วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๙


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ฤทธิ์ของอาคม มนตร์ดำ หมดจากร่างแล้ว...หมากรู้สึกเช่นนั้น

             เขารู้ดีว่าตนเองปลอดภัย ร่างกายได้รับการรักษา ถอนอาคมออกมาเรียบร้อย แม้จะยังมีความอ่อนเพลียขนาดหนัก ขยับแขนขาไม่ไหว ต้องนั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่ตรงนี้ก็ตาม

             เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น หมากเริ่มเข้าใจว่าเอื้อกานต์รักษาคนไข้ ถอนไวรัสอาคมได้อย่างไร เพราะเวลานี้เขารู้วิธี และมีพลังพิเศษแบบเดียวกับเอื้อกานต์แล้ว

             การที่เขาถอนอาคมออกจากตัวสำเร็จ ไม่ใช่เป็นประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น ต่อไปยังสามารถช่วยเอื้อกานต์ถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสในคนไข้รายอื่นได้อีก

             นับเป็นการขยายขีดความสามารถก้าวใหญ่ที่คาดไม่ถึงจริงๆ

             ร่างกายหมากอ่อนเพลีย ทว่าจิตใจกลับตั้งมั่น มีกำลังจากสมาธิหลงเหลือจนพอจะรู้ว่า บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน มีร่างๆ หนึ่งนั่งอยู่ พอหรี่ตามอง ก็พบชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนจากตัวเองนั่งอยู่ใกล้ๆ

             ร่างนั้นปรากฏเกือบชัดเจน ไม่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ถ้าหมากจะไม่สังเกตเห็นว่าบางส่วนในร่างนั้นดูโปร่งแสงบางๆ เกือบแลทะลุได้

             “คราวนี้มาแบบตัวเป็นๆ เชียว”หมากทักในใจ ไม่มีเรี่ยวแรงพอขยับปากพูด

             “ไม่ใช่มาตัวเป็น ๆ...มึงต่างหาก เสือกเห็นกูแบบตัวเป็นๆ ได้” พลูเถียง

             หมากรู้ว่าสมาธิของเขาเข้มแข็ง มั่นคงกว่าเดิม จึงเห็นร่างของพลูชัดกว่าทุกครั้งทั้งที่ยังลืมตา

             “ขอบใจที่ตะกี้แทบไม่ช่วยอะไรกูเลย” หมากประชด

             “กูช่วย...นี้ดนึง” พลูตอบยิ้มๆ “ตอนมึงเผลอ มัวแต่ห่วงหมอเอื้อไง...ไม่งั้นมึงโดนอสุรกายงาบไปแล้ว”

             “ถ้ามึงจะช่วยมากกว่านั้น กูก็ไม่ว่าอะไรหรอก”

             “ก็ใครวะมันเสือกคิดว่า...ถ้ามัวแต่เรียกไอ้พลูมาช่วยทุกครั้งที่เจอเรื่องคับขัน เมื่อไหร่จะเจอศักยภาพของตัวเองสักที กูก็เออ...ไม่ช่วยก็ได้วะ ดีแล้วไง ตอนนี้มึงก็รู้วิธีถอนอาคมแบบหมอเอื้อแล้ว...”

             “ขอบใจ!” หมากประชด

             พลูหัวเราะเบาๆ สบตาพี่ชายฝาแฝดด้วยแววตาอ่อนโยน เข้าใจลึกซึ้ง

             “รับทราบ” คำตอบหยอกล้อ

             “ไหนๆ มึงก็มาแล้ว ช่วยตอบปัญหาให้กูหายคาใจทีเถอะ” หมากเริ่มต้น

             “มึงอยากรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยไวรัสอาคมใช่มั้ย” พลูรู้ทัน ถามดักล่วงหน้า

             “เออ”

             “เรื่องนี้หมอเอื้อเขารู้แล้ว ยังได้เจอตัวพูดคุยกันด้วย มึงไปถามเขาเองแล้วกัน”

             “เฮ้ย!...จริงน่ะ” หมากตกใจ “แล้วทำไมเขาไม่บอกกู” สุดท้ายยังอดบ่นไม่ได้

             “ช่วงนี้หมอเอื้อมีเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่องแห่มาพร้อมกัน เขารับมือได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งแล้ว”

             พลูแก้ตัวแทน พยายามให้หมากเข้าใจ

             อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็นึกถึงอีกประเด็น...เรื่องส่วนตัวของเอื้อกานต์ที่เขาสงสัยอยู่เหมือนกัน

             “มึงพูดอย่างกับรู้เรื่องหมอเอื้อดี” หมากเริ่มหยอด

             “ก็มากกว่ามึงนั่นแหละ” พลูรู้ทัน แต่ก็ยอมตอบ

             “งั้นกูถามอะไรมึงสักอย่าง ขอให้มึงตอบตรงๆ อย่ากำกวม ห้ามตอบกวนตีนด้วย จะได้มั้ย”

             พลูหัวเราะ แววตาบอกความรู้ทัน

             “ลองถามดู ถ้าคำถามไม่กวนตีน กูอาจตอบตรงๆ ก็ได้”

             “เออ ให้แน่นะมึง” หมากคาดคั้น

             “เอ้า...ถ้ากูไม่ตอบตรงๆ มึงจะทำอะไรกู มีแรงเตะกูมั้ยล่ะนั่นน่ะ” พลูหยอก รู้ว่าตอนนี้พี่ชายไม่มีแรงกระทั่งเอ่ยปากพูด ต้องใช้ภาษาใจคุยกัน

             “ชามาร์เป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับหมอเอื้อ?” หมากไม่สนใจคำหยอกล้อ ยิงตรงเข้าปัญหาคาใจทันที

             “อืม...” พลูนิ่ง นึกหาคำตอบ

             “ห้ามตอบกำกวมและกวนตีน!” หมากย้ำ “กูสงสัยตั้งแต่แรกที่มึงให้กูเข้าไปทักเขาแล้ว ว่ามันต้องมีอะไรแน่ พอคุยกันก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยิ่งตอนหมอเอื้อเจอเขาครั้งแรกก็แทบสติหลุดอย่างไม่น่าเชื่อ ...ที่สำคัญ หมอเอื้อถามเขาถึงชื่อ ‘ทรงกลด’ ขึ้นมาด้วย กูไม่รู้หรอกว่าทรงกลดเป็นใคร แต่มันต้องมีอะไรลึกซึ้งกว่าที่เห็นแน่”

             หมากเก็บรายละเอียดระหว่างเอื้อกานต์กับคนป่วยรูปหล่อมาตลอด กระทั่งตอนคุณหมอคุยกับคนไข้ หมากยังได้ยินชื่อ ‘ทรงกลด’ เต็มสองหู

             พอคนไข้ปฏิเสธไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับชื่อนี้ เอื้อกานต์ก็เปลี่ยนเรื่อง หมากสังเกตเห็นกระทั่งแววตาผิดหวังลึกๆ ของเธอ

             “ถ้ากูตอบตรงๆ หรือแสดงให้มึงเห็นเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด มันก็ไม่ยากหรอก” พลูบอก “แต่มึงพร้อมจะรับผลจากคำตอบที่กูให้มั้ยล่ะ”

             “รับผล...ผลลัพธ์จากการได้รู้น่ะเหรอ” หมากทวนคำ แล้วไม่คิดใส่ใจ...

             เขาต้องการรู้จักเอื้อกานต์ทุกด้าน ทุกมุม ทุกเรื่องราวของเธอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาเชื่อว่าตนเองรับได้

             “มึงแน่ใจ” พลูอ่านความรู้สึกพี่ชายออกจึงถามย้ำอีกครั้ง

             “เออ” หมากยืนยัน

             พลูขยับเข้าใกล้จนสองร่างชิดกัน สอดมือเข้าไปสัมผัสมือข้างที่ไม่เจ็บของหมากแล้วบีบเบาๆ

             หมากรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบา คล้ายสายลมพลิ้วกระทบผิวน้ำ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า

             “มึงแน่ใจนะไอ้พลู ว่าไม่มีใครเห็นมึง”

             “ใครแม่งจะตาดีอย่างมึง...มีอะไรอีกวะ” พลูรำคาญๆ

             “กูกลัว...ถ้าใครเขาเห็นมึงกับกูนั่งบีบมือกันแบบนี้ จะคิดว่าเราเป็นคู่เกย์กันน่ะสิ” หมากแหย่น้องชาย

             พลูหัวเราะเสียงกังวาน กระแสใจกระทบกัน เกิดความชุ่มชื่นแผ่กระจายโดยรอบ

             “ไอ้บ้า! คู่เกย์ที่ไหนหน้าตาจะโขกป๊อกออกมาเหมือนกันแบบนี้...แถมยังหล่อขั้นเทพอย่างกูอีก”

             หมากไม่มีแรงหัวเราะ ได้เพียงคลี่ยิ้มกว้าง

             “หลงตัวเองฉิบหายเลยมึง” เขาบ่น

             “ใครกวนตีนใครกันแน่วะ พูดมากแบบนี้ เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจ ไม่บอกให้รู้ซะเลย”

             “ขอโทษครับคุณพลู ผมผิดเอง ชอบกวนตีนน้องชาย เอาเถอะ ช่วยสงเคราะห์บอกให้กูหายโง่ที” หมากเสียงอ่อย

             มือของพลูบีบกระชับ หมากสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมที่ฝ่ามือ ใจเขาผ่อนคลาย อ่อนเบา นัยน์ตาหลับลง จิตใจเปิดกว้าง รู้สึกคล้ายโลกทั้งใบขยายกว้างออกไป ตัวเขาลอยคว้าง ไม่มีที่หยั่งเท้าทรงกาย

             หมากวางใจให้ราบนิ่ง แผ่กว้างดุจภาชนะว่าง เพื่อให้พลูนำสิ่งที่เขาต้องการรู้ ถ่ายทอดแสดงออกมาทั้งหมดโดยไม่มีเก็บกัก ซ่อนเร้น

             และแล้ว...สิ่งที่เขาต้องการรู้เกี่ยวกับชามาร์ เอื้อกานต์ และความสัมพันธ์แท้จริงของทั้งคู่ ก็ถูกแผ่กางออกตรงหน้า เป็นภาพเคลื่อนไหวฉายชัดไม่ต่างจากชมภาพยนตร์

             หมากจะยอมรับผลของการได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แค่ไหน...กระทั่งพลูก็ไม่อาจตอบได้

             สิ่งเดียวที่เขาพอกระทำ คือให้พี่ชายได้เห็นความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ในทุกแง่มุม เพื่อให้หมากได้มีโอกาสตัดสินใจ...จะทำอย่างไรต่อไป...



             ยารักษาที่แปรสภาพเป็นยาพิษของไลลา ไม่มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต แค่ร่างกายอ่อนเปลี้ย เจ็บปวด ขยับเขยื้อนลำบาก ยิ่งฝืนออกแรง ยิ่งเร่งพิษในตัวให้มีกำลังกล้ากว่าเดิม

             ที่สำคัญ หากฝืนพยายามส่งอาคม อำนาจจิต ออกไปภายนอก ก็ยิ่งเกิดแรงสะท้อนกลับมารุนแรง ทำให้หมดสติในที่สุด

             ทรงกลดหมดสติ จิตกระจัดกระจายไม่อาจรวมตัวติด ความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม ที่ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบก็แตกฉานซ่านเซ็น ปะปนกับความทรงจำตนเองอย่างแยกไม่ออก

             ชายหนุ่มตอบไม่ถูก ตนเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่แน่ใจกระทั่งนามที่ถูกเรียกขาน

             เขาชื่ออะไรกันแน่...ทรงกลด...คิม...ชามาร์...ฮันเตอร์...ฮันเตอร์ คิม...เฌอคิมซา

             ชื่อสุดท้ายผุดขึ้นมา...ใครกัน...เฌอคิมซา?

             ‘คิม...คิม...’ เสียงเรียกแว่วๆ ‘เฌอคิม...อยู่ไหน?’

             เสียงเรียกดังสับสน ปนเสียงหัวเราะรื่นรมย์ เขาตอบไม่ถูก นั่นใช่คำเรียกขานตนเองหรือไม่?

             จิตใจลอยคว้างด้วยฤทธิ์ยา ความทรงจำถูกทับกลืนชั่วคราว เขากลายเป็นอีกคนที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม หยิ่งผยองในศักดิ์ของตนอย่างยิ่ง

             ...เฌอคิมซา...หน่อเนื้อมูจนะ ทายาทองค์เดียวขององค์เจ้ามูจนะแห่งประเทศมูเจน

             ความรู้สึกแห่งการเป็นเจ้าชายโดยสายเลือด ก่อให้เกิดภาพตัวตนอันยิ่งใหญ่ เขาเป็นเจ้าชายในประเทศเล็กๆ หากมีความสำคัญทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งแถบเทือกเขาหิมาลัย มั่งคั่งด้วยทรัพยากรอันมีค่า...เหมืองเพชรน้ำงามที่โลกต้องการ!

             ประเทศของเขาเป็นเมืองปิด ผู้คนยังดำเนินชีวิตตามแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม แม้จะร่ำรวยด้วยทรัพยากรอันมีค่า แต่ก็ไม่ยอมให้วัฒนธรรมเสรีทุนนิยมเข้าครอบงำ

             การปกครองแข็งแกร่งด้วยระบอบองค์เจ้า มีองค์เจ้ามูจนะและเหล่าหน่อเนื้อมูจนะเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง ผู้มีเชื้อสายทุกคนได้รับการอบรม ถ่ายทอด ปลูกฝังความเชื่อ แนวคิดอันดีงาม ตามอย่างบรรพบุรุษโดยมิคลอนแคลน

             ถึงเจ้าชายน้อยเฌอคิมซาจะได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ หากก็ยังไม่ลืมรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน จดจำมั่นถึงปณิธาน คำสั่งสอนของปฐมองค์เจ้ามูจนะ ให้รักษาแผ่นดิน วัฒนธรรม ดูแลประชาราษฎร์ให้มีความสุข เหมือนเป็นลูกหลานของตน

             เจ้าชายเฌอคิมซาตั้งใจเป็นองค์เจ้ามูจนะผู้ทรงทศพิธราชธรรมองค์ต่อไป ถ้าหากว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาก่อน...เรื่องร้ายที่สามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินให้กลับตาลปัตร ถีบส่งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ให้กลายเป็นสามัญชน ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ร่ำเรียนสรรพวิชาเร้นลับเพื่อแก้แค้น หาโอกาสกลับมาทวงบัลลังก์คืน!



             ความทรงจำแตกกระจายอีกแล้ว...ทรงกลดรู้สึกตัว...รู้สึกถึงความเป็นทรงกลดอีกครั้ง ไม่ใช่ใครคนหนึ่งที่ตนเองไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเสียง

             ทว่า ความเจ็บแค้น ปวดร้าว อาฆาตรุนแรง ของเจ้าชายเฌอคิมซายังติดอยู่ในความรู้สึก เขานึกไม่ออกว่าเจ้าชายพระองค์นี้ประสบเรื่องราว เหตุการณ์รุนแรงเลวร้ายแค่ไหน และความรู้สึกนั้นติดอยู่ในใจเขาได้อย่างไร?

             ทรงกลดตั้งสติ เห็นตนเองอยู่ระหว่างนอนหลับ พักฟื้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ตระหนักว่ามีงานต้องทำ งานนั้นคือการเรียบเรียงความสัมพันธ์ของ ฮันเตอร์ คิม กับไลลาให้รู้ชัด เพื่อค้นหาว่าเหตุใดสตรีผู้ทรงอาคมกล้าถึงกระทำเรื่องเลวร้าย ปล่อยไวรัสอาคม ฆ่าคนชั่วไม่เลือกหน้าเช่นนี้...



             ประเทศอเมริกา เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน

             ดึกสงัด ห้องนอนในอพาร์ทเมนท์ริมถนน

             อากาศเย็นสบาย แสงไฟหน้ารถจากท้องถนนสาดขึ้นมาผ่านบานหน้าต่างนานๆ ครั้ง ไลลาหลับสนิทอยู่บนเตียง ในอ้อมกอดอบอุ่นของชายหนุ่มที่นอนข้างกาย

             ครู่หนึ่ง เธอเริ่มกระสับกระส่าย ดิ้นรน ทุรนทุรายแรงขึ้น มือเกร็งจิกไหล่ชายร่วมเตียงจนเขารู้สึกตัว สติตื่น ลุกขึ้นนั่ง มองสาวน้อยข้างกายด้วยแววตาแปลกใจ

             “ไลลา...ไลลา”

             เขย่าตัวเรียกอย่างไรก็ไม่รู้สึก สัมผัสที่ได้จากผิวกายคือความร้อนระอุ สลับกับเย็นเฉียบ ชายหนุ่มหรี่ตามองเธอแน่วนิ่ง เห็นชัดว่าหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์หลับลึก จมดิ่งในห้วงแห่งฝันร้าย ไม่อาจหลุดออกมาได้

             เขารวบรวมสมาธิ เพ่งเล็งให้เห็นถึงฝันร้าย อาการซ่อนเร้นภายในซึ่งยังไม่เคยรู้

             ภาพในฝันไลลาปรากฏในนิมิต

             ชายหญิงชาวบ้านแต่งกายแบบชาวยุโรปโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน กำลังหลบหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในป่ามืด เพื่อให้พ้นจากกลุ่มทหารที่ถือคบไฟ เกราะ หอก ดาบ ตามจี้ไล่ล่า

             เสียงตวาดก้องดังอื้ออึง เสียงย่ำสวบสาบจากเท้านับร้อยคู่เดินเป็นหน้ากระดานบุกเข้าไปในป่า คบเพลิงถูกชูขึ้นสูง ควานหาผู้หลบหนี เสียงตะโกนลั่นบอกต่อกันเป็นทอดๆ

             “จับมัน...จับมัน...พวกพ่อมดแม่มด...อย่าให้มันหนีรอดไปได้!”

             เสียงจากผู้ไล่ล่ากดดันเหล่าผู้หลบหนีจนตัวสั่นงันงก คอยแอบซุกซ่อนตามหลืบ โพรงไม้เท่าที่หาได้ บางคนถึงขนาดยอมลงทุนลอยคอมุดหนีลงน้ำที่เย็นจัด เพื่อเอาตัวรอดจากกองทหารไล่ล่า ผู้ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน

             ภาพเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพการทรมานชายหญิงผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดแม่มดด้วยทัณฑ์อันทารุณโหดร้าย เสียงกรีดร้องแผดลั่นด้วยความเจ็บปวดดังระงม ร่างกายผู้ถูกกล่าวหาชุ่มโชกด้วยเลือดแดงฉาน ใบหน้าเผือดซีด เสียงแหบพร่า ไม่มีเรี่ยวแรงกรีดร้องโหยหวน สุดท้ายก็ถูกเผาให้ตายทั้งเป็นบนหลักไม้ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย

             จิตใจพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด คั่งแค้น ต่อความอยุติธรรมที่ได้รับ ในใจทำได้เพียงก่นด่า สาปแช่ง สวดมนตรา อาคม เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับความทุกข์เป็นเท่าทวีคูณกว่าที่ตนเจอ

             พวกที่ถูกจับจำนวนมากไม่ใช่พ่อมดแม่มดตัวจริง แต่ก็มีพ่อมดแม่มดหลายรายที่พลาดพลั้งถูกจับ โดนทำร้าย กรอกยาพิษ โดยไม่อาจต้านทานผู้มีอำนาจที่สั่งการให้ทำเรื่องเลวร้ายเหล่านี้

             เหล่าพ่อมดแม่มดที่พลาดพลั้งถูกจับ ต่างร่วมใจ รวมพลังอำนาจทั้งหมดที่ตนมี สวดส่งเป็นมนตราสำคัญ ถ่ายทอดสรรพพลังแก่ทายาทผู้รอดชีวิตเพื่อกลับมาแก้แค้น

             ทายาทแต่ละรุ่นจะได้รับพลังจากบรรพบุรุษเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน ตามจำนวนรุ่นที่ตกตายต่อกัน พลังอำนาจจึงเพิ่มพูนกล้าแข็งตามจำนวนวันเวลา ขณะเดียวกัน ทายาทที่ได้รับพลังอันกล้าแกร่งมากขึ้นนี้ ก็ต้องแบกรับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ความอาฆาตแค้นอันรุนแรง ที่สะสมตามปีเดือนที่เลื่อนผ่านไปเช่นกัน

             เวลานับหลายร้อยปี ผู้มีอำนาจที่สั่งให้ไล่ล่า เก็บกวาดเหล่าพ่อมดแม่มด ล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว โลกเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ทว่าความเจ็บปวด ทรมานใจ ที่ตกทอดเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ไม่ได้หายไปไหน มันทบทวีมากขึ้น...มากขึ้น เช่นเดียวกับพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทายาทแต่ละรุ่นได้รับ ซึ่งเพิ่มสูงตามจำนวนบรรพบุรุษที่ล่วงลับจากไป

             บรรพบุรุษของไลลาหนีมาตั้งรกรากถึงอเมริกา ไลลา...เป็นทายาทแม่มดคนสุดท้ายของตระกูล ผู้ได้รับพลังอำนาจยิ่งใหญ่เหนือใคร เป็นแม่มดที่เหนือแม่มดทั้งปวงในปัจจุบัน

             ทว่า...ความเจ็บปวด เดียวดาย ภาพการไล่ล่า ทัณฑ์ทรมานอันทารุณ พระเพลิงที่โหมกัดกินร่างกายทั้งที่ยังมีชีวิต ล้วนฝังจิตฝังใจ ปรากฏในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำร้ายเธอหนักหนาสาหัส ทรมานยิ่งกว่าใคร



             ชายหนุ่มถอนการรับรู้ออกมา จิตใจสลดหดหู่ เขาเคยคิดว่าตนเองพบเจอเรื่องราวเลวร้าย สาหัสเกินทนสำหรับหนึ่งชีวิตแล้ว ทว่าสาวน้อยตรงหน้ากลับเจอความทุกข์มากกว่าหลายเท่า

             ความเจ็บปวดของเธอ คือต้องยอมรับความทุกข์ทรมานของบรรพบุรุษทุกคนรวมกัน

             ไลลาได้รับพลังอันร้ายกาจรุนแรงมาก็จริง แต่เธอก็ต้องทนรับรู้ ร่วมทนทุกข์กับฝันร้ายเกินกว่าใครคาดถึง

             ชายหนุ่มใช้พลังจิตอันเข้มแข็งของตน เข้าไปปิดสวิตช์ภาพอดีตที่ปรากฏในฝันของสาวน้อยให้ดับลงชั่วคราว ก่อนปลุกเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

             ในห้องที่มืดสลัว ไลลาตื่นขึ้นด้วยใบหน้านองน้ำตา เธอแลเห็นแววตาอบอุ่นของชายตรงหน้าชัดเจน มันบ่งบอกความเข้าใจโดยเธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบาย

             สาวน้อยถามด้วยเสียงแหบพร่า

             “คุณรู้...แล้วใช่มั้ย?”

             เขาพยักหน้า ไม่ตอบวาจา ไลลาโผเข้ากอดเขา น้ำตาทะลักทลาย จิตใจถูกถาโถมด้วยคลื่นแห่งความเสียใจปนปีติอย่างบอกไม่ถูก

             ตลอดชีวิต เธอเฝ้าตามหาคนที่ร่วมรับรู้ความทุกข์อันดำมืด...ทุกข์ที่เธอไม่ได้ก่อ พลังอำนาจที่ไม่เคยต้องการ บัดนี้เธอได้พบแล้ว เขาอยู่ตรงหน้า กำลังกอดกระชับเธอไว้ด้วยหัวใจที่รับรู้ เข้าใจ

             อีกทั้งยังช่วยหยุดฝันร้ายของเธอได้...แม้เพียงแค่คืนเดียว...ก็พอใจ



             ทรงกลดถอยจิตออกมาจากความทรงจำของ ฮันเตอร์ คิม การได้รับรู้เรื่องราวของผู้อาวุโสสองคนในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เขาปรับตัวปรับใจไม่ถูก

             เข้าใจ...เห็นใจ...สงสาร...เหล่านี้ล้วนใช้ไม่ได้กับผู้ทรงอาคมทั้งสอง

             ความเจ็บปวดจากพิษของไลลาลดลง ชายหนุ่มเบาตัวขึ้น ร่างกายผ่อนคลาย สติคืนกลับมาเป็นตัวของตัวเองชัดเจน ร้อยเปอร์เซ็นต์

             ลืมตามองเพดานสีขาวนิ่งๆ ก่อนเลื่อนสายตาลงมา...พบคุณหมอสาวที่มั่นใจว่าเธอคงไม่ยอมไปไหนไกล

             ขยับปากจะเอ่ยทักตามแบบคนไข้ทั่วไป คุณหมอคนนั้นก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน

             “พี่กลด!”







บทที่ ๑๗



             ตอนเอื้อกานต์มาถึงโรงพยาบาล อาการของคนไข้หนุ่มเริ่มทรงตัว ดีขึ้นแล้ว พยาบาลรายงานให้ฟังพร้อมยื่นชาร์ตผู้ป่วยให้ดู

             คุณหมอดูผลการตรวจที่ปรากฏในชาร์ต ฟังคำอธิบายจากพยาบาลจบ ค่อยคลายใจลง

             “อาการทรงตัวก็ดีแล้ว” เอื้อกานต์บอก

             ระหว่างทางกลับมาเธอคิดว่าไวรัสอาคมในตัวเขากำเริบขึ้นอีก

             “ขอโทษด้วยค่ะที่เรียกคุณหมอมากะทันหัน”

             “ไม่เป็นไร”

             พยาบาลออกจากห้อง เอื้อกานต์ลากเก้าอี้มาวางข้างเตียง นั่งมองหน้าคนป่วยด้วยความครุ่นคิด

             ...ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอก็เห็นว่าชายคนนี้คือทรงกลด

             ต่อให้มีหลักฐานยืนยันตัวตน บอกว่าเขาเป็นคนอื่น พูดจากันอย่างคนไม่เคยรู้จัก สภาวะจิตไม่มีกระแสผูกพัน คุ้นเคย ถึงอย่างนั้นเอื้อกานต์ก็ยังเทใจไปทางความเชื่อว่า เขาคือทรงกลด

             เรื่องนี้บอกไม่ถูก อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ โลกนี้อาจมีคนหน้าตาเหมือนกันโดยไม่ได้เป็นฝาแฝดก็จริง แต่ให้บอกอย่างไรเอื้อกานต์ก็ทำใจเชื่อไม่ลง ว่าเขาเป็นแค่คนหน้าตาเหมือนชายคนรักของตน

             ยิ่งมองหน้าเขาเนิ่นนาน ยิ่งบังเกิดความผูกพัน จิตใจอ่อนโยน เกิดความอบอุ่น คุ้นเคย สร้อยที่อยู่บนข้อมือส่งกระแสบางๆ ตอกย้ำ บอกว่าเขาไม่ใช่คนอื่นไกล

             เอื้อกานต์เผลอมองเขานิ่งนาน จนกระทั่งชายหนุ่มขยับตัว ลืมตาหันมามองข้างเตียง เมื่อนัยน์ตาสบกัน หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเผลอเรียกขานเขาด้วยถ้อยคำคุ้นเคย

             “พี่กลด!”

             คนป่วยเลิกคิ้ว มองมาอย่างแปลกใจ ส่งเสียงแหบๆ เอ่ยถาม

             “คุณหมอเรียกผมหรือครับ”

             เอื้อกานต์ไม่ตอบ จ้องใบหน้าคนบนเตียงนิ่ง...นาน จนคนถูกมองต้องยิ้มเขินๆ

             “หมอครับ” เขาเอ่ยปากเรียกสติเธอ

             “คุณหน้าตาเหมือนใครคนหนึ่งที่หมอเคยรู้จัก” หญิงสาวบอกเรียบๆ นัยน์ตาไม่ละจากใบหน้าเขา

             “ใครครับ?” คนป่วยถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย อยากรู้

             เมื่อเจอคำถาม สีหน้าเช่นนี้ เอื้อกานต์ก็อึ้งไป เกิดความลังเลใจขึ้นมา...หากเขาไม่ใช่ทรงกลดตัวจริง การตอบโพล่งแบบตรงไปตรงมาเกินไป อาจทำให้เสียหน้า ลำบากใจภายหลังได้...

             “ผมเหมือนเขาขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มถามต่อ แววตาไม่มีความกระเพื่อมของอารมณ์ผิดปกติใดๆ

             “ถ้าคุณบอกหมอว่าชื่อทรงกลด...หมอจะไม่สงสัยเลย”

             “เขาชื่อทรงกลด?”

             “ใช่”

             “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

             เอื้อกานต์นิ่ง ขบริมฝีปากชั่วขณะก่อนตอบ

             “เครื่องบินตก”

             “ผมเสียใจด้วย...แต่ไม่รู้ว่าพอจะช่วยคุณหมอได้มั้ย คือเท่าที่ทราบ ญาติทางคนไทยของผมก็ไม่มีใครชื่อทรงกลดเหมือนกัน”

             หญิงสาวยิ้มนิดๆ ตอบแทนวาจาแสดงความเห็นใจ เป็นห่วงนั้น

             ความอึดอัดกางกั้นเป็นตาข่ายบางๆ เอื้อกานต์ไม่รู้ควรพูดอะไรต่อ จะเล่าเรื่องของทรงกลดให้ชายตรงหน้าฟังเพื่อสังเกตปฏิกิริยา ความรู้สึกของเขา ก็เหนื่อยใจเกินจะทำ จิตใจมันหดหู่ อ่อนล้าเกินกว่าจะพยายามฝืนต่อสู้ทั้งที่เห็นลางแพ้อยู่รำไร

             เสียงสัญญาณว่ามีข้อความส่งมาดังมาจากโทรศัพท์หญิงสาว ช่วยคลี่คลายบรรยากาศอึดอัดนี้ไปได้

             “ผลเลือดคนป่วยที่นี่เป็นไปตามคาด หมอเอื้อสบายใจได้แล้ว ที่เหลือหมอทางนี้คงช่วยรักษาต่อได้...ยินดีด้วย ...หมาก’

             หมอหมากส่งข้อความบอกข่าวผลเลือดผู้ป่วยไวรัสอาคม รู้อย่างนี้แล้วหญิงสาวก็โล่งอก สบายใจขึ้น กระนั้นก็อดจะแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ ว่าเหตุใดคุณหมอหนุ่มถึงใช้วิธีส่งข้อความแทนการโทรศัพท์มาบอก

             ความสงสัยเกิดขึ้นไม่นาน เมื่อความกังวลใจใหม่มาแทนที่

             การพบปะพูดคุยกับไลลาวันนี้ แม้จะเป็นชั่วเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เอื้อกานต์รับรู้แก่ใจ สตรีผู้ทรงอาคมรายนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง น่ากลัวทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางเกรี้ยวกราด ข่มขู่ใคร เพียงแค่สายตา วาจา คำพูด ที่บอกถึงความเท่าทัน ก็แสดงให้เห็น

             ...สิ่งใดที่ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจกระทำ ย่อมไม่มีใครขัดขวางได้!

             เพราะฉะนั้น การปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามย่อมเกิดขึ้นแน่นอน และคราวนี้ มันต้องก่อความวุ่นวายเดือดร้อนอย่างมหันต์

             ทางเดียวที่จะหยุดมันได้ คือต้องรู้ว่าไลลาทำมันไปเพื่ออะไร

             เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องหาทางเปลี่ยนใจเธอให้สำเร็จ

             การที่จะรู้เหตุผล หาโอกาสเปลี่ยนใจ เอื้อกานต์ต้องพบเธอให้ได้อีกครั้ง

             และหากจะพบไลลา...ก็ต้องทำภารกิจของเธอให้สำเร็จ

             “เมื่อไหร่ที่เธอเข้าใจความหมายของบทเพลงนี้ และคิดว่ารู้ใจฉันแล้ว ฉันจะให้โอกาสเธอได้พบอีกครั้ง”

             เงื่อนไข ภารกิจที่ไลลาทิ้งไว้ให้...คือตีความเพลง “Scarborough fair” ให้เข้าใจ เพื่อรู้ใจของเธอให้ได้

             ฟังแล้วตอบไม่ถูกว่าง่ายหรือยาก...แต่นี่เป็นโอกาสเดียวที่ไลลาจะยอมให้เข้าพบ และเป็นทางเลือกเดียวที่อาจหยุดยั้งการปล่อยไวรัสอาคมครั้งต่อไป

             ขณะเอื้อกานต์จมอยู่กับความคิดเรื่องไลลา กับการหยุดไวรัสอาคม ชั่วขณะหนึ่งสั้นๆ ชายบนเตียงแอบมองเธอด้วยแววตากังวล เป็นห่วง...



             ข้อมูลเรื่องราวที่หมากค้นหา ถูกเลื่อนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ทีละเรื่อง ภาพถ่ายต่างๆ หัวข้อข่าวที่สืบค้น ล้วนปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่เห็น อ่าน รับรู้ ต่างยืนยัน ทุกเรื่องที่พลูเปิดเผย แสดงให้ดู ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น

             เรื่องราวของทรงกลด ลูกชายอดีตรัฐมนตรีชื่อดังที่เครื่องบินตก เสียชีวิตพร้อมครอบครัว เบื้องหลังคดีของท่านทรงพล พ่อของทรงกลด ซึ่งถูกนำมาเปิดเผยว่าเป็นการจัดฉากครั้งใหญ่โดยผู้มีอำนาจสมัยนั้น

             และข่าวการตายต่อเนื่องของนักการเมือง นักธุรกิจ มาเฟีย ที่สร้างความฉงนแก่สังคม วงการแพทย์

             หมากถอนใจเฮือกใหญ่ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน จากข้อมูลทั้งหมดที่เห็น และเรื่องราวทั้งหมดที่พลูให้รับรู้ ล้วนเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่โถมทับใจชนิดไม่ยอมให้ดิ้นรน หลีกหนี

             เรื่องราวความรักระหว่างทรงกลดกับเอื้อกานต์ การพลัดพรากโดยไม่อาจเลี่ยง ด้วยเหตุผลทางการเมือง ความสูญเสีย...จากพราก ที่ทำให้หัวใจสองดวงพังภินท์

             การกลับมาของทรงกลดในใบหน้าและชื่อใหม่ ‘คิม’ การไล่ล่าแก้แค้นชวนขนลุก จนกระทั่งการยอมหยุด ถอยไปอยู่ในเงามืด เฉกเช่นคนที่ไม่ควรมีชีวิตบนโลกอีกต่อไป

             การสร้างคุณงามความดีมากมาย ยิ่งใหญ่ แบบเงียบๆ เพื่อชดเชยบาปผิดของตน และการลอบมองผู้หญิงที่ตนรักอยู่ห่างๆ ด้วยไม่ต้องการให้เธอต้องเสียใจอีกครั้ง

             ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่หมากรับรู้ แต่ที่เห็นกับตายิ่งสร้างความเจ็บปวดมากกว่า

             นั่นคือตอนที่ได้เห็นพวกเขาสองคนเผชิญหน้ากัน โดยต้องแสร้งทำตัวเสมือนว่าเป็นคนอื่นไกล!

             กับเอื้อกานต์ยังพอเข้าใจ ว่าเธอไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังใด สงสัยแค่ไหนก็ไม่กล้าปักใจร้อยเปอร์เซ็นต์

             อีกคนต่างหาก น่าเจ็บปวดยิ่งกว่า...

             ผู้ชายคนหนึ่ง ต้องแสดงตัวเป็นคนอื่นต่อหน้าผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ อยากเข้าไปกอดให้สมกับที่ต้องจากพรากกันมาหลายปี แต่กลับทำได้เพียงมองเธอด้วยสายตาของคนอื่น ไม่อาจยอมรับว่าตนเองเป็นใคร...เช่นนี้ มันเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน

             หมากไม่เข้าใจ...สิ่งเดียวที่รู้คือ...เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เลย!

             ถ้าเขาเป็นทรงกลด คงไม่สามารถอดทนได้ถึงครึ่งหนึ่งที่ผู้ชายคนนั้นกระทำ

             หมากรู้สึกตนเองพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนามต่อสู้ อกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นสานสัมพันธ์ความรัก

             พอรับรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างนี้ หมากถามตัวเอง...ยังกล้ายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง กั้นกลางระหว่างความรักของคนทั้งสองอีกหรือ?

             ต่อให้ทรงกลดไม่ยอมเปิดเผย แสดงตัว...เขาก็ไม่กล้า

             นั่นเพราะเห็นแล้วว่า...หัวใจของตน...ไม่ยิ่งใหญ่เท่าชายคนนี้เลย

             ถึงใจหนึ่งจะรู้สึกเช่นนั้น อีกใจกลับร่ำร้อง ดิ้นรนไม่ยอมแพ้...

             การที่หัวใจเขาจะเปิดกว้าง ยอมรับผู้หญิงสักคนเข้ามา มันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ถ้าต้องตัดใจจากเธอ สู้เฉือนหัวใจเขาทิ้งไปยังดีเสียกว่า

             เอื้อกานต์ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยพบ...หมากตอบตัวเองไม่ได้ว่า...จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร หากไม่มีความหวังได้รักเธอ

             นี่เองพลูถึงตั้งคำถามแต่แรก

             พร้อมจะรับผลจากการได้รู้เรื่องราวระหว่างทรงกลดกับเอื้อกานต์หรือไม่?

             ตอนนี้รู้แล้ว...ผลลัพธ์ของมันเจ็บปวดขนาดไหน

             เจ็บปวดจนรู้สึกว่า...เขาน่ายอมเป็นคนโง่ ไม่ต้องรู้เรื่องอะไรเลยก็ได้ ขอเพียงแค่ได้รักเธอต่อไป...เท่านั้นก็พอ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP