วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๖



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังกลับจากวัดป่าครั้งนั้น รอยธาราเปลี่ยนไป จากเด็กหญิงร่าเริงแจ่มใส พูดแจ้ว ๆ ไม่หยุด กลายเป็นเงียบขรึม เก็บงำความคิด ความรู้สึก

            ส่วนตัวเขาเอง แม้ในใจยังมีความขัดแย้งระหว่างตัวตนปัจจุบันกับในชาติก่อน แต่สามารถฝืนทำตัวปกติไม่ให้พ่อแม่ คนรอบข้างสังเกต เป็นห่วงได้

            พ่อแม่เห็นลูกชายลูกสาวเปลี่ยนไปเช่นนั้นก็เข้าใจ พยายามทำตัวปกติ ไม่แสดงความเป็นห่วงออกนอกหน้า อาจเพราะได้รับคำแนะนำล่วงหน้าจากพระอาจารย์ราเมศว์แต่แรก

            รอยเธียรพยายามหาวิธีช่วยเหลือน้องสาว

            “ไปเที่ยวกับพี่มั้ย”

            เด็กหนุ่มขณะนั้นเป็นบอยแบนด์มีชื่อเสียง งานรัดตัวแต่พยายามหาเวลามาให้น้องสาวตน

            “ไปไหน” ถามพร้อมขมวดคิ้วสงสัย ลักษณะไม่เหมือนเด็กหญิงวัยใกล้สิบขวบเลย

            “อย่าถามเลย ไปถึงก็รู้เอง” รอยเธียรตัดบท

            รอยธารารู้ว่าพี่ชายงานยุ่งแค่ไหน การเจียดเวลาพาเธอไปเที่ยวไม่ใช่เรื่องเล่นธรรมดา จึงตกลงใจยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน

            สถานที่นั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

            เด็กหญิงรอยธาราลงจากมอเตอร์ไซค์ยืนมองโรงพยาบาลด้วยแววตารำลึกอันยาวนาน เข้าใจเจตนาพี่ชายทันที

            “หลวงน้าบอกเรื่องเค้าให้ฟังเหรอ” เด็กหญิงมั่นใจ พระภิกษุผู้เป็นน้าชายต้องล่วงรู้อดีตชาติตน

            “อือ...ท่านบอกหน่อยนึง ที่เหลือพี่เสิร์ชหาในเน็ตเอา” รอยเธียรยอมรับก่อนชักชวน “เข้าไปข้างในกันเถอะ”

            เด็กหนุ่มถอดหมวกกันน็อกคจูงมือน้องสาว อีกฝ่ายรั้งเอาไว้

            “ทำไม ไม่อยากเข้าไปเหรอ” เขาถาม

            “เปล่า...ขืนเข้าไปทางด้านหน้ากับ ‘ลุย...Three-Rex’ คนทั้งโรงพยาบาลคงหันมามองกันหมด เข้าประตูด้านข้างดีกว่า”

            รอยเธียรอมยิ้มขยี้หัวน้องสาวอย่างเอ็นดู เจ้าตัวเล็กขยับศีรษะหลบมองตาขุ่น

            “อย่าเล่นหัว รู้มั้ยเค้าอายุมากกว่าตัวเองตั้งเท่าไหร่”

            เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ

            “เออ...เดี๋ยวค่อยมาเทียบกัน”

            รอยธาราพาพี่ชายแอบเข้าประตูด้านข้าง หลบหลีกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอย่างคนชำนาญเส้นทาง ก่อนพามาถึงห้อง ๆ หนึ่ง

            ห้องนั้นจัดไว้เป็นพิเศษเพื่อรำลึกถึงผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล ประดับรูปขนาดใหญ่ของหญิงชราใบหน้ามีสง่าราศี แต่งกายงดงามสมวัย

            “นี่คือรูปคุณย่าพิกุล ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล” รอยเธียรทำหน้าที่มัคคุเทศก์อธิบายเรื่องที่เด็กหญิงรู้อยู่แล้ว

            “ส่วนภาพต่อมาเป็นนายแพทย์ชัยพร บุตรชายคนโต ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาลด้วยกัน”

            ภาพต่อมาเป็นนายแพทย์สูงวัย ใบหน้าเจ้าเนื้อดวงตาละม้ายมารดาหลายส่วน

            “ชัยพร...ตายเมื่อไหร่?” เด็กหญิงถามน้ำเสียงแปร่งแปลก

            “ท่านเสียชีวิตเมื่อสามปีที่แล้วด้วยโรคชรา...ตอนนี้นายชัยกาล บุตรชายคนรองและคุณหญิงเรือนอร ลูกสะใภ้มารับช่วงดูแล บริหารต่อ”

            รอยเธียรตอบคำถามจากข้อมูลที่ค้นจากอินเตอร์เน็ต

            “สองคนนั่น...น่าจะอายุมากแล้ว ทั้งดูแลบริษัทตัวเอง แล้วมาบริหารโรงพยาบาล จะทำไหวได้ยังไง” พูดน้ำเสียงไม่ต่างจากมารดาบ่นลูกชายลูกสะใภ้

            “ท่านทั้งสองอายุมากก็จริงแต่ยังแข็งแรงอยู่ บริษัทของตัวเองยกให้พวกลูก ๆ บริหารทั้งหมด แล้วใช้เวลามาบริหารโรงพยาบาลแห่งนี้ตามนโยบายที่คุณย่าพิกุลกับคุณหมอชัยพรวางไว้แต่แรกโดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ที่นี่ไม่ค่อยทำผลกำไรสักเท่าไหร่ ที่อยู่อย่างมั่นคงมาได้ก็เพราะมีทุนสนับสนุนจากบริษัทคุณชัยกาลกับคุณหญิงเรือนอรมาตลอด”

            เด็กหญิงเกิดอาการสะอื้นยินดี มือปาดน้ำตา เดินช้า ๆ รอบห้อง มองรูปภาพ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ‘คุณย่าพิกุล’ ที่จัดวางใส่ตู้กระจกอย่างเป็นระเบียบ จนมาหยุดที่รูปภาพเด็กสาวสวยน่ารัก รอยยิ้มสว่างไสว

            “นั่นเป็นรูปของพราวพิรุณ ลูกสาวคนเล็กคุณชัยกาล หลานสาวที่ย่าพิกุลรักและเลี้ยงดูมาตลอด...แต่...เธอเสียชีวิตหลายปีแล้ว”

            รอยเธียรอธิบายพร้อมสังเกตปฏิกิริยาน้องสาว

            เด็กหญิงมองรูปเด็กสาวคนนั้นด้วยแววตารักชื่นชม รอยยิ้มผลิบนใบหน้า

            “น้ำฝน...ไปดี...มีความสุขมาก...ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว” เธอพึมพำคล้ายบอกต่อเด็กหนุ่มในห้อง

            “เธอเคยเป็นคนรักของหลวงน้า” เด็กหนุ่มเสริมขึ้น “ความตายของเธอทำให้ท่านเห็นความทุกข์จากการพลัดพราก สูญเสียคนรักของรัก เห็นว่าชีวิตไม่แน่นอน เห็นความน่ากลัวของวัฏสงสาร จนมีส่วนให้ท่านมุ่งหน้าสู่เส้นทางสายธรรมะเต็มตัว”

            “หลวงน้าเล่าให้ฟังขนาดนี้เลยหรือ” เด็กหญิงหันมาถามพี่ชาย

            รอยเธียรยิ้ม ไม่ตอบคำถาม เอ่ยวาจาอีกเรื่อง

            “เรื่องราวชาติก่อน มันจบไปแล้ว...เหมือนละครปิดฉาก พวกเราก็เปลี่ยนบท แสดงเรื่องใหม่ เป็นตัวละครใหม่ต่อไป”

            “พี่ลุยเข้าใจเรื่องพวกนี้แค่ไหนเชียว” พูดอย่างปรามาสไม่เชื่อถือ

            “เข้าใจแค่ไหนพี่คงอธิบายไม่ถูก บอกได้แค่ชาติที่แล้วพี่มีอายุเป็นหมื่นปี...เคยมีโอกาสฟังธรรมจากพระพุทธองค์เมื่อเกือบสองพันหกร้อยปีที่แล้ว ได้เห็นว่าพระองค์สง่างาม น่าเลื่อมใสขนาดไหน”

            รอยธาราตัวชาวาบ เงยหน้ามองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตา พูดอะไรไม่ออก มั่นใจข้อเดียว
            
            ...วาจาที่กล่าวนั้นไม่มีคำโป้ปดแม้สักนิด...

            “ชาติก่อน...พี่กับหลวงน้าเคยเป็นพญานาคคู่หู เพื่อนรักกัน มีโอกาสตามองค์นาคราชผู้เป็นนายไปเข้าเฝ้า ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมโปรดแก่ทวยเทพ ยักษ์ นาค ครุฑ...เป็นเหตุการณ์จำได้ไม่ลืม ซึ่งเป็นปัจจัยกุศลข้อหนึ่ง ทำให้หลวงน้าไม่จ่อมจมในทะเลทุกข์จากการสูญเสียคนรักนานนัก เกิดสติปัญญามองเห็นทุกข์ในวัฏสงสาร เข้าบวชในร่มกาสาวพัสตร์ มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมเต็มกำลัง จนถึงฝั่งอันเกษมในที่สุด”

            วาจานั้นไม่เหมือนหลุดจากปากเด็กหนุ่มบอยแบนด์ชื่อดังเลยสักนิด

            รอยธารานิ่งอั้น เริ่มเห็นว่าความสับสนระหว่างสองสามชาติภพตน เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับอดีตพญานาคผู้มีอายุเป็นหมื่นปี หรือเทียบกับวัฏสงสารอันยาวนานหาต้นปลายไม่เจอ

            รอยยิ้มผุดบนใบหน้าเด็กหนุ่มเมื่อสังเกตเห็นว่าน้องสาวเริ่มยอมรับวาจาตนแล้ว

            “อืม...พญานาคอายุหมื่น ๆ ปี เทียบกับย่าพิกุล ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้...ใครแก่กว่ากันวะ... ‘อีหนู’ ”

            พูดจบเอื้อมมือยีหัวเด็กหญิงอย่างจงใจ

            ครั้งนี้รอยธาราไม่หลบ ในใจยอมรับปัจจุบัน ความเป็นไปของตนมากขึ้น

            “เรื่องของชาติที่แล้วมันจบไปแล้ว...จำได้หรือไม่ได้ไม่มีประโยชน์...แต่มันจะเป็นโทษมากถ้าเรายึดติดอดีต ไม่อยู่กับปัจจุบัน”

            คำท้ายเด็กหนุ่มกระแทกใจเด็กหญิงอย่างแรง

            “จริงค่ะ” เธอเอ่ยปากยอมรับ

            รอยเธียรยื่นมือมาตรงหน้า เอ่ยวาจาทีเล่นทีจริง

            “สวัสดีครับ...ผมชื่อรอยเธียร...เป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยน่ารักใจดีสักเท่าไหร่...แต่ตอนนี้คุณคงเลือกอะไรไม่ได้แล้ว...คุณรอยธารา...ยอมรับผมเป็นพี่ชายได้มั้ย...ในชาตินี้เราเล่นละครเป็นพี่น้องกัน...ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ผมจะรับบทพี่ชายให้ดีที่สุด”

            เด็กหญิงหลุดเสียงหัวเราะดังคิก ปัดมือพี่ชายทิ้งอย่างหมั่นไส้

            “ไอ้พี่บ้าเอ๊ย...พูดแบบนี้ออกมาได้นะ”

            รอยเธียรหัวเราะขยี้หัวน้องสาวแล้วดึงร่างเล็กมากอดแรง ๆ

            “อย่างนี้สิ ค่อยเหมือนไอ้เตี้ยตัวแสบคนเดิมหน่อย”

            สัตว์โลก...เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ต่างเกิดเป็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย พลังแห่งวัฏฏะมักสะกดให้เราหลงลืม เพื่อไม่ให้เห็นความน่ากลัวของมัน

            หากใครสักคนความจำดี...ย้อนทวนอดีตหลายภพชาติ คงมองเห็นเราเคยเป็นโน้นนี่มากมาย ผ่านสุขทุกข์นับไม่ถ้วน แสดงบทบาทต่างกันในแต่ละภพชาติ จนถึงที่สุดแล้วอาจเกิดความเข้าใจ

            ...ไม่มี ‘เรา’ ในภพชาติใดเลย...

            มีแต่ความหลงผิด หลอกให้เราไปเกิดเป็นสัตว์ในภพภูมิน้อยใหญ่เหล่านั้น แล้วหลงยึดตัวตนแต่ละชาติอย่างเหนียวแน่น

            มองให้ดี พิจารณาให้เข้าใจ...สิ่งใดเกิดขึ้น...สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา...

            ความเป็นเรา ของเราอยู่ที่ไหนกัน!




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            กุฏิพระอาจารย์ราเมศว์อยู่เบื้องหน้า ตั้งตะเกียงตรงหัวเสา แสงไฟส่องสว่างลงมาถึงบันไดขั้นเตี้ย ๆ สามสี่ขั้น

            ท่านอาจารย์ขึ้นกุฏิไปนั่งตรงเก้าอี้นอกชาน หลานชายก้าวตามขึ้นไปแล้วชะงัก

            สังเกตเห็นนอกชานกุฏิหลวงน้ายังมีอีกบุคคลหนึ่ง กำลังนั่งพับเพียบรอด้วยอาการสำรวม

            “ท่านสิงหานาคราช!”

            รอยเธียรอุทานคาดไม่ถึง รีบนั่งลงตรงหัวบันได ยกมือไหว้แสดงความเคารพทันที











บทที่ ๕



            ฝนตกตั้งแต่บ่ายยันเย็น มัชฌิมาเพิ่งเลิกงานออกมายืนดูฝนหน้าบริษัทอย่างระอา คิดว่าคงต้องรอให้มันซาเม็ดอีกสักนิดค่อยออกไปขึ้นรถเมล์

            หลังจากได้รับตำแหน่งนางเอกโฆษณาแบบส้มหล่น พวกพี่แผนกประชาสัมพันธ์ต่างแสดงความยินดี นัดหมายว่าเลิกงานจะพาไปเลี้ยงฉลอง พอดีฝนตกหนักแต่ละคนมีภารกิจส่วนตัวเกรงรถติดเสียเวลา เกิดความไม่สะดวกหลายประการจึงขอเลื่อนไปก่อน หญิงสาวจึงมาติดฝนคนเดียว

            ลมแรงซัดเม็ดฝนเข้ามาถึงชายคาหน้าบริษัท มัชฌิมารีบหลบเข้าไปด้านในชายเสื้อโดนสายฝนเล็กน้อย พอเข้ามาก็รีบสะบัดเบา ๆ ไล่ความชื้นแล้วจู่ ๆ ก็ชะงักเมื่อรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ

            เงยหน้าขึ้นมองรอบตัว เห็นล็อบบี้ชั้นล่างว่างโล่ง เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไม่มีคน กวาดสายตาอีกทีสัมผัสถึงความวังเวง เงียบงันจนน่ากลัว

            สัมผัสพิเศษ นิมิตอนาคตไม่ทำงาน...ไม่เตือนล่วงหน้าว่าจะพบอะไรแบบนี้ เหมือนโดนปิดหูปิดตาไม่ทันตั้งตัว

            มัชฌิมาขนลุกซู่ทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ ก่อนเหลียวมองหา อาจพบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนั่งหลบหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือไม่อาจเจอยามที่คอยเดินตรวจตราตามระยะเวลา

            ...ไม่มี...ไม่มีใคร...มันว่างเปล่าปราศจากผู้คน อากาศรอบกายนิ่งสนิท ไม่มีกระทั่งการเคลื่อนไหวของสายลม

            สถานที่นี้เหมือนล็อบบี้ชั้นล่างบริษัทบีบี พรอม แต่ก็ไม่ใช่...มันเสมือนอีกโลกคู่ขนานสร้างขึ้นมาหลอกตา หรือไม่ก็เป็น ‘กับดักพิเศษ’ ไว้จัดการเหยื่อผู้หลงติดเข้ามา

            ความหวาดกลัวแล่นสู่จิตใจ เกิดความร้อนรุ่มกังวลจนต้องบีบมือตัวเองแน่น พยายามรับรู้ความมีอยู่ของร่างกาย สติเห็นความกลัวในใจ ความกลัวไม่ดับทันที อาจเพราะสติขณะนี้ไม่คมกล้าพอ แค่ช่วยให้ใจคอเยือกเย็นลงบ้าง

            ใจเริ่มสงบ คิดหาวิธีเอาตัวรอด หันหลังกลับไปทางประตูเข้า คิดว่ามันน่าจะเป็นเส้นทางออกจากกับดักนี้

            ทว่า...หน้าประตูนั้นปรากฏอสรพิษฝูงใหญ่เลื้อยยุบยับ บ้างก็ชูคอแผ่แม่เบี้ย กระจายตัวเป็นแผงขวางหน้าไม่ยอมให้ผ่านออกไป

            เหลียวกลับมาทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พบอีกาดำสนิทเกาะอยู่เต็มเคาน์เตอร์ ล้นไปถึงโต๊ะเก้าอี้ รางหลอดไฟที่ห้อยลงมาจากเพดาน แต่ละตัวส่งสายตาดุร้ายพร้อมจู่โจม

            ใจเต้นระรัว ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวท่วมท้น ด้านหนึ่งฝูงงู อีกด้านกองทัพอีกา มีเธอยืนขวางกลางผู้เดียว

            สองฝ่ายตั้งใจจู่โจมปะทะกันเอง หรือพร้อมใจพุ่งเป้ามาที่เธอ...ยากตอบได้

            มัชฌิมาพยายามหาหนทางรอด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หลังประชุมกับบริษัทบีบี พรอม ฝนตกไม่หนักมาก พยุหะยังไม่กลับสตูดิโอ เขาทิ้งรถไว้ที่ลานจอดใต้อาคารบริษัทแล้วเดินลัดเลาะมาร้านกาแฟใกล้ ๆ นั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือ ฟังเพลงรอคอยเวลา

            คิดว่าอีกสักครู่ฝนคงหยุดตก ขับออกไปเวลานี้คงติดคลั่กบนถนนเสียเวลาเปล่า เขาไม่มีธุระเร่งร้อน จึงนั่งอ่านหนังสือฟังเพลงจนฝนซาเกือบขาดเม็ดก็ยังไม่ขยับตัว

            ตอนนั้นค่อยเข้าใจ เขาไม่ได้กลัวรถติด ไม่ได้รอฝนหยุด แต่กำลังรอเวลาเลิกงาน รอหญิงสาวเด็กฝึกงานคนนั้นออกมา

            ฝนซาแล้วกลับหนาเม็ดขึ้นเมื่อใกล้เวลาเลิกงาน ชายหนุ่มไม่กังวล จุดที่เขานั่งดื่มกาแฟสามารถมองเห็นหน้าบริษัทชัดเจน ทุกคนที่ผ่านเข้าออกย่อมไม่พ้นสายตา ยกเว้นคนจอดรถส่วนตัวใต้ถุนอาคาร ซึ่งมีแต่รถผู้บริหารเป็นส่วนใหญ่

            หลังเลิกงานไม่นาน ฝนยังหนาเม็ด พยุหะเห็นหญิงสาวที่ตนนั่งรอออกมายืนหน้าบริษัท ดูสภาพฟ้าฝนเหมือนจำเป็นต้องออกไปขึ้นรถคนเดียว เขาจึงเก็บหนังสือ ลุกขึ้นไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

            ออกจากร้านกาแฟจังหวะเดียวกับลมพัดแรง เม็ดฝนสาดมากระทบ หญิงสาวคนนั้นรีบกลับเข้าไปในบริษัทอีกครั้ง

            ใจพยุหะกระตุกวูบ สังหรณ์ร้ายปรากฏ

            ...อย่าเข้าไป...อันตราย...เสียงในใจตะโกนร้องขึ้น

            ชายหนุ่มเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะไปทางหน้าบริษัทอย่างรวดเร็ว เกิดแรงปะทะแปลก ๆ ขวางกั้น ระยะทางสั้น ๆ ไม่กี่เมตรคล้ายยืดยาวออกเป็นสิบกิโลเมตร เดินเท่าไหร่ไม่ถึงเสียที

            ลมแรงพัดเป็นวูบ ๆ เหมือนมือที่มองไม่เห็นคอยผลักดันไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า สายฝนหยาดเป็นสายแผ่กระจายขวางกั้น หนำซ้ำบางส่วนรวมตัวเป็นเส้นยืดยาว ขยับไหวราวกับมีชีวิต

            สายฝนนั้นก่อตัวลักษณะไม่ต่างจากอสรพิษตัวใหญ่ยาวนับสิบนับร้อยเลื้อยไปมาอยู่เบื้องหน้า แสดงอาการกราดเกรี้ยวพร้อมจู่โจมทำร้ายทุกเวลา

            พยุหะชะงักเท้า คิดว่าตนเองตาฝาดเห็นสายฝนกลายเป็นกองทัพงูแบบนี้ พอจ้องเขม็งจริงจังสายตานั้นไม่หลอกลวง

            กองทัพงูจากสายฝนล้อมอยู่เบื้องหน้าเขาจริง ๆ

            ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ๆ เขาไม่กลัวงู ไม่หวั่นต่อสัตว์เลื้อยคลานอสรพิษใหญ่น้อย อีกทั้งยังรู้สึกด้วยว่า...พวกมันต่างหากต้องยำเกรง หวาดกลัวเขา

            สายฝนแปรสภาพคล้ายอสรพิษลำตัวใสจำนวนมากต่างยกตัว แผ่พังพานแสดงอาการข่มขู่ บางส่วนเลื้อยตรงเข้ามาอย่างย่ามใจ

            จิตพยุหะรวมตัวโดยอัตโนมัติ เหมือนเป็นเรื่องเคยทำจนช่ำชอง ต่อให้ว่างเว้นมานาน พอเกิดเหตุจวนตัวมันก็ทำงานทันทีโดยไม่ต้องสั่งการ

            สายตาคมกล้ากราดมองเหล่าอสรพิษน้ำ เกิดพลังไร้รูปแผ่ออกมาวูบใหญ่ สายน้ำแตกตัวซัดซ่ากระจายนองพื้น

            ชายหนุ่มไม่เสียเวลาดูผลงาน รีบวิ่งไปทางประตูหน้าบีบี พรอม มั่นใจว่าต้องเกิดเหตุร้ายกับหญิงสาวนักพยากรณ์คนนั้นแน่นอน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฝูงงูกับฝูงอีกา ถ้าต้องเลือก คนทั่วไปคิดว่าทางฝั่งปักษาสีดำน่าจะอันตรายน้อยกว่า อย่างน้อยมันไม่มีพิษร้ายคร่าชีวิต

            มัชฌิมาเลือกขยับตัวอยู่ตรงกลาง ค่อย ๆ เลื่อนไปทางช่องว่างเล็ก ๆ สัตว์ทั้งสองยังไม่ยึดพื้นที่ ปล่อยให้พวกมันเผชิญหน้ากันเองโดยไม่มีเธอกั้นกลาง

            ขณะขยับตัว เหล่าอสรพิษเลื้อยช้า ๆ ตีวงอ้อมตามมา ส่วนอีกาดำขยับปีกหันมาทิศทางเดียวกับเธอ แสดงเจตนาชัด สัตว์สองชนิดมุ่งเป้ามายังเธอคนเดียว

            หญิงสาวขบริมฝีปากแน่น ข่มความกลัวไม่กล้าส่งเสียง หัวใจเต้นถี่เร็วแทบสลบ ดีกรีความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูง แล้วจู่ ๆ คล้ายจิตแยกตัวออกมา เป็นผู้ดูร่างกายกำลังขยับเขยื้อนหลบหลีกสัตว์ร้าย เห็นความกลัวในใจเกิด-ดับเป็นระยะ เห็นฝูงงู ฝูงอีกาเป็นแค่ภาพประกอบฉากภายนอก ไม่เกี่ยวอะไรกับตนเองเลย

            ชั่วเวลานั้นจิตเกิดความรับรู้สภาพรอบตัวชัดเจนตรงตามเป็นจริง

            นิมิตในใจฉายเงาใครบางคนปรากฏรูปร่างเลือนราง สัมผัสถึงพลังจิตอันแกร่งกล้า

            ที่นี่คือกับดัก บุคคลที่เธอเห็นเพียงเงาใช้พลังจิตอันลึกล้ำกอปรสร้าง ทั้งงูและอีกาถูกนำมาจากหลายสถานที่ ควบคุมจิตใจให้ทำงานตามคำบงการ

            ตัวเธอก็ถูกดึงเข้ามาในนี้ไม่ต่างจากพวกมัน

            ใครกันมีความสามารถขนาดนี้?

            การที่สัตว์ทั้งสองชนิดแสดงอาการข่มขู่ ไม่จู่โจมทำร้าย แสดงว่าผู้บงการไม่มีเจตนาสังหาร

            ...ถ้าเช่นนั้น คนอยู่เบื้องหลังต้องการอะไรจากเธอ...

            จิตอยู่ในสภาวะผู้รู้ผู้ดูเฉย ๆ เช่นนี้ชั่วขณะหนึ่งโดยไม่มีคำตอบ

            ความทรงจำเร้นลึกบางอย่างถูกกระตุ้นขึ้น บอกว่าตนเองเคยเผชิญสถานการณ์คล้ายคลึงเช่นนี้มาแล้ว

            ...เมื่อไหร่?...คำถามผุดในใจ

            ...นาน...นานมาก...คำตอบพร้อมกับภาพบางอย่างปรากฏขึ้นช้า ๆ

            ล็อบบี้ที่เต็มไปด้วยฝูงงู ฝูงอีกาหายไป ต้นไม้สูงตระหง่านผุดขึ้นทีละต้นทดแทน แวดล้อมเต็มทุกด้านกลายเป็นป่าทึบเขียวขจี สภาพเยือกเย็นน่ากลัว ต้นไม้แต่ละต้นอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี มีเถาวัลย์รากไม้ชอนไชไปทั่ว

            บรรยากาศเงียบงัน วังเวง แฝงภยันตราย ส่งกระแสกดดันชวนขนลุก

            มัชฌิมามองรอบตัวอย่างละเอียด สายตากระทบเข้ากับบางสิ่ง ทำให้ตัวเกร็ง แข็งทื่อ

            อสรพิษน้อยใหญ่พันอยู่ตามคาคบไม้ ซุ่มใต้กองใบไม้แห้ง ซ่อนในโพรงไม้ลึก บ้างก็ห้อยตัวเกี่ยวพันเถาวัลย์ทิ้งตัวแกว่งไกวชวนหวาดเสียว

            ...ที่นี่คือดงอสรพิษของแท้...

            หากผู้หญิงคนไหนมาอยู่ตรงจุดเดียวกับมัชฌิมา ถ้าไม่ส่งเสียงกรีดร้องลั่น คงเป็นลมหมดสติตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นพวกมันไปแล้ว

            มัชฌิมาเป็นข้อยกเว้น ความหวาดกลัวเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบแรกแล้วดับหาย ใจสงบราบเรียบรวดเร็ว เพราะเธอบอกตนเองแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่ของจริง

            ป่าทึบ ดงอสรพิษเป็นแค่ภาพความทรงจำ ไม่เหมือนกับดักงู อีกาที่เธอถูกดึงเข้ามาตอนแรก

            มันน่าจะเป็นภาพความทรงจำอันเนิ่นนาน ถอยไกลไปถึงอดีตชาติ

            เธอมองทุกสิ่งรอบกายเวลานี้ไม่ต่างจากภาพยนตร์สามมิติชั้นดี ภาพเสียงบรรยากาศคมชัด

            ในใจบอกให้ทราบ...ชาติใดชาติหนึ่งเธอเคยตกอยู่ในวงล้อม กลางดงอสรพิษเช่นนี้

            เมื่อใจถูกวางเป็นเพียง ‘ผู้ดู’ มันจึงไม่เกิดอาการหวั่นไหว ตื่นเต้น มีแค่ความอยากรู้ อยากเห็นว่าเกิดสิ่งใดต่อจากนั้น

            ...เธอในอดีตจะหลบหนีเอาตัวรอดจากดงอสรพิษร้ายอย่างไร...

            ความสงสัยบังเกิด รบกวนความสงบตั้งมั่นในใจ ภาพป่าทึบ อสรพิษร้ายเลือนหายช้า ๆ มัชฌิมาเริ่มมองเห็นบรรยากาศเดิมทยอยกลับคืนทีละน้อย

            เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ล็อบบี้ชั้นล่างบริษัทบีบี พรอม

            สถานที่เดิมกลับคืนมาแล้ว...คราวนี้เป็นล็อบบี้ชั้นล่างจริง ๆ ไม่ใช่กับดักพิเศษที่เต็มไปด้วยฝูงงู ฝูงอีกา

            มัชฌิมานึกสงสัย เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น...ผู้อยู่เบื้องหลังเกิดใจดีส่งเธอกลับโลกปกติ หรือมีใครบางคนเข้ามาช่วยเหลือ

            สิ่งรู้ชัดเพียงอย่างเดียวคือ...กับดักนี้สร้างขึ้นเพื่อบีบเค้นความทรงจำอดีตชาติเธอให้ออกมา

            การกลับมาโลกปกติไม่ได้ทำให้โล่งใจ หมดเรื่องตื่นเต้นเสียทีเดียว เพราะตรงหน้าหญิงสาว มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนจ้องมองด้วยแววตาแปลกประหลาด

            ดวงตาเขาปกติจะคมกล้า ดุจนน่าเกรงขาม ทรงอำนาจชวนหวาดหวั่น ยามนี้มันทอประกายอบอุ่น โล่งใจ คล้ายเพิ่งผ่านเรื่องชวนตระหนกมา

            มัชฌิมานึกสงสัย หากผู้ที่ช่วยเธอจากกับดักประหลาดนั่นคือชายคนนี้

            พยุหะ โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดังมีความสามารถเร้นลับใดซ่อนอยู่!




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ทันทีที่พยุหะมายืนหน้าประตูทางเข้าบีบี พรอม สัมผัสส่วนลึกอันแม่นยำบอกตัวเองว่า...หลังประตูกระจกใสบานนี้จะเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งมีอันตรายรออยู่ ไม่ควรผลีผลามเข้าไป

            ชายหนุ่มหยุดชะงักชั่วขณะ ก่อนเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง

            หลังประตูกระจกบานนั้นเป็นล็อบบี้ชั้นล่างบริษัทบีบี พรอม แต่มันไม่เหมือนสถานที่เดิมอย่างเพิ่งเคยเข้ามาเมื่อตอนกลางวัน

            เขาไม่พบหญิงสาวนักพยากรณ์ทั้งที่เธอเพิ่งเข้ามาก่อนไม่ถึงนาที

            ที่นี่ไม่มีผู้คน ไม่มีบรรยากาศของสถานที่มีคนเดินผ่านเข้าออกประจำ

            ซ้ำร้ายกว่านั้น ตลอดพื้นกว้าง บนเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ล้วนเต็มไปด้วยกองทัพงูน่าขยะแขยง เลื้อยยุบยับ เบียดเสียดแน่นขนัดเต็มไปหมด

            มันไม่ใช่บริษัทบีบี พรอมแน่นอน แต่เป็นที่ใด อยู่ในโลกใบไหนยากบอกได้

            พยุหะมีสัมผัสพิเศษคมชัด แม่นยำ ตอบปัญหาเรื่องลี้ลับอย่างถูกต้องเสมอ ครั้งนี้สัมผัสพิเศษนั้นบอกแค่...มันเป็นอีกโลกหนึ่ง คล้ายโลกคู่ขนาน แต่ถูกสร้างขึ้นมาโดยใครสักคนซึ่งมีความสามารถสูงส่งเกินหยั่งคาด

            ‘ใครสักคน’ ใครกัน?

            ชายหนุ่มพยายามใช้สัมผัสพิเศษเจาะเข้าไปค้นหา แล้วจู่ ๆ ความทรงจำก็แวบถึงคลิปอุบัติเหตุ แล้วตนพบเงาร่างหนึ่งแทรกในกลุ่มไทยมุง

            ภาพเงาร่างนั้นชัดเจนกว่าเดิม บอกแค่เป็นเรือนร่างผู้ชายสูงใหญ่คนหนึ่ง

            พอเข้าใจเช่นนั้นเขาขนลุกซู่ ส่วนลึกเกิดความกังวลขึ้นมา

            หญิงสาวผู้เข้ามาก่อนหายไปไหน...เธอถูกบุคคลนิรนามผู้นั้นพาเข้ามายังโลกสมมุติแบบนี้หรือไม่?

            ชายหนุ่มก้มมองกองทัพงูข้างหน้า พวกมันไม่ใช่ภาพลวงตา ต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยห่างจากตนเองไม่ถึงครึ่งเมตร หากจะพุ่งจู่โจมทำร้ายนับเป็นเรื่องง่ายดาย แต่มันกลับเบียดเสียดห่างอยู่แค่นั้น ไม่กล้าเข้าใกล้กว่านี้

            พอหรี่ตามอง ใช้ใจสัมผัสจึงรับรู้ว่า งูเหล่านั้นหวาดระแวง ครั่นคร้ามเกรงกลัวตัวเขา...พวกมันก็ไม่รู้ว่าถูกรวบรวมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คล้ายมีใครใช้พลังพิเศษดึงดูดเข้ามา

            พยุหะถอนใจ เกิดความเมตตาต่อสัตว์ร้ายเหล่านี้ ถึงอย่างนั้นใจที่เป็นห่วงหญิงสาวมีมากกว่า

            ถ้าเธอไม่หลุดมาในโลกประหลาดนี้ก็แล้วไป แต่หากหลุดมาจริงเขาต้องพยายามช่วยเหลือ

            สายตามองไปตรงกลางกองทัพงู ห่างออกไปราวสิบเมตร พบว่าตรงนั้นมีเส้นแสงทอดยาวลงมาแปลก ๆ คล้ายเป็นรอยเหลื่อมซ้อนระหว่างมิติ

            เมื่อเพ่งสายตามองด้วยสัมผัสรู้ข้างใน ก็เห็นภาพในมโนทวารว่า หลังรอยเหลื่อมมิตินั้น เป็นกับดักพิเศษ สภาพเหมือนล็อบบี้นี้ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันแค่มีทั้งงู และฝูงอีกาเต็มไปหมด

            มัชฌิมาถูกขังอยู่ในนั้น!

            ...ต้องช่วยเธอออกมา...

            ชายหนุ่มไม่เสียเวลาลังเลเนิ่นนาน ก้าวขาไปข้างหน้าอย่างไม่เกรง นัยน์ตาทอดต่ำมองอสรพิษที่ขวางหน้า พบว่าพวกมันต่างถอยกรูดหลีกเร้นเป็นทาง

            หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว กองทัพงูแหวกเป็นทางให้ผ่าน ก่อนเลื้อยปิดทางหนีทันทีเมื่อร่างคล้อยหลัง เห็นชัดว่ารัศมีครึ่งเมตรไม่มีอสรพิษใดกล้าเข้าใกล้

            ทว่าระยะทางแค่สิบเมตรดูเหมือนแสนไกล การอยู่ในวงล้อมงูชวนให้ตะครั้นตะครอใจ กลิ่นเหม็นเอียน ๆ ลอยคละคลุ้งชวนเวียนหัวอยากอาเจียน

            เหลือบตามองอสรพิษน้อยใหญ่รอบตัว พบว่าพวกมันต่างคายพิษออกมา แล้วมีพลังงานบางอย่างทำให้พิษเหล่านั้นระเหยเป็นไอบาง ๆ ลอยขึ้น

            งูธรรมดาทั่วไปย่อมไม่ทำเช่นนี้ นี่เป็นการกระทำอันผิดวิสัย บอกให้ทราบว่าคนบงการเบื้องหลัง จัดฉากล่อหลอก หวังคว่ำเขาลงให้ได้

            ไอพิษงูทำให้เบลอมึนงง ก้าวขายากขึ้นทุกที พยุหะกัดฟัน หยิกตัวเองแรง ๆ เรียกความรู้สึกตัว ทำให้พอฝืนเดินไหว

            พอมาหยุดถึงจุดหมาย กึ่งกลางกองทัพงู ตรงหน้ารอยเหลื่อมซ้อนระหว่างมิติ เหงื่อก็โทรมหน้า หายใจขัด ๆ

            กองทัพอสรพิษขยับเลื้อยสับสน เสียงดังแสกสากระงมเหมือนเกิดอาการกระวนกระวาย เรรวน อยู่ไม่สุข ด้วยมีคำสั่งให้จู่โจมทันที แต่พวกมันหวาดเกรงชายหนุ่มเกินกว่าจะเชื่อฟังคำสั่งนั้น

            พยุหะไม่สนใจ เพ่งสายตาตรงรอยเหลื่อมซ้อนก่อนเอื้อมมือไปแตะ หวังจะคลี่เปิดแล้วช่วยหญิงสาวออกมาให้ได้

            ปลายนิ้วแตะตรงรอยเหลื่อมระหว่างสองโลก กระแสไฟฟ้าแล่นปลาบรุนแรงจนต้องกระตุกมือออก

            เปรียะ เปรียะ เปรียะ รอยเลื่อนแตกแยก บังเกิดคลื่นพลังงานถาโถมออกมาปะทะรุนแรงหวังให้เขาหงายหลังลงไปบนกองอสรพิษ

            ชายหนุ่มฝืนร่าง ใช้ขายันตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม โถมตัวพยายามดึงรอยเลื่อนให้กว้างขึ้น ลมกรรโชกแรงมาอีกวูบใหญ่ เขาแค่หลับตาเบี่ยงหน้าหลบ ทั้งร่างไม่ถูกโยกคลอน เกาะรอยเลื่อนแน่น ใช้มืออันมั่นคงพยายามออกแรงดึงมันสุดกำลัง

            ...ครืดดดด...เสียงเลื่อนลั่นอื้ออึงในหู

            เพียงไม่กี่วินาที ลืมตาขึ้นมาพบว่ารอบกายเปลี่ยนไป...ไม่ใช่สิ...ไม่ได้เปลี่ยน...ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิมอย่างควรเป็นต่างหาก

            หญิงสาวนักพยากรณ์ปรากฏกายขึ้นต่อหน้า ราวกับผุดออกมาเฉย ๆ ชายหนุ่มถอนใจเบาอย่างโล่งอก ความเหน็ดเหนื่อยตึงเครียดจางหาย รู้สึกคุ้มค่าต่อการเสี่ยงชีวิต

            ดวงตาเธอมองเขาอย่างฉงน คำถามนับร้อยพันเต้นระริกอยู่ในแววตา

            พยุหะรู้ว่าตนไม่มีปัญญาตอบ จึงเอ่ยปากด้วยวาจารวบรัด ตรงเป้าหมายตามนิสัยทันที

            “ฝนตกอย่างนี้ ให้ฉันไปส่งที่บ้านมั้ย!”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


Kesara
About the author:


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP