใกล้ตายเต็มทน เกิดใหม่เป็นอย่างไรไม่รู้ จึงขอสร้างประโยชน์บางประการเพื่อติดตัวในภพหน้าร่วมกับท่านทั้งสองได้หรือไม่”
วินตกะครุฑ ชัยยะนาคาอ่านความคิดนางออกจึงพยักหน้ารับ แล้วประคองนางนั่งคุกเข่า โดยมีพวกตนขนาบข้างคอยกันมิให้เซล้ม
“เราทั้งสามจะร่วมกล่าวขอถึงไตรสรณคมน์ด้วยกัน” วินตกะครุฑเอ่ยเสียงกังวาน
ทั้งสามคุกเข่าพร้อมเพรียง หันหน้าไปทางสาลวโนทยาน ด้วยใจหวังให้พระพุทธองค์แลหมู่สงฆ์ทั้งหลายได้ร่วมเป็นสักขีพยาน
ดวงตาเปี่ยมความเชื่อมั่นศรัทธา กระแสเสียงกังวานก้องเหนือผืนน้ำเป็นหนึ่งเดียว
“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”
“ตลอดการเวียนว่ายตายเกิดนับจากนี้...ข้าพเจ้าทั้งสามขอยึดมั่นในพระรัตนตรัย โดยมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งสูงสุด...ไม่มีสรณะอื่นยิ่งกว่านี้อีกแล้ว”
บทที่ ๑๖
ตอนสาย
ผลึกครุฑนาคถูกนำออกจากมือรอยเธียร พยุหะแล้วคล้องคอมัชฌิมาตามเดิม
“ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” พันเกลียวบอก
“แต่ทุกคนยังไม่ฟื้นกันเลยนะคะ” รอยธาราไม่แน่ใจ
“ให้พวกเขาได้พักผ่อนเต็มที่เถอะ” สตรีทรงเวทไม่อธิบายยืดยาว
พอได้ยินวาจาเช่นนั้นเธียร รอยจันทร์ถอนใจโล่งอก ความที่รู้จักกันมานานย่อมเข้าใจว่านั่นคือเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยแล้ว
สองหนุ่มถูกจัดให้เอนนอนบนโซฟายาวในท่าสบายขึ้น จากนั้นเธียรขอตัวไปดูแลงานที่บริษัท ปล่อยให้ภรรยากับลูกสาวอยู่เป็นเพื่อนพันเกลียวแทน
ใกล้เที่ยง สามหนุ่มสาวยังไม่มีวี่แววฟื้น
รอยธาราเปิดอินเตอร์เน็ตดูข่าวต่าง ๆ ฆ่าเวลา ผลที่ได้ทำให้หัวคิ้วขมวด หน้าบูดบึ้ง อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นระยะ
พันเกลียวปรายตามองโดยไม่พูดอะไร รอยจันทร์เป็นฝ่ายสะกิดลูกสาว
“ถ้าอ่านข่าวแล้วมันเครียดขนาดนี้ก็ไม่ต้องไปดูมัน”
รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่
“ไม่ดูไม่ได้หรอกค่ะแม่...เรื่องมันลามกันไปใหญ่แล้ว ขนาดน้ำเข้าไปบอกแล้วว่าเพจโดนแฮก รูปกับคลิปที่ลงไม่เกี่ยวกับแอดมิน คนก็ไม่สนใจ กลายเป็นว่าเจ้ามาถูกขุดประวัติละเอียดเลยว่าเป็นใคร มาจากไหน เป็นนางเอกโฆษณาชิ้นนี้ได้ยังไง ตอนนี้ได้ฉายาแล้วว่าเป็น ‘นางเอกส้มหล่น’‘หวานใจซุป’ตาร์’ นี่ยังดีนะทางทีมงานไม่ได้ปล่อยข่าวว่าป่วยเข้าโรงพยาบาล ไม่งั้นนักข่าวคงแห่มากันตรึม ยิ่งเจอพี่ลุยนอนห้องเดียวกันแบบนี้ แก้ข่าวกันไม่ออกแน่”
รอยจันทร์ฟังแล้วอมยิ้ม ขำขัน ความที่ประสบกับเรื่องราวข่าวเสียหายทั้งจริงและลวงในวงการบันเทิงมามากจึงไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจนต้องมากลุ้มใจขนาดนั้น
“อยู่เฉย ๆ ซะ เขาอยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่ต้องไปดิ้นรน เดือดร้อนอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็มีข่าวใหม่มากลบเอง”
ลูกสาวได้สตินิ่งอั้น คิดทบทวนจนเห็นจริงก่อนพยักหน้าเข้าใจ
“จริงค่ะ น้ำก็ว่าอย่างนั้น”
ขณะพูดใจเกิดสังหรณ์ร้ายว่า...ข่าวที่มากลบเรื่องนี้อาจหนักหนา แย่กว่าข่าวแรกก็ได้
ตอนนี้ไม่อยากกลุ้มล่วงหน้าวุ่นวาย มองสองหนุ่มหลับสบายบนโซฟาอย่างนึกอิจฉา
“เฮ้อ...เมื่อไหร่จะตื่นกันเนี่ย ถ้าไอ้พี่ลุยมันตื่นมาเห็นข่าวนี้จะโวยวายมั้ยนี่”
“ไม่หรอก ตั้งแต่เข้าวงการพี่ชายเราโดนข่าวจับคู่มาเป็นสิบคนแล้วมั้ง มีตัวจริงสักกี่คนเชียว” รอยจันทร์พูดอย่างรู้จักลูกชายดี
พอแม่ไม่เดือดร้อน รอยธาราผ่อนคลายตาม มองหน้าชายหนุ่มผู้หลับไหลทั้งสองแล้วอมยิ้ม
“แม่ว่ามั้ย อีตาพายุนี่หล่อไม่แพ้พี่ลุยเลยนะ ยิ่งตอนนอนหลับไม่มองใครด้วยตาดุ ๆ แบบนี้ ตัดสินไม่ถูกเลยนะว่าใครหล่อกว่าใคร”
รอยจันทร์หัวเราะเบา ๆ หยอกลูกสาวอย่างอารมณ์ดี
“ไงล่ะเรา...เจอคนหล่อไม่แพ้พี่ชายตัวเองแบบนี้ จะยอมมีแฟนแล้วเหรอ”
ที่พูดเช่นนี้เพราะแม่ลูกสาวตัวดีเคยประกาศก้องตั้งแต่สมัยวัยรุ่นมีหนุ่มมาจีบคนแรกว่า...ถ้าผู้ชายคนไหนหล่อสู้รอยเธียรพี่ชายตัวเองไม่ได้ อย่าโผล่หน้ามาจีบเชียว เธอไม่มีทางมองเด็ดขาด
“สวยเลือกได้เชียวนะลูกสาวแม่” รอยจันทร์ขำขันจิ้มหน้าผากลูกสาวอย่างหมั่นไส้
“ลูกพ่อไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนนี่” เธียรหัวเราะอารมณ์ดี
ความจริงในใจที่รอยธาราไม่คิดบอกใครก็คือ...
เมื่อได้ความทรงจำเก่า ยืดยาวข้ามภพชาติแบบเธอนั้น ทำให้จดจำการใช้ชีวิตในชาติหนึ่ง ๆ ได้ชัด จำได้ตั้งแต่ตอนเข้าโรงเรียน เหนื่อยยากทำงานจนร่ำรวย มีความรัก พบความผิดหวังสมหวัง แต่งงานสร้างครอบครัว ฟูมฟักเลี้ยงลูก ส่งเสริมลูกให้เจริญก้าวหน้า เห็นลูกมีครอบครัว แล้วต้องมานั่งเลี้ยงหลานในบั้นปลายชีวิต หนำซ้ำด้วยใจรักห่วงใยหลานสาว ขนาดตายแล้วยังไม่ไปสู่สุคติ ต้องเป็น ‘ผี’ มาคอยดูแลหลานสาวตัวเองอีก
...ไม่เอาแล้ว...ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น...
ใจเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากกลับไปสู่วังวน วัฏจักรเดิม ๆ อย่างคนทั่วไปอีก
เจ้าหล่อนรู้ว่าขืนอธิบายแบบนั้นในช่วงวัยสิบสามสิบสี่ คงถูกหาว่า ‘แก่แดด’ เลยแกล้งประกาศเงื่อนไขไปอย่างนั้นเอง
ใครจะคิดว่าต้องมาเจอผู้ชายหล่อระดับรอยเธียรเร็วขนาดนี้
ถ้าไม่รู้ประวัติว่าเป็นลูกหลานใคร รอยธาราคงชื่นชมความหล่อเท่มีเอกลักษณ์ของพยุหะได้ง่าย ๆ พอรู้แล้วใจมันก็มองเขาไปอีกแบบหนึ่ง
...ใครจะบ้าไปหลงรัก ‘เหลน’ ตัวเองลง!..
พอได้ยินมารดาถามทีเล่นมีจริงแบบนั้น หญิงสาวจึงแกล้งไม่ตอบ หันไปเปิดมือถือไล่ดูข่าวอย่างไม่รู้จะทำอะไร
พบข่าวด่วนทำให้ชะงักสนใจ สังหรณ์ไม่ดีผ่านมาวูบหนึ่ง
รอยธารารีบเข้าเฟซบุ๊คแล้วตามไปดูการไลฟ์สดที่กำลังเป็นข่าวน่าสนใจขณะนี้ พอเห็นภาพที่ปรากฏ คอมเม้นท์ผุดพราวเลื่อนขึ้นรวดเร็วจนแทบอ่านไม่ทันใจก็หล่นวูบ
แม่พูดถูก...เดี๋ยวก็มีข่าวอื่นมากลบข่าวแฟนใหม่ซูเปอร์สตาร์รอยเธียรอยู่ดี...แต่ทว่า...ข่าวนั้นมันหนักข้อ สร้างปัญหาแก่ทุกคนยิ่งกว่าข่าวเดิมเสียอีก
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ศพกัลยาถูกฝังริมฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดีตามประสงค์ ชัยยะนำกำไลนาคราช สัญลักษณ์ของท่านกุมภนาคราชฝังรวมกับนางไปด้วย วินตกะนำเม็ดมณีสีแดงที่เคยให้พญานาคาใช้ต่อกรกับเนวะวางไว้ตรงหน้าอกนางเช่นกัน
ครุฑนาคทั้งสองบังเกิดความผูกพันฉันท์สหธรรมิก สหายทางธรรมอย่างไม่เคยเกิดกับสองเผ่าพันธุ์มาก่อน
ทั้งสองกล่าววาจาขอถึงไตรสรณคมน์ร่วมกัน นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน อีกทั้งยังปรารถนาดี ผูกพันต่อสตรีในหลุมศพไม่แตกต่างกัน
สายใยผูกพันเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาจากลาจึงบังเกิดความอาลัย
“พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ท่านจะอยู่รอจนถึงเวลาถวายพระเพลิง เผาสรีระสังขารหรือไม่” ชัยยะนาคาเอ่ยถาม
“ไม่หรอก แค่เราได้ร่วมน้อมส่งองค์พระไตรโลกนาถสู่พระนิพพานคราวนี้ก็พอใจแล้ว ถึงเวลาต้องกลับเสียที แล้วตัวเจ้าล่ะ” ครุฑถามกลับ
“ข้าต้องกลับไปรับใช้เจ้านาย แล้วแต่ท่านกุมภนาคราชจะตัดสินใจอย่างไร”
แววตาวินตกะครุฑอ่อนลง น้ำเสียงนุ่มนวล
“เมืองบาดาลแห่งนาค กับแดนครุฑที่เขาพระสุเมรุ หากจะนับว่าใกล้ก็ใกล้ หรือจะบอกว่าไกลก็ไกล ด้วยเราสองเผ่าพันธุ์ไม่ใคร่สมัครสมานไปมาหาสู่ข้ามเขตแดนกันฉันท์มิตรสหายเท่าไร”
ชัยยะนาคายิ้มรับ
“ถึงสงครามสองเผ่าพันธุ์จะจบลงแล้ว แต่สองฝ่ายคงไม่สนิทใจต่อกันเท่าใด หากไม่มีธรรมะพระพุทธองค์เป็นสะพานเชื่อมแล้ว ข้ากับท่านคงไม่อาจร่วมทางกันได้เช่นนี้”
วินตกะครุฑปรายตาอ่อนโยนมองยังหลุมศพกัลยา
“เช่นนั้นต้องนับว่า สตรีผู้นี้ก็เป็นอีกหนึ่งสะพานที่เชื่อมให้พวกเราร่วมทางกัน”
“ท่านมิอยากรู้หรือว่ากัลยาไปเกิดในที่ใด” นาคาถามด้วยความข้องใจ
“เราเจ้าล้วนไม่มี ‘จุตูปปาตญาณ’ ที่จะหยั่งรู้การเกิด-ตายของสัตว์โลก ต่อให้อยากรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ครุฑตอบ
“ตอนพวกท่านเข้าไปในสาลวโนทยาน ข้าเห็นพระภิกษุสาวกจำนวนไม่น้อยมีทิพยจักษุ หากเราไปกราบขอความเมตตาไถ่ถามจากพวกท่านก็น่าจะได้”
ดวงตาครุฑฉายรอยตำหนิอีกฝ่าย
“เราจะไปรบกวนให้ท่านวุ่นวายในเรื่องที่มิใช่กิจของสงฆ์ทำไม” หยุดกล่าวชั่วขณะ ก่อนอธิบายต่อ
“พวกเราทั้งสามได้ร่วมกันกล่าวขอถึงไตรสรณคมน์ โดยน้อมจิตขอให้พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นพยานแล้ว ด้วยกรรมดีเช่นนี้ ย่อมเป็น ‘พลวปัจจัย’ นำให้พวกเรามาเจอกันอีกยังภพภูมิอันเหมาะสม ในกาลข้างหน้าอยู่แล้ว”
ชัยยะนาคาเปิดรอยยิ้มสว่าง ยกมือประณมไหว้วินตกะครุฑในฐานะที่ตนอ่อนอาวุโสกว่าทั้งศักดิ์และความรู้
“ข้าน้อยเห็นจริงตามนั้นแล้ว ขอบพระคุณสำหรับการเตือนสติอันมีค่านี้”
สองครุฑนาคล่ำลากันในลักษณาการเช่นนี้
วินตกะครุฑ ชัยยะนาคาหมดความข้องใจอยากรู้ว่ากัลยาไปเกิดที่ไหน อย่างไร พยุหะ รอยเธียรกลับอยากทราบความเป็นไปในอดีตชาติมัชฌิมาจนถึงที่สุด
จิตพวกเขาทั้งสามยังเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกันเช่นนี้ ไม่ยากเลยที่จะตามไปดูภพถัดมาของกัลยา
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ตั้งแต่พ่ายจนหมดรูป กลายเป็นคนธรรมดาที่บาดเจ็บ อาจารย์เนวะไม่กล้ากลับเมืองอมฤตอีกเลย เนื่องด้วยชาวเมืองผู้มีศีล ต่างเสื่อมศรัทธารังเกียจการกระทำที่เขาสังหารศิษย์ทั้งสอง รวมถึงพ่อแม่กัลยา
กฤตยาคมเสื่อมสูญ อาคม กำแพงมิติย่อมถูกถอน ชาวเมืองสามารถออกจากเมืองได้ แต่ส่วนใหญ่พอใจกับความสงบสันติในหุบเขา และด้วยที่ตั้งเมืองอันเร้นลับ ภายในยี่สิบสามสิบปีบุคคลภายนอกยังเสาะหาเมืองนี้ไม่เจอ
ด้วยสายบุญกรรมผูกพัน กัลยามาเกิดเป็นรุกขเทวนารี นางไม้ผู้ปกปักดูแลเมืองอมฤตและอาณาเขตป่าโดยรอบ คอยช่วยเหลือพยากรณ์ภัยทางธรรมชาติ บอกถึงอันตรายต่าง ๆ ที่จะมาสู่เมืองอมฤตล่วงหน้าแก่ผู้เฒ่าซึ่งมีจิตสื่อต่อนางเป็นพิเศษ
เมืองอมฤตเกิดความสงบสุขต่อมาอีกช้านาน จนกระทั่งลูกหลานเด็กรุ่นใหม่เริ่มออกเดินทางติดต่อกับโลกภายนอก รับวัฒนธรรมใหม่ ๆ เข้ามา ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเมืองรุ่นเก่าที่ตั้งมั่นในศีลธรรมล้มหายตายจากตามกาลเวลา เมืองแห่งนี้จึงไม่แตกต่างจากหมู่บ้านผู้คนทั่วไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ตำนาน
นางไม้กัลยามิได้ลืมเลือนครุฑนาคผู้มีพระคุณ แต่ไม่มีเรื่องราวใดต้องบุกบั่นไปถึงเมืองบาดาล หรือทะยานฟ้าสู่แดนครุฑ ชีวิตนางเพลิดเพลินอยู่ด้วยอำนาจบุญกุศลหล่อเลี้ยง ทำงานช่วยเหลือผู้คนชาวเมืองด้วยใจเมตตาจนกาลเวลาผ่านไปรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|