ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
ทำอย่างไรให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน มีสมาธิในการทำงาน
ถาม – ขณะกำลังทำงานอยู่ใจมักฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
จะทำอย่างไรให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้
วิธีการง่ายที่สุดนะ อย่าไปพยายามเค้นมากเกินไป
เพราะอาการพยายามเค้น มันจะเท่ากับไปเพิ่มความฟุ้งซ่าน เพิ่มความซัดส่ายเข้าไปอีก
เนื่องจากอะไร เนื่องจากการพยายามทำในสิ่งที่เราไม่สามารถจะทำ
หรือว่าไปเกิดความอยากในสิ่งที่เราไม่ควรจะอยาก
ผลจะเป็นความปั่นป่วน ผลจะเป็นความรู้สึกกระสับกระส่าย นี่คือผลก่อนเลยนะ
สมมติว่ายังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่า เราจะอยากโฟกัสอยู่กับงานหรือว่าโดนอะไรรบกวนนะ
ถ้าหากว่าอยู่ดีๆ เรานึกอยากที่จะได้อะไรมาบางอย่าง
ซึ่ง ณ ขณะนั้นมันได้มาไม่ได้ เรารู้อยู่แก่ใจว่ายังได้มาไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น อยากให้วันเกิดมาถึงไวๆ เดี๋ยวจะได้ของขวัญเยอะๆ
เดี๋ยวจะได้มีคนมาพะเน้าพะนอเอาใจ แล้วก็เฮโลแฮปปี้เบิร์ธเดย์เรานะ
วันเกิด อีกอาทิตย์หนึ่งเนี่ย เราไม่มีทางไปเร่งให้มันมาถึงวันนี้นะ เป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ต้องรออีกเจ็ดวัน ถ้าเราอยาก อยากอยู่ทุกวัน เจ็ดวันน่ะ
ก็หมายความว่า เราเพิ่มความฟุ้งซ่านให้ตัวเองมากขึ้นๆ มากขึ้นๆ โดยที่มันเป็นไปไม่ได้
ความรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เดี๋ยวนี้นั่นแหละ
มันยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกปั่นป่วนรวนเรขึ้นมาใหญ่
อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการดึงใจมาโฟกัสอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันนะ
ถ้าหากว่าถูกรบกวน ให้ยอมรับตามจริงไปว่ามีคลื่นรบกวนมา
ให้ยอมรับตามจริงไปว่าใจเรากำลังปั่นป่วน ใจเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน
เพราะถ้าหากว่าไม่ยอมรับอาการฟุ้งซ่านตรงนั้น แล้วจะรีบดึงกลับมาทันทีทันใดนะ
โดยที่ดึงไม่ได้ โดยที่มันไม่สามารถจะกำจัดคลื่นรบกวนได้
ก็เกิดความกระสับกระส่ายหนักเข้าไปอีก
แต่ถ้าหากว่า ณ เวลาที่มีคลื่นรบกวนมา
แล้วเรายอมรับตามจริง ด้วยใจที่มันไม่ได้อยากที่จะสงบทันที
เรายอมรับตามจริงว่ากำลังมีความปั่นป่วนอยู่ในใจเรา
กำลังมีความรำคาญอยู่ในใจเรา กำลังมีโทสะอยู่ในใจเรา
อันนี้นะอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
ใจเราจะสบาย ไม่มีความกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น
กระสับกระส่ายอยู่แค่ไหนมันกระสับกระส่ายอยู่แค่นั้น มันไม่เพิ่มขึ้น
พอเห็นความกระสับกระส่ายในระดับที่มันเกิดขึ้นตามจริงนะ
อย่างน้อยที่สุดเราจะมีแก่ใจ มีความสามารถที่จะบอกตัวเอง
ให้กลับมาอยู่กับโฟกัสของงานตรงหน้า โดยไม่มีความกระสับกระส่ายเพิ่มนะ
ถ้าหากว่าเราโฟกัสกับงาน แล้วยังรู้สึกว่าไม่สามารถอยู่กับงานได้อีก
คราวนี้ก็ให้มองแล้วว่า ตรงนี้เป็นความไม่สามารถที่จิตจะเชื่อมต่อได้ติดกับงานตรงหน้า
เมื่อกี้อันแรกคือเรายอมรับตามจริงว่ามีคลื่นรบกวน
คลื่นรบกวนจากภายนอก มาก่อให้เกิดคลื่นรบกวนภายในเรา
แต่พอเราไม่เกิดความอยากจะให้คลื่นรบกวนตรงนั้นมันหายไปทั้งภายนอกและภายใน
ใจเราก็สามารถที่จะมาโฟกัสกับงานได้ใหม่นะ
ถึงแม้ว่าพอเรากลับมาโฟกัสกับงานแล้ว
เราจะสังเกตได้ว่า ยังต่อไม่ติด ยังเชื่อมไม่ติด ใจมันยังกระสับกระส่าย
เราก็สามารถเห็นได้ว่าภาวะแบบนั้น เรียกว่าภาวะที่ใจไม่สามารถเชื่อมติดอยู่กับงาน
พอสามารถเห็นได้ อย่างน้อยที่สุดนะมันไม่สูญเปล่าแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นรบกวน ความฟุ้งซ่าน
หรือว่าความไม่สามารถจะเชื่อมติดได้กับงานเนี่ย มันถูกรู้แล้ว
พอมันถูกรู้ เราก็รู้สึก เออ ได้มีสติ เห็นอะไรบางอย่าง
การรู้สึกว่าสามารถมีสติเห็นอะไรขึ้นมาบางอย่าง
ณ เวลาที่กำลังจวนตัว ณ เวลาที่กำลังมีความต้องการความช่วยเหลือ อยากได้ตัวช่วยนะ
เรารู้สึกว่าเรายังสามารถเห็นอะไรบางอย่างได้
นี่แหละตัวนี้มันจะทำให้ใจชื้นขึ้น มันจะทำให้เกิดกำลังใจว่า
เราไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆ เรากำลังเจริญสติ
สติของเรากำลังเจริญขึ้นนิดหนึ่ง
พอมีความใจชื้นนี่นะ ตัวนี้มันก็จะค่อยๆ ทำให้จิตใจแล้วก็ร่างกายมันสงบลง
หน้าที่ของปีติ หน้าที่ของความอิ่มใจนะ จำไว้นะ
มันมีความสามารถที่จะระงับความกระสับกระส่ายได้
แต่ถ้าหากว่าเรายิ่งไปเร่ง ยิ่งไปร้อน ยิ่งไปอยาก
อันนั้นน่ะมันยิ่งเพิ่มความกระสับกระส่าย นี่หลักการมีง่ายๆ แค่นี้
ทดลองดูนะ ต่อไปพอได้ยินเสียงหรือว่ามีภาพอะไรก็แล้วแต่มากระทบหูกระทบตา
ให้นิยามมันไปเลย แปะป้ายไปเลยว่านั่นเรียกว่า สิ่งรบกวน
แล้วคลื่นรบกวนที่เกิดขึ้นในหัวมันมักจะเป็นผลตามมา
โฟกัสในงานหายไป เราก็มาสังเกตว่า
เออ ตอนนี้ถ้าหากเอาใจเอาตานะ มาใส่กับงาน
มันสามารถเชื่อมติดได้ไหม ต่อติดได้ไหม
ถ้าเชื่อมไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเร่งร้อนนะ
ให้มองไปตามจริงว่า นี่ภาวะที่ใจไม่สามารถเชื่อมติดกับงาน
มันเป็นแบบนี้ มันเลื่อนไปเลื่อนมา มันเบลอๆ
มันเหมือนกับเราดำลงไปใต้น้ำแล้วก็ลืมตาขึ้นมา
แต่เมื่อไหร่ที่ภาวะเบลอๆ มันหายไป
เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อ นี่เห็นแล้วโฟกัสได้แล้ว เชื่อมติดได้แล้ว
นี่นะเรียกว่าเป็นการเห็น เรียกว่าเป็นการพัฒนาสติ เจริญสติในระหว่างทำงานได้
< Prev | Next > |
---|