วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๘



cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)




               ‘อาจารย์ตูมิน’ ผู้ทรงเวทอันกล้าแข็ง ผู้อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของมูเจน เคยกระตุ้นท้าทายเจ้าชายเฌอคิมซาจนยอมเสียเวลาเป็นสิบปีเพื่อร่ำเรียนวิชาอาคม แทนที่จะมุ่งมั่นทวงบัลลังก์คืนจากเหล่าร้ายที่กำลังเสวยสุข สุดท้าย ตูมินกลับหายสาบสูญ ปล่อยข่าวลือว่าเสียชีวิตพร้อมกับตาล็อก ผู้นำบ้าคลั่งของมูเจน

            ฮันเตอร์ คิม มั่นใจ ตูมินไม่ตายง่ายๆ คนที่กลอกกลิ้ง เจ้าเล่ห์ ทั้งยังมีวิชาอาคมร้ายกาจขนาดนั้น ต่อให้โดนวางยาพิษ จับถ่วงน้ำ หรือมีชิ้นส่วนซากศพมายืนยันให้เห็น เขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด

            เวลานั้นเฌอคิมซาตามหาร่องรอยตูมินแบบสุดฤทธิ์ สุดกำลัง โดยไม่พบอะไรเลย ไม่ว่าจะเสาะหาเส้นทางไหน ทั้งสืบเสาะติดตามจากคนใกล้ชิด ใช้เวทมนตร์ อาคม ตรวจค้น ก็ยังไม่พบพาน

            ตูมินซ่อนตัวได้อย่างยอดเยี่ยม อาจถึงขั้นปลอมแปลงโฉมหน้า ใช้อาคมพิเศษกลบเกลื่อน หลบเร้นกลางฝูงชน เมืองใหญ่ ที่ญาณหยั่งรู้ตรวจสอบได้ยากลำบาก

            หลังจากแยกทางกับไลลา หมดหวังกลับคืนมูเจน ตามร่องรอยศัตรูร้ายไม่ได้ เขาก็ใช้ชีวิตล่องลอยอยู่พักหนึ่ง ก่อนนึกถึงภารกิจบรรพชนแม่มด คิดว่า ถ้าลองทำดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร ชีวิตจะได้มีจุดหมาย วิชาอาคมสารพัดที่ร่ำเรียนมาจะได้เกิดประโยชน์

            เพียงแต่เขาพอใจจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ระดับผู้นำ หรือชนชั้นนำของประเทศ ทว่าชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้คนจำนวนมหาศาล ด้วยเห็นว่าการฆ่าคนจำพวกนี้เพียงคนเดียว ก็ได้รับผลดีคุ้มค่ากับเรี่ยวแรง วิชา ที่ลงไป

            จนเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีผู้นำประเทศมหาอำนาจรายหนึ่ง กล่าวโทษประเทศเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำมันดิบ ว่าซุกซ่อนอาวุธร้าย...หาเหตุผลมากมายเพื่อสั่งทหารไปโจมตี ยึดครองประเทศนั้นเสีย

            ฮันเตอร์ คิม มองเห็นว่า หากปล่อยให้ผู้นำประเทศรายนี้ ทำตามความต้องการของตนโดยไม่สนมติประชาคมโลก จะทำให้เกิดสงคราม ผู้คนล้มตายมหาศาล เกิดความเดือดร้อนลำเค็ญตามมา

            เขาจึงวางแผนสังหารผู้นำประเทศคนนั้น แต่พอลอบเข้าไปในทำเนียบ เตรียมจัดการวางอาคม กลับได้พบบุคคลที่ตามหามาตลอด

            ‘อาจารย์ตูมิน’

            ชายผู้ทรงเวทไม่ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าจนจำไม่ได้ เพียงแต่ดูหนุ่มกว่าที่เคยเห็นครั้งสุดท้าย เขาอยู่ในชุดสูทสง่างาม เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาผู้นำประเทศ ฮันเตอร์ คิม ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้นำคนนั้นถึงหลงผิดขนาดนี้

            ฮันเตอร์ คิม เปลี่ยนแผน เพราะคิดว่าเขาจะฆ่าผู้นำคนนั้นเมื่อไรก็ได้ แต่โอกาสตามล่าอาจารย์ตูมินยากเย็นกว่า จึงเปลี่ยนเป้าหมาย ตามล่าตูมินแทน

            แม้รู้ดีว่าฝ่ายนั้นจงใจทิ้งร่องรอยให้ติดตาม แต่ ฮันเตอร์ คิม ก็ไม่กลัวว่ามันจะเป็นกับดัก เขาไล่ล่าศัตรูร้ายกระชั้นชิดเข้าไปเรื่อยๆ จนได้เผชิญหน้ากันในที่เปลี่ยวร้าง ไร้ผู้คน

            การต่อสู้ห้ำหั่นด้วยอาคม เวทมนตร์ บังเกิดขึ้น

            ผลคือเสมอ อาจารย์ตูมินหลบหนีไปได้ ฮันเตอร์ คิม บาดเจ็บ

            หลังรักษาอาการบาดเจ็บจนหาย กลับมาสู่โลกภายนอก ฮันเตอร์ คิม จึงได้รู้ว่าเขาพลาดท่าให้แก่ตูมินอีกแล้ว

            ผู้นำประเทศมหาอำนาจประกาศสงครามกับประเทศเล็กๆ แห่งนั้น ระดมสรรพกำลัง กองทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย เข้าถล่ม โจมตี

            ผู้คนล้มตายเป็นเบือ บ้านเมืองเสียหายยับเยิน ชาวโลกรับรู้ข่าวเพียงบางส่วน เพราะสื่อขนาดใหญ่อยู่ในกำมือประเทศใหญ่

            ถึงจะมีหลายประเทศในโลกประกาศตำหนิ คัดค้านการกระทำของมหาอำนาจ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ทั้งนี้เพราะผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับ มันอยู่เหนือกว่าเสียงนกเสียงกาใดๆ

            ฮันเตอร์ คิม พลาด หลงกลอาจารย์ตูมิน จนทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายกาจเช่นนี้

            ความแค้นในใจปะทุขึ้นอีกครั้ง จุดมุ่งหมายชีวิตชัดเจนกว่าแต่ก่อน เขาต้องตามล่า เด็ดหัวอาจารย์ตูมินมาสังเวยแด่วิญญาณบรรพชนและผู้คนที่ล้มตายเหล่านั้นให้ได้

            เส้นทางชีวิต ฮันเตอร์ คิม หลังจากนั้นจึงเป็นการตามล่า สืบเสาะร่องรอยตูมินอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพบว่าตูมินชอบเข้าไปชักนำผู้นำ เหล่าคนมีอำนาจต่างๆ ให้หลงผิด กระทำเรื่องเลวร้าย เบียดเบียนคนอื่น โดยใช้ผลประโยชน์เป็นสิ่งล่อใจ

            ตูมินบิดเบือนเรื่องจริงเป็นเท็จ แก้เท็จให้เป็นจริง ก่อให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนในทุกที่ที่มันย่างผ่าน

            ถึงอย่างนั้นตูมินก็ใช่จะเลือกเหยื่อสุ่มสี่สุ่มห้า หลังจากตามรอยพลาดพลั้งหลายครั้ง ฮันเตอร์ คิม จึงได้ประจักษ์ว่า ผู้ทรงอาคมรายนี้จิตใจลึกล้ำเกินหยั่งคาด ตูมินไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ในการยุแยงผู้มีอำนาจเหล่านั้นเลย ซึ่งนั่นทำให้ยากจะกำหนดทิศทางไล่ล่าได้ถูก

            บางครั้งเขาคิดว่าตูมินน่าจะอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายตรงจุดนี้ แต่พอเข้าไปดูกลับไม่ใช่ ต้องมาเริ่มต้นหากันใหม่

            กระทั่งเมื่อหลายปีก่อน ฮันเตอร์ คิม ตามรอยตูมินมาถึงประเทศไทย ได้เห็นข่าวฉ้อฉลบิดเบือนอันน่าประหลาดใจเกี่ยวกับรัฐมนตรีชื่อดัง เขาอ่านข่าวปราดเดียวก็สรุปได้ว่ามันเป็นการสร้างภาพ จัดฉากครั้งใหญ่ และคาดว่างานนี้ตูมินอาจอยู่เบื้องหลัง

            พอแฝงตัวเข้าไปสืบเสาะ กลับไม่พบร่องรอยให้เสาะหา ประจวบกับเขามีธุระด่วน ต้องรีบเดินทางไปอีกประเทศ จึงโดยสารเครื่องบินเดินทางออกจากประเทศไทย

            คาดไม่ถึง เครื่องบินลำนั้นจะเป็นลำที่นำรัฐมนตรีคนดังเดินทางออกนอกประเทศพร้อมกับครอบครัวเช่นกัน

            นั่นเอง คือครั้งแรกที่ ฮันเตอร์ คิม ได้พบทรงกลด มีโอกาสช่วยชีวิต และรับเป็นลูกศิษย์ในเวลาต่อมา

            เหตุผลหนึ่งที่เขาพาทรงกลดตระเวนฝึกวิชาไปทั่วโลก ก็เพื่อตามหาร่องรอยของตูมิน แต่ดูเหมือนตูมินจะเก็บตัว ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเขา

            ตอนทรงกลดกลับมาล้างแค้น ฮันเตอร์ คิม ตามมาเมืองไทยด้วย คอยสั่งสอน ชี้นำเส้นทางการเป็นนักล่าด้วยอาคมแก่ลูกศิษย์เป็นระยะ

            วันที่ทรงกลดกลับตัว เลือกเดินอีกเส้นทาง เขาผิดหวังถึงขนาดยกเลิกความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ ตั้งใจเดินคนละทาง ออกนอกประเทศไทยเพื่อตามล่าตูมินผ่านการสังหารผู้นำชั่วช้าต่อไป

            ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง เขาก็รับรู้กระแสคลื่นของตูมินได้ บอกให้รู้ชัดว่ามันอยู่ประเทศนี้ แฝงตัวซ่อนเร้นร่องรอยมิดชิด ล่อหลอกให้ตามหา เขาจึงยังไม่ไปไหน คอยสืบเสาะ ค้นหาศัตรูคู่แค้น พร้อมกับลอบดูเส้นทางชีวิตใหม่ของอดีตลูกศิษย์อยู่ห่างๆ

            ไลลาซึ่งเพิ่งสร้างไวรัสอาคมสำเร็จ ส่งข้อความมาบอก พร้อมตั้งใจแสดงอานุภาพของมันให้เห็นในเมืองใหญ่ของประเทศมหาอำนาจ

            ฮันเตอร์ คิม ไม่คัดค้าน เพียงส่งข้อความกลับไปว่า

            “หากทำภารกิจสำเร็จ เวลาสามสิบปีที่พวกเราสูญเสียไป จะได้กลับคืนหรือไม่?”

            นี่เป็นเหตุให้ไลลามาเมืองไทย เธอไม่จำเป็นต้องพูดจา ซักถามอะไรเขาเลย คนที่มีวิชาอาคมเสมอกัน รู้ใจ รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของกันและกันขนาดนี้ มีหรือจะตอบไม่ได้...

            ฮันเตอร์ คิม ยอมเสียเวลาอยู่ในประเทศเล็กๆ แห่งนี้เพื่ออะไร?

            ‘อาจารย์ตูมิน’ ศัตรูตัวร้ายที่ ฮันเตอร์ คิม ฝังใจแค้นเคืองมาแทบทั้งชีวิตอยู่ที่นี่

            ไลลาจึงเปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนประเทศที่จะทดลองปล่อยไวรัสอาคม เชื่อมั่นว่า หากอาจารย์ตูมิน บุคคลชั่วร้ายจนถึงกระดูกคนนี้ ยังไม่หนีไปไหนไกล รับรอง ไม่มีทางรอดพ้นตาข่ายไวรัสอาคมไปได้

            น่าเสียดาย การปล่อยไวรัสอาคมทั้งสองครั้งไม่อาจครอบคลุมพื้นที่มากนัก ไลลาจึงตั้งใจปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ไม่สนใจว่าจะมีใครตายมากน้อยแค่ไหน ขอเพียงสังหาร หรือแค่ได้ร่องรอยของตูมินก็เพียงพอ

            เรื่องพวกนี้ ผู้ทรงเวททั้งสองไม่เคยพูดจา ปรึกษา หรือขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

            ฮันเตอร์ คิม ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไลลากระทำ แต่ด้วยพันธะ สัญญา เขาไม่อาจคัดค้าน ขัดขวางเต็มตัว

            ไลลาก็รู้ อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย แต่คนอย่างเธอ พอใจจะทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจใครคิดอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่กระทำนั้นเป็นการช่วยชายคนรัก และสอดคล้องกับการปฏิบัติภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ของเหล่าบรรพชนแม่มดด้วย

            ไลลาไม่เห็นว่ามันจะบกพร่อง ไม่สมควรกระทำตรงไหน...

            มาถึงตอนนี้ ภายในห้องพักโรงแรมหรูเงียบงัน คนทั้งสองยังยืนนิ่ง ไม่เอ่ยปากกล่าววาจาใดต่อกันอีก...เพราะต่างก็รู้ คำพูดมากกว่านี้...มันไม่จำเป็นอีกแล้ว



               เอื้อกานต์ขยับตัว รู้สึกได้ถึงอาการเจ็บปวดปลาบแปลบภายในจนต้องขบริมฝีปาก ครั้นลืมตาขึ้น ก็พบนัยน์ตาคู่หนึ่งมองมาด้วยความเป็นห่วง

            “เป็นยังไงบ้างหมอเอื้อ” หมากเอ่ยถามอ่อนโยน

            “เจ็บ...” ความรู้สึกแรกเรียกความทรงจำ...เธอกำลังช่วยทรงกลด แต่โดนเกราะอาคมของเขากระแทกออกมา

            “พี่กลดเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงร้อนใจ เป็นห่วง

            หมากจ้องตาเธอนิ่ง ความรู้สึกมากมายซ่อนอยู่ในนั้น

            “ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าหมอเอื้อ เจ็บตรงไหนบ้าง บอกผมสิ คุณก็โดนพิษไวรัสเหมือนกันนะ”

            คำพูดนั้นทำให้หญิงสาววกดูอาการตัวเอง แต่เพียงชั่วขณะเดียว ความเป็นห่วงทรงกลดก็กลับมา เอื้อกานต์พยายามขยับตัวเพื่อจะมองหาเขา

            “หมอเอื้อ” หมากเรียกเสียงดุ มือทั้งสองข้างจับไหล่เธอนิ่ง “คุณยังไม่ควรขยับตัว พิษในตัวยังขับไม่หมด บอกอาการผมมาก่อน”

            อาจเป็นด้วยแววตาเป็นห่วง น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กดื้อ หรืออาจเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าตนเองเป็นคนป่วยในความดูแลของเขา จึงยอมคล้อยตามไม่ขัดฝืน

            “มันเจ็บร้าวๆ ที่หลัง...ตรงที่โดนกระแทก” หญิงสาวบอก

            “แล้วข้างในเป็นยังไง” เขาซักต่อ

            เอื้อกานต์สงบใจสังเกตอาการตนเอง ก่อนตอบตรงไปตรงมา

            “มันแปลบๆ ร้าวๆ เหมือนมีตัวอะไรเคลือบบางๆ อยู่ข้างใน แล้วก็เหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง แขนขาหนักพิกล”

            แววตาหมากยังไม่หมดความกังวล

            “แสดงว่าพิษไวรัสยังค้างอยู่ในตัว อีกเดี๋ยวผมจะช่วยขับให้ใหม่ ตอนนี้หมอเอื้อนั่งพักอยู่นิ่งๆ ห้ามออกแรงเด็ดขาด ไม่งั้นพิษไวรัสที่มันกระจายบางๆ จะกลับมารวมตัวกันใหม่ คราวนี้จะถอนยากกว่าเดิม”

            คำพูดของหมากทำให้หญิงสาวนึกสงสัย

            “หมอถอนไวรัสอาคมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

            หมากยิ้มละไม

            “ไม่นานนี้เอง ผมไม่ยอมให้หมอเอื้อเป็นฮีโร่คนเดียวหรอก”

            ถึงหมากจะพูดเชิงออกตัวเจืออารมณ์ขัน ทว่าเอื้อกานต์ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เธอเคยถอนอาคมจากคนป่วยหลายราย เท่าที่สังเกตอาการตัวเอง รู้สึกว่าเธอโดนไวรัสอาคมคนละแบบ และน่าจะร้ายแรงกว่า เพราะขนาดรู้สึกแค่ว่ามันเคลือบอยู่บางๆ ยังปวดแปลบแสบร้อนขนาดนั้น

            และที่ผ่านมา พอเธอถอนไวรัสอาคมสำเร็จ ก็มักไม่เหลือค้างคาในตัวคนป่วย ส่วนตนเองร่างกายปกติ อย่างมากก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย แต่หมากบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมาช่วยถอนพิษที่เหลือ แสดงว่าเขาอ่อนแรงจากการถอนพิษให้เธอ

            ยิ่งพอสังเกตใบหน้าเขา ก็พบว่ามันขาวซีดกว่าเดิม ริมฝีปากแห้ง มีสะเก็ดบางๆ มือที่จับหัวไหล่มีกระไออุ่นระอุ

            “หมอ...เป็นอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง

            หมากฝืนยิ้ม ตอบสั้นๆ

            “พักผ่อนเถอะ”

            พูดจบก็ละมือจากหัวไหล่ ขยับตัวออก พอเขาเบี่ยงตัว เอื้อกานต์จึงเห็นคนที่ลุกขึ้นยืนจังก้าเบื้องหลังอย่างถนัดตา

            “พี่กลด!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ

            หมากหันขวับ แต่ช้าเกินไปแล้วเมื่อหมัดแรกของทรงกลดลอยมาถึง

            พลั่ก...ตุ้บ!

            หมัดทรงกลดซัดเข้าซีกหน้าหมาก เล่นเอาคุณหมอหนุ่มผงะหงาย ถึงกระนั้นประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็มีไม่น้อย จังหวะที่หงายหลัง หมอหนุ่มก็พลิกตัวเตะตัดขาอีกฝ่าย ทำเอาทรงกลดล้มทั้งยืน

            หมากสปริงตัวลุกขึ้น สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แม้จะรู้สึกฝีเท้าเบา ร่างกายระโหย อ่อนแรงกว่าปกติก็ตาม

            หลังจากตะโกนเรียกชื่อทรงกลดอย่างตกใจ เอื้อกานต์ก็นั่งนิ่ง จ้องมองชายคนรักอย่างไม่เชื่อสายตา ทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่

            ทรงกลดลุกขึ้นช้าๆ แสงไฟดวงเดียวในห้องส่องให้เห็นร่างสูงทะมึน นัยน์ตาเป็นสีดำสนิท ใบหน้าเป็นสีเทาจาง รังสีดำมืดแผ่ออกมาจากร่าง เอื้อกานต์นึกถึงเกราะอาคม พลังมืดดำที่ค้ำยันชีวิตของเขา ความหวั่นใจของเธอเกิดขึ้นแล้ว...พลังมืดกำลังควบคุมทรงกลดให้กลายเป็นอสูร!

            ระหว่างรักษาอาการทรงกลด จิตสัมผัสของเอื้อกานต์ซอกซอนภายในร่างกายนั้น รับรู้ว่าที่ชีพจรยังเต้นได้ ร่างกายยังมีชีวิต ทั้งที่อวัยวะบอบช้ำ เส้นเลือดตีบตัน เส้นประสาทถูกจับเกาะด้วยเชื้อโรคร้าย ก็เพราะพลังอาคมดำมืด กางตาข่ายเป็นเกราะคุ้มกัน เพียงแต่เวลานั้นอาคมมืดกำลังอ่อนแรงเนื่องจากเผชิญกับพลังร้ายที่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บแทบหมดสภาพ

            พอเอื้อกานต์ใช้พลังของตนกรุยเส้นเลือดที่ตีบตัน ชาร์จกำลังให้หัวใจมีแรงเต้น พลังมืดที่เป็นเกราะอาคมจึงค่อยมีเรี่ยวแรง กระแทกเธอออกมา ทิ้งเวลาไม่นานก็สามารถเข้าครอบงำ ควบคุมร่างกายทรงกลดได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉุดร่างเขาให้ลุกขึ้นยืน แล้วสั่งการให้ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ

            หญิงสาวไม่เข้าใจอย่างเดียว ทำไมทรงกลดถึงถูกควบคุมให้ทำร้ายหมากชนิดไม่ให้ตั้งตัวขนาดนั้น?



               หมากไม่มีเวลาสงสัย ใคร่ครวญมากมาย สิ่งเดียวที่ต้องทำขณะนี้ คือรับมือและสยบทรงกลดให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องลุกลามใหญ่โต

            การจู่โจมตามมาเป็นระลอก หมากตั้งรับ ตอบโต้ทันท่วงที ไม่พลาดพลั้งเช่นตอนแรก การต่อสู้ใช้พื้นที่ไม่มาก มีเอื้อกานต์นั่งชมเป็นพยาน คอยคิดหาหนทางช่วยเหลือ

            เพียงแต่ยังตอบใจตัวเองไม่ถูก...ควรช่วยเหลือใคร?

            โชคดีที่ทรงกลดไม่มีเรี่ยวแรงกำลังมากเท่าไร ไม่เช่นนั้นคงซัดหมากหมดสติตั้งแต่หมัดแรกแล้ว ส่วนหมากก็ไม่ดีไปกว่ากัน ร่างกายเขาอ่อนเพลีย แข้งขาแทบไม่มีแรง เนื่องจากการถอนพิษไวรัสนางพญาให้เอื้อกานต์!

            ถึงหมากจะเคยถอนไวรัสอาคมจากร่างตนเองได้ แต่พิษไวรัสนางพญารุนแรงเหนือกว่าไวรัสอาคมหลายเท่า โชคดีที่เอื้อกานต์ได้รับแค่เศษกระทบจากตัวทรงกลด จึงพอช่วยถอนออกมาได้ กระนั้นก็ไม่สามารถถอนออกจนหมด เหลือเป็นเศษบางๆ เพราะหมากหมดกำลัง สมาธิไม่ตั้งมั่นพอ พลังพิเศษเกิดอาการติดขัด ยิ่งพยายามฝืนจะถอนให้หมด ร่างกายเขายิ่งได้รับผลกระทบไปด้วย

            สุดท้ายพอเห็นเอื้อกานต์พ้นขีดอันตราย เขาจึงหยุดพัก รอให้ร่างกาย กำลัง ฟื้นตัวแล้วค่อยมาถอนพิษไวรัสนางพญาที่เหลือ ก็พอดีพบหมัดของทรงกลดมาเสียก่อน



               ร่างกายทรงกลดเหมือนเป็นหุ่นชักใย มีพลังงานที่เหนือกว่าเข้าควบคุม...

            มันเริ่มจากเขาเห็นหมากโอบกอดเอื้อกานต์ไว้ในอ้อมแขน กุมมือหญิงสาวไว้มั่น ถ่ายทอดพลังผ่านฝ่ามือ เท่านั้นยังไม่พอ หมากยังใช้สองมือเกาะกุมหัวไหล่สองข้างหญิงสาว ร่างกายบดบังเอื้อกานต์จนเขามองไม่เห็น พาลให้รู้สึกกระวนกระวาย

            จู่ๆ ก็บังเกิดความพลุ่งพล่านในใจ นึกเกลียดคุณหมอหนุ่มที่อยู่ข้างกายเอื้อกานต์อย่างบอกไม่ถูก มันเป็นพลังความหึงหวงที่ถูกขับดันจากอาคมมืดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความรู้สึกผิดชอบหายวับ พลังอาคมมืดครอบงำเต็มร้อย ควบคุมร่างกายที่มีเรี่ยวแรงน้อยนิดให้ลุกขึ้นมาฟาดฟัน ห้ำหั่นผู้ชายที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นศัตรูอย่างสุดกำลัง

            การต่อสู้แบบหมัดต่อหมัด มือต่อมือ แสดงให้เห็นชั้นเชิงการต่อสู้หลบหลีกที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร เพียงแต่เรี่ยวแรงที่กระทำต่อกันค่อนข้างอ่อนเบา ดูเผินๆ เหมือนมวยวัดมากกว่า



               เอื้อกานต์ขมวดคิ้วครุ่นคิด เธอไม่ใช่ผู้หญิงสติอ่อนที่จะร้องกรี้ดโวยวายตอนเห็นผู้ชายต่อยกัน ตั้งแต่เด็กที่มีน้องชายเป็นหัวโจก ต่อยตีกับคนอื่นเป็นกิจวัตร เธอก็คุ้นกับสภาพการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังต้องหาวิธีห้ามทัพสงบศึกแบบนี้อยู่บ่อยๆ

            มองจังหวะการต่อสู้ด้วยสายตาคนนอก เสียงตุ้บตั้บ พลั่ก ดังเป็นระยะ หมากดูจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า ส่วนทรงกลดเหมือนมีพลังแฝง ไหลมาเรื่อยๆ ไม่ยอมแพ้

            การต่อสู้ของหมากเป็นการสู้กึ่งป้องกันตัว กึ่งทำให้อีกฝ่ายยอมสยบ ผิดกับทรงกลดที่ลุยลูกเดียว หวังพิฆาตฝ่ายตรงข้ามให้สิ้น

            ถ้าทั้งหมดที่ทรงกลดทำ เกิดจากพลังมืดบงการ ไม่ใช่สติ ความรู้สึกตัวของเขา ทางเดียวที่จะหยุดทรงกลดได้ คือต้องเรียกสติเขาคืนมา...แค่ชั่วขณะเดียวก็ยังดี

            หญิงสาววางแผนเรียกสติทรงกลดในหัว ถึงหมากจะสั่งให้เธอนั่งพัก ห้ามออกแรง ไม่เช่นนั้นพิษของไวรัสจะรวมตัว กำเริบขึ้นมาอีกครั้งจนยากจะถอน แต่สถานการณ์เช่นนี้ ให้เธออยู่เฉยได้อย่างไร ต่อให้เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็ต้องหยุดทรงกลดให้ได้

            เอื้อกานต์ค่อยๆ ลุกขึ้น สังเกตจังหวะการต่อสู้ของสองหนุ่ม หาช่องว่างเข้าใกล้ให้มากที่สุด แข้งขาหนักเหมือนถ่วงด้วยหิน สายตาพร่า เบลอ มองอะไรไม่ชัด ลมหายใจขัด อึดอัดในอก พยายามฝืนทน กัดฟัน ขยับตัวช้าๆ จนถึงจังหวะที่คู่ต่อสู้เคลื่อนเข้ามาใกล้ สองหนุ่มเงื้อหมัดใส่กัน...

            หญิงสาวรวบรวมกำลังทั้งหมดกระโจนเข้าไปขวางหน้า ยกมือขึ้นยันหมัดของทรงกลดไว้ แล้วตวาดสุดเสียง

            “พี่กลด!”

            เสียงตวาดเฉียบขาด แฝงอำนาจจิต ความรู้สึกจากใจ ดวงตาจ้องเขม็งยังนัยน์ตาที่กลายเป็นสีดำสนิทคู่นั้นของเขา

            ทรงกลดสะดุ้งเฮือก สติความรับรู้บังเกิดขึ้นชั่วขณะ พลังมืดไม่อาจควบคุมได้ต่อเนื่อง ทำให้ร่างเขาทรุดฮวบกองลงไปกับพื้น

            เอื้อกานต์รู้สึกเหมือนพลังในตัวทั้งมวลถูกสูบออกไปจนหมด ไม่อาจยืนหยัดได้อีก แข้งขาอ่อนแรง ล้มโครมไม่รู้ตัว

            หมากรีบประคองร่างหญิงสาวก่อนล้มฟาดพื้น กึ่งอุ้มกึ่งลากพาไปนั่งพักพิงผนังห้องที่เดิม เห็นลมหายใจเธอชะงัก ขาดเป็นห้วง ใบหน้าเป็นสีแดงเรื่อจัดตา

            คุณหมอหนุ่มเบิกตากว้าง สัมผัสรับรู้ปรากฏในใจ...พิษไวรัสนางพญาที่กระจายบางๆ ได้รวมตัวกำเริบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เอื้อกานต์ไม่มีพลังข้างในมาต่อต้าน เพราะฝืนใช้มันปลุกสติทรงกลดจนหมดแล้ว

            พอนึกถึงทรงกลด หมากก็รีบหันไปทางเบื้องหลัง เพียงแวบเดียวที่เห็นร่างสูงกองคุดคู้ เขาก็บอกตนเองได้ว่า แสงเทียนชีวิตชายผู้นี้ริบหรี่เต็มทน พลังอาคมมืดก็รั้งไม่ไหว อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองสามนาที

            หมากกัดฟัน ลุกขึ้นไปลากร่างทรงกลดมานั่งพิงผนังเคียงข้างเอื้อกานต์ หอบหายใจเหนื่อยหนัก ร่างกายเขาใช่ว่าจะปกติ สมบูรณ์กว่าสองหนุ่มสาว

            การช่วยเหลือเอื้อกานต์ทำให้หมดพลังไปโข เรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นก็ต้องมาฟัดกับทรงกลดอีก เหนื่อยแทบขาดใจ แต่จะอยู่เฉย รอช้าไม่ได้ สองชีวิตตรงหน้ากำลังรอความช่วยเหลือจากเขา

            หมากนั่งขัดสมาธิมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสอง สูดลมหายใจยาวลึก ประเมินกำลังตัวเอง...เวลานี้เขาสามารถช่วยได้เต็มที่คนเดียว อาการเอื้อกานต์หนักหนากว่าเดิม แต่ยังพอช่วยไหว ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อช่วยเอื้อกานต์แล้ว เขาจะไม่มีทางช่วยทรงกลดได้เลย

            จะทำอย่างไรดี หัวใจเขาอยากทุ่มเทพลังทั้งหมดช่วยเหลือเอื้อกานต์ให้รอดจากพิษไวรัสนางพญา แต่หากเธอฟื้นขึ้นมา รู้ว่าทรงกลด...ผู้ชายที่เธอรัก ต้องตายไป...อีกครั้ง หัวใจจะเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน การสูญเสียคนรักเป็นครั้งที่สอง...สำหรับคนคนหนึ่ง จะทนทานไหวอย่างไร

            ถ้าหัวใจเอื้อกานต์เจ็บปวด บอบช้ำ แล้วใจเขาจะเป็นสุขได้หรือ?

            หมากขบริมฝีปากแน่น หัวใจถูกบีบคั้น เจ็บร้าวระบม

            เขาต้องช่วยเอื้อกานต์พร้อมกับทรงกลดให้ได้

            มีทางใดบ้างที่จะช่วยชีวิตคนทั้งสอง มีหนทางใดที่จะไม่ให้คู่รักคู่นี้ต้องพรากจากกันอีก

            ชายหนุ่มพึมพำชื่อหนึ่งเบาๆ

            “พลู...บอกกูหน่อย...ควรทำยังไง” น้ำเสียงบอกความทดท้อ หมดปัญญา

            พอเรียกชื่อน้องชาย ใจระลึกได้...มีหนทางเดียว คือเขาต้องมีพลังการรักษาอย่างพลู

            ต้องใช้มือที่พิเศษเช่นนั้น...มือที่สามารถรักษาผู้คนราวปาฏิหาริย์

            หมากตั้งจิตแน่วแน่ หัวใจมีกำลังแรงกล้า...

            ...ขอสักครั้งได้มั้ย ขอให้เขามีพลังอย่างพลูสักครั้ง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด ล้วนยินยอมทั้งนั้น!

            ต้องลองดู...ลองทำอย่างพลู

            เวลาเหลือไม่มากแล้ว หมากจับมือเอื้อกานต์ ทรงกลด ออกมาวางแบ แล้วใช้มือของตนเกาะกุมมือสองหนุ่มสาวไว้คนละข้าง

            หลับตานิ่ง สูดลมหายใจยาวลึก นึกถึงจิตใจของพลูยามรักษาตนเอง จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความหวังดี จิตใจที่กว้างขวางฉ่ำเย็นอย่างไม่มีประมาณ

            “ขอมือแห่งการรักษาอย่างมึงให้กูสักครั้งนะพลู...ขอให้กูได้ช่วยพวกเขารอดชีวิต...อย่าให้คนสองคนที่รักกันขนาดนี้ต้องพรากจากกันอีกเลย”

            มือที่พิเศษ มาจากหัวใจรักอันพิเศษ...รักจนลืมความเห็นแก่ตัวทั้งมวล

            เขารักเอื้อกานต์มากพอที่จะลืมตัวตน ความเห็นแก่ตัว ได้หรือไม่ รักมากพอที่จะยินดีจากใจจริงกับความสุขที่เธอจะได้สมรักกับผู้ชายที่รอคอย...หรือไม่

            ได้สิ!

            หัวใจหมากถูกเปิดเผย เขารักเอื้อกานต์เหลือเกิน รักมากจนไม่ต้องการเห็นเธอเป็นทุกข์ เศร้าโศก ไม่อยากเห็นเธอต้องประสบกับการสูญเสียผู้ชายที่รักสุดหัวใจเป็นครั้งที่สอง

            เขาต้องช่วยทรงกลดพร้อมเอื้อกานต์

            แม้จะรู้ว่า การช่วยเหลือทรงกลด เอื้อกานต์ ครั้งนี้ จะเป็นการตัดสะพานความรักของตนไปเลยก็ตาม

            มือสองข้างของหมากเกาะกุมมือทรงกลดและเอื้อกานต์กระชับ จิตใจเกิดความรัก เมตตา หวังดีอย่างมหาศาล คล้ายกระแสคลื่นขนาดมหึมาถาโถมใส่

            ในยามที่ระลึกถึงความรักอันบริสุทธิ์สว่าง ยอมสละให้ได้ทุกสิ่งโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว ก็บังเกิดพลังอันอบอุ่นขึ้นที่กลางอก มันอบอุ่น ส่องสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงสว่างใดที่เคยเห็น

            สว่างใส บริสุทธิ์...เฉกเช่นความรักที่เขามีให้แก่เอื้อกานต์ในขณะนี้

            พลังอันบริสุทธิ์สว่าง มือแห่งการรักษา เกิดขึ้นกับหมากแล้ว!

            หมากถ่ายทอดพลังสีขาว สว่างใสนั้น ผ่านมือทั้งสองข้างให้แก่เอื้อกานต์และทรงกลดด้วยความเต็มใจ ไม่มีเก็บกัก หวงแหน

            นี่คือมือที่กอปรด้วยความรัก เมตตา มือของผู้เยียวยา รักษา...มือของผู้ให้ ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ

            ‘หากใครสักคนได้สัมผัสความสุขจากการเป็น “ผู้ให้” อย่างแท้จริง ความสุขเช่นนั้น...มันคุ้มค่าอย่างยิ่ง...แม้จะต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกก็ตาม!’

            คำพูดเอื้อกานต์ย้อนคืนมาสู่ความทรงจำ หมากเข้าใจมันกระจ่างยามนี้เอง



               ขณะพลังการรักษาซึมแทรกเข้าไปยังร่างของเอื้อกานต์ ทรงกลด หมากก็รับรู้ว่าการรักษาทรงกลดมีปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องเยียวยาสภาพร่างกายให้กลับคืนดังเดิมแล้ว ยังต้องขจัดพลังมืดจากอาคมร้ายที่จ้องรอจะควบคุมเขาอีกครั้งด้วย

            พลังการรักษาที่เกิดแก่หมากในปัจจุบันไม่ยากที่จะช่วยเหลือชีวิตทรงกลดและเอื้อกานต์ในเวลาเดียวกัน แต่หากให้ขจัดพลังมืดออกไปด้วยนั้น...มันต้องเสี่ยงอย่างยิ่ง

            เพราะเกราะอาคม พลังมืดขั้นสูงสุด สามารถสังหารเขาได้อย่างไม่ยากเย็น

            กล้าเสี่ยงหรือไม่?

            เสี่ยง...ช่างมันเถอะ

            ในเมื่อมีใจช่วยแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

            การกระทำเช่นนี้ มันยากเย็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ แต่ปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้นได้...ถ้าเขากล้าเอาชีวิตเข้าแลก



               เอื้อกานต์รู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็มองเห็นหมากจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว พอเขาเห็นเธอรู้สึกตัว รอยยิ้มโล่งใจค่อยปรากฏขึ้น

            มันเป็นเหมือนภาพฉายซ้ำกับที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ต่างกันก็แต่ว่า ข้างกายเธอเวลานี้ มีทรงกลดนั่งพิงผนังอยู่ด้วย

            “เขาปลอดภัย” หมากบอกเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นสายตาหญิงสาวที่มองไปยังชายคนรัก

            “แล้ว...” เอื้อกานต์นึกเป็นห่วงอาคมร้ายที่ทำให้ทรงกลดกลายเป็นอีกคน

            “ไม่ต้องห่วง ไม่มีพลังมืดมาครอบงำเขาได้อีก” หมากยืนยัน

            “ขอบคุณค่ะ” เอื้อกานต์รู้สึกยินดี ปีติแน่นอก

            หมากยิ้มสวย ดวงตาเป็นประกายใส ดูแจ่มกระจ่างกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา

            “ผมขออย่างอื่นเป็นรางวัลได้มั้ย” เสียงแผ่วเบา เว้าวอน

            “ค่ะ”

            ไม่ทันที่เอื้อกานต์จะเอ่ยปากถาม ชายหนุ่มก็ยื่นหน้ามาใกล้ ริมฝีปากประทับรอยจูบนุ่มนวล อ่อนหวาน ลงบนกลีบปากหญิงสาวเนิ่นนาน กว่าจะถอนริมฝีปากออกมา

            “ผมรักคุณ...หมอเอื้อ” คำพูดแสนหวาน อบอุ่นนักหนา

            ดวงตาหมากเป็นประกาย รอยยิ้มสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ฉายแสงพ้นหมู่เมฆยามอรุณ ก่อนที่มันจะค่อยๆ หรี่ลง...หรี่ลงเรื่อยๆ

            เอื้อกานต์ไม่ทันตอบวาจาเขา ศีรษะของหมากก็ฟุบลงบนไหล่เธอ สังหรณ์ร้ายปรากฏ จู่โจมจิตใจ

            เธอเพิ่งสังเกต ใบหน้าหมากขาวเหลือเกิน สว่างใสราวกับไม่ใช่คนธรรมดา ร่างกายเขาอ่อนปวกเปียกเหมือนไร้กระดูกข้อต่อ และที่สำคัญ...ทรวงอกไม่กระเพื่อมให้เห็นจังหวะหายใจ

            หญิงสาวใช้ปลายนิ้วรองที่จมูกเขาเพื่อยืนยันความแน่ใจ รับรู้ชัดเจน...

            เขาไม่เหลือลมหายใจอีกแล้ว...รอยจูบ...รอยยิ้มสุดท้าย เป็นสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เธอ...ก่อนจากลา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)





แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP