วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๓


Literature

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

๑๐

ใบหน้าหนึ่งโผล่สวนมาจากด้านนอก ปีกแก้วผงะหงาย เกือบส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น แต่คอหล่อนตีบตันตัวเย็นวาบเหมือนถูกจับแช่ในน้ำที่ขั้วโลก

มันเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง โครงรูปสี่เหลี่ยม กรามใหญ่ ดวงตากลมเบิกกว้าง มองเห็นลูกตาโปนกลอกไปมาจนแทบหลุดออกมานอกเบ้า เส้นผมหยิกขอดแนบศีรษะ จมูกไม่มีสัน รูจมูกบานพะเยิบ ริมฝีปากแหว่งวิ่น จนเห็นเหงือกแดงสด ฟันขาวแหลม ผิวหนังเซียวซีดไม่ต่างจากซากศพ ทั้งยังพุพองตะปุ่มตะป่ำ

ทั้งหมดไม่ได้สร้างความหวาดกลัวแก่ปีกแก้วมากไปกว่ามือข้างหนึ่ง มือที่กำลังจิกเส้นผมอันหยิกขอด เจ้าของมือคือร่างสูงใหญ่ ผิวดำออกเขียว ที่สำคัญ...ร่างนั้นปราศจากหัว

เด็กสาวพยายามยันกายหนีห่างร่างสยอง ผีหัวขาดกำลังชูศีรษะอัปลักษณ์ล้อหลอกหล่อน เหงื่อกาฬแตกซิกเต็มใบหน้า ความหวาดกลัวจู่โจมจนคิดอะไรไม่ถูก อยากหนีแต่แขนขาเกือบเป็นอัมพาต ทำได้เพียงเถลือกไถลไปกับพื้น

ดวงตาอัปลักษณ์หลุดห้อยลงมาข้างหนึ่ง ปากแหว่งวิ่นกำลังขยับ เสียงหัวเราะอันน่าเสียวสันหลังดังขึ้นมา

เหอ...เหอ...เหอ... มันเดินมาจนถึงประตูหน้าบ้าน แล้วโยนหัวตัวเองเข้ามา

ปีกแก้วกระโดดหลบโดยสัญชาตญาณ ถึงกระนั้น หัวสยองก็ยังห่างจากหล่อนไม่ถึงเมตร ใบหน้านรกเถลือกลานพลิกเผชิญกับเด็กสาว เสียงแหบพร่าปนน่าขนหัวลุกเอ่ยช้าๆ ขาดเป็นห้วงๆ

ข้า...แค่...มา...ทัก...ทาย...เหอ...เหอ... ว่าแล้วมันอ้าปากกว้าง ลิ้นสีแดงตวัดแลบดังงูฉกเหยื่อ

คุณอา วูบแห่งความหวาดกลัว สติอันน้อยนิด ระลึกถึงชื่อนี้ได้

แสงสีขาวนวลสว่างจ้า แผ่ออกจากร่างปีกแก้ว ปลายลิ้นแดงสดพุ่งมาเกือบถึงใบหน้าหล่อน แล้วต้องหยุดชะงัก แสงสว่างทอประกายอีกวูบ หัวสยองขวัญก็ป่นสลายกลายเป็นผงคลี

ปีกแก้วหันไปทางประตู ร่างไร้หัวกำลังพร่าเลือนและกลืนหายไปกับความมืด

คุณอาคะ คุณอา... ปีกแก้วตะโกนเรียกชื่อนี้ซ้ำซากในใจ

สิ่งตอบกลับมาคือความเงียบ...คุณอาปิดการติดต่อ

เด็กสาวลุกขึ้นด้วยอารมณ์ไม่ปกติ แข้งขายังสั่นเกินระงับ พยายามสงบสติอารมณ์เพื่อเดินเข้าบ้าน แล้วหูก็แว่วเสียงเครื่องยนต์อันเคยคุ้น แสงไฟหน้ารถกำลังส่องกราดเข้ามา

พี่มัค... หล่อนยิ้มออกมาจนได้


พันเกลียวลงจากรถแล้วหันไปพูดกับมรรคาสั้นๆ

ขอบคุณ...

ชายหนุ่มก้มศีรษะรับ แต่ยังไม่เคลื่อนรถ

คุณกลับได้เลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องรอให้ฉันเข้าบ้านก่อนหรอก หญิงสาวเข้าใจเจตนาของเขา

มรรคาเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่พูดอะไร หล่อนเห็นความเป็นมิตรในดวงตาคู่นั้น

พันเกลียวเดินผ่านประตูเข้าบ้านเรียบร้อยมรรคาจึงขับรถออกไป บริเวณบ้านหญิงสาวครึ้มไปด้วยไม้ผลหลายชนิด ทางเดินจากประตูใหญ่ถึงตัวบ้านไม่ไกลนัก หน้าบ้านเปิดไฟทิ้งไว้ ดึกขนาดนี้ยายคงนอนหลับไปแล้ว

เวลานับว่าดึกโข ซอยลึกจนเสียงยวดยานแทบดังเข้ามาไม่ถึง บ้านตกอยู่ในความเงียบ พันเกลียวก้าวเท้าช้าๆ จังหวะสม่ำเสมอ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหล่อนก็หยุด หมุนตัวช้าๆ ไปที่ต้นมะม่วงใหญ่ริมรั้ว บริเวณนั้นตกอยู่ในเงาสลัวมีเสียงแมลงราตรีกรีดปีกประปราย

ละอองหมอกขาวๆ จับตัวหนาขึ้นเป็นไรๆ แถวโคนต้น จนเห็นรูปร่างรางๆ แววตาของพันเกลียวเฉยเมย อารมณ์ราบเรียบ มือไขว้หลังท่าทางสบาย

ร่างใต้เงามะม่วง เป็นหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้น เส้นผมสั้นแนบลำคอ นัยน์ตาหล่อนเด่นชัดท่ามกลางความมืด

กะ...พ้อ... พันเกลียวเรียกชื่อนี้ช้า ชัด

เจ้าจำข้าได้เพียงชื่อเท่านั้นหรือ หล่อนถามเสียงเบา

เราเคยมีข้อผูกพันอะไรกันหรือเปล่า พันเกลียวถามเรียบๆ

ถ้าข้าบอก...แล้วเจ้าจะเชื่อหรือไม่

นั่นมันอยู่ที่ว่า ฉันเคยให้สัญญาอะไรไว้กับเธอ

รอยยิ้มจากดวงวิญญาณมีความหยามหยันปนเศร้าใจ

เมื่อเจ้าได้ความเป็นมนุษย์ กลับเล่นลิ้นคารมเช่นนี้

บอกมาสิ ว่าฉันเคยสัญญากับเธอว่ายังไง

น้ำเสียงพันเกลียวแฝงความร้อนใจ

มันไม่ใช่ สัญญา ที่ยิ่งใหญ่อะไรนักหรอก หล่อนพูดหยัน ถึงเจ้าจะจำได้หรือไม่...จะกระทำตามสัญญาหรือไม่ข้าก็จะไม่ว่าเจ้าสักคำ...

อะไร...ฉันไม่เข้าใจ พันเกลียวงุนงง

ข้าให้โอกาสเจ้าคืนสัญญา กะพ้อพูดเรียบๆ ถอยห่างจากบุรุษผู้นั้นเสีย ถ้าเจ้าหวั่นเกรงต่ออันตราย ข้ารับรอง...จะไม่มีผู้ใดรบกวนเจ้า และเจ้าจะได้มีชีวิตปกติเช่นคนธรรมดา

ถ้าไม่ล่ะ หญิงสาวหลุดปากไปโดยไม่ตั้งใจ

ข้าก็ยินดี ที่เจ้าไม่คืนสัญญา...แต่ว่า... กะพ้อเงียบไปนาน... ข้าไม่สามารถรับรองอนาคตของเจ้าได้

คุณเป็นใครกันแน่ พันเกลียวสงสัย แต่กะพ้อกำลังจางหาย เหลือเพียงเสียงแว่วๆ

จำไว้ วิชา ที่เจ้ามียังไม่อาจเทียบกับจ้าวได้ เพราะฉะนั้น อย่าอาจหาญท้าทายจ้าวโดยตรงเด็ดขาด...

วิญญาณสาวหายลับกับความมืด พันเกลียวยืนนิ่งชั่วครู่ ระบายลมหายใจแผ่วๆ ยิ่งนาน ความสงสัยในใจหล่อนยิ่งทับทวีคูณ


ปีกแก้วกำลังหนุนหมอนอย่างเป็นสุข มรรคาค่อยๆ คลี่ผ้าห่มคลุมร่างเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วเขี่ยลอนผมที่ปรกแก้มหล่อนออกเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นใส่ดวงตากลมแป๋วที่มองเขาเป็นประกายใส

เรียบร้อย...หลับตาได้แล้ว เด็กดื้อ น้ำเสียงดุกึ่งล้อเลียนเช่นนี้ เขาเคยใช้ยามหล่อนเป็นเด็กตัวเล็กๆ

พี่มัคอย่าเพิ่งไปไหนนะคะ ปีกแก้วเกี่ยวปลายนิ้วเขาไว้

จ้ะ พี่สัญญาแล้วไง ว่าจะนั่งเป็นเพื่อนจนแก้วหลับ เขาพูดพร้อมจับมือเล็กๆ ใส่ไว้ในผ้าห่ม

หลับซะ พรุ่งนี้ต้องไปสอบแต่เช้าไม่ใช่หรือจ๊ะ เขาบีบมือใต้ผ้าห่มเบาๆ แล้วถอยมานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง

เด็กสาวหลับตาอย่างว่าง่าย มรรคาดับไฟที่หัวเตียง ทั้งห้องเหลือเพียงแสงสลัวส่องลอดมาจากช่องประตู แววตาอ่อนโยนของมรรคาเปลี่ยนไป กลายเป็นดุดัน คมกล้า เขานึกถึงตอนที่กลับมาบ้าน ปีกแก้วพบเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด โผกอดเขาเต็มแรง เนื้อตัวสั่น เขาต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ กว่าจะรู้ว่า ใคร ทำให้น้องเขาเป็นเช่นนี้

ความแค้นเคืองเกินระงับ เขาไม่คิดว่า พวกมัน จะตามเอาเรื่องกับปีกแก้วเด็กสาวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตเขาคือปีกแก้ว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหรือแม้แต่ขู่ให้หล่อนตกใจกลัว

เขาไม่รู้ว่าตนเองกับจ้าวมีความแค้นเคืองอะไรกัน แต่ถึงจะเป็นจริง คนที่ต้องชดใช้คือเขา ไม่ใช่ปีกแก้ว...

มรรคาประสานมือไว้บนตัก ไตร่ตรอง ครุ่นคิด...เรื่องราวส่วนใหญ่พอปะติดปะต่อได้ ขาดแต่แกนสำคัญ ซึ่งเขายังไม่รู้...และไม่รู้ว่า...ทำอย่างไรถึงจะรู้ได้


ผมขอพบคุณพันเกลียว มรรคาบอกต่อหญิงชราที่ยืนอยู่หน้าประตู

คุณมาทำไม คำถามแปร่งปร่า แววตาลังเล

ผมมีเรื่องอยากให้เธอช่วย ชายหนุ่มตอบ ช่วยบอกเธอตามนี้ด้วยนะครับ

ลับร่างหญิงชรา มรรคาจึงมีโอกาสสังเกตบ้านของพันเกลียวอย่างละเอียด เนื้อที่บ้านหล่อนค่อนข้างกว้าง เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ดูร่มครึ้มและลึกลับ ตัวบ้านเป็นไม้สองชั้น กลางเก่ากลางใหม่ ดูแข็งแกร่ง ไม่ล้าสมัย เขาเคยมาส่งพันเกลียวสองครั้ง และแทบทุกครั้งก็ไม่มีโอกาสสังเกตอะไรมาก

วันนี้เขาต้องรีบสะสางงานทั้งหมดให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเที่ยง ให้เลขาบอกเลื่อนนัดลูกค้า เพื่อใช้เวลาช่วงบ่ายมาที่นี่

คุณพันเกลียวเชิญคุณเข้าพบข้างใน ไม่นานเขาก็ได้รับการเชื้อเชิญ

หญิงสาวต้อนรับเขาที่ห้องโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ผนังทุกด้านทาสีเขียวอ่อน พันเกลียวนั่งรอเขาบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่ มรรคาทรุดบนเก้าอี้ด้านตรงข้ามโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ

เริ่มธุระของคุณได้เลยค่ะ ไม่มีคำกล่าวทักทาย ไม่มีการเอ่ยนำ หญิงสาวขึ้นต้นสนทนาด้วยการดึงเข้าสู่ประเด็นหลัก

เมื่อคืนน้องสาวผมโดนปิศาจตนหนึ่งหลอก เขาพูดตรงจุดเช่นกัน ผมคิดว่ามันต้องเป็นสมุนของจ้าว

แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง หญิงสาวถามกลับ

คุณมีวิธีใดที่จะช่วยคุ้มครองเธอมั้ย

พันเกลียวหลับตาลง ภาพเด็กสาวหน้าใสปรากฏในห้วงสำนึก สาวน้อยผู้มีรัศมีแห่งเทพเป็นเกราะป้องกันตน เหตุใดปิศาจถึงสามารถเข้าถึงตัวเธอได้ และหากมันทำได้จริง หล่อนจะใช้วิธีใดช่วยเหลือ

คุณจำวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นได้มั้ย พันเกลียวยังไม่ตอบปัญหาชายหนุ่ม

ใคร...กะพ้อ มรรคาสงสัยในวินาทีแรก ก่อนชื่อนี้หลุดออกมา

เธอก็มาหาฉัน พูดอะไรหลายอย่าง ให้ฉันอยู่ห่างคุณ ไม่ก็อย่าหักหาญกับจ้าวตรงๆ

แล้วคุณก็เชื่อเธอ

นัยน์ตาของพันเกลียวสาดประกายกล้า

เวลานี้คุณน่าจะบอกกับฉันได้แล้วว่า จ้าว คือใคร คุณรู้จักจ้าวและกะพ้อมากแค่ไหน และที่สำคัญ...กะพ้อให้คุณเห็นอะไรในอดีตบ้าง

มรรคาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

เอาสิ ผมว่าตอนนี้ คงมีคุณคนเดียวที่น่าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ดีกว่าใคร

จบคำพูด...มรรคาเริ่มต้นเล่า...ตั้งแต่เข้าไปยังดงไม้ครั้งแรก กระทั่งฝันเห็นเรื่องราวในอดีตแต่ละครั้ง การได้พบหลวงพ่อ จนพอปะติดปะต่อเรื่องได้

จนถึงเดี๋ยวนี้ คุณพอจะบอกได้ไหมว่า ในอดีตคุณเคยเป็นใคร พันเกลียวสรุปถาม

มรรคาหรี่ตาลง คำตอบช้า...แต่หนักแน่น

ผมคิดว่า ผมไม่ใช่มนุษย์

พันเกลียวไม่แปลกใจ

เพราะฉะนั้น คุณถึงกล้าท้าทายจ้าว กล้าท้าทายความเชื่อและศรัทธาของคนทั้งหมู่บ้าน

อาจเป็นเพราะผมสงสารกะพ้อ มรรคาตอบอย่างลังเล ไม่ทันสังเกตความผิดปกติชั่วแวบในดวงตาของพันเกลียว

แต่ก็นั่นแหละ เขาถอนใจ ผมแค่คิด แต่ก็ยังไม่รู้...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลการเผชิญหน้ากับจ้าวครั้งนั้น มันจะเป็นอย่างไร และทำไมเราถึงต้องมีสัญญาผูกพันกันมาจนถึงปัจจุบัน

มรรคาทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มือกอดอกหลวมๆ พันเกลียวมองท่าทางปล่อยตัวตามสบายของเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ กึ่งชื่นชม กึ่งพึงใจ...เมื่อได้สติ หล่อนรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปทันที

แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี คุณจะให้กะพ้อพาไปดูอดีตอีกครั้ง โดยที่คุณไม่อาจซึมซับมันมากไปกว่าดูหนังเรื่องหนึ่ง หรือว่าคุณจะพยายามระลึกชาติด้วยตัวเอง ซึ่งหลวงพ่อท่านก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

นั่นสิ มรรคายอมรับ แล้วคุณสามารถ ทำ สิ่งเหล่านั้นได้ยังไง

พันเกลียวเข้าใจความหมายของเขา

พ่อให้ฉันฝึกสมาธิตั้งแต่เด็ก ฝึกควบคุมจิตใจ อารมณ์ จนมาถึงขั้นเล่นอิทธิวิธี แต่ฉันก็ทำได้ไม่ดีนัก

ขนาดคุณฝึกตั้งแต่เด็ก คุณยังว่าไม่ดีพอ ชายหนุ่มส่ายหน้า ผมไม่เคยฝึกอะไรพวกนี้เลย แล้วทั้งชาติผมจะระลึกชาติได้อย่างไร

ถ้าคุณฝึกจิต เพื่อหวังระลึกชาติ ฉันก็บอกได้เลยว่า ยังไงเสียคุณก็ไม่มีวันสำเร็จ มรรคามองหญิงสาว เขาสงสัยแต่ไม่ถาม เพราะยิ่งหวัง ยิ่งอยากได้ จิตยิ่งไม่ยอมสงบ เมื่อจิตไม่สงบเป็นพื้นฐานแล้ว คุณจะไม่มีวันก้าวขึ้นสู่ระดับสูงได้เลย

งั้นก็จบ เขาพูด ผมขอถามอีกเรื่อง เราจะป้องกันการคุกคามจากสมุนของจ้าวได้ยังไง

เท่าที่สังเกต ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าทำร้ายคุณจริงๆ จังๆ

แล้วคนในความดูแลของผมล่ะ อย่างแก้วนี่ น้องผมไม่เกี่ยวเลย ทำไมต้องมาเดือดร้อนด้วย

พันเกลียวเกือบจะพูดถึงรัศมีแห่งเทพ แต่เหมือนมีสิ่งอันทรงอานุภาพเหนือกว่า ดลใจให้หล่อนผ่านเรื่องนี้ไป

ฉันว่าคนของคุณน่าจะปลอดภัย การที่คุณจดจำอดีตไม่ได้อย่างนี้อาจทำให้คุณเป็นต่อมากกว่า เพราะสิ่งที่จ้าวต้องการ จะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อคุณจำสัญญาในอดีตชาติได้

มรรคาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด

เราไปหาหลวงพ่อกันอีกครั้งดีไหม ชายหนุ่มเสนอ

ท่านบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า จงหาหนทางด้วยตัวของตัวเอง’ ”

แล้วทางนั้นมันอยู่ที่ไหน เขาจนตรอก

คุณบอกว่า ท่านเคยให้หนังสือประวัติหลวงปู่ อาจารย์ของท่านกับคุณไม่ใช่หรือ พันเกลียวสะกิดเรื่องนี้ขึ้น คุณเองก็เคยบอกว่า...ในชาติก่อน คุณได้ใส่บาตรหลวงปู่ใหญ่ แล้วเหตุการณ์นี้ก็บันทึกอยู่ในประวัติท่านด้วย

ใช่ มรรคายอมรับ เหมือนจะเห็นหนทางรำไร สิ่งที่ผมไม่รู้ อาจถูกซ่อนอยู่ในเรื่องราวของท่านก็ได้

ฉันขออวยพรให้คุณหาเจอแล้วกัน

มรรคายิ้มออก เป็นรอยยิ้มสดใสคล้ายตะวันฉายตอนเช้า นานๆ ครั้งหรอกเขาถึงจะยิ้มอย่างนี้สักที โดยมากไม่ค่อยมีใครได้เห็นนอกจากปีกแก้ว

พันเกลียวเบือนหน้าหลบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง หากแต่ต้องการควบคุมจิตใจที่เริ่มจะโลดแล่น ให้อยู่ในความสงบ เฉกเช่นเคยเป็นมา


เอาละ เป็นอันว่าพวกเราตกลงจะไปเที่ยวทะเลกัน

นี่คือข้อสรุปเรื่องสถานที่เที่ยว ซึ่งค้างคามาตั้งแต่ก่อนสอบจนถึงวันสอบเกือบสุดท้าย

แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ดีล่ะ จบจากเรื่องสถานที่ก็เป็นเรื่องเวลา

หลังสอบเสร็จ

นั่นมันแหงแซะอยู่แล้ว ใครจะไปวันนี้พรุ่งนี้กันล่ะ

งั้นเสาร์นี้เป็นไง เราสอบเสร็จวันศุกร์พอดี วันเสาร์ก็ออกไปเปิดสมองกันเลย

โอเค หลายเสียงสนับสนุน

ปิ๊บ ปิ๊บ มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมากลางวง

เพจใคร...เพจใครดังยะ เสียงถามแหลมสูงแฝงความหมั่นไส้ เด็กสาวสามสี่คนก้มดูที่เอวตัวเอง

ยายแก้ว

สาวน้อยเจ้าของชื่อยิ้มเผล่ หยิบเพจเจอร์ขึ้นมาดู แต่ไม่ทันมืออันรวดเร็วของเพื่อนจอมแสบในกลุ่ม

...สอบเสร็จแล้วยังไม่ต้องรีบกลับ พี่จะมารับไม่เกินสี่โมงเย็น เสียงอ่านแจ้วๆ พร้อมมีมือของเพื่อนๆ ผู้อยากรู้อยากเห็นทั้งหลาย ต่างไขว่คว้ากันพัลวัน

บอกมานะยายแก้วว่าพี่คนไหน เสียงขู่เข็ญแกมขบขันของเพื่อนๆ ทำให้ปีกแก้วหัวเราะคิกคัก

พี่มัค...พี่ชายฉันย่ะ ปีกแก้วตอบแล้วแย่งเพจเจอร์จากมือเพื่อนๆ มาดูอีกที

พี่มัคไหนวะ เพื่อนบางคนถาม

เฮ่ย แกไม่รู้หรอก พี่ชายแก้วมันน่ะ เป็นเจ้าของโรงงานที่พวกฉันไปสัมภาษณ์กันไง เพื่อนอีกคนช่วยตอบ

อ๋อ คนที่อาจารย์ส่งบทสัมภาษณ์ไปลงหนังสือใช่มั้ย...เฮ่ย...หล่อนี่หว่า อีกเสียงเสริมขึ้น

หล่อสู้พี่แมนของแกได้หรือเปล่า มีเสียงแซว

แกไปถามมันอย่างนี้ได้ยังไงว้า...เขาว่า หาคนงาม ให้ถามคนรัก แกต้องถามว่า หล่อได้ครึ่งของพี่แมนเขาหรือเปล่า...

และแล้ว วงสนทนาก็ถูกหักเหออกไปอีกหลายเรื่อง ปีกแก้วเก็บเพจเจอร์ เพิ่งบ่ายสามโมงกว่าๆ หล่อนและเพื่อนๆ หลายคนสอบเสร็จก่อนเวลา จึงมานั่งปรึกษาเรื่องไปเที่ยวกันที่หน้าตึกเรียน ซึ่งใกล้กับลานจอดรถ เด็กสาวจึงไม่ห่วงว่ามรรคาจะหาไม่เจอ

แดดร่ม เงาตึกเรียนทอดยาวออกไป กว่าทุกคนจะดึงเข้าสู่รายละเอียดการท่องเที่ยวได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนตกลงกันว่าจะไปทะเลในตอนเช้าวันเสาร์ เป็นการทัวร์แบบลุยๆ ไม่ต้องวางแผนมากมาย สัมภาระติดตัวแค่กระเป๋าคนละใบ อาศัยรถประจำทางแล้วต่อเรือเอา ใช้เวลาสองคืนสามวันก็น่าจะกลับได้


ก่อนสี่โมงเย็นเล็กน้อย กลุ่มเด็กสาวแตกกระจายกลับบ้าน เหลือเพียงไม่กี่คนนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระตามประสาผู้หญิง

ปีกแก้วเห็นรถมรรคาตั้งแต่เลี้ยวผ่านหน้าตึกเรียน ก่อนจะตีวงไปจอดตรงลานจอดรถ หล่อนจึงเก็บหนังสือและของกระจุกกระจิกใส่กระเป๋า

ไปนะยะ พี่ชายมารับแล้ว ปีกแก้วลาเพื่อนๆ

เออๆ แล้วมะรืนเจอกัน

สอบวิชาสุดท้ายแล้วนะโว้ย พรุ่งนี้อย่าลืมทบทวนตำราให้ดีล่ะ

จ้า...แม่เพื่อนผู้แสนดี ปีกแก้วยิ้มหวาน เดินตัวปลิว มีสายตาของเพื่อนๆ มองตามเพื่อหาข้อมูลมาคุยเพิ่มรสชาติ

มรรคาเปิดประตู ยืนรอรับ ปีกแก้วไม่รู้ตัวว่าตนเองกลายเป็นเป้าสนทนาของเพื่อนๆ กลุ่มจอมแสบไปแล้ว

โคตรหล่อเลยว่ะ ผู้ชายอะไร เสียงหนึ่งทะลุขึ้นมากลางกลุ่ม

ตัวจริงหล่อกว่าในรูปเยอะเลยว่ามั้ย

เออว่ะ ตอนฉันไปสัมภาษณ์ ยังได้เห็นตัวจริงใกล้ๆ เลย แต่แปลกแฮะ ทำไมนามสกุลไม่ยักเหมือนกัน

สงสัยจะเป็นพี่ชายร่วมโลกมากกว่า หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย มีคนออกความเห็นเพิ่ม

เฮ้อ...ฉันว่าต้องรอให้พวกแกกลับบ้านเสียก่อน ฉันถึงจะลุกจากโต๊ะนี้ได้ว่ะ

ทำไมยะ

อ้าว ขืนฉันลุกกลับบ้านตอนนี้ พวกแกก็ได้เอาฉันเป็นที่เม้าท์สนุกปากกันต่อสิยะ

นอกจากเสียงหัวเราะตามมา ก็ยังมีเสียงตุบตับดังสัพยอกอย่างครื้นเครง

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP