วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๕



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            งานทำบุญบริษัทสร้างความหัวหมุนแก่ลานน้ำค้างไม่น้อย มาถึงบริษัทตั้งแต่เช้า รีบดูแลเรื่องอาหาร ของถวายพระ เตือนคนขับรถให้ไปรับพระ จัดข้าวของเครื่องประกอบพิธี ติดต่อประสานงานแทนพี่มุก จนเหมือนตนเองมีสักสิบร่างยี่สิบมือ

            ทุกอย่างลงตัวในเวลาจวนเจียน งานดำเนินเรียบร้อย คุณหญิงรัดเกล้า ผู้เป็นประธานไม่เห็นข้อบกพร่อง ไม่มีคำตำหนิให้ได้ยินค่อยโล่งอก

            พอมีเวลาว่าง ลานน้ำค้างแอบเหลียวมองหาเลียบเมือง บุตรชายคุณหญิง แต่ไม่พบแม้เงา รู้สึกเสียดายปนโล่งอกพิกล นึกขันตัวเอง...ไม่รู้จะเอาอย่างไรแน่ อยากพบ หรือไม่กล้าพบเขา

            งานทำบุญน่าจะราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ หากไม่เกิดบางสิ่งขึ้น...

            เสียงพระสวดให้พรประสานเป็นจังหวะ น้ำจากจอกถูกกรวดลงถ้วยทองเหลือง กลิ่นบางอย่างลอยเอื่อย ๆ เป็นกลิ่นเอียน ๆ ปนกลิ่นควันธูป ดอกไม้แห้ง กลิ่นนั้นแรงจัดขึ้นจนหลายคนเหลียวหน้าเหลียวหลังมองกัน

            ลานน้ำค้างขนลุกซู่ หนาวเยือกแปลกประหลาด อาการนั้นผ่านวูบมาครู่หนึ่งก็จางหาย พระสวดให้พรใกล้จบ คุณหญิงรัดเกล้าเริ่มสังเกตบรรยากาศผิดปกติรอบตัว พนักงานที่นั่งเรียงรายด้านหลังต่างลอบมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก

            ภายในห้องพิธีต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว กลิ่นประหลาดยังวนเวียนไม่ไปไหน อากาศเย็นลงโดยไม่มีใคร ปรับอุณหภูมิ แสงไฟหรี่สลัวทีละน้อย

            สายตาของลานน้ำค้างปะทะเข้ากับร่าง ๆ หนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระสงฆ์ ขณะพระให้พรถึงท่อน สุดท้ายร่างนั้นก็ก้มกราบอย่างนอบน้อม ชุดที่ใส่เป็นชุดของยาม และไม่จำเป็นต้องหันหน้ามาให้เห็น หญิงสาว ย่อมกระจ่างแก่ใจว่าเป็นใคร...

               ...ลุงธง...

            เพียงแค่ชั่วกะพริบตา ร่างนั้นก็หายวับ ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน ลานน้ำค้างถอนใจ ภาพชั่วแวบนั้น ชัดเจนเสียจนไม่อยากคิดว่าเป็นแค่เงาลวงตา

               หล่อนมองเห็นบุคคลหลังความตายชัดเจนกว่าเดิม...นั่นเป็นเพราะอะไร?

            หลังรับพรเสร็จสิ้น ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดใดอีก ลานน้ำค้างทำงานตามหน้าที่ ช่วยเก็บข้าวของ เครื่องใช้ประกอบพิธีส่งคืน งานเบาลงบ้างเมื่อพี่มุกกลับมาช่วย

            “วันนี้คุณเลียบเมืองก็มานะ ลานเห็นมั้ย” พี่มุกกระซิบถาม

            “ไม่เห็นค่ะ” หล่อนตอบตามตรง ใจอดกระตุกไม่ได้

            “พี่เจอตอนเข้าบริษัท ยังถามแกเลยว่า มางานทำบุญด้วยเหรอ...” พี่มุกเล่าอย่างติดลม “ตอนนั้นแกทำหน้างง ๆ ประมาณว่าไม่รู้เรื่องงานทำบุญบริษัท ก็เลยยังไม่ขึ้นมาหาคุณหญิง ดูท่าจะเตร่ ๆ อยู่ข้างล่างล่ะมั้ง”

            ลานน้ำค้างพยายามรับฟังผ่าน ๆ ให้ความสนใจน้อยที่สุด และงานตรงหน้าก็มีมากพอที่จะช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านไร้สาระกับเรื่องคุณเลียบเมืองนัก

            “เคลียร์ของเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวลานเอาไปส่งห้องพัสดุชั้นล่างนะคะพี่มุก” หญิงสาวบอก

            “จ้ะ รีบไปรีบมานะ”

            ลิฟต์เจ้าปัญหาเปิดให้ใช้แล้ว มีคนขึ้นลงตามปกติ ไม่มีเหตุการณ์ชวนผวา ลานน้ำค้างนำของไปคืนห้องพัสดุ ชั้นล่างเสร็จเรียบร้อย ก็ขึ้นลิฟต์กลับชั้นที่ตนทำงาน ตอนเข้ามาในลิฟต์มีคนเกือบเต็ม แต่ทยอยออกจากลิฟต์เรื่อยๆ จนสุดท้ายเหลือแค่สองคน

            ลานน้ำค้างเหลือบมองคนที่เหลืออย่างไม่ตั้งใจ สะดุ้งเฮือก รีบเบือนหน้าหลบ ราวกับตนเองเป็นผู้ต้องหาร้ายแรง

            บุคคลในลิฟต์ไม่ใช่ผีสางที่ไหน เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ... ผู้ชายที่ลานน้ำค้างแอบปลื้มโดยเขาไม่รู้ตัว

           ...คุณเลียบเมือง บุตรชายคุณหญิงรัดเกล้า...

            เขายืนเฉย รอให้ลิฟต์เลื่อนไปถึงชั้นที่ต้องการ ไม่ทันสนใจหญิงสาวในลิฟต์ด้วย จนกระทั่งมีกลิ่นบางอย่างกระทบประสาทสัมผัส ตอบไม่ถูกว่าหอมหรือเหม็น บอกไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร มันแรงขึ้นจนชายหนุ่มผิดสังเกต อดไม่ได้ต้องมองผู้หญิงข้าง ๆ

            “คุณนั่นเอง” เขาทักอย่างจดจำได้

            “สวัสดีค่ะคุณเลียบเมือง” ลานน้ำค้างยกมือไหว้ ยิ้มแหย ทักทายตามมารยาท

            “คุณผู้ช่วยเลขา” เขาไม่รู้ชื่อหล่อน แต่จำตำแหน่งได้แม่น

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบแบบถนอมปากคำ นึกภาวนาอย่าให้ลิฟต์มีอะไรประหลาดกว่ากลิ่นนี้เลย

            ...ตึง...ลิฟต์กระตุกเยือก เสียงดัง ลานน้ำค้างผวา...อย่าบอกนะว่าลิฟต์ค้าง!

            นึกในใจ...ลุงธงเจ้าขา...ไม่จำเป็นต้องสร้างโอกาสให้หนูกับเขาขนาดนี้ก็ได้...

            หญิงสาวนึกบ่นแกมอึดอัดใจ...แอบคิดว่า ถ้าติดในลิฟต์กับเขาสองต่อสองสักชั่วโมงจะเป็นอย่างไร?

            แต่แล้ว...ประตูลิฟต์ก็เลื่อนเปิด...

            “ถึงแล้วครับ คุณลงที่ชั้นนี้ด้วยกันหรือเปล่า” เลียบเมืองถาม

            ลานน้ำค้างแอบถอนใจ หันมาดู...ลิฟต์เป็นปกติดี มาถึงชั้นที่ต้องการแล้วด้วย

            “ค่ะ...ใช่ค่ะ” หล่อนรีบตอบ

            เขายิ้ม ผายมือให้หล่อนออกจากลิฟต์ก่อนตามแบบสุภาพบุรุษ

            ลานน้ำค้างบอกขอบคุณก่อนก้มหน้างุดออกมา เลียบเมืองเดินไปทางห้องประธานกรรมการบริษัท หญิงสาวแอบเหลือบไปมองลิฟต์เจ้ากรรม...ชักรู้แล้วว่า การทำบุญวันนี้ ยังไม่ได้ส่งลุงธงไปไหน แกแค่อยู่สบายขึ้นจนไม่นึกอยากกวนใครเท่านั้น...ยกเว้นจะล้อเล่นกับคนคุ้นเคย!




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ความมืดโรยตัวมาแล้ว ภายในสวนสาธารณะเปิดไฟสว่าง โดมเก็บกีตาร์ รวบรวมเงินในหมวกยัดใส่กระเป๋า ก่อนสะพายกีตาร์ขึ้นบ่า สายตามองรอบ ๆ เหมือนแลหาใครสักคน ดวงตาฉายร่องรอยผิดหวัง เมื่อคนที่มองหาไม่ปรากฏแก่สายตา

            เขาเดินออกจากสวนสาธารณะด้วยใจโหวง ๆ ข้ามถนนไปกินอาหารมื้อเย็นที่หน้าปากซอยตรงข้ามสวนสาธารณะ

            ตอนเย็นแบบนี้ โดมมักจะมาเล่นกีตาร์เปิดหมวกตามสวนสาธารณะ ซึ่งปกติมักไม่กำหนดสถานที่ แน่นอน แล้วแต่ความพอใจ

            น่าแปลก...หลายวันมานี้เขากลับไม่เปลี่ยนสถานที่เล่นดนตรีตอนเย็น อีกทั้งยังเล่นไปเรื่อย ๆ จนมืดค่ำก่อนไปเล่นต่อที่ร้าน

            เริ่มมีแฟนประจำมาคอยฟัง แต่เขาไม่รู้สึกยินดี สายตามักมองหาใครบางคนที่หวังจะให้มาฟังเขาร้องเพลงอีกครั้ง

            ทว่า...เธอก็ยังไม่มา

            โดมตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงอยากเจอเธออีก พอ ๆ กับตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมคราวก่อนถึงไม่ขอเบอร์โทรศัพท์เธอไว้ ทั้งที่สมัยนี้หนุ่มสาวแลกเบอร์กันเป็นเรื่องปกติ เขาเองก็มีสาว ๆ ให้เบอร์โดยไม่จำเป็นต้องขอหลายคน แต่เบอร์โทรศัพท์เหล่านั้นมักถูกทิ้งลงถังขยะลับหลังอย่างไม่ไยดี

            หรือว่าเธอคนนั้นอายุมากกว่าเขา...

            โดมคิดว่าหล่อนแก่กว่าเขาไม่กี่ปี อย่างมากก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ไม่น่าดูขัดเขิน กระดากใจอะไร มีผู้หญิงแก่กว่านี้มาจีบเขาตั้งหลายคน

            เมื่อยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง โดมจึงมาเล่นดนตรีที่นี่เกือบทุกเย็น หวังจะพบเธออีกสักครั้ง เมื่อพบแล้ว ก็ปล่อยให้ความรู้สึกข้างในเป็นผู้ตัดสิน จะเดินหน้า หรือไม่สนใจ

            อาหารวางตรงหน้า เขารับประทานโดยไม่สนใจต่อรสชาติมากนัก สายตาเหลือบไปเห็นข้างฝาร้านติดประกาศ มีห้องว่างให้เช่าอยู่ภายในซอย

            โดมสนใจราคาค่าเช่าที่ค่อนข้างถูก พอดูแผนที่แล้วถึงเข้าใจ ห้องเช่านี้อยู่ลึกถึงท้ายซอย จำเป็นต้องตั้งราคาไว้ถูกขนาดนี้

            คิดพลางดูนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรหากจะไปติดต่อขอเช่าห้องพักก่อนไปเล่นดนตรีที่ร้าน

            ตอนนี้เขาอาศัยนอนบ้านเพื่อนซึ่งไปต่างจังหวัดสองสามวัน หากเจ้าตัวกลับมาเขาก็ต้องรีบย้ายเหมือนกัน

            ออกจากร้านอาหารเดินไปที่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตั้งใจให้ไปส่งถึงห้องพักในซอยนั้น พอถึงที่วินฯ เห็น กลุ่มนักบิดกำลังตั้งวงสุรา กลิ่นเหล้าคลุ้ง ยังดีที่มีบางคนไม่ดื่มด้วย โดมจึงคุยกับคนนั้น

            “ไปที่หอพัก...นี่ราคาเท่าไหร่” เขาต้องถามราคาก่อน เผื่อมีการต่อรอง

            พอได้ยินราคา ก็รู้สึกว่าสูงเกินไป เท่าที่ดูจากแผนที่ มันไม่น่าไกลขนาดนั้น

            “แพงไปหรือเปล่า” เขาไม่ตั้งใจพูดห้วน แต่นิสัยเป็นคนพูดจาแบบนี้อยู่แล้ว

            “ถ้าแพงก็เดินไปเองเด้” คำตอบจากหนุ่มนักบิดที่นั่งร่วมวงสุรา ส่วนคนที่เขาถามก็หัวเราะ เหมือนเห็นด้วยกับวาจานั้น

            โดมเดินออกจากวินมอเตอร์ไซค์ อารมณ์ขุ่น ความเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วจึงไม่ยอมทนฟังคำพูดบาดหู... เดินก็เดิน กลัวอะไร มันจะไกลสักแค่ไหนเชียว...เขาคิดอย่างโมโห โดยไม่สนใจเสียงตะโกนโหวก ๆ จากพวกวิน มอเตอร์ไซค์ด้านหลัง

            เมื่อไม่หันไปมอง เขาจึงไม่เห็นแววตาฉุนโกรธของคนเหล่านั้น ไม่รู้ว่าลักษณะท่าทางของตนเองมัน ‘ไม่เข้าตา’ พวกขี้เมา และไม่รู้ว่าอำนาจของสุรา บงการให้คนขาดสติสามารถทำอะไรได้บ้าง...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ดึกแล้ว...บริษัทมีงานเลี้ยง กว่าจะเลิกก็ค่ำ ลานน้ำค้างร่วมสังสรรค์ตามหน้าที่ ขากลับตั้งใจนั่งแท็กซี่ แต่คุณดาริกาสั่งห้าม บอกให้บูรพาไปรับ กลัวลูกสาวจะเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพในคราบแท็กซี่

            ลานน้ำค้างไม่รู้ว่าระหว่างซ้อนมอเตอร์ของบูรพา กับนั่งแท็กซี่กลับเอง อย่างไหนจะปลอดภัยกว่ากัน

            ระหว่างทางแทบไม่ได้พูดจา มืดค่ำอย่างนี้รถรายังเต็มถนน แถมบางช่วงยังขับเสียเร็วจี๋ ชายหนุ่มพยายามระวัง ไม่ไปเฉี่ยว เกี่ยวรถยนต์คันไหน ให้ตนเองและเพื่อนสาวต้องนอนกลิ้งกันกลางถนน

            ถึงซอยจะเข้าบ้าน บูรพาค่อยหันมาถาม...

            “จะแวะซื้อของหน้าปากซอยก่อนมั้ย”

            “ไม่ล่ะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” หล่อนตอบ

            ชายหนุ่มไม่ถามอะไรมากกว่านั้น สภาพการขับรถไม่อำนวย จึงเข้าซอยโดยไม่แวะที่ไหนอีก...

            กลางซอยค่อนข้างมืด บางส่วนเป็นที่รกร้าง หญ้าขึ้นสูง แสงไฟหน้ารถกราดเป็นลำ ลานน้ำค้างมองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างซุกอยู่ในกอหญ้าข้างหน้า

            “หมู หมู หยุดรถเร็ว”

            บูรพาจอดรถอย่างไม่เข้าใจ ไม่ทันสังเกตสิ่งที่ลานน้ำค้างเห็น ขณะกำลังจะออกปากถาม หญิงสาวก็รีบลงจากรถ

            “มีอะไรลาน” บูรพาฉุดแขนหล่อนไว้ ก่อนจะบุกเข้าไปในพงหญ้า

            “ในนั้นน่ะ” หญิงสาวชี้มือตรงกองขยุกขยุยกลางพงหญ้า ที่หากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็น

            “เหมือนมีใครเป็นอะไรอยู่ตรงนั้น”

            “รอเดี๋ยวก่อน เราไปด้วยกัน”

            บูรพารีบลงจากรถ เดินนำหน้าลานน้ำค้างไปยังจุดที่เธอชี้ให้ดู...ที่นั่นค่อนข้างรกด้วยหญ้าและเศษขยะที่คน มักง่ายชอบเอามาทิ้งไว้ พอสังเกตดี ๆ จะเห็นร่าง ๆ หนึ่งนอนขดตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ตามตัวมีรอยเปรอะเปื้อน ปนคราบเลือดกระเซ็น

            ลานน้ำค้างตั้งใจบุกพงหญ้าเข้าไปช่วย บูรพายกมือกันไว้

            “เราเข้าไปดูเอง เธอยืนรออยู่ข้างนอกนี่แหละ”

            หญิงสาวไม่ขัด มองตามหลังเพื่อนชายอย่างไว้ใจ บูรพาเข้าใกล้จนมองเห็นชัด เขากวาดสายตาสำรวจรวดเร็ว แน่ใจว่าไม่มีอันตรายจึงทรุดตัวลง ดูอาการอย่างละเอียด

            ร่างนั้นเป็นผู้ชาย ผมยาว ยังมีลมหายใจ สภาพบอบช้ำจากการถูกรุมซ้อม ทำร้าย เลือดเปื้อนทั่วตัว ไม่แน่ใจว่าบาดเจ็บขนาดไหน

            “หมู...ต้องเรียกรถพยาบาล หรือเรียกแท็กซี่มั้ย” ลานน้ำค้างตะโกนถาม เมื่อพอมองเห็นผู้เคราะห์ร้ายแล้ว

            บูรพาอมยิ้มพลางส่ายหน้า...ห้ามแม่คุณไม่ให้ยุ่งเรื่องของคนอื่นได้ซะที่ไหน ขนาดยังไม่เห็นหน้ากันชัด ๆ เลย ลานน้ำค้างมีน้ำใจเสมอ กับผู้คนไม่เลือกหน้า...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โดมรู้สึกตัว ปวดหัวหนึบ เจ็บร้าวทั่วร่าง นัยน์ตาพร่ามองอะไรไม่ค่อยชัดเจน แสงสีขาวสว่างโพลนคลุม ไปหมด สักครู่ค่อยแยกแยะออกเป็นเพดาน หลอดไฟ พัดลม เสียงแก๊ง ๆ กังวานในโสตประสาท เสียงคนพูดจา จ้อกแจ้กฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วมีน้ำเสียงชัดเจนดังแทรกขึ้น

            “ท่าจะฟื้นแล้ว” เสียงผู้ชาย

            เด็กหนุ่มมองตามเสียง พบผู้ชายตัวสูงเพรียว หุ่นนักกีฬายืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตามองมามีรอยยิ้มเปิดเผย เขารู้สึกคุ้นหน้า แต่คร้านจะนึกจึงหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย

            “เป็นยังไงบ้างน้อง” เสียงถามจากชายคนเดิม

            โดมลืมตาอีกครั้ง ขี้เกียจตอบ พยายามมองรอบตัวเท่าที่สภาพร่างกายจะอำนวย เห็นเตียงคนป่วยเรียงยาว พยาบาลกำลังเข็นรถแจกยาตามเตียงต่าง ๆ

            “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เขาถามมึน ๆ เบลอ ๆรู้ว่าตนอยู่ในโรงพยาบาล

            “พี่พามาเอง” คำตอบจากชายหนุ่มคนนั้น ก่อนมีคำถามตามมา “น้องไปมีเรื่องกับใคร ถึงโดนซ้อมมาขนาดนี้ แล้วจะไปแจ้งความมั้ย”

            “ไม่” โดมตอบเกือบจะทันที ความจำแหว่งวิ่นค่อยปะติดปะต่อ

            “น้องชื่ออะไร จะให้พี่บอกพ่อแม่ กับญาติของน้องได้ยังไง มีเบอร์ติดต่อหรือเปล่า”

            “ไม่...ไม่ต้อง”

            “ที่นี่โรงพยาบาลอะไร?” เด็กหนุ่มถามหลังจากมองรอบห้องคนป่วย

            “อ้อ...โรงพยาบาล...” เขาบอกชื่อโรงพยาบาล

            โดมเงียบไปครู่ใหญ่ แววตาสับสน เหลียวมองรอบตัวอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ

            ชายหนุ่มคนนั้นมองโดมแปลก ๆ ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ลักษณะท่าทางไม่สนใจอยากรู้อยากเห็น ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร จะมีก็แต่น้ำใจอารีอันเป็นนิสัยส่วนตัว

            “พี่ชื่อบูรพานะ แล้วนี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของพี่ ถ้ายังไง มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้” บูรพายื่นเบอร์ของตนเองให้

            เด็กหนุ่มรับไว้โดยไม่พูดจา เห็นอย่างนั้นผู้หวังดีก็ถอย

            “งั้นพี่ขอตัวไปมหาวิทยาลัยก่อน อีกสักเดี๋ยวพยาบาลเขาคงมาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตัวน้อง...” บูรพา ทำท่าจะผละไป แต่แล้วชะงักนึกถึงเรื่องสำคัญได้ “อ้อ...กีตาร์กับกระเป๋าของน้อง พี่ให้พยาบาลเขาเก็บไว้นะ ยังไง ก็เช็คดูอีกทีว่ามีอะไรหายหรือเปล่า แล้วเย็น ๆ พี่จะแวะมาเยี่ยม”

            โดมมองชายแปลกหน้าผู้อารีจนลับสายตา สมองเขายังมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก พออยู่ตามลำพัง มีเวลาคิดใคร่ครวญ ความทรงจำค่อยถูกทบทวนขึ้นมา...

            เขาโดนรุมซ้อมได้อย่างไร?

            จำได้แล้ว...พวกวินมอเตอร์ไซค์กลุ่มนั้นเอง น่าจะหมั่นไส้กิริยาท่าทาง คำพูดของเขา จึงแอบตามหลังมา พอถึงสถานที่เหมาะก็รุมทำร้าย เขาจำรายละเอียดไม่ได้ เพราะตอนนั้นแทบไม่มีการพูดพล่ามอะไร ฤทธิ์ แอลกอฮอล์ทำให้พวกมันใจกล้า ความยับยั้งชั่งใจต่ำ ไม่สนใจกฎหมาย

            เขาไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่ จะห่วงก็แต่เครื่องมือทำมาหากิน กับเงินในกระเป๋าที่มีแค่พอยาไส้ ไม่รู้พวกมันตั้งใจปล้นชิงทรัพย์ด้วย หรือแค่ตามมากระทืบเพื่อความสะใจอย่างเดียว แต่ถ้ากีตาร์ยังอยู่ กระเป๋าเงินก็น่าจะรอด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างถือถุงของเยี่ยม ของฝากเต็มมือ ตั้งใจแวะมาดูอาการของโดม เด็กหนุ่มที่เธอกับบูรพาช่วยไว้เมื่อคืน

            เขาเป็นนักดนตรีร้านอาหาร เคยเล่นเปิดหมวกที่สวนสาธารณะ หล่อนจำได้แม่นเพราะเคยเจอกันทั้งที่ร้าน และสวนสาธารณะ ไม่คาดว่าจะได้พบอีกครั้งในสภาพย่ำแย่ แทบจำไม่ได้แบบนี้

            ตอนนั้นเขาสลบเหมือด ไม่ได้สติ เลือดเปรอะเต็มตัว ถูกหมกในพงหญ้ารวมกับพวกขยะ คนที่ผ่านมาถ้าไม่ตาไว ช่างสังเกตก็จะมองไม่เห็น ยิ่งเป็นเวลากลางคืนด้วย

            พาเขามาถึงโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเล จังหวะดีที่พี่หมอน่านเข้าเวร จึงได้รับความสะดวก ผ่านขั้นตอนวุ่นวายอย่างราบรื่น หลังจากทำแผล ตรวจอาการขั้นต้น ผลคือปลอดภัย ไม่น่าเป็นห่วง เด็กหนุ่มยังไม่ได้สติ ลานน้ำค้าง กับบูรพาจึงกลับบ้านก่อน ตั้งใจมาเยี่ยมอีกทีตอนเช้า

            พอถึงตอนเช้า ลานน้ำค้างไม่ว่าง บูรพาแวะมาคนเดียว จากนั้นโทรศัพท์รายงานให้หล่อนฟัง...พอได้ยินอย่างนั้น หญิงสาวจึงลางานช่วงบ่ายเพื่อมาดู ถามไถ่ เผื่อเขาจะพูดคุยกับเธอมากกว่าบูรพา

            ลานน้ำค้างออกจากลิฟต์ เดินตรงไปยังห้องผู้ป่วยรวมอย่างคนรู้จักสถานที่

            บริเวณทางเดินมีผู้ป่วย ญาติคนไข้ เดินสวนประปราย เธอไม่ใส่ใจใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งสวนกับผู้ป่วยชายคนหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดกระแสประหลาดกระทบใจ

            มันเป็นกระแสหม่นซึม หดหู่ ราวกับโลกเป็นสีเทา รอบตัวมัวซัว กระแสนั้นลอยอ้อยอิ่งชวนสะดุดใจ จนหญิงสาวต้องชะงักเท้าเหลียวตามหลัง
 
            ร่างเขาดูไม่ผิดจากคนอื่นในบริเวณรอบ ๆ ทว่า...เพียงชั่วกะพริบตา เขาก็หายวับ เหมือนไม่เคยมีอยู่เลย ตั้งแต่แรก

            ลานน้ำค้างหนาววูบ ยะเยือกชั่วแวบ ความหวาดกลัวลึก ๆ ผุดขึ้น ก่อนจางหายด้วยความคุ้นเคย หันหลังกลับ พยายามไม่ใส่ใจ สายตาปะทะกับเด็กหญิงตัวน้อย ใบหน้าขาว เผือด ดวงตากลมโต แจ่มแจ๋ว จมูกเชิดรั้น บอกความเอาแต่ใจ ผมถักเปียสองข้างชวนเอ็นดู

            เด็กหญิงนั่งบนเก้าอี้ยาว กำลังจ้องลานน้ำค้างตาเขม็ง แววตามีความแปลกใจแกมสนเท่ห์ ดวงหน้าเรียวซูบ เอียงคอมองมาราวกับประเมินสิ่งที่เห็น

            “พี่เป็นใคร” เด็กหญิงถามไม่เต็มเสียง คล้ายกลัวคนอื่นได้ยิน

            ลานน้ำค้างส่งรอยยิ้มไมตรีก่อนนั่งลงข้าง ๆ

            “พี่มาเยี่ยมคนป่วยค่ะ น้องล่ะ เป็นคนไข้ที่นี่ใช่มั้ย” หญิงสาวสังเกตการแต่งตัวของเด็กหญิงก่อนถามกลับ

            เด็กหญิงไม่ตอบ จ้องมองแววตาฝ่ายตรงข้ามอย่างสงสัย สักพักก็มีคำพูดกึ่งคำถามชวนแปลกหู

            “พี่ไม่ใช่ ‘พวกนั้น’ ใช่มั้ย”

            “พวกไหนคะน้อง” ลานน้ำค้างขมวดคิ้วสงสัย

            เด็กหญิงถอนใจเฮือกใหญ่ ท่าทางโล่งอก ถึงกระนั้นดวงตาก็มีแววคลางแคลง ประหลาดใจ

            “พี่เป็นคนธรรมดา แต่ทำไมเห็นพวกนั้นได้ล่ะ”

            คำว่า ‘พวกนั้น’ ที่หลุดเป็นครั้งที่สอง ฟังสะดุดหู ลานน้ำค้างเกือบแน่ใจว่าเด็กหญิงกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

            “น้องเห็น ‘พวกเขา’ หรือคะ” คำเรียกขาน ‘พวกเขา’ แทบกระซิบ เกรงผู้ถูกเอ่ยถึงจะรู้ตัว

            “อือ” เด็กหญิงพยักหน้า “เคยเห็นที่บ้าน นาน ๆ ที แต่พอมาอยู่โรงพยาบาลก็เห็นบ่อย”

            เท่านั้นเอง...ไม่ต่างจากคนคุ้นเคยได้มาพบกัน บนเส้นทางอันแปลกหน้า...ลานน้ำค้างขยับตัวนั่งใกล้เด็กหญิง อีกนิด รู้สึกสนิทใจเหมือนพี่น้อง เพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP