วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๑



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)




            ห้องประชุมโรงพยาบาลกว้างขวาง โปร่ง มีระบบถ่ายเท ปรับอากาศที่ดี สามารถจุคนได้เป็นร้อย เวลานี้มีเหล่าแฟนคลับของมาตานัดรวมตัวกันราวสี่ – ห้าสิบคน เกินกว่าที่โดมคาดไว้เกือบเท่าตัว

            ก่อนงานเริ่ม โดมกวาดสายตารอบห้องประชุม ไม่เห็นลานน้ำค้าง ไม่มีกระทั่งเงาของบูรพา คุณดาริกาที่อาจจะมาด้วย เด็กหนุ่มไม่มีเวลามามัวน้อยใจนานนัก รอบกายเขารายล้อมด้วยแฟนเพลงที่มีความรักให้แก่มาตา ร่วมศรัทธาอยากช่วยให้เกิดปาฏิหาริย์

            บทเพลงของมาตาถูกขับร้องจากแฟนคลับอาวุโส เนื้อเสียงละม้ายคล้ายต้นฉบับ จากนั้นคนอื่นก็ร้องตาม โดมนั่งอยู่ท่ามกลางแฟนเพลง ช่วยเล่นกีตาร์คลอเสียงร้องประสานเป็นหนึ่งเดียว

            จากบทเพลงหนึ่งไปสู่อีกบทเพลงหนึ่ง เสียงร้องประสานชนิดเข้ากันบ้าง ไม่เข้ากันบ้าง ถ่ายทอดออกมาด้วยความจริงใจ มีความห่วงใย ระลึกถึง หวังให้เป็นสายใยเหนี่ยวนำมาตากลับมาจากนิทราอันยาวนาน

            มันไม่น่าเรียกว่ามินิคอนเสิร์ต ไม่ใช่การแสดงดนตรี มันเป็นแค่การรวมกลุ่มขับขานบทเพลงแห่งความจริงใจ โดยมีลูกชายของมาตาเป็นแกนนำ พาเหล่าแฟนเพลงทั้งหลายร่วมขบวนรถไฟสายคีตา พาไปส่งยังจุดหมาย จอดรับหญิงสาวที่กำลังหลงทางอยู่ในห้วงนิทราให้กลับคืนมา

            แล้วก็ถึงเพลงสุดท้าย โดมถูกขอให้ขึ้นไปร้องเพลง กว่าจะรู้ว่ารัก” บนเวที เด็กหนุ่มทำตามด้วยความเต็มใจ พอนั่งบนเก้าอี้สูง มองไปเกือบสุดห้องประชุม เห็นลานน้ำค้างกำลังมองมา พร้อมกับยกนิ้วโป้งสูง ๆ ให้กำลังใจ

            หัวใจโดมพองฟูขึ้นมากะทันหัน ความสุขเอ่อล้นเต็มหัวใจชนิดไม่บอกกล่าว รอยยิ้มสว่างฉายจับใบหน้า ยกนิ้วโป้งชูตอบ เขาไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่เห็นหล่อนมานั่งฟังเพลงของเขาก็พอแล้ว

            ปลายนิ้วกรีดสายกีตาร์แทนพร่างพรมบนคีย์เปียโน ก่อให้เกิดเสียงดนตรีแปลกกว่าเดิม ทว่ายังถ่ายทอดความหมาย ความรู้สึกจากใจไม่แตกต่างกัน...เสียงเพลงท่อนแรกขึ้น พร้อมเสียงเหล่าแฟนเพลงร้องตามกระหึ่ม

  

            ฝนทั้งฟ้า...รินไหล แทนความเศร้าใจ

            เจ็บปวดหัวใจ...มากเพียงไร ใช้สิ่งใดทดแทน...



            โดมไม่คิดว่าทุกคนจะร้องเพลงของเขาได้ แถมยังร้องตามทุกคำชนิดไม่ผิดเพี้ยน...

            ยามบทเพลงถูกขับขานพร้อมกับทุกคนในห้องประชุม เสียงดังประสานเป็นหนึ่งเดียวชวนให้ขนลุกซู่ ตื้นตันใจ น้ำตาจะไหล แทบร้องเพลงต่อไปไม่ได้ พลังใจจากคนเหล่านี้ถ่ายเทมาให้เขาโดยไม่เก็บกัก เป็นน้ำใจบริสุทธิ์ที่มอบให้ด้วยความรัก



            กว่าจะรู้ว่ารัก...กว่าจะมีวันนี้ ฉันรู้ดี เพราะมีเธอ...เสมอมา

            จะรักเธอให้มาก...มากกว่าเคยรักใคร มากกว่าเธอรักฉัน...สัญญา



            ยิ่งร้องไปเขายิ่งไม่สามารถแยกเสียงตัวเองออกจากเสียงแฟนเพลงได้ ทุกคนสามารถร้องตามเพลงนี้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ...โดมกรีดสายพลิ้วเสียงกีตาร์ออกมาเป็นการสั่งลา

            เสียงปรบมือกึกก้องทั้งห้องประชุม มันกังวานเข้าไปในใจโดม ไม่ต่างจากมีคนนับพันนับหมื่นมาร่วมยินดีกับเขาด้วย

            “ขอบคุณครับ...ขอบคุณมากครับ” เขาพูดได้เพียงเท่านี้...เท่านี้ยังรู้สึกน้อยเกินไป น้อยเกินไปจริง ๆ หากเทียบกับดวงใจทุกดวงที่มาด้วยความจริงใจ

            แสงไฟฟ้าดับลง เทียนถูกจุด...ส่งต่อถึงกันและกัน ปลายเปลวเทียนเต้นไหวระริก ส่องสว่างทดแทน...เทียนแต่ละดวงแทนใจแต่ละคนที่ตั้งใจมาอธิษฐาน ภาวนาขอให้เกิดปาฏิหาริย์ ขอให้แสงเทียนนี้กลายเป็นแสงสว่างนำทางกลับบ้านแก่มาตา

             และแล้ว...เสียงอธิษฐานจากหัวใจ ก็กระหึ่มประสานกัน อยู่ใต้แสงเทียน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ท่ามกลางความอบอุ่นจากหัวใจหลายสิบดวง โดมไม่อาจรู้ว่าลานน้ำค้างเข้ามาฟังเขาร้องเพลงตอนไหนและออกไปเมื่อไหร่ ที่ไม่รู้ยิ่งกว่านั้นก็คือ กว่าลานน้ำค้างจะได้มาร่วมฟังด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

            พอคุณดาริกาได้ยินลูกสาวบอกว่าจะไปดูมินิคอนเสิร์ตของโดม เธอก็นึกภาพผู้คนแออัดยัดเยียดเบียดเสียดจนไม่มีอากาศหายใจ ซึ่งเป็นอันตราย เสี่ยงต่อการติดเชื้อสำหรับคนเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

            คุณดาริกาจึงห้ามเด็ดขาดไม่ให้ร่วมงานนี้ ลานน้ำค้างอธิบายแล้วอธิบายอีกว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่การรวมกลุ่มร้องเพลงกับพวกแฟนเพลงของมาตา มีคนแค่ไม่กี่คน...ยกเหตุผลมาอ้าง ขอความเห็นใจ จนมารดาใจอ่อน ถึงอย่างนั้นก็ขอตามมาด้วย หากดูแล้วสถานที่ไม่เหมาะสม ก็จะไม่ยอมให้เข้ามา ทำให้เสียเวลานาน พอมาถึงโดมกับแฟนเพลงก็เริ่มร้องเพลงกันแล้ว

            คนป่วยอย่างลานน้ำค้างถูกมารดาสั่งให้นั่งฟังอยู่ห่าง ๆ เกือบสุดห้องประชุม ถึงอย่างนั้นก็พอเห็น ได้ยินเสียง ร่วมใจอธิษฐานพร้อมกับทุกคน จนถึงตอนดับไฟ จุดเทียน หญิงสาวรู้สึกเวียนหัวจึงออกมาข้างนอก

            คุณดาริกาเห็นลูกสาวเดินหน้าซีดออกจากห้องประชุม ก็ไม่ใจเย็น รีบพาไปหาหมอ โชคดีเจอหมอนภัทรเจ้าของไข้ยืนเกร่อยู่แถวนั้น จึงอธิบาย บอกอาการลานน้ำค้างทันที

            หมอนภัทรสั่งเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซ์เรย์ปอด และสั่งให้นอนโรงพยาบาลตามดูอาการ พร้อมกับรอผลตรวจไปด้วย ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อก็ให้กลับบ้านพรุ่งนี้ได้

            “พรุ่งนี้เลยหรือคะ” ลานน้ำค้างหน้าเสีย พรุ่งนี้หล่อนมีนัดกับเลียบเมือง

            “ถ้าผลตรวจปกติ ไม่มีอาการอะไรมากกว่านี้ ก็กลับบ้านพรุ่งนี้...แต่ถ้ามี ก็ต้องอยู่รักษาต่อ” หมอนภัทรพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนหญิงสาวไม่กล้างอแง

            “ดีแล้วลูก นอนโรงพยาบาล รอผลตรวจ ดูอาการก่อน จะได้ไม่มีปัญหา” คุณดาริกาสนับสนุน

            “แหม...ลานแค่เวียนหัวนิดเดียว” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ

            “เวียนหัว หน้าซีด เพลีย ตัวรุม ๆ อาจมีอาการไข้...ถ้าคืนนี้คุณไข้ขึ้นสูง แสดงว่าติดเชื้อ ก็เตรียมตัวรักษากันอีกไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์” หมอนภัทรไม่ได้ขู่ เสียงที่พูดหนักแน่น ชัดเจน คนป่วยได้แต่ทำตาปริบ ๆ

            “ค่ะ...” ลานน้ำค้างรับคำเสียงอ่อย ก่อนยิ้มหวานให้คุณหมอ “คุณหมอรีบกลับไปที่งานเถอะค่ะ...น่าจะยังทัน”

            คุณหมอใหญ่มีสีหน้าผิดปกติชั่วขณะ ลานน้ำค้างเดาไม่ผิด ที่คุณหมอยืนเกร่อยู่ใกล้ห้องประชุม ก็เพราะลังเลว่าควรเข้าไปร่วมงานดีหรือไม่...เรียกว่าเป็นโชคดีของหล่อนที่ออกมาพบหมอพอดี

            “ทุกคนในนั้นรักคุณมาตาและโดมมากนะคะ...ถ้าคุณหมอไปร่วมอธิษฐานด้วย ถึงจะช้ากว่าคนอื่นบ้าง แต่ก็น่าจะเป็นคำภาวนาที่มีพลังไม่แพ้ใครหรอกค่ะ”

            ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยืนเฉยไม่ตอบวาจา ทำแค่เดินไปสั่งพยาบาลเวรให้พาลานน้ำค้างไปนอนที่ห้องผู้ป่วย และให้คอยตามดูอาการทั้งคืน ถ้าผลตรวจ และอาการปกติดี ตอนเช้าให้กลับบ้านได้...

            สั่งงานเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรมากกว่าเดิม ทิ้งคนป่วยมองตามด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม



            ลานน้ำค้างมองตามหลังหมอนภัทร แน่ใจว่าคงกลับไปยังห้องประชุมนั้น ถึงพิธีการจะเสร็จแล้ว ไม่มีใครเหลือ...ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากท่านจะเข้าไปจุดเทียน อธิษฐาน...เพียงลำพัง

            “พรุ่งนี้แม่จะแวะมาดูนะลูก” คุณดาริกาบอกลาลูกสาว

            “ไม่เป็นไร...ลานกลับเองได้” หญิงสาวยิ้มหวานทั้งที่ตาโรย ใบหน้าซีด

            “อย่าทำเป็นเก่งแอบกลับบ้านเองเชียวนะ!” คุณดาริกาขู่

            “แหม ลานไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”

            “จะเก่งกว่าหมอหรือไงเราน่ะ” แม่ดุอีก

            “แต่พรุ่งนี้แม่มีคุมสอบแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” ลานน้ำค้างเตือน

            คุณดาริกาเพิ่งนึกได้ แต่ก็มีคำตอบทันที

            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ให้บูเขามาดูก็ได้...ถ้าไม่มีปัญหาค่อยให้เขาพากลับ”

            “เจ้าหมูมันก็มีเรียนเหมือนกันนา...” หญิงสาวโยกโย้

            “ห้ามบ่น...เอาตามนี้แหละ” แม่ใช้วิธีเผด็จการ

            “ถ้าบูรพาเขาไม่ว่างจริง ๆ ก็นอนโรงพยาบาลไปก่อน ตอนเที่ยง ๆ ไม่ก็ตอนเย็นแม่จะมารับเอง”

            เท่านี้ลานน้ำค้างก็คอย่นไม่กล้าเถียง ไม่กล้าโยกโย้ต่อ...ปัญหาจริง ๆ คือเรื่องนัดกับเลียบเมือง...มันจะเป็นอย่างไรถ้าหล่อนไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้จริง ๆ

            หญิงสาวเป็นห่วงแต่เรื่องของคนอื่น...กลัวปัญหาของเลียบเมืองจะไม่เรียบร้อย ไม่สามารถพบยายของปันปัน แม่ของปัณรสีได้อย่างราบรื่น

            เป็นห่วงโดมกลัวจะท้อถอย ถอดใจ กลัวถ้ามาตาไม่ตื่นขึ้นมา โดมจะยิ่งหดหู่ จ่อมจมกับความรู้สึกผิด...

            ชีวิตเขาไม่อาจเดินไปข้างหน้าได้ ถ้ายังไม่วางใจเรื่องของมารดา

             ห่วงคนอื่น จนลืมตัวเอง...จะเป็นอย่างไร หากหล่อนติดเชื้อ ต้องนอนโรงพยาบาลอีกครึ่งค่อนเดือน และจะเป็นอย่างไร หากไม่สามารถรักษามะเร็งได้หายขาดจริง ๆ







บทที่ ๒๗



            คืนนี้โดมอยากนอนเป็นเพื่อนแม่...

            ทุกคนแยกย้ายกลับกันหมดแล้ว ความอบอุ่นในหัวใจยังไม่จาง เด็กหนุ่มขึ้นมาหามารดา ลากเก้าอี้นั่งข้างเตียง ดึงมือแม่มาเกาะกุม ถ่ายทอดความรักจากหัวใจหลายดวงที่ได้รับมาฝากมารดา

            “แม่ได้ยินเสียงเพลงจากแฟน ๆ มั้ย” โดมเริ่มต้น “มีแฟนคลับของแม่ตั้งครึ่งร้อยมาช่วยกันร้องเพลงของแม่ ทุกคนอยากให้แม่ตื่นขึ้นมา แล้วร้องเพลงให้พวกเขาฟังอีก”

            เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสวย นัยน์ตาอ่อนโยน

            “แม่ได้ยินเพลงของผมหรือยัง เพลงที่ผมแต่งให้แม่... ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมาก่อนเลย จนกระทั่งทุกคนร่วมร้องเพลงนี้พร้อมกับผม... ตอนนั้นผมขนลุก ดีใจจนพูดไม่ออก บอกกับตัวเองว่า...ดีเหลือเกินที่ได้เป็นนักร้อง ดีจริง ๆ ที่สามารถแต่งเพลงแล้วมีคนชอบ จนร้องตามได้อย่างนี้ และมันจะดีที่สุด ถ้าเพลง ๆ นี้จะสามารถปลุกแม่ขึ้นมา...ให้แม่ได้ร้องเพลงด้วยกันกับผม...”

            มือที่กุมมือมารดาค่อยบีบกระชับขึ้น ก่อนยกขึ้นมาแตะแก้ม

            “ผมยังไม่เคยทำอะไรดี ๆ ให้แม่เลยสักที พูดเพราะ ๆ หวาน ๆ กับแม่นับครั้งได้ แต่แม่ก็รักผมเหลือเกิน...แม่บอกว่าอยากควงผมออกงาน อยากพาผมไปเที่ยวไหนต่อไหน อยากอวดทุกคนว่ามีลูกชายคนนี้อยู่ ลูกชายที่แม่รักและภูมิใจ แต่ผมก็ไม่เคยยอมทำตามสักที ผมชอบบ่นว่าอึดอัดกับสายตาผู้คน ไม่ชอบให้ใครคอยมอง ผมไม่อยากแต่งตัวดี ๆ เป็นตุ๊กตาให้แม่เดินควง...”

            โดมยิ้มทั้งที่นัยน์ตาเศร้า

            “ตอนนี้ผมยอมแล้ว...ขอให้แม่ตื่นขึ้นมาเถอะ ผมจะยอมทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ จะให้ไปไหนต่อไหนกับแม่ก็ได้ จะยอมให้แม่พาผมไปอวดใคร ๆ จะยอมแต่งตัวดี ๆ อย่างที่แม่ชอบ จะยอมทำตัวหล่อ น่ารักให้แม่ภูมิใจ ได้คุยข่มทับเพื่อน ๆ ของแม่เต็มที่”

            เขาหัวเราะขื่น ๆ หัวอกสะเทือน

            “ผมกับพวกแฟนเพลงของแม่จุดเทียนนำทางให้แล้ว...กลับมานะครับแม่...กลับมาเถอะ ผมสัญญา จะเป็นลูกชายที่ดี ที่น่ารักอย่างที่แม่ต้องการ ผมจะยอมทำทุกอย่างที่แม่อยากได้...ผมสัญญา ขอให้แม่กลับมาเท่านั้นพอ”

            คำวิงวอนขอร้องนี้มันจะมากเกินไปหรือไม่...สิ่งที่เขาสัญญาจะทำ มันสายเกินไปแล้วไหม

            ถ้าหากรู้ว่าแม่จะเป็นเช่นนี้ เขาคงทำดีกับแม่ให้เร็วกว่านี้ คงไม่ขัดใจแม่ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และจะไม่ยอมถือทิฐิ ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ

            ถ้าหากเขารู้ตั้งแต่แรก ว่าโลกเปลี่ยนแปลง พลิกผัน รวดเร็วเกินคาดหมาย...เขาคงไม่ยอมทิ้งโอกาสสร้างวันเวลาดี ๆ เหล่านั้นไป...โอกาสที่จะทำให้คนที่รักเขามากที่สุด...มีความสุขที่สุด

            เวลานี้...เขาได้แต่หวัง ให้ความเปลี่ยนแปลง พลิกผัน หันกลับมาอยู่ฝ่ายเขาบ้าง...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกแปลก ๆ รบกวนรุมเร้าจิตใจ มันไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ทางกาย ซึ่งทุเลาจนแทบเป็นปกติเมื่อได้นอนพักเพียงสามสี่ชั่วโมง

            อาการเวียนหัวอ่อนเพลียหายไปแล้ว พยาบาลเพิ่งมาวัดไข้ราวครึ่งชั่วโมงก่อน ปรากฏว่าอุณหภูมิปกติ ไข้ที่รุม ๆ ก็หมดปัญหา ใจจริงอยากแอบนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ถ้าไม่กลัวเจอคุณดาริกายืนถือไม้ทำหน้าดุอยู่ในบ้าน

            เลียบเมืองนัดหล่อนพรุ่งนี้ตอนสาย ถ้าได้ออกจากโรงพยาบาลแต่เช้าก็ไม่มีปัญหา ขืนรอให้แม่มารับตอนเที่ยงตอนเย็น มีหวังต้องโทรไปบอกเลิกนัดเลียบเมืองแน่

            อาการกระสับกระส่ายเวียนมาให้รู้สึกอีกแล้ว ลานน้ำค้างลืมตาโพลงอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ยันกายลุกขึ้น มองไปรอบ ๆ ผู้ป่วยคนอื่นต่างหลับใหล พยาบาลเวรอยู่อีกด้าน ไม่สนใจมองมาทางนี้

            เงาแวบ ๆ ผ่านปลายหางตา พอมองตามก็เห็นร่างขาว ๆ สองสามร่างเดินผ่านแถวเตียงคนไข้ ผู้ป่วยอื่น ๆ ยังอยู่ในนิทราหลับใหล ไม่รู้สึกรู้สาถึงการมีอยู่ของเพื่อนร่วมวัฏสงสารที่ห่างกันไม่ไกล

            ลานน้ำค้างไม่สนใจ อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเธอเช่นกัน เฉกเช่นคนเดินถนน ต่างคนต่างมีธุระของตนเอง มีเรื่องของตนให้ครุ่นคิดสนใจ จะมามัวเสียเวลาใส่ใจผู้อื่นทำไม

            หญิงสาวลุกจากเตียง ตั้งใจไปเข้าห้องน้ำ พอออกมานอกห้องผู้ป่วยรวม ก็ยังเห็นร่างขาว ๆ เดินวนเวียนบนทางเดินอีกสี่ห้าตน...นึกฉุกใจมากกว่าตกใจ ถึงอย่างนั้นก็คร้านจะสนใจ...ปล่อยให้เดินกันไปเถอะ ทางใครทางมันแล้วกัน...

            ออกมาจากห้องน้ำ คราวนี้เห็นร่างขาว ๆ เหมือนกัน เป็นร่างของนางพยาบาลจริง ๆ กำลังรีบเดินฉับ ๆ ท่าทางมีเรื่องเร่งด่วน สำคัญ

            ด้วยความที่ว่าง ไม่รู้จะทำอะไร ประกอบกับสงสัยอยากรู้ จึงเดินตามพยาบาลคนนั้น ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ดังมาจากคุณพยาบาลที่อยู่ด้านหน้า

            “รีบตามคุณหมอเร็วเข้า...คนไข้ห้องวีไอพีมีปัญหา”

            “ห้องวีไอพี...มาตาน่ะเหรอ” พยาบาลอีกคนถามพยาบาลคนแรก

            “ก็ใช่น่ะสิ...เร็วเข้า เรียกหมอเวรมาก่อน...แล้วโทรตามคุณหมอเจ้าของไข้ กับท่านผอ.ด้วยเลย”

            ดูท่าจะเป็นเรื่องฉุกละหุกสำคัญจริง ๆ ลานน้ำค้างแอบเหลือบมองขึ้นไปด้านบน...มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นกัน...แล้วมันจะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องร้าย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โดมนอนอยู่บนเตียงเฝ้าไข้ใกล้กับแม่...เขาหลับประมาณชั่วโมง สองชั่วโมงก็ได้ยินเสียงเครื่องวัดดังขึ้นผิดปกติ รู้สึกตัวลุกขึ้นมา หัวยังมึน เบลอจากความง่วง นอนไม่เต็มอิ่ม ตั้งสติได้ก็ขยับตัวลงจากเตียงมองไปทางมารดา

            ในห้องมีแสงไฟริบหรี่จากโคมหัวเตียง ส่องพอให้เห็นทางเดินไม่ชนเตียงชนเครื่องมือแพทย์ แสงไฟนั้นส่องให้เห็นร่างของแม่กำลังขยับ พลิกตัว โดมตาสว่างรีบลุกขึ้นยืนทันที มือเอื้อมเปิดสวิตซ์ไฟดวงเล็กอีกดวง ช่วยเพิ่มความสว่างมากขึ้น

            เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง แม่ขยับตัวจริง ๆ จากนอนหงายเป็นพลิกตัวตะแคง เขารีบไปดูแม่ที่ข้างเตียง มองดูเครื่องวัดที่อยู่ใกล้ ชีพจรแม่เต้นเร็วขึ้น ไม่เหมือนคนนอนหลับอย่างทุกครั้ง

            “แม่” เขาหลุดปากเรียก เสียงไม่เบานัก

            แม่ขยับตัว รับรู้ เปลือกตาขยับถี่ ๆ

            “แม่...” โดมเรียกพร้อมเอื้อมมือเขย่าแขนแม่เบา ๆ

            “โดม...” แม่ขานตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตา

            “แม่...แม่...” เด็กหนุ่มร้องเรียกอย่างยินดี หัวใจเต้นเร็วด้วยความปีติ ทำอะไรไม่ถูก

            มาตาลืมตาขึ้นมา มองเห็นลูกชาย มือของเธอค่อย ๆ เลื่อนมาจับมือโดมไว้แน่น สองแม่ลูกสบตากันด้วยรอยยิ้ม ความดีใจเอ่อท้นจนพูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก

            “แม่อยู่ที่ไหน” มาตาเอ่ยถาม

            “แม่อยู่ในโรงพยาบาล...อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลย เดี๋ยวผมจะกดกริ่งเรียกพยาบาล แล้วตามหมอมาให้นะ” โดมเพิ่งนึกได้ว่าควรตามหมอพยาบาลมาดูอาการแม่

            “อย่าเพิ่ง...” มาตารั้งมือลูกชายเอาไว้ “แม่อยากดูหน้าโดมใกล้ ๆ แบบนี้ก่อน”

            โดมยิ้มใส ใบหน้าสว่าง ดวงตาทอประกายเบิกบาน ยินดี

            “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...ผมจะยอมนั่งอยู่ข้าง ๆ ให้แม่ดูหน้าผมจนเบื่อไปเลย”

            เขาหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายแบบเด็กน้อยช่างเล่น ช่างหยอกล้อ มาตาเอื้อมมือลูบใบหน้าลูกชายเบา ๆ เอียงมองพิศมองเขาอย่างละเอียด แววตามีความภาคภูมิใจ

            โดมยอมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ปล่อยให้แม่ทำทุกอย่างที่พอใจ

            “โดมยิ้ม...แล้วก็หัวเราะให้แม่เห็นอย่างนี้ ดูน่ารักจังเลย” มาตาชื่นชม

            “ถ้าแม่ชอบ...ผมจะยิ้มให้ดูทุกวัน จะหัวเราะให้แม่ได้ยินบ่อย ๆ ด้วย” เขาบอกอย่างจริงจัง

            “ดีจังเลย...โดมสัญญาแล้วนะว่าจะยิ้มให้แม่ดูทุกวัน แล้วก็จะหัวเราะบ่อย ๆ”

            “สัญญาสิครับ” เขายืนยัน

            “แม่ได้ยินเสียงเพลง เพราะจังเลย เสียงของโดมใช่มั้ย” แม่ถาม ดวงตาจ้องมองเขาราวกับจะจดจำทุกรายละเอียดบนใบหน้า

            “ใช่ครับ...เป็นเพลงที่ผมแต่งให้แม่ด้วย แม่ชอบมันไหม”

            “ชอบสิ...แม่ชอบทุกอย่างที่โดมทำให้แม่นั่นแหละ” มาตาตอบ

            “งั้นรอเดี๋ยวนะครับ ขอผมกดกริ่งเรียกพยาบาลก่อน เขาจะได้ตามหมอมาดูอาการแม่” เด็กหนุ่มขยับตัว

            “เดี๋ยวก่อนโดม” แม่รั้งเขาไว้อีกครั้ง “ก้มตัวมาใกล้ ๆ ให้แม่หอมแก้มหน่อยได้มั้ย”

            โดมทำตามด้วยความเต็มใจ ก้มตัวลงใกล้ สองมือแม่โอบคอเขาไว้ ลมหายใจอุ่น ๆ กระทบแก้ม สัมผัสอ่อนโยนบอกชัดถึงความรักเปี่ยมล้น

            “แม่รักลูกจ้ะ” มาตาคลายมือออก มองหน้าลูกชายที่ห่างกันเพียงนิดเดียว “อย่าลืมสัญญากับแม่นะ...ต้องยิ้มทุกวัน หัวเราะบ่อย ๆ”

            โดมยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ก้มลงหอมแก้มแม่คืน...มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานมากแล้ว

            “ผมก็รักแม่...สัญญาสิครับ”

            คลายมือออก ขยับตัวจากเตียง จะเอื้อมมือไปกดกริ่งเรียกพยาบาล แต่แล้วในหูกลับได้ยินเสียงเครื่องวัดดังแปลก ๆ ผิดปกติ

            ตึ้ด...ด...ด...

            เด็กหนุ่มสะดุ้ง ลืมตา รู้สึกตัวว่ากำลังนอนอยู่บนเตียง!

            รอยอุ่น ๆ บนแก้มยังไม่จาง เขาฝันไปจริงหรือ? ทว่าเสียงจากเครื่องวัดดังเสียดประสาทท่ามกลางความเงียบกริบล้วนบอกชัด เมื่อครู่เขาฝันไป...

            สติกลับคืน รีบลุกจากเตียง มองเห็นทุกอย่างในห้องผู้ป่วยเป็นเหมือนเดิม แม่ก็ยังนอนอยู่ในท่าเดิม

            โดมไม่มีเวลาคิดอะไรมาก รีบเข้าไปดูเครื่องวัด พอเห็นตัวเลข เส้นสัญญาณก็ตกใจ เอื้อมมือกดกริ่งเรียกพยาบาลทันที ถึงเขาจะไม่ใช่หมอ แต่ก็ดูออกมาว่าสัญญาณตัวเลขที่โชว์บนเครื่องวัดนั้น บอกถึงอาการโคม่า

            พอกดเรียกพยาบาลไม่ถึงสองสามวินาทีก็อดรนทนไม่ไหว รีบวิ่งออกจากห้องไปตามหมอ พยาบาลที่อยู่ใกล้ให้มาโดยเร็วที่สุด

            สมองเวลานี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว นอกจากตามใครก็ได้ที่สามารถช่วยแม่...ใครก็ได้ที่จะพาแม่พ้นจากวิกฤตอันตรายครั้งนี้...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หมอ พยาบาลต่างวิ่งวุ่น เตรียมเครื่องมือช่วยชีวิตเข้าไปในห้องมาตาอย่างรวดเร็ว นายแพทย์เจ้าของไข้ถูกตามตัวโดยด่วน แพทย์เวรและหมอที่อยู่ประจำต่างระดมกำลังช่วยยื้อชีวิตมาตาสุดความสามารถ

            โดมนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่หน้าห้อง มองทุกคนทำงานเหมือนหุ่นร่างไร้วิญญาณ ดวงตามองหมอ พยาบาลที่วิ่งเข้าออกห้องคนป่วยด้วยแววตาหวั่นหวาด ในใจร่ำร้อง ภาวนาซ้ำซากขอให้แม่ปลอดภัย

            เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ประกายตาโดมฉายความหวังอีกครั้ง เมื่อเห็นพ่อก้าวยาว ๆ มาอย่างเร่งร้อน เด็กหนุ่มหายตัวสั่น เงยหน้าสบตาบิดาโดยไม่มีคำพูดจา หมอนภัทรชะงักเท้า หยุดมองลูกชายที่หน้าห้องชั่วขณะ ภาษาใจส่งผ่านแววตา เกิดความเข้าใจลึกซึ้ง

            นายแพทย์ใหญ่พยักหน้าให้ลูกชายก่อนก้าวเข้าไปในห้อง เท่านี้โดมก็อุ่นใจขึ้นมาทันที...มั่นใจว่าพ่อต้องช่วยแม่สำเร็จ...ต่อให้สองพ่อลูกจะพูดจาต่อกันน้อยคำ มีเรื่องขัดแย้ง ขัดใจกันเนือง ๆ แต่โดมก็เชื่อเสมอว่าพ่อเป็นหมอที่เก่งที่สุด เป็นฮีโร่ในใจเขา...

            เมื่อพ่อมาถึง ก็หมดห่วงเรื่องของแม่ได้...โดมมั่นใจ

            เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่า มองประตูอย่างมีความหวัง...เวลาผ่านไป...ผ่านไป...และผ่านไป หัวใจเขาชุ่มชื่นด้วยความหวังทีละน้อย จนกระทั่งทุกอย่างสิ้นสุด ประตูเปิด ทีมแพทย์พยาบาลทยอยออกมาทีละคน

            โดมมองหาพ่อ...คนที่จะบอกข่าวดีแก่เขา จนลืมสังเกตไปว่า ทั้งหมอและพยาบาล ไม่มีใครกล้าสบตาเขาสักคน...

            พ่อออกมาแล้ว...ร่างในเสื้อกาวน์ดูสง่างามราวกับนักรบผู้ยิ่งใหญ่ โดมลุกขึ้น ยืดกายยืนตรง ดวงตาทอประกายความหวัง ริมฝีปากคลี่ออกเตรียมยิ้มรับข่าวดี

            “โดม...” หมอนภัทรเรียกเสียงเบา ทว่ามีความหนักแน่นอยู่ในนั้น “เข้าไปลาแม่ซะ”

            เขาต้องหูเฝื่อนไปแน่ ๆ ...พ่อพูดอะไร...ทำไมต้องไปลาแม่...เขาไม่ได้ไปไหนสักหน่อย...เขาต้องอยู่ดูแลแม่ที่นี่...ทำไม...พ่อพูดอะไรไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจสักนิด

            “ไปลา...เป็นครั้งสุดท้าย” พ่อย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ยอมเข้าใจ

            โดมก้าวขาเหมือนหุ่นยนต์...ไม่ได้สั่งมันเสียหน่อย จะเดินไปทำไม...ไม่นะ...ไม่อยากเชื่อ...ไม่อยากเข้าใจคำพูดของพ่อ...แต่ไม่เป็นไร...เข้าไปดูก็ได้...ไปดูว่าพ่อโกหก...พ่อกำลังหลอกเขา...พ่อต้องล้อเล่นแน่ ๆ...เขาจะเข้าไปหาแม่ แล้วกลับมาบอกพ่อว่า อย่าล้อเล่นแบบนี้อีก...อย่าทำให้เขากลัวขนาดนี้

            ในห้องนั้น แม่กำลังหลับ...นอนหลับเหมือนทุกวันนั่นแหละ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย...ยิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ ใบหน้าแม่สดใส มีรอยยิ้ม...ยิ้มสวย หลับสบาย...เขาต้องมาลาแม่ทำไม?

            เหลือบตาดูเครื่องวัด อุปกรณ์ช่วยชีวิตทุกอย่างถูกถอดออกหมด...นึกโมโหพ่อ...พ่อทำอย่างนี้ทำไม...ถึงไม่รัก ถึงเลิกกันแล้วก็ไม่น่าใจร้ายถอดเครื่องช่วยชีวิตอย่างนี้...เขาพูดอะไรไม่ออก ขยับเข้าใกล้แม่อีกนิด จนชิดขอบเตียง

            ใบหน้าแม่สวย หลับตาพริ้ม แต่ทรวงอกไม่สะท้อน กระเพื่อม...สงสัยคลุมผ้าห่มไว้หนาเกินไป แม่น่าจะอึดอัด โดมขยับผ้าห่มให้...แต่มันไม่ได้หนาเลย ออกจะบางเกินไปด้วยซ้ำ เห็นชัดว่าร่างของแม่นิ่ง ไม่ไหวติง ทรวงอกไม่ขยับสักนิด ทำใจกล้าจับข้อมือ วัดชีพจร...มันเงียบ...เงียบจนน่ากลัว

            “ยอมรับได้แล้วใช่มั้ย” เสียงเล็ก ๆ แว่วขึ้นในหู เป็นเสียงจากสติร้องบอก

            ...ต่อไปนี้ไม่มีแม่อีกแล้ว...

            ทันทีที่ใจรับรู้ความจริงข้อนี้ โดมรู้สึกโลกทั้งใบถล่ม ย่อยยับในพริบตา เข่าอ่อน ทรุดลงข้างเตียง จับมือแม่ไว้แน่น ราวกับเป็นความหวังสุดท้าย ที่จะฉุดรั้งชีวิตให้กลับคืน

             ความจริงก็คือความจริง...ความตายก็คือความจริง...ความจริงที่ไม่มีใครเลี่ยงได้!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP