วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๘



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ระหว่างถ่ายทำฉากสุดท้าย รอยธารานึกหวั่นใจกลัวฝ่ายตรงข้ามหาโอกาสเล่นงาน พยายามสังเกตระแวดระวังพร้อมรับเหตุไม่คาดฝันตลอดเวลา

            ฉากสุดท้ายใช้เครื่องทำฝนเทียมออกมาเหมือนจริง พระเอกวิ่งฝ่าฝนมาหานางเอกด้วยสภาพเปียกปอน ทีมงานถ่ายทำละเอียดทุกช็อตทุกขั้นตอน แค่ซีนเดียวพระเอกต้องวิ่งฝ่าฝนไม่ต่ำกว่าสิบเทค

            ช่างแต่งหน้า ทีมงานสาว ๆ ต่างบ่นสงสารพระเอกเป็นแถบ ๆ ถึงอย่างนั้นก็อดชื่นชมไม่ได้

            “ต๊าย...ผู้ชายอะไรตัวเปียกม่อลอกม่อแลกยังหล่อซะขนาดนี้”

            “แหม...อิจฉา ‘นัง’ เอกจริงจริ๊ง!”

            “พ่อคุณเอ๊ย หล่อวัวตายควายล้มของจริง ฝนเทียมทำอะไรน้องลุยไม่ได้เลย...หล่อทะลุฝนซะขนาดนั้น”

            หญิงสาวได้ยินเสียงชื่นชมพี่ชายตนเองบ่อยจนชาชิน นึกขันจนอยากแฉความจริงว่า ซูเปอร์สตาร์สามีแห่งชาติคนนี้ ไม่ได้หล่อทุกมุมทุกองศาอะไรขนาดนั้นเลย

            เวลาทำตัวเกรียนแกล้งน้องสาวก็น่าถีบมากกว่าน่ารัก เวลาโมโหอาละวาดฟาดหัวฟาดหางความหล่อก็ไม่มีเหลือ ตอนอยู่กับเพื่อนสนิทผู้ชายก็ลามกไม่แพ้ใคร ยิ่งสมัยวัยรุ่นก็ติดหล่อ หลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ ถ้าไม่ได้หลวงน้าคอยขนาบ ดัดสันดานสกัดอัตตาไม่ให้เติบโตเป็นระยะ รอยเธียรไม่มีทางเป็นเช่นทุกวันนี้แน่

            เผลอฟังเสียงชื่นชมพี่ชายจนขาดสติครู่ใหญ่ นึกได้ว่าต้องคอยระวังภัย สายตาจึงกวาดมองรอบสตูดิโออีกครั้ง

            คราวนี้มองเห็นใครบางคนซุ่มยืนเงียบ ๆ อยู่มุมสตูดิโอ ไม่แสดงตัวเป็นจุดสนใจ

            รอยธาราขมวดคิ้วจำได้ว่าเคยเห็นคนนี้มาก่อน...ชายชราผอมบางมีกลิ่นอายความเป็นเจ้าอาคม เคยปรากฏกายที่ศาลาวัดป่ามาแล้ว

            ความตื่นตัวเกิดขึ้น เอื้อมมือจับลูกประคำข้อมืออย่างหวังพึ่งพา รอยอบอุ่นซึมซาบช่วยให้เกิดกำลังใจ ลุกยืนแล้วค่อย ๆ เดินอ้อมสตูดิโอไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ให้รู้ตัว

            เดินไปถึงมุมสตูดิโอตรงที่ชายชรายืนอยู่กลับไม่พบพานใคร คล้ายเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาล่อลวง เกิดสังหรณ์ร้ายขึ้นวูบหนึ่ง เวลาเดียวกับผู้กำกับสั่งคัท ทีมงานเฮลั่นยินดี

            รอยธาราหันไปทางกองถ่าย พระเอกนางเอกเพิ่งผละจากอ้อมกอดกัน ต่างแยกย้ายยกมือไหว้ขอบคุณผู้กำกับ ทีมงานทุกคนอย่างมีมารยาท

            การถ่ายทำเสร็จสิ้นด้วยดี สังหรณ์ ความหวั่นวิตกควรจางหาย...ทว่า...มันกลับรุนแรงกว่าเดิม

            หญิงสาวรีบเดินกึ่งวิ่งไปทางกองถ่ายเพื่อรอรับเพื่อนและพี่ชาย...ทันใดนั้น...



            ครืน...ซู่ซู่...เสียงเหมือนเอฟเฟกต์ฟ้าร้องดังลั่น น่าแปลกที่มันเกิดแรงสั่นสะเทือนตามมาราวกับเป็นการคำรามจากนภาจริง ๆ เครื่องทำฝนเทียมสำหรับการถ่ายทำเกิดทำงานเองโดยไม่มีใครสั่ง ส่งผลให้เกิดสายฝนกระหน่ำหนักกลางกองถ่ายอีกครั้ง

            ทีมงานรีบวิ่งปิดเครื่องแต่ไม่สำเร็จ ที่ร้ายกว่านั้น หัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติที่อยู่บนเพดานสตูดิโอก็ปล่อยน้ำลงมาห่าใหญ่ ทั้งที่ไม่มีเปลวไฟไปโดนสักนิด

            ทั่วทั้งสตูดิโออยู่ใต้ม่านฝนอันหนาหนัก ทีมงานเปียกปอนรีบหาผ้ายางมาคลุมอุปกรณ์เครื่องมือสำคัญกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ประจำสตูดิโอรีบออกไปหาทางปิดวาล์วน้ำดับเพลิงข้างนอกอย่างรวดเร็ว

            ท่ามกลางความโกลาหล สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นกลางม่านน้ำอย่างเหลือเชื่อ

            มันเป็นลำตัวงูขนาดใหญ่ยืดยาวกำลังลอยแหวกว่ายกลางม่านนทีอย่างเริงร่า เกล็ดเป็นเงาละเลื่อมจับตา ศีรษะมีหงอนเชิดเด่นบอกความหยิ่งทระนง

            ผู้คนในสตูดิโอยืนนิ่งงันราวถูกสะกด มองพญานาคเล่นน้ำโดยไม่อาจปริปาก ขยับตัวสักนิด ม่านน้ำฝนที่เห็นเสมือนเป็นมหาสมุทรกว้าง คลื่นลมแรง เจ้าแห่งวารีลอยล่องดำผุดดำว่ายดังกำลังเล่นสนุกสนานอยู่ในดินแดนตน

            ไม่นานปรากฏพญาครุฑสะบัดปีก กางกรงเล็บโฉบลงมาหวังตะปบเหยื่อขึ้นเหนือห้วงน้ำกว้าง นาคาพลิกกายหนีอย่างคล่องแคล่ว พร้อมพ่นเพลิงพิษเข้าต่อสู้

            เจ้าแห่งปักษาใช้เพียงปลายปีกก็สะกิดไฟร้ายจนมอดดับ กรงเล็บไม่คลาดจากกลางหลังเหยื่อที่ตนมุ่งเป้า พุ่งเข้าใส่อย่างหมายมั่น ปีกกระพือจนคลื่นน้ำซัดซ่าแตกกระจาย

            พญานาคมุดลงกลางมหาสมุทร พญาครุฑจู่โจมตามลงไปโดยไม่หวั่นเกรง การโรมรันต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายเป็นไปอย่างตื่นเต้น หวาดเสียว

            พญาครุฑลงน้ำได้ชั่วขณะก็พุ่งตัวขึ้นมาตั้งหลัก สะบัดปีกแล้วเปล่งคลื่นเสียงลงไปสร้างความปั่นป่วนแก่พญานาคาจนไม่อาจดำลงน้ำลึกได้ ต้องโผขึ้นมาเหนือน้ำพ่นเพลิงพิษรุนแรงกว่าเก่าเข้าต่อสู้

            การต่อสู้ระหว่างพญานาคาผู้หวังเอาชีวิตรอด กับพญาครุฑผู้หมายจับเหยื่อโอชะเป็นไปอย่างตื่นเต้น ต่างฝ่ายไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมถอยต่อกันง่าย ๆ ม่านน้ำฝนกลายเป็นฉากตระการตา แสดงการต่อสู้ที่สะกดผู้ชมจนลืมตัว ราวกับหลุดไปอยู่ในโลกมายา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หลังเสียงสั่งคัท รอยเธียรแปลกใจที่การถ่ายทำตลอดทั้งวันผ่านไปด้วยดี ใจไม่ค่อยอยากเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ลงมือ ปล่อยทุกอย่างสะดวกราบรื่น

            จนเกิดเหตุประหลาดเช่นนี้ค่อยรู้ว่า ศัตรูร้ายแค่รอคอยเวลา ช่วงที่คู่ต่อสู้ประมาทผ่อนคลายการระวังตัว

            เมื่อเริ่มจู่โจม เป้าหมายแรกของมันคือ...มัชฌิมา

            ชายหนุ่มมองหาหญิงสาวที่เพิ่งออกจากอ้อมกอดตนไม่นาน พบว่าเธอไม่ได้อยู่บริเวณใกล้ ๆ ม่านน้ำที่สาดสายโดยรอบเป็นกำแพงกั้นให้มองหากันไม่เห็น

            “มา...มาอยู่ไหน” เขาส่งเสียงร้องเรียก

            ครืน...เสียงคำรามจากฟ้ากลบคำกู่เรียกนั้น

            รอยเธียรแทบแยกไม่ออก สิ่งใดเป็นเอฟเฟกต์ทีมงาน สิ่งใดเป็นฤทธิ์อาคมจากฝ่ายตรงข้าม มันปนเปสับสนหลอกล่อจนเขามึนงงไม่รู้ควรรับมืออย่างไร

            มายาภาพพญานาคปรากฏกลางม่านฝน ตามด้วยการบุกจู่โจมจากพญาครุฑผู้หวังล่าเหยื่อ การต่อสู้น่าตื่นตาตื่นใจสะกดผู้คนให้หลงอยู่ในภวังค์ราวกับโดนเวทมนตร์

            ในหัวสับสนเรียงลำดับไม่ถูก เขาควรขจัดมายาภาพช่วยคนเหล่านี้หรือตามหามัชฌิมาก่อน

            ชายหนุ่มสะบัดหน้าเรียกสติ ระลึกถึงหลวงน้า...จิตใจค่อยเยือกเย็น ในใจได้คำตอบชัด

            เวลานี้ต้องปกป้องคุ้มครองมัชฌิมาก่อน มายาภาพสะกดคนเช่นนี้ปล่อยไว้ก่อนได้

            ยืนกลางม่านน้ำหลับตาจิตรวมนิ่ง ใช้สัญชาตญาณแห่งนาคาแผ่ซอกซอนไปตามกระแสวารีที่กระหน่ำซัด โสตประสาท ฆานประสาท ผัสสะพิเศษว่องไวคมกริบกว่าปกติ

            ความโกลาหลวุ่นวายรอบตัวไม่อาจปิดบังสัมผัสรู้แม้แต่น้อย สุดท้ายรอยเธียรลืมตาขึ้น นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้า ภาพนิมิตบุคคลที่ตามหาปรากฏขึ้นตรงหน้า

            ...รู้แล้ว...มัชฌิมาอยู่ที่ไหน...เผชิญหน้ากับสิ่งใด...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อกองทัพน้ำกระหน่ำสตูดิโอขนาดนั้น รอยธารารีบถอยไปยืนตรงมุม จุดที่สายน้ำสาดไม่ถึง กวาดตามองดูสถานการณ์ทั้งหมดพร้อมมีข้อสรุปในใจ

            ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ได้เกิดจากการขัดข้องทางเทคนิค มันคือความจงใจจากบุคคลผู้ซ่อนเร้น...อาจเป็นชายชราที่ซุ่มอยู่เมื่อครู่

            ตาอ่ำเคยเล่าให้ฟังว่า ชายชราผู้ปรากฏตัวบนศาลาวันนั้นคือลูกน้อง ‘เนวะ’ ศัตรูรอยเธียร มีอาคมกล้าแข็งที่มานี่ก็เพื่อสืบข่าวหาร่องรอยพี่ชายเธอ เนื่องจากตาอ่ำใช้วิชาอำพรางวัดป่าไว้ ญาณหยั่งรู้ภายนอกแทรกเข้ามาไม่ได้

            เมื่อเนวะใช้ญาณตรวจสอบไม่ได้จึงส่งลูกน้องลงสนามมาแทน ตาอ่ำจึงใช้อิทธิฤทธิ์ลวงตา แกล้งให้สับสนเป็นการลองวิชา ตั้งใจเล่นงานให้หนักกว่านั้นแต่หลวงน้าส่งกระแสจิตมาเตือนก่อน

            ‘เขาอยากมาดูอะไรก็ปล่อยเขาสิ ตาอ่ำวุ่นวายทำไม’

            นั่นแหละ ‘สายสืบ’ จึงสามารถเดินทั่ววัดป่าอย่างปลอดโปร่ง ไม่เจออิทธิฤทธิ์ใดขัดขวาง

            วันนี้สายสืบเจ้าอาคม สมุนเอกเนวะมาถึงสตูดิโอย่อมไม่คิดทำเรื่องดีแน่ ฝีมือระดับนี้แค่สั่งให้เครื่องทำฝนเทียมทำงานเองโดยไม่มีใครเปิด หัวดับเพลิงอัตโนมัติปล่อยน้ำทั้งที่ไม่มีไฟหรือควันไฟนับเป็นเรื่องง่ายดาย

            ยิ่งกว่านั้นยังล็อคเครื่องไว้ไม่ยอมให้ใครปิดมันได้เพื่อสร้างมายาภาพ หวังผลเร้นลับบางอย่าง

            เมื่อฝ่ายตรงข้ามเล่นงานด้วยไสยศาสตร์ ก็ต้องใช้วิธีเดียวกันตอบโต้ รอยธาราไม่มีวิชาอาคมใด แต่มีของขลังชั้นเลิศติดตัว

            หญิงสาวใช้มือสัมผัสลูกประคำ ระลึกถึงตาอ่ำผู้สร้างประคำข้อมือชิ้นนี้

            “ตาอ่ำ...ช่วยน้ำด้วยค่ะ”

            ลูกประคำบังเกิดความร้อนวะวาบแทนการตอบรับ รอยธารามองเห็นเงาร่างราง ๆ ของตาอ่ำปรากฏขึ้นตรงเครื่องทำฝนเทียมชั่วขณะก่อนหายวับ

            ขณะนั้นภาพการต่อสู้ระหว่างนาคครุฑดำเนินมาถึงตอนตื่นเต้นคับขัน เจ้าแห่งปักษากางกรงเล็บเข้าตะปบศีรษะเหยื่อ พญาแห่งวารีดิ้นรนสุดชีวิต...และแล้ว

            กรงเล็บห่างเพียงคืบเดียวภาพก็ชะงักค้างเลือนหาย สายน้ำที่หลั่งไหลก็ขาดห้วง ทิ้งสายปรอย ๆ ลงมาระลอกสุดท้ายไม่ต่างจากผ้าม่านถูกฉีกขาดไหลกองรวมกับพื้น

            ทุกคนในสตูดิโอสะดุ้งเฮือกตื่นจากภวังค์ คล้ายหลับฝันมายาวนาน แต่ละคนเหลียวมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ล้วนมีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ทิ้งเกลื่อนกลางพื้นน้ำที่เจิ่งนอง

            รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่ ขยับตัวออกจากจุดที่ยืนแล้วมองหาสองคนที่เธอเป็นห่วง

            สายตากวาดทั่วสตูดิโอพบผู้กำกับ ทีมงาน เจ้าหน้าที่ยืนงงกันหน้าสลอน แต่ไม่พบคนที่ต้องการ

            “น้องลุยกับนางเอกใหม่หายไปไหนแล้ว”

            เสียงจากทีมช่างแต่งหน้าทำให้ทุกคนเพิ่งสังเกต กวาดตามองหาจนแน่ใจว่าไม่มีคนทั้งสองจริง ๆ

            สตูดิโอกว้างขวางก็จริง ทีมงานเจ้าหน้าที่ในนั้นก็มีไม่น้อย รอยเธียร มัชฌิมาไม่ควรเล็ดรอดสายตาได้

            ช่วงเวลาวุ่นวายสับสน ไม่น่ามีใครออกจากสตูดิโอ...เช่นนั้นสองหนุ่มสาวหายไปไหน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฉากสุดท้าย ริมชายคาร้านดอกไม้ เสียงเพลงบรรเลงสร้างบรรยากาศ การถ่ายทำนี้เสมือนเหตุการณ์จริงเหลือเกินในความรู้สึกมัชฌิมา

            จริงจนอดเผลอคิดไม่ได้ว่านางเอกในโฆษณานั้นคือตัวเธอเอง

            วันที่รอยเธียรร้องเพลงให้กำลังใจ เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจมีใจ มองเธอเกินกว่าเพื่อนน้องสาว แต่หลังจากนั้นเขายังรักษาระยะห่างความสัมพันธ์เหมือนเดิม จนต้องยอมรับและมองเขาเป็นเหมือนพี่ชาย เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า เปล่งประกายงดงามแต่ห่างไกลเหลือเกิน

            ดาวดวงนั้นไม่มีทางร่วงหล่นมากลางใจแน่นอน

            เรื่องราวในโฆษณาวันนี้เหมือนต่อเติมความฝันของเธอให้เป็นจริง...

            มัชฌิมาแอบคิดเอาเองว่าทุกรอยยิ้ม ทุกสัมผัส ทุกการกระทำของรอยเธียรในโฆษณาชิ้นนี้ไม่ใช่การแสดง เป็นความรู้สึกจริงจากใจเขา...โดยเฉพาะฉากสุดท้าย

            ฝนตกหนัก เขาวิ่งตัวเปียกปอนฝ่าฝนฝ่าพายุมาหาด้วยหัวใจเปี่ยมความรัก หัวอกเธอปลื้มปีติยินดีจนน้ำตาไหล เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างเต็มใจ สัมผัสเต็มตื้นด้วยจิตใจอบอุ่นปลอดภัย รอบกายสว่างไสวทั้งที่ฟ้าฝนคำรามอยู่รอบตัว

            พอเสียง ‘คัท’ ดังขึ้น รอยเธียรคลายอ้อมกอดอ่อนโยน ส่งรอยยิ้ม ‘พี่ชาย’ คนเดิมมาให้ มัชฌิมาจึงได้สติ ข่มความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในอก ยิ้มตอบเขาอย่างกล้าหาญยอมรับความจริง

            ความฝันชั่วเวลาสั้น ๆ จบลงแล้ว ทั้งหมดเป็นแค่การแสดง

            ในความเป็นจริงเขามองเธอไม่ต่างจากรอยธารา น้องสาวที่เอ็นดู เป็นห่วง ไม่ได้รักหรือเคยมองอย่างเห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเลย

            ตั้งสติกลับเป็นตัวเอง สลัดบทบาท ความรู้สึก ‘นางเอก’ ออกไป ยกมือไหว้ผู้กำกับ ทีมงานทุกคนอย่างขอบคุณที่ให้โอกาสอันสวยงาม น่าจดจำไม่รู้ลืมเช่นนี้

            ชั่วเวลาไม่นานบรรยากาศรอบตัวพลิกผัน สตูดิโอกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง

            สายฝนกระหน่ำหนักลงมาพร้อมเสียงฟ้าร้องคำรามครืนครัน มัชฌิมาหนาวสั่นรอบตัวมืดมิดมองไม่เห็นอะไรชั่วขณะ

            เธอหมดสติไปวูบหนึ่งแล้วกลับมารู้สึกตัวยังสถานที่ชวนหวาดหวั่น คาดไม่ถึง...



            กลางทะเลคลั่ง คลื่นขนาดใหญ่โยนตัวไปมาทำให้เรือลำน้อยไหลตามกระแสคลื่นไม่ต่างจากใบไม้แห้ง สุดแต่ชะตากรรมจะพาไปแห่งใด

            มัชฌิมานั่งอยู่บนเรือลำนั้น มือเกาะกราบเรือแน่นใจสั่นระรัวกลัวร่างจมดิ่งลงกลางมหาสมุทร

            เบื้องหน้าเป็นสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างกองทัพพญานาค และพญาครุฑจำนวนมหาศาล ราวกับเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์อันน่าตระหนก

            กลางท้องฟ้าหนาแน่นด้วยเมฆดำทะมึนฝูงพญาครุฑสะบัดปีกบินกระจายเต็มไปหมด เบื้องล่างคลาคล่ำด้วยเหล่าพญานาคลอยคอเชิดหงอนอย่างทระนงไม่แสดงอาการหวาดหวั่น

            ทั้งสองฝ่ายต่อสู้รุกรับกันจนมหาสมุทรปั่นป่วน พญาครุฑโฉบลงมาตะปบ จิกตีฝูงนาคา ฝ่ายที่อยู่ในน้ำก็ตวัดพันรัด ฉุดครุฑให้จมดิ่งแล้วกลุ้มรุมเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้

            เพลิงพิษสีส้มพุ่งเป็นลำยาวขึ้นสู่ฝูงเจ้าเวหา ถูกตอบโต้กลับมาด้วยอสุนีบาตสีเงินยวงอันร้ายกาจ ต่างฝ่ายใช้อิทธิฤทธิ์พลังแห่งตนเข้าโรมรัน ห้ำหั่นกันราวกับว่ามันเป็นสมรภูมิสุดท้าย

            มัชฌิมาเกาะกราบเรือแน่น ใจสั่นระรัวเบิกตามองอย่างไม่เชื่อว่าตนจะมาอยู่กลางสมรภูมิสองเผ่าพันธุ์อย่างใกล้ชิดขนาดนี้ หัวอกสั่นไหวตอบไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดี

            “ระหว่างนาคกับครุฑ เจ้าหวังให้ผู้ใดได้ชัย” คำถามผุดกลางหัว เสียงคล้ายใครสักคนไถ่ถามอย่างเยาะหยัน

            หญิงสาวขบริมฝีปากแน่น ตั้งสติระลึกถึงผลึกครุฑนาคที่ลำคอ สัมผัสกระแสพลังงานอันอ่อนโรย บอกให้ทราบว่ายากต่อต้านฤทธีจากบุคคลผู้ส่งเสียงถามนั้นได้

            “ไม่...ฉันไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้” ใจตอบกลับห้าวหาญ

            “งั้นจงดูความพินาศของมันทั้งสองฝ่าย...เพราะสุดท้ายผู้ได้ชัยก็คือเรา” คำประกาศก้องบอกถึงความอหังการ

            “...ท่าน...เน...วะ...” เสียงหลุดจากลำคอหญิงสาวอย่างเผลอไผล ตอบไม่ได้ว่าชื่อนี้ออกมาได้อย่างไร

            “เจ้าเคยเรียกเราว่า...อาจารย์...” คำพูดแฝงรอยโทสะเคืองแค้น

            ในหัวมัชฌิมาบังเกิดอาการสับสน ความทรงจำเก่าใหม่ เรื่องจริง-ความฝัน ความเป็นตัวตนปัจจุบัน ความเป็นตัวตน ‘อีกคน’ สลับสับเปลี่ยนจนแยกแยะไม่ออกว่าตัวเองเป็นใคร

            ...ไม่มีเรา...คำสอนที่ซ่อนเร้นในความทรงจำผุดขึ้น

            “มีแต่ความหลงผิดคิดว่า ‘มีเรา’ จริง ๆ มีเราไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ มีความเป็นเราไปติดยึดหลงใหลในตัวตนจอมปลอมชาตินั้น ๆ ซึ่งตัวตนเหล่านั้นมันก็แค่...เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป”

            ใจเกิดความกระจ่าง จิตสงบไม่พลุ่งพล่าน ปลายนิ้วแตะสัมผัสผลึกครุฑนาคที่ลำคอ วาจาหลุดจากปากเหมือนไม่ใช่เป็นตัวเอง

            “สงครามระหว่างครุฑ-นาคจบลงนานแล้ว”

            สายตามองการสัประยุทธ์เบื้องหน้าอย่างคนเข้าใจชัด

            “ไม่เช่นนั้น จะเกิดการรวมตัวของผลึกครุฑนาคนี้ได้อย่างไร!”

            สิ้นคำพูด กองทัพพญาครุฑต่างหยุดนิ่งชะงักค้างกลางอากาศ ฝูงพญานาคลอยคอกลางคลื่นสูงโดยไม่ขยับ มองเห็นชัดว่าเป็นแค่มายาภาพ หลอกลวงให้ตื่นตระหนก

            ริมฝีปากมัชฌิมาขยับพูดต่อโดยไม่รู้วาจานั้นหลุดมาจากไหน

            “ต่อให้ต่างสายพันธุ์ ต่อให้เคยเป็นศัตรูไม่ยอมอยู่ร่วมทาง แต่เมื่อมีศรัทธาความเห็นถูกไปในทิศทางเดียวแล้วไซร้ ครุฑ-นาคย่อมละวางความแตกต่าง ความแค้นเคืองทั้งหลายลงได้ ด้วยทั้งสองต่างเข้าใจ และศรัทธาในคำสอนจากพระตถาคตองค์เดียวกัน”

            สิ้นวาจานั้นกองทัพครุฑ-นาคล้วนสลายหายวับ พร้อมกับเรือน้อยที่หญิงสาวอาศัยอยู่ด้วย

            มัชฌิมาจมดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทร มือกำผลึกครุฑนาคแน่น รักษาสติไม่ให้แตกกระเจิง สัมผัสถึงกระแสน้ำไหลเข้าปากจมูกจนหายใจไม่ออก พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ของจริง เป็นแค่มายา...กลหลอกลวง

            ทว่า...มายาลวงเช่นไรจึงเหมือนจริงขนาดนั้น ความเย็นจัดของน้ำทะเลทำให้กายหนาวเหน็บ เย็นเยียบสะท้านถึงกระดูก รสเค็มปร่าแตะปลายลิ้น ทรวงอกอึดอัดหายใจไม่ออก เกิดอาการสำลักน้ำแทบทนไม่ไหว สติใกล้ขาดห้วงเต็มที

            ชั่วขณะความเป็นความตาย ปรากฏพญานาคลำตัวยาวมหึมามุดน้ำดำดิ่งพุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว เลื้อยปราดเข้ามาตวัดรัดร่างหญิงสาวเอาไว้อย่างทันท่วงที

            มัชฌิมามองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากรับรู้ว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น ปลอดภัย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ด้วยสัมผัสพิเศษ รอยเธียรรู้ว่ามัชฌิมาไม่อยู่ในสตูดิโอ เธอโดนอำนาจแห่งเนวะดึงดูดไปอีกมิติ โลกสมมุติที่สร้างด้วยฤทธาเฉพาะตัว

            นิมิตภาพมองเห็นมหาสมุทรคลุ้มคลั่งด้วยคลื่นลม หญิงสาวลอยเรือน้อยอยู่ท่ามกลางสงครามใหญ่ระหว่างกองทัพครุฑ-นาค

            รอยเธียรพยายามแทรกเข้าไปในมิตินั้น แต่พลังของเขาพาเข้ามาได้แค่ชั้นเดียวก็ถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงพิเศษ เขากำหนดจิตทะลุผ่านมิติชั้นสองของเนวะเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่สำเร็จ เหมือนอีกฝ่ายจงใจเปิดม่านมิติให้เข้ามาได้แค่ชั้นเดียวเพื่อมองดูหญิงสาวอย่างกระวนกระวาย ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือได้

            กระทั่งเรือน้อยหายวับ มัชฌิมาจมดิ่งลงกลางทะเล จิตรอยเธียรเกาะตามหญิงสาวลงไปด้วยความเป็นห่วง พอเห็นเธอกำผลึกครุฑนาคแนบแน่น จิตใจมีความเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ติดตัวนั้นจึงค่อยได้โอกาส

            รอยเธียรปล่อยให้พลังนาคาในร่างตนไหลแทรกผ่านม่านมิติชั้นในเข้าไปยังทะเลมายาของเนวะ แล้วแปรรูปกระแสพลังเป็นร่างพญานาคขนาดใหญ่ดำดิ่งติดตามลงไปช่วยชีวิตหญิงสาวจนสำเร็จ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รอยธารา ทีมงาน เจ้าหน้าที่ออกกระจายตามหาสองหนุ่มสาว พระเอกนางเอกโฆษณากันทั่วสตูดิโอ แล้วจู่ ๆ ไฟฟ้าดับพรึบ บังเกิดความมืดสนิทอันน่ากลัว

            ทุกคนเงียบกริบ เม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าส่งเสียง ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ความมืดนั้น กลัวสิ่งประหลาดซ่อนตัวอยู่จะเข้าจู่โจม

            ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ ไฟฟ้าติดขึ้นมาเองอีกครั้ง เกิดเสียงถอนใจโล่งอกตามมา

            เมื่อทุกสายตามองตรงไปยังกลางสตูดิโอต้องตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก

            รอยเธียรนั่งคุกเข่าตัวเปียกโชก ในอ้อมแขนมีร่างมัชฌิมานอนนิ่งหมดสติ ตัวเย็นเฉียบใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก ลมหายใจใกล้ขาดห้วง สภาพไม่ต่างจากพยุหะเมื่อคืนเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            งานสวดศพท่านชัยกาล คุณหญิงเรือนอรคืนแรกคลาคล่ำด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ บุคคลนับหน้าถือตาในวงสังคม เจ้าภาพคือพงศกร บุตรชายคนเดียวที่ยังเหลืออยู่

            ส่วนพยุหะ ผู้มีศักดิ์เป็นหลานตายายนั่งเงียบ ๆ ด้านข้างโลงศพ ไม่มีใครเข้าไปวุ่นวาย ดวงหน้าเคร่งขรึมดูดุกว่าเคย ดวงตาแฝงรอยเศร้าเจ็บปวด บอกถึงจิตใจอัดอั้น คับแค้น เต็มไปด้วยความโกรธยากระบาย

            เสียงสนทนากับพันเกลียวเมื่อเช้ายังก้องในหัว

            “ฉันไม่รู้ว่าเนวะอยู่ที่ไหน” คำตอบราบเรียบไม่แสดงอารมณ์เช่นเคย

            “คุณไม่รู้ได้ยังไง” พยุหะถามคาดคั้น

            ในความคิดของเขา สตรีทรงเวทผู้เก่งกาจขนาดนี้ย่อมรอบรู้ทุกเรื่อง

            “ฉันไม่โกหก”

            คนอื่นพูดอาจฟังเสแสร้ง เลี่ยงความจริง แต่เมื่อวาจานี้หลุดจากปากสตรีกลางคนผู้มั่นคงไม่คลอนแคลนในศีล ชายหนุ่มจำต้องนิ่ง ไม่กล้ากล่าวคาดคั้นหรือคิดปรามาสใด ๆ

            “แล้ว...ผมจะทำยังไงดี” พยุหะถามอย่างอับจนหนทาง

            “ไปจัดการเรื่องงานศพตายายเธอแล้วกัน”

            พยุหะอยากบอกว่า...ลุงของเขานายพงศกร เป็นผู้กว้างขวางทรงอิทธิพลขนาดไหน เรื่องงานศพบุพการีทั้งสองย่อมมีคนวิ่งวุ่นจัดการให้เรียบร้อยสมเกียรติอยู่แล้ว หลานชายคนนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปวุ่นวาย

            พอมองเห็นหน้าพันเกลียว สบกับดวงตาคู่นั้นจึงค่อยเข้าใจเจตนาอีกฝ่าย

            สตรีทรงเวทไม่ได้ต้องการให้เขาไปลงมือจัดงานศพเอง เธอต้องการให้เขาไปสงบสติอารมณ์อยู่ที่งานศพ มองดูร่างไร้วิญญาณญาติผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างให้ได้คิด...

            ชีวิตไม่ยืนยาวเลย จะกลัดกลุ้มคับแค้นทำร้ายตัวเองไปทำไม!

            ถึงเข้าใจอย่างนั้นอารมณ์พยุหะก็ยังพลุ่งพล่านขึ้นลงตลอดเวลา เพียงแต่ไม่แสดงออกด้วยกิริยาท่าทาง เขาพยายามสงบใจฝืนสนทนากับคุณลุง คุณป้าและญาติผู้ใหญ่คนอื่นอย่างมีมารยาท ก่อนปลีกตัวหลบมุมนั่งเงียบ ๆ คนเดียว

            ตอนนั้นเองที่เขาได้รับข้อความทางไลน์จากรอยเธียร

            “มัชฌิมาป่วย มาช่วยกันหน่อย”











บทที่ ๑๔



            เมืองอมฤต

            เพียงย่างผ่านแนวป่าทะลุเขตอาคม ข้ามกำแพงมิติที่อาจารย์เนวะสร้างไว้ก็จะมองเห็นเมืองซึ่งหลบซ่อนอยู่ในหุบเขากลางป่าเร้นลับ ปกปิดด้วยม่านอาคมซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถก้าวข้ามมาได้

            หุบเขานั้นงดงามด้วยพรรณไม้นานา พฤกษชาติหายาก บุปผาผลัดกันเบ่งบานตลอดทั้งปี บ้านเรือนแต่ละหลังปลูกสร้างอย่างเป็นระเบียบ กลมกลืนธรรมชาติ มีถนนสายหลักตัดกลางเมืองไปจนสุดปลาย ‘สำนักอมฤต’ ที่พำนักอาจารย์เนวะ

            อาจารย์เนวะเป็นผู้ชักนำชาวบ้านผู้คนมาอยู่ร่วมกัน สร้างเมืองอันงดงามและอำพรางไว้จากสายตาบุคคลภายนอก ปกครองด้วยความเมตตาจนเกิดความสงบสุขมาเนิ่นนานนับร้อยสองร้อยปี

            ไม่มีใครทราบว่าท่านอาจารย์อายุเท่าใด ชาวเมืองต่างเคารพศรัทธาเสมือนดังเทพเจ้า เพราะนอกจากจะสั่งสอนสรรพวิทยา แนะนำการดำรงชีวิตแบบยืนยาวแล้ว ก็ยังปรุงสมุนไพรตำรับพิเศษช่วยให้ชาวเมืองแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย อายุยืนยาวทั่วกัน

            ท่านคือผู้นำสูงสุดที่ชาวเมืองเคารพรักใคร่ อยากให้ลูกหลานเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก อาจารย์เนวะคัดเลือกศิษย์เข้มงวดจึงมีลูกศิษย์เพียงรุ่นละไม่เกินสามคน

            กัลยาลูกศิษย์คนเล็กในรุ่นล่าสุด เพิ่งทำหน้าที่ออกไปแลกเปลี่ยนสมุนไพรใบยากับโลกภายนอกเป็นครั้งแรก กว่าจะกลับเข้าเมืองก็จวนเจียนกำหนดเวลาปิดกำแพงมิติ ปล่อยม่านอาคมแล้ว

            นางรีบนำข้าวของสินค้าที่แลกเปลี่ยนทั้งหมดเข้าไปเก็บในสำนัก แล้วเตรียมตัวเข้าไปรายงานประสบการณ์เรื่องราวโลกภายนอกอย่างตื่นเต้น กระตือรือร้น ด้วยเห็นว่าเรื่องที่จะบอกเล่านั้นสำคัญยิ่ง ควรให้ท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณได้รับฟังเป็นคนแรก

            ศิษย์คนเล็กแห่งสำนักอมฤตเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตนไปแลกเปลี่ยนสมุนไพรใบยา รับฟังเสียงสรรเสริญพระพุทธเจ้าจนเกิดศรัทธาทำให้ต้องดั้นด้นไปหา เผชิญอันตรายมากมาย จนได้ร่วมทางกับพญาครุฑ พญานาคแปลงเพื่อตามหาพระองค์

            สุดท้ายเมื่อไปถึงเมืองเวสาลี ได้ข่าวว่าพระองค์ทรงปลงอายุสังขาร เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนจะปรินิพพาน จึงรีบกลับมาบอกเล่าท่านอาจารย์เพื่อชักชวนกันไปเข้าเฝ้า ก่อนพระองค์จะเสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

            อาจารย์เนวะนั่งฟังศิษย์คนเล็กเล่าประสบการณ์ผจญภัยอันโลดโผนพร้อมด้วยครุฑ-นาคแปลง ฟังคำเยินยอ สรรเสริญในธรรมะองค์ตถาคตที่ได้ยินมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก ไม่กล่าวขัดซักถามใด ๆ จนกระทั่งนางพูดจบ

            “เจ้าเดินทางมาไกล กลับไปพักผ่อนเสียเถิด” เป็นคำกล่าวที่ผิดคาดความรู้สึกอย่างยิ่ง

            “ท่านอาจารย์เจ้าขา พวกเราจะไม่ชักชวนชาวเมืองให้เตรียมตัวเดินทางเพื่อติดตามองค์ตถาคตเจ้าไปที่เมืองกุสินาราหรอกหรือ?”

            “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน เรื่องนั้นเราขอคิดดูอีกที” คำพูดนุ่มนวล แววตาเริ่มแข็งกร้าว

            กัลยาไม่อาจเร่งเร้ามากกว่านั้น กลับไปห้องพักตน ครุ่นคิดทบทวนถึงปฏิกิริยาของอาจารย์ที่เคารพแล้วจึงเข้าใจกระจ่างแจ้ง

            ท่านอาจารย์เนวะไม่มีทางศรัทธาพระตถาคตเจ้าแน่ เพราะเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนศิษย์พี่ที่ออกไปแลกเปลี่ยนสมุนไพรใบยาได้ยินข่าวการปรากฏของพระพุทธองค์แล้วนำมาบอกท่าน ผลคือถูกดุด่า ไม่ให้กล่าวถึงนามพระองค์ในเมืองอมฤตอีก!

            นางลืมเลือนไปเอง...ลืมไปว่าท่านอาจารย์ยึดมั่นวิชา ความคิดความเห็นของตนอย่างยิ่ง

            หลักวิชาสำคัญในสำนักอมฤตคือ ปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย

            ขณะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน...เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครเลี่ยงได้ ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนท่านอาจารย์เนวะชนิดคนละขั้ว

            ภายนอกกัลยาดูเป็นสตรีอ่อนน้อม คล้ายอ่อนแอ ยอมถอยให้กับบุคคลทั่วไป แท้จริงนางมีจิตใจหนักแน่น เข้มแข็ง สติปัญญาฉลาดเฉลียวกว่าทุกคนในเมือง นับเป็นศิษย์เด่นล้ำในสำนักอมฤตด้วยซ้ำ

            พอฉุกคิดดังนั้นมั่นใจว่าท่านอาจารย์ไม่เห็นด้วยกับตน ไม่มีวันศรัทธาพระตถาคตเช่นตนศรัทธา

            นางตื่นเต้นยินดีเกินไปจนเผลอเล่าเรื่องราวความรู้สึก ความศรัทธาในใจออกไปจนหมด ลืมคาดคิดไปว่า ผู้เป็นอาจารย์ย่อมโกรธเคือง เห็นว่าลูกศิษย์มีใจออกห่าง ไม่เคารพศรัทธาตนดังเดิม

            ...ท่านอาจารย์เนวะผู้ยิ่งใหญ่ ฤทธิ์เดชแกร่งกล้า มีหรือจะยอมให้ลูกศิษย์ตนหันเหศรัทธาไปยังผู้อื่น...

            พอเข้าใจเช่นนั้นบังเกิดความวิตก ใจหายวาบ รู้ทันทีว่าแผนการชักชวนท่านอาจารย์ และชาวเมืองไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่มีวันสำเร็จ

            นางหยิบกำไลนาคราชที่เก็บซ่อนไว้ออกมาดู ระลึกถึงคำมั่นจากพญาครุฑแปลงที่เคยบอกว่าหากประสบปัญหาใดให้เงยหน้ามองฟ้า เปล่งนามของเขาออกมาแล้วจะปลอดภัย

            ทั้งสองสิ่งทำให้นางกล้าตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต!

            กัลยาวางแผนลอบออกจากสำนัก ชักชวนบิดามารดาออกจากเมืองไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน...

            คิดดังนั้นรีบเก็บของ รอเวลาดึกสงัดจึงออกจากห้อง ทว่าหลบมาถึงแค่หน้าประตูใหญ่ก็เผชิญหน้ากับศิษย์พี่ทั้งสอง ซึ่งรับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาจับกุมนางไปคุมขัง

            การลอบหนีจากเมืองอมฤตเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ เข้าข่ายทรยศ หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์เนวะแล้ว ไม่มีชาวเมืองคนใดผ่านกำแพงกั้นมิติได้ ยกเว้นลูกศิษย์ที่เคยออกไปโลกภายนอกมาก่อนเช่นนาง

            กัลยารู้ความผิดตนดีจึงไม่ร่ำร้องขอความยุติธรรมใด รอเวลาท่านอาจารย์ใจเย็นลงจนยอมปล่อยตนในที่สุด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP