ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
อลังสูตร ว่าด้วยภิกษุเป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๑๕๒] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว ๑
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ๑
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น.
[๑๕๓] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ไม่มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว ๑
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ๑
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น.
[๑๕๔] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว ๑
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
ไม่ใช่ผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
และไม่ใช่ผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น.
[๑๕๕] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑
เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
และไม่รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ๑
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง.
[๑๕๖] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว ๑
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
ไม่ใช่ผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
และไม่ใช่ผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น.
[๑๕๗] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว ๑
ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
ไม่รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ๑
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง.
[๑๕๘] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น
ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
แต่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว ๑
รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
ไม่ใช่ผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์
ไม่ใช่ผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น.
[๑๕๙] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง
ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เป็นผู้มีความเข้าใจได้เร็วในกุศลธรรมทั้งหลาย
ไม่เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ได้ฟังแล้ว
ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำแล้ว
ไม่รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
แต่เป็นผู้มีวาจางาม กล่าวถ้อยคำไพเราะ
ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ประโยชน์ ๑
เป็นผู้ชี้แจงสพรหมจารีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ๑
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล
เป็นผู้เพียงพอสำหรับผู้อื่น แต่ไม่เป็นผู้เพียงพอสำหรับตนเอง.
อลังสูตร จบ
(อลังสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)
< Prev | Next > |
---|