วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๖


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               บันไดหนีไฟเงียบ โล่ง ไม่มีร่องรอยผู้คนกรายใกล้ ทรงกลดเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ต่างจากเดินเล่นสวนหลังบ้าน

            ตาข่ายคีตาปรากฏเป็นเส้นสีส้มอ่อนไม่หนาแน่นนัก ด้วยยังห่างจากชั้นของไลลาหลายชั้น มนตราของชายหนุ่มทำให้ร่างเขากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตาข่าย ก้าวย่างตามท่วงทำนองดนตรี ไหลลื่นไปกับจังหวะเสียงเพลง

            ยิ่งสูงขึ้น ตาข่ายหนาแน่น แต่มนตร์ของเขาก็สามารถปรับสภาพครอบคลุมกายโดยไม่ขัดฝืน ตาข่ายคีตาไม่กระเพื่อม แสดงอาการผิดปกติ เรดาร์ดนตรีไม่ส่งสัญญาณเตือนภัย

            กระทั่งถึงชั้นที่ไลลาพักอันเป็นจุดสำคัญที่อำนาจอาคมทรงกลดจะขาดตอน เขามองหาช่องโหว่ จุดอับที่ตาข่ายเสียงเพลงไลลาครอบคลุมไม่ถึง แล้วก้าวไปยืนตรงจุดนั้น เปลี่ยนจังหวะหายใจแล้วยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว

            หลับตา แผ่จิตสัมผัสควานดูจุดที่เหล่าสมุนปิศาจซุ่มซ่อน ดักรอ พอรู้จุดของพวกมันชัดเจน ค่อยลืมตา กำหนดสมาธิตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อให้เกิดพลังกล้าแข็งขุมหนึ่งขึ้นกลางอก

            ระลึกถึงอาคมบทที่ใช้อำพรางตัวจากภูตผี ทำให้เคลื่อนไหวเร้นลับ ไม่ว่ามนุษย์หรือปิศาจก็ไม่อาจสัมผัส รับรู้ร่องรอยได้

            แง้มประตูเพียงนิดก็แทรกตัวผ่านเข้ามาอย่างแผ่วเบาโดยไม่เกิดเสียงผิดปกติ

            ตรงหน้าเป็นทางเดินโล่ง บอดี้การ์ดพิเศษของไลลายืนซุ่มตามจุดต่างๆ ส่วนบนเพดาน กับในห้องที่ปิดเงียบ ก็มีเหล่าภูตผีรอคอย เตรียมพร้อมหากปรากฏผู้บุกรุก

            ทรงกลดกะระยะ จากหน้าประตูทางหนีไฟที่ตนยืนอยู่ จนถึงประตูห้องที่ติดกับห้องไลลา หากใช้เวลาเดินตามปกติก็ไม่น่าเกินหนึ่งนาที แต่เขาต้องใช้เวลาภายในหนึ่งนาทีนั้นเข้าไปภายในห้องที่ถูกปิดด้วยเวทมนตร์ ก่อนเหล่าสมุนปิศาจจะรู้ตัว

            ชายหนุ่มนึกทบทวนแผน กำหนดมนตราบทที่ใช้สะเดาะประตูเรียบร้อยในหัว เวทมนตร์ อาคม ของไลลาไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทกันง่ายๆ ถ้าเขาจะเร้นกายเข้าไปโดยผู้เป็นอาจารย์ของ ฮันเตอร์ คิม ไม่สำเหนียก รู้สึกถึงความผิดปกติ จับร่องรอยไม่ได้ ก็จำเป็นต้องใช้อาคมที่ทำให้ตนเสมือนเป็นอากาศธาตุ รอดพ้นจากญาณหยั่งรู้อันแกร่งกล้าของเธอ

            ทรงกลดทำได้ แต่ต้องใช้เวลาทั้งหมดจากนี้ไม่เกินหนึ่งนาทีเท่านั้น!

            ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ก่อนผ่อนออกแผ่วเบา ริมฝีปากไม่ขยับ ไม่มีสรรพเสียงเปล่งออกมา ทว่าเสียงสาธยายมนต์กลับดังชัดเจนในหัว ถูกต้องทุกอักขระ ไม่ผิดเพี้ยงแม้ถ้อยคำเดียว

            ก้าวยาวๆ ผ่านหน้าเหล่าบอดี้การ์ดตามจุดซุ่มต่างๆ ไม่มีการขยับเคลื่อนไหว ไม่มีผู้ใดเห็นเขา กระทั่งเหล่าภูตผีปิศาจที่มีสัมผัสรับรู้เร้นลับ ก็ไม่อาจมองเห็นผู้บุกรุกที่เดินลอยชายผ่านหน้าได้เลย

            ถึงประตูห้องเป้าหมาย มนตร์ในหัวถูกเปลี่ยนบท สายตาจ้องเขม็ง ล็อคถูกคลายโดยปราศจากเสียง เขาผลักประตูแค่เล็กน้อยพอดีตัว แล้วผลุบเข้าไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มก้าวเดินจนเข้าห้องสำเร็จ ไม่ถึงหนึ่งนาที

            อำนาจมนตราในหัวยังคงอยู่สองสามขณะก่อนคลายออก ในห้องนี้ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ไลลาอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพรางตัวอีก ขอเพียงเจ้าของห้องไม่นึกเฉลียวใจ สงสัย ส่งจิตเข้ามาตรวจสอบ เขาก็ยังคงปลอดภัย

            ภาพภายในห้องเร้นลับปรากฏต่อหน้า...

            วูบแรกแห่งความรู้สึกคือผิดหวัง...มันไม่มีอะไรเลย

            ชายหนุ่มมองเห็นเพียงผนังโล่งทั้งสี่ด้าน ทั้งห้องว่างเรียบ ประมาณด้วยสายตาน่าจะมีขนาดกว้างคูณยาวเพียงด้านละเก้าเมตร ไม่กว้าง ไม่แคบ ดูเพียงปราดเดียวก็จบ ไม่เหลืออะไรให้ค้นหา

            ทว่าทรงกลดมั่นใจ สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริง ไลลาใช้เวทมนตร์ปิดบังห้องนี้จากจิตสัมผัส ตาข่ายคีตาไม่กล้ำกรายครอบคลุม แสดงว่าเธอต้องใช้มนตราที่กล้าแกร่งกว่าซ่อนเร้น ป้องกันของสำคัญ

            ชายหนุ่มยังไม่ขยับตัว สัมผัสทั้งมวลถูกแผ่กว้าง กระจายการรับรู้ทั้งภายในภายนอกห้อง

            นอกห้องนั้น เขาพยายามสำรวจ สังเกตว่ามีปฏิกิริยาผิดปกติหรือไม่ เหล่าภูตผีรับรู้การมาของเขาหรือยัง? ไลลาสัมผัสถึงการมาเยือนของผู้บุกรุกหรือไม่?

            ส่วนภายใน พยายามค้นหาว่า ไลลาใช้มนตร์อำพรางชนิดใด ถึงซ่อนเร้นของสำคัญได้มิดชิดขนาดนี้

            ไม่นาน ประสาทสัมผัสทั้งมวลกลับคืนตัว บอกชัดว่าทุกสิ่งภายนอกยังเหมือนเดิม เหล่าปิศาจ บอดี้การ์ดพิเศษ ล้วนซุ่มระวังตามปกติ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไลลาถูกเอื้อกานต์และหมากชวนพูดคุย ดึงความสนใจ จนไม่ทันสำเหนียกหรือจับตาความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ

            เมื่อวกเข้ามาดูมนตร์อำพรางภายในห้อง คำตอบก็ปรากฏในใจ...มันเป็นมนตร์ที่เขาไม่รู้จัก แต่อาจคลี่คลายได้

            ทรงกลดรู้ว่าตนเองมีเวลาไม่มากนัก ต้องรีบทำลายไวรัสนางพญาก่อนไลลาเฉลียวใจ

            มนตร์อำพรางห้องนี้เขาไม่รู้จัก แม้จะคิดว่าอาจคลี่คลายได้ แต่หากทำสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วกลับเป็นโทษ กระตุ้นให้สมุนแห่กันมา ไลลารู้ตัว จะกลายเป็นเรื่องพลาดพลั้งจนไม่น่าให้อภัย

            ...ต้องลองอย่างระวัง... ทรงกลดบอกตนเอง

            ชายหนุ่มวางใจนิ่ง โล่งว่าง ส่งจิตไปกระทบมนตร์อำพรางในห้อง แล้วยกมือ ใช้นิ้วขีดเขียนเป็นตัวหนังสือประหลาดตรงความว่างเบื้องหน้า หยุดชะงักชั่วครั้งชั่วคราวคล้ายพยายามสังเกต หาช่องทางคลี่คลาย จนสุดท้ายพลังปราณกับตัวอักษรอาคมค่อยๆ เปิดม่านอำพรางด่านแรกของไลลาออกมาสำเร็จ

            บรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลง กระแสลมพัดหวีดหวิวทั้งที่ห้องปิดทึบ แว่วเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจกระทบโสตประสาท โดยหาที่มาของเสียงไม่เห็น

            ภาพผนังสี่ด้านหายไป กลับกลายเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่น่าอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ได้

            นี่คือม่านอำพรางชั้นที่สองของไลลา!

            ทรงกลดมองเห็นชิงช้าสวรรค์กำลังหมุนวน พาเด็กน้อย ผู้ใหญ่ ขึ้นชมบรรยากาศในที่สูง แสงไฟประดับแกนชิงช้าสว่างพราวโดดเด่นเห็นแต่ไกล

            ต่ำลงมาเป็นร้านรวงเรียงแถวยาว ติดไฟหลากสี ผู้คนจำนวนมากเดินเที่ยวชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อีกด้านหนึ่งเป็นม้าหมุน กำลังโยกเยก เคลื่อนตัวเป็นวงกลม พาเด็กชายเด็กหญิงเข้าสู่ความสนุกสนาน เบิกบาน เสียงหัวเราะดังประสานร่าเริง

            สินค้าที่ร้านต่างๆ นำมาขายมีทั้งขนม ของกินเล่น ผลไม้หลากชนิด พืชผัก อาหารหลากหลาย ข้าวของเครื่องใช้ วางเรียงรายขายแบบทุ่มสุดตัว

            ที่นี่เป็นงานออกร้านกลางคืนที่มีทั้งการละเล่น สวนสนุก ร้านขายของสารพัดอย่าง ผู้คนเดินเที่ยวชมงานอย่างสนุกสนาน ซื้อข้าวของติดไม้ติดไม้คนละอย่างสองอย่าง ดูเพลินตา ถ้าไม่ทันสังเกตว่า...พวกเขาไม่ใช่คนไทย!

            ผู้คนเหล่านั้นรูปร่างสูง แต่งกายแปลกตา โครงหน้าคม จมูกโด่ง สีผมมีทั้งสีน้ำตาลอมแดง สีทอง นัยน์ตาสีฟ้า สีน้ำเงิน เสียงพูดคุยแว่วมาเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมเสียงหัวเราะ หยอกเอิน ภาพที่เห็นทั้งหมดบอกให้รู้ว่า นี่เป็นงานออกร้านในอีกซีกโลกหนึ่ง

            ...Scarborough fair...

            มันอาจไม่ใช่งานออกร้านที่เมือง Scarborough เมื่อหลายร้อยปีก่อน น่าจะเป็นแค่งาน Fair ในความคิด จินตนาการของไลลา เป็นภาพสมมุติ ถูกปรุงแต่งด้วยอาคม เพื่อใช้อำพรางของสำคัญ...ไวรัสนางพญา

            ทรงกลดก้าวไปข้างหน้า ปล่อยความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ร่วมอยู่ในงาน ทำตัวไม่ต่างจากชาวบ้านที่มางานออกร้าน เคลื่อนไหว กลมกลืนกับผู้คนรอบตัว

            ผู้คนขวักไขว่ สรรพเสียงแว่วดังเป็นระยะ รอบกายคล้ายมีชีวิตจริง เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของทรงกลด ต่างคนเดินดูข้าวของ เล่นเครื่องเล่น พูดคุย หัวเราะแก่กัน ทำราวชายหนุ่มเป็นอากาศธาตุ

            ทรงกลดเดินตามเส้นทางในงาน ลัดเลี้ยวหลบร้านรวง เครื่องเล่นที่ขวางทาง จนกระทั่งมาหยุดที่ร้านยิงปืน มองดูหนุ่มผมทองยิงเป้ารูปกระต่ายที่เลื่อนอยู่ตรงหน้าเพื่อเอาชนะ แลกของรางวัลเป็นตุ๊กตาให้แก่สาวน้อยข้างกาย

            บางอย่างในร้านสะดุดใจเขา ฉุดรั้งให้หยุดยืนมองดูรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเป้ายิง ตุ๊กตาของรางวัล ลูกค้าหนุ่มสาว เจ้าของร้านที่คอยตะโกนเรียกแขก

            เป้ายิงรูปกระต่ายตัวน้อยเลื่อนผ่านหน้าอีกรอบ ชายหนุ่มผมทองพยายามยิงแก้ตัวเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังไม่ถูก หันไปยิ้มแหยๆ ให้สาวน้อยหน้าสวย ก่อนยอมจ่ายเงินที่ค้างให้แก่เจ้าของร้าน แล้วพากันเดินออกไปอย่างผิดหวัง

            ทรงกลดไม่เดินตามสองหนุ่มสาวนั่น เขายืนมองเป้ารูปกระต่ายที่ไหลเลื่อนไปมาด้วยแววตาสงสัย แว่วเสียงคนคุมร้านร้องเรียกลูกค้าอยู่ใกล้ๆ แล้วดวงตาเขาก็จุดประกายสว่างวาบ หันขวับไปทางเจ้าของร้านซึ่งกำลังแอบมองเขาอยู่โดยไม่อาจหลบตาทัน ปลายนิ้วทรงกลดจี้ตรงหน้าผากฝ่ายตรงข้ามทันที มันไม่ได้ทะลุอย่างเช่นภาพมายาควรจะเป็น แต่กลับเกิดสัมผัสอ่อนหยุ่นรองรับ

            สายตาชายหนุ่มเพ่งมองไปยังดวงตาอีกฝ่ายแน่วนิ่ง ปลายนิ้วขีดเขียนอักษรอาคมสองสามเส้นบนหน้าผากนั้นก่อนดึงออก

            บังเกิดความเงียบกริบทันใด!

            ความเคลื่อนไหวของงานออกร้านชะงักงันโดยพลัน รอบตัวกลายเป็นภาพนิ่ง ไม่มีการขยับ แล้วงานแฟร์ทั้งงานก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย

            เหลือเฉพาะจุดที่ทรงกลดใช้ปลายนิ้วจี้ และวาดอักษรอาคม

            ที่จุดนั้นปรากฏดวงกลมสีม่วงขนาดเท่าลูกเทนนิส เปล่งประกายจ้า แผ่รัศมีอันรุนแรง บาดคม เผ็ดร้อน เต็มไปด้วยกระแสเกรี้ยวกราด พิษร้าย กึ่งกลางดวงสีม่วงเป็นจุดดำสนิท มืดทะมึนจนน่าขนลุก

            ไวรัสนางพญาเผยตัวออกมาแล้ว!

            ทรงกลดเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่แรกจึงไม่นึกประหลาดใจ มันเร้นตัวอยู่ในงานแฟร์มายา แต่ยากจะแยกแยะออกได้ กระทั่งสังเกตเห็นด้วยหางตาว่าเจ้าของร้านยิงปืนแสดงอาการสนใจ รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ถึงขั้นแอบลอบมอง จึงรู้จุดซ่อนเร้นของมันทันที

            พอใช้มนตร์กระตุ้น อักษรอาคมบีบบังคับ มันจึงแสดงตัวจู่โจมทันที ทรงกลดสร้างเกราะอาคมคุ้มกันตัวเอง แล้วใช้พลังปราณ อำนาจจิต เข้าบีบคั้นทำลายมัน

            ไวรัสนางพญาเป็นสิ่งที่สร้างอย่างยากลำบาก ใช้ทั้งตัวยาหลายชนิด รวมกับไวรัสบางอย่าง ผนึกรวมกับอาคมกล้า แฝงด้วยพลังงานบางส่วนของภูตผี ปิศาจร้าย ทำให้มันกลายเป็นพลังงานพิเศษ แกร่งกล้า มากด้วยพิษร้าย ไม่มีหนทางอื่นใดจะทำลายได้ นอกจากใช้พลังอาคมที่กล้าแข็งกว่า เข้าบีบเค้น บดขยี้

            ดวงสว่างสีม่วงเข้มไม่ขยับหนีไปไหน มันเปล่งประกายเข้มข้น แผ่รัศมีจัดจ้า แรงร้อน เข้าปะทะรุนแรง บังเกิดแรงกระแทกสะท้านเยือก

            ขนาดทรงกลดอยู่ในเกราะอาคมยังสัมผัส รู้สึกถึงพลังรุนแรงของมันชัดขนาดนี้ หนีไม่ได้ ต้องยืดหยัดใช้อำนาจจิต พลังอาคม ทำลายล้างมันอย่างรวดเร็วที่สุด

            ทั้งห้องบังเกิดความมืดมิด เหลือแค่ดวงสีม่วงของไวรัสนางพญา กับเกราะสีเทาเรืองๆ ที่ล้อมรอบร่างทรงกลดเอาไว้

            การทำลายล้าง และการต่อต้าน ค้ำยัน ไม่มีสีสันฉูดฉาดบาดตา ไม่มีเสียงดังโฉ่งฉ่าง ไม่มีการหลบหลีกเคลื่อนไหว เฉกเช่นการต่อสู้ห้ำหั่นแบบสิ่งมีชีวิตต่อสิ่งมีชีวิต

            ไวรัสนางพญาไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันเป็นกลุ่มก้อนพลังงานพิเศษที่มอบพิษร้ายให้แก่ไวรัสอาคม มีความแกร่งกล้า หนาแน่นด้วยพลังฝ่ายมืดขั้นสูง เพียงแค่ตัวเดียวสามารถสังหารผู้คนได้หลายล้าน

            ทรงกลดใช้อาคมรวมกับอำนาจจิตเข้าบีบคั้น ฟาดฟันมันให้หมดสภาพ แต่กลับได้รับการต่อต้าน ตอบโต้ อย่างแข็งแกร่งโดยอัตโนมัติ ทำให้งานชิ้นนี้ยากเย็น ลำบากกว่าคาดคิด

            เวลาผ่านไป ทรงกลดเริ่มได้เปรียบ อำนาจจิตเขารวมตัวนิ่ง เปล่งอานุภาพขึ้นทวีคูณ กำลังควบคุม กวาดล้างไวรัสนางพญาให้สิ้นซาก ไร้พิษสง ภายในไม่กี่อึดใจ

            ดวงสว่างสีม่วงริบหรี่ จุดดำมืดเล็กลง กะพริบวาบคล้ายจะดับหาย แต่แล้วกลับเปล่งพลังขึ้นมาใหม่อย่างเหลือเชื่อ หนำซ้ำรอบกายทรงกลดยังมีไวรัสนางพญาผุดขึ้นรายล้อมอีกสี่ตัว แต่ละตัวส่องประกายกล้าแข็ง รุนแรงไม่แพ้ตัวแรกที่ฟื้นคืนสภาพ

            ชายหนุ่มนิ่งอั้น...คาดไม่ถึง...ไลลาจะสามารถสร้างไวรัสนางพญาอันร้ายกาจได้ถึงห้าตัว!

            แค่ตัวเดียวยังหนักแรงเกินทน...นี่โดนห้าตัวล้อมรอบ เปล่งพลังมืดอันร้ายกาจ จู่โจมพร้อมกัน เกราะอาคมเขาไม่อาจทนทานได้เกินสองสามชั่วขณะแน่...ต้องหาวิธีเผด็จศึกโดยเร็ว

            พลันนั้นเองกระแสพลังมืดจากไวรัสนางพญาทั้งห้าก็เปล่งพลังทำร้ายเข้ามาพร้อมกัน ทำให้เกราะอาคมของทรงกลดขาดวิ่น จางหาย ชายหนุ่มเปล่งพลังระลอกใหม่ค้ำยัน พร้อมกับที่ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมเข้ามาระลอกสอง

            ...ตึก...

            เพียงสัมผัสพลังเช่นนี้ครั้งเดียว ทรงกลดก็รู้ชัด เขาไม่อาจต้านทานพลังพวกมันห้าตัวรวมกันได้เกินสามครั้ง ไลลาสมเป็นอัจฉริยะ แม่มดคนสุดท้ายผู้โดดเด่น พลังกล้าแข็ง สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นไวรัสนางพญานี้ให้เกิดขึ้นถึงห้าตัวด้วยกัน

            ...มีทางเดียวจะทำลายมันได้...ทรงกลดบอกตนเอง

            ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว เขาต้องใช้พลังอาคมขั้นสูงสุดที่ตนเองเคยก้าวไปถึง ทำลายมันในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยร้ายแก่คนจำนวนมหาศาลชนิดคาดไม่ถึง

            ยังไม่ทันลงมือ พลังมืดจากพวกมันก็พุ่งตรงมาอีกครั้ง ร่างทรงกลดสะท้านเยือก อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ

            ...ไม่มีเวลาคิดมาก...ความเป็นความตายของเขาไม่สำคัญอีกแล้ว ต่อให้ใช้อาคมขั้นสูงสุดแล้วต้องกลายเป็นอสูร เกินควบคุมก็ยอม...ไม่เช่นนั้นผู้คนเรือนล้านต้องเสี่ยงรับเคราะห์จากพลังงานร้ายเหล่านี้

            พลังอาคมขั้นสูงสุด มนตราที่ไม่เคยคิดจะสวดสาธยายซ้ำ กลับต้องนำมาใช้...ต่างกันเพียงครั้งนี้ เจตนาเพื่อช่วยเหลือผู้คนหมู่มาก จิตไม่เกิดความดำมืดด้วยโทสะ อาฆาตรุนแรงเช่นครั้งก่อน

            จิตเขายามนี้เต็มไปด้วยความหวังดี อยากช่วยเหลือ ถึงแม้จะมีเจตนาหมายทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ใจก็รู้ว่ามันไม่มีชีวิต เป็นเพียงพลังงานร้ายกาจที่ไม่อาจปล่อยให้อยู่บนโลกได้

            ทรงกลดตัดสินใจท่องทวนอาคมร้ายกาจนั้นทันที!

            มนตราขั้นสูงสุด อย่างไรก็ไม่ธรรมดา เพียงแค่สวดสาธยายจบ พลังอำนาจก็ทวีคูณมหาศาลในฉับพลัน ดวงตาเขากลายเป็นสีดำสนิท ใบหน้าฉาบทาด้วยสีเทา สติยังไม่ขาดหายไปหมดเช่นคราวก่อน มันคงหลงเหลือเพราะจิตไม่ได้ถูกครอบงำด้วยอำนาจแรงอาฆาต พยาบาท

            สติที่มีพยายามรวบรวมสรรพพลังทั้งมวล กำหนดเจตจำนงชัดเจน แยกย้ายกระแทกทำลายไวรัสนางพญารอบตัวทั้งห้าพร้อมกัน

            ...เปรี๊ยะ...พรึ่บ...พรึ่บ...พรึ่บ...

            ดวงสว่างสีม่วงเข้มปะทะกับพลังอาคมขั้นสูงสุดในชั่วพริบตา บังเกิดผลตัดสินแพ้ชนะในเวลาไม่เกินอึดใจเดียว

            จุดดำสนิทกึ่งกลางดวงสีม่วงทั้งห้าล้วนดับหาย แสงหรุบหรู่อ่อนจาง แล้วค่อยริบหรี่หายวับไม่มีเหลือ

            ทรงกลดทรุดฮวบ อาการบาดเจ็บภายในกำเริบหนักกว่าเดิม สติยังหลงเหลือ ไม่ถูกครอบงำด้วยอาคมของตนเสียทั้งหมด เนื่องจากจงใจรีบถอนอาคมขั้นสูงออกไปก่อนมันจะกลืนความผิดชอบชั่วดีไปจนสิ้น

            ถึงกระนั้นนัยน์ตาเขายังเป็นสีดำ ใบหน้าสีเทาค่อยปรากฏสีขาวซีดเจือจาง หัวใจเต้นถี่เร็ว ร่างกายบอบช้ำเกินมนุษย์ทั่วไปทนไหว

            ดวงสีม่วงดับหาย ไร้ร่องรอย ไวรัสนางพญาถูกทำลายสิ้น ทรงกลดเกือบถอนใจโล่งอก คิดว่าการเสี่ยงครั้งนี้คุ้มค่า

            ทว่า...เกิดเหตุพลิกผัน ไวรัสนางพญาเปล่งประกายสีม่วงที่มุมห้องอีกหนึ่งตัว!

            มันคือกับดักเกินคาดหมาย เตรียมไว้สำหรับจัดการผู้ทรงอาคมโดยเฉพาะ

            ไวรัสนางพญาตัวที่หก พุ่งดิ่งตรงมายังร่างชายหนุ่ม เปล่งกระแสดำมืด เผ็ดร้อนนำหน้า ทรงกลดรวบรวมพลังที่กระจัดกระจายทั้งหมดให้รวมตัวเข้ามาในพริบตา

            อาคมขั้นสูงสุดถูกนำมาใช้ปะทะในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย

            จุดดำมืดกลางไวรัสนางพญาดวงที่หกดับหาย พร้อมกับพลังที่หลงเหลือทั้งมวลของทรงกลดล้วนหายสูญ

            ชั่วขณะนั้นเอง สัมผัสพิเศษส่งกระแสเตือน...มันยังไม่จบ ไลลายังมีไม้ตายสุดท้ายอันน่าสะพรึงกลัว

            ไวรัสนางพญาตัวที่เจ็ดปรากฏขึ้น!

            ทรงกลดไม่มีเรี่ยวแรงพลังหลงเหลือ การสังหารทำลายไวรัสนางพญาทั้งหกตัวภายในเวลาสั้นๆ โดยไลลาไม่ทันรับรู้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ไม่มีใครในโลกทำได้อีกแล้ว แม้กระทั่ง ฮันเตอร์ คิม ผู้เป็นอาจารย์

            บัดนี้...ไวรัสนางพญาอีกตัวออกมา ในขณะที่เขาไม่มีแรงกระทั่งขยับปากท่องมนตราอันใด สมองว่างโล่ง หมดความคิดต่อสู้ พลังทั้งมวลในตัวถูกสูบจนเกลี้ยง

            ชายหนุ่มได้แต่รามือ ยอมรับชะตากรรมของตน...

            นี่เป็นช่วงเวลาก่อนสร้อยข้อมือเอื้อกานต์จะขาดหลุดกระจายเพียงไม่กี่วินาที



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP