สารส่องใจ Enlightenment
ธัมมะในลิขิต ฉบับที่ ๒
ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
(รวบรวมโดย คุณเอี๋ยน ธัมมัญญู จ.จันทบุรี)
ฉบับที่ ๒
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
๒๕ เมษายน ๒๔๙๙
การภาวนาโปรดได้พากันบำเพ็ญประจำวัน
การจะพยายามแก้ทุกข์ออกจากใจเป็นสิ่งสำคัญมาก
และพึงทราบสมุฏฐานที่เกิดของทุกข์เสียก่อน
สมุฏฐานของทุกข์ท่านก็กล่าวว่ากิเลส
สมุฏฐานของกิเลสก็คือจิตอีกเหมือนกัน (เป็นวัฏวน)
ดังนั้นทุกข์จึงต้องมีที่จิตเป็นสำคัญ
เมื่อฝึกฝนอบรมให้กิเลสหมดไปจากจิตแล้ว จิตจึงหาทุกข์บีบคั้นไม่ได้
แม้จะทุกข์ทางกาย
ก็เป็นแต่สักว่ากิริยาของขันธ์ซึ่งยังอยู่จะต้องแสดงอาการตามหน้าที่ของเขา
ความรู้ตามเป็นจริงของจิตที่ได้รู้รอบแล้วในขันธ์ทั้งหลาย
ก็เป็นเพียงรู้ความจริงของขันธ์อยู่เท่านั้น
หาได้ไปปรับโทษยกคุณขันธ์แต่ประการใดไม่
เมื่อจิตไม่ไปคว้าเอาทุกข์ที่เกิดขึ้นในขันธ์ซึ่งเรียกว่าทุกขเวทนาแล้ว
ทุกข์ที่ปรากฏในขันธ์ก็ไม่ซึมซาบถึงจิต
จิตก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนไปตาม
ต่างก็ทำงานแลอยู่ตามความเป็นจริงของตน ไม่ระคนซึ่งกันและกัน
เรียกว่าหมดทางน้ำไหลเข้าไหลออก ก็เลยกลายเป็นน้ำนิ่งน้ำใสบริสุทธิ์ไป
จิตที่หมดทางไหลเข้าไหลออกของกิเลส ก็กลายเป็นจิตบริสุทธิ์
หมดความหวั่นไหวเช่นเดียวกับน้ำนั้น ขอได้พากันบำเพ็ญตามกำลัง
ชีวิตของเราทุกๆ คนในโลกจะอยู่ก็ไม่กี่วันเที่ยงแท้จะแตกดับอยู่แล้ว
รีบขวนขวายหาคุณงามความดีในเมื่อมีชีวิตอยู่
หาได้มากน้อยเป็นของเรา
เมื่อมีคุณงามความดีซึ่งเราได้สั่งสมไว้มากแล้ว
หากว่าเราไม่สิ้นกิเลส ยังจะกลับมาเกิดในโลกอีก
ก็จะเป็นผู้ไม่ผิดหวังในสถานที่เกิดและสิ่งที่เราต้องประสงค์
บุญเป็นเครื่องแก้ความขาดเขินบกพร่อง
ความทุกข์ทรมานท่านต้องแก้เราได้แน่ๆ
สิ่งที่จะให้สมหวังคือบุญนี้เอง
ท่านผู้สมหวังได้ผ่านทุกข์พ้นไปแล้วคือพระพุทธเจ้าของเรา
ท่านก็อาศัยบุญนี้เองเป็นคุณช่วยท่าน
ผู้ที่จะให้สมหวังในกาลข้างหน้าก็บุญนี้เอง
โปรดจำให้แม่น เพียรอย่าถอย
ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เสียท่า
ตายไปแล้วก็ไม่เสีย จงทำดีให้มาก เอวํ.
บัว
< Prev | Next > |
---|