วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๑๐


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ทรงกลดรู้สึกวิงเวียน มึนเบลอ สติหายเป็นวูบๆ สำนึกที่มีบอกต่อตนเอง ...นี่ไม่ใช่แค่พลังเวทมนตร์ มันมีส่วนผสมของยาสลบปนด้วยฤทธิ์ยาสั่ง แสดงว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ในตึกนี้ ลงมือเล่นงานเขาด้วยตัวเอง

             ฤทธิ์ยาต้องแก้ด้วยยา ถึงไม่รู้อาจารย์ใหญ่ใช้ตัวยาประเภทไหน เขายังพอมีวิธีรักษา เอาตัวรอด

             ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกง หยิบลูกอมที่พกออกมาเม็ดหนึ่ง มันไม่ใช่ยาแก้สลบหรือถอนฤทธิ์ยาสั่ง มันเพียงช่วยกระตุ้นประสาท ความตื่นตัวได้อย่างแรง พอกับกาแฟสามสี่ถ้วยรวมกัน

             ทรงกลดอมยาไว้ใต้ลิ้น ปล่อยให้มันค่อยๆ ละลาย ฤทธิ์ยาซึมซ่าน เขาทรุดตัวลงนั่งพิงผนังลิฟต์ สายตาวูบวาบเห็นมวลหมอกตรงหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ปรากฏเป็นใบหน้าหญิงสาวที่ชวนให้ปวดใจ

             ...เอื้อกานต์...

             เขาถูกใจเธอตั้งแต่เห็นครั้งแรกตอนออกค่ายอาสาฯ ด้วยกัน เอื้อกานต์มีความมุ่งมั่น จริงจัง เป็นผู้หญิงสวยที่มีสมอง มั่นใจโดยไม่ไร้สติ

             ทรงกลดมองเห็นมุมอ่อนโยน น่ารัก ชวนเข้าใกล้คบหา อดไม่ได้ที่จะพยายามสานสัมพันธ์ต่อหลังกลับจากออกค่าย ถึงไม่กล้าประกาศความรู้สึกชัดเจน หลายคนก็ยังสังเกตเห็น โดยเฉพาะทีเกื้อ น้องชายของเธอ

             พอรู้อย่างนั้น ทีเกื้อลงทุนแอบติดตาม ลอบสืบถามพฤติกรรม นิสัยของเขาจากคนรอบตัว ทรงกลดรู้แต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายติดตามโดยไม่เสแสร้งปรุงแต่งตัวเอง ปล่อยให้ทีเกื้อรู้จักตัวตนของเขา จนพอใจแล้วค่อยเปิดอกพูดคุยกันแบบลูกผู้ชาย

             “พี่กลดชอบเอื้อมันจริงใช่มั้ย” คำถามชัด ตรง

             “ใช่” เขาไม่ปิดบัง

             “งั้นผมขอถามสักข้อ ถ้าพี่ตอบไม่ถูก ผมจะไม่ให้พี่เจอเอื้ออีกต่อไป...พี่จะยอมตอบมั้ย”

             คำพูดเหมือนขู่เล่น แต่แววตาคมดุ เอาจริงของทีเกื้อ ทำให้เขาเสียวสันหลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

             “ถามมาสิ”

             “สมมุติว่ามีเอื้ออยู่สองคน...หน้าตา นิสัย เหมือนกันทุกอย่าง แต่คนนึงเป็นลูกคนใหญ่คนโต มีมรดกทรัพย์สินเป็นหมื่นล้าน กับอีกคนเป็นแค่เด็กบ้านนอก ลูกกำพร้า มีคุณตาเป็นตำรวจจนๆ ไม่มีสมบัติอะไร...พี่จะเลือกเอื้อกานต์คนไหน?” ทีเกื้อถามด้วยแววตาท้าทาย

             ทรงกลดตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

             “พี่รักเอื้อกานต์...ผู้หญิงที่พี่เห็นในปัจจุบัน นักศึกษาแพทย์ที่มีหัวใจอบอุ่น มุ่งมั่น ผู้หญิงที่ทำให้พี่ไม่สามารถละสายตาได้เมื่ออยู่ใกล้ ผู้หญิงที่พี่ไม่เคยสนใจว่ามีครอบครัวแบบไหน รู้แค่เธอมีน้องชายคนเดียวที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่สาวได้ด้วยใจอยากปกป้อง!”

             ทีเกื้อยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก

             หลังจากนั้นทรงกลดหาโอกาสสารภาพความในใจกับเอื้อกานต์...เมื่อความรู้สึกสองฝ่ายตรงกัน เส้นทางความรักจึงเริ่มต้น

             ทรงกลดเคยแอบถามทีเกื้อ...คำถามวันนั้น คำตอบที่ถูกคืออะไร?

             “ไม่มีหรอกพี่...ผมแค่อยากดูปฏิกิริยา ความจริงใจของพี่ ผ่านคำถามนี้เท่านั้นเอง”

             นั่นแสดงว่า หากเขาเสียเวลาครุ่นคิด ทบทวนคำถาม หาคำตอบที่สร้างภาพให้ตัวเองดูเป็นคนดี มีความจริงใจ ไม่สนฐานะหน้าตา แทนการพูดความรู้สึกจากใจจริง รับรองว่าครั้งนั้นคงสอบตก

             คำถามของทีเกื้อทำให้เขารู้จิตใจตนเอง ว่ารักเอื้อกานต์มากแค่ไหน...



             ภาพทีเกื้อ เอื้อกานต์ เลือนหาย กลมกลืนไปกับกระไอหมอก ทรงกลดค่อยรู้สึกตัว ลูกอมเพิ่งออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ขณะที่ยาสลบปนยาสั่งอ่อนแรงลง

             เขาพยายามฝืนกายลุกขึ้นยืน แล้วฉับพลัน ไฟในลิฟต์ก็ดับสนิท รอบกายกลับมืดมิด

             ทรงกลดเอื้อมมือคลำตามผนัง หวังจะเจอปุ่มอะไรสักอย่างที่เรียกให้คนภายนอกรู้ เพื่อมาแก้สถานการณ์ตอนนี้ได้

             แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าผนังลิฟต์อ่อนนุ่ม ยุบฮวบตามแรงมือผลัก ราวกับเป็นของเหลวเหนียวหนืด...เรื่องผิดปกติเช่นนี้ย่อมเกิดจากไสยเวทอาจารย์ใหญ่แน่นอน



             หมาก เอื้อกานต์ ยืนอ่านผังห้างร้าน สำนักงาน สตูดิโอในตึกแต่ละชั้น ซึ่งแจกแจงละเอียด มีแผนผังให้ดูง่าย เดินหาไม่หลง

             คุณหมอทั้งสองยิ้มออกเมื่อพบว่ามีศูนย์บริการทางการแพทย์อยู่ที่ชั้นยี่สิบห้า

             “นี่ไง” เอื้อกานต์พูดออกมา

             “ลองไปดูกันหน่อยมั้ย” หมากชวน

             “โอเค”

             ถึงตรงนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพูดจามากความ ทั้งสองมองหาลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังจุดหมาย เดินไปถึงลิฟต์ใกล้สุด มีป้ายมาตั้งเขียนข้อความ “ลิฟต์เสีย” เดินหาลิฟต์อีกด้าน ก็เจอป้ายข้อความแบบเดียวกัน

             “เอ...ลิฟต์ในตึกนี้มันจะเสียพร้อมกันได้ยังไง” เอื้อกานต์บ่น

             “ลองถาม รปภ. แถวนี้ดูมั้ย ว่ามีลิฟต์ตัวอื่นอีกหรือเปล่า” หมากเสนอ

             เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นดีกว่านี้ สองคุณหมอจึงตัดสินใจเข้าไปถาม รปภ. ที่อยู่ใกล้สุด คำตอบที่ได้รับคือ

             “ลิฟต์ไม่เสียนะครับ ถ้าเสียเขาต้องแจ้งมาทางวิทยุแล้ว คุณลองไปดูอีกทีดีกว่า อาจมีใครแกล้งเอาป้ายไปวางหลอกคนก็ได้”

             กลับไปหน้าลิฟต์อีกครั้ง คราวนี้ป้ายหายไป ที่มาแทนที่กลับเป็นข้อความตัวแดง ปรากฏบนแผงปุ่มลิฟต์ ขึ้นข้อความว่า “Out of order” ลิฟต์ใช้การไม่ได้

             แสดงชัดเจน ลิฟต์เสียจริง ไม่มีใครแกล้งเอาป้ายมาวาง

             “ผมว่า เราโดนลิฟต์เล่นตลกแล้วละ” หมากเปรย

             “ค่ะ”

             เอื้อกานต์ตอบรับ นึกทบทวนประสบการณ์แปลกๆ ที่ตนได้เจอตั้งแต่ยุ่งเกี่ยวกับคนป่วยไวรัสอาคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูตผีมารังควาน เจอเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผีสิง ...มาคราวนี้เล่นวางยาลิฟต์ทั้งตึกกันเลยทีเดียว

             “ขึ้นบันไดดีมั้ยคะ” เอื้อกานต์เสนอ

             “ยี่สิบห้าชั้นเชียวนะครับ” หมากเตือนสติ

             “หมอไหวมั้ยล่ะ” คำถามท้าทาย

             “หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว” หมากพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย

             ไม่มีใครคัดค้าน โต้แย้ง ว่าอย่างไรว่าตามกัน ถึงเอื้อกานต์จะแอบหวั่นเล็กน้อย เพราะขนาดวางยาให้ลิฟต์ในตึกเสียได้แบบนี้ ถ้าคนร้ายจะวางกับดักบนบันไดหนีไฟ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

             หญิงสาวขยับข้อมือ รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มาจากสร้อยลูกปัด คล้ายได้รับกำลังใจลึกลับ ปลุกใจให้ฮึดสู้ กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหน้า



             ลิฟต์สี่เหลี่ยมแคบๆ กลับกลายเป็นเขตอาคมของอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร ทรงกลดตอบไม่ถูก เขาอาจโดนสะกดด้วยฤทธิ์ยาสั่ง ผสานอาคมกล้าแบบไม่รู้ตัว หลอกให้คิดว่าตนเองยังมีสติปกติ

             ผนังลิฟต์ที่อ่อนเหลวถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ทรงกลดดึงมือออก ความมืดมิดจางลงกลายเพียงสลัวราง แลเห็นพื้นที่โล่ง กว้างสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองว่ามันไม่ใช่ความจริง เวทมนตร์อาจารย์ใหญ่ทำได้เพียงสร้างภาพหลอนลวงตา ใช้สัมผัสปลอมหลอกความรู้สึก

             เขายังอยู่ในลิฟต์ตัวเดิม ที่ครอบด้วยเวทมนตร์ อาคมพิเศษ สิ่งที่ต้องทำคือสลัดให้หลุดจากตาข่ายมนตรานี้

             ทรงกลดนึกถึงอาคมบทหนึ่งที่ ฮันเตอร์ คิม สอนไว้ใช้ขับไล่พวกอสุรกายในความฝัน มนตร์นี้ช่วยหลอมใจให้กร้าวแกร่ง เรียกสติแท้จริงคืนมาแม้ในยามหลับใหล

             แต่ขณะริมฝีปากขยับเอ่ยวรรคแรกแห่งอาคม หูแว่วเสียงอันคุ้นเคย...



             “เราต้องออกเดินทางคืนนี้นะลูก”

             เสียงของพ่อ!

             ทรงกลดหันขวับ เข่าอ่อนยวบ ภาพของพ่อปรากฏให้เห็นไม่ไกล มันถูกฉายขึ้นกลางความสลัวราง เป็นรายละเอียดในวันแห่งความทรงจำอันขมขื่น...ความทรงจำที่ย้อนทวนเวลาไปเมื่อหลายปีก่อน

             พ่อ แม่ และเขา อยู่ในบ้าน พูดคุยปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

             “ไม่มีทางอื่นแล้วหรือครับพ่อ” เขาถามเสียงอ่อนล้า

             “ไม่มี พวกนั้นสร้างหลักฐาน พยานเท็จได้หมด เพื่อเอาพ่อเข้าคุก จะได้สั่งเก็บในนั้นโดยไม่ให้มีปัญหาตามหลัง”

             พ่อพูดอย่างคนมองเห็นเรื่องชั่วช้าในโลกมามาก จนอธิบายทุกอย่างด้วยท่าทีปกติราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

             นัยน์ตาแม่แห้งผาก ไม่มีน้ำตาสำหรับการร้องไห้อาวรณ์

             “เราจะไปด้วยกัน แม่ไม่มีวันทิ้งพ่อ”

             คำพูดนี้แทนการประกาศ...แม่ยอมทิ้งทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลเพื่อติดตามไปร่วมทุกข์ ลำบากกับพ่อ

             ทรงกลดอึ้ง หัวใจถูกบีบคั้น ร้าวราน อีกไม่กี่วันเขาจะมีโอกาสสอบผู้พิพากษาครั้งแรก คุณหมอเอื้อกานต์ หญิงสาวคนรัก เตรียมงานแสดงความยินดีล่วงหน้า...ภาพความสุขสมหวังเหล่านั้นไม่มีวันเกิดขึ้นแล้วใช่ไหม?

             “ผม...ขอไปลาเอื้อ...ก่อนได้มั้ย...”

             “ระวังตัวนะลูก บอกหนูเอื้อให้รู้ด้วยว่า...อย่ารอพวกเรา พ่อไม่อยากให้ผู้หญิงดีๆ อย่างหนูเอื้อต้องมาร่วมทุกข์ ลำบากกับพวกเราด้วย”

             พ่อบอกเช่นนั้น ขณะที่แม่เพียงยิ้มอ่อนโยน...ผู้หญิงย่อมเข้าใจผู้หญิง แม่รู้จักคนรักเขาดีพอที่จะไม่บอกลูกชายให้พูดในสิ่งเปล่าประโยชน์

             แม่รู้ชัด เอื้อกานต์เป็นผู้หญิงแบบไหน...ผู้หญิงคนนี้แม่เต็มใจพร้อมให้ลูกชายคนเดียวยกหัวใจทั้งดวงแก่เธอ



             ภาพครอบครัวเปลี่ยนไป กลายเป็นอีกสถานที่ เขาแอบไปพบเอื้อกานต์ พูดจาร่ำลาโดยไม่อาจนำวาจาของพ่อไปบอก ...แม่คิดถูก ผู้หญิงอย่างเอื้อกานต์ไม่กลัวความทุกข์ ไม่ท้อที่รอคอย เธอให้สัญญาว่าจะรอเขาเสมอ

             ทรงกลดจำอ้อมกอดสุดท้ายได้แม่นยำ ร่างที่สั่นสะท้านในวงแขน รสเค็มปร่าของน้ำตาที่ได้สัมผัส รอยจูบแห่งการจากลาที่ไม่มีวันลืมเลือน

             มันเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ใกล้ชิด สัมผัสคนที่เขารักสุดหัวใจ เพราะเมื่อก้าวขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศ และเสียงระเบิดดังกึกก้อง...วินาทีนั้น ทรงกลดคนเดิมได้ตายจากโลกแล้ว



             ภาพตรงหน้า สัมผัสที่ระลึกได้ บีบคั้นแทบฉีกหัวใจออกเป็นเสี่ยง ทรงกลดรู้ ทั้งหมดที่เห็น ได้ยิน ล้วนชักพาให้เขาขาดสติ หลุดจากปัจจุบัน กลับสู่อดีตอันขมขื่น วันที่ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ครั้งสุดท้าย วินาทีการจากลาคนที่เขารักสุดหัวใจ

             ชายหนุ่มขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ สัมผัสรสชาติของเลือดในปาก ดึงความรู้สึกกลับสู่ปัจจุบัน ตั้งสติสาธยายอาคมสำคัญเพื่อออกจากแดนมนตราแห่งนี้

             เสียงสวดถี่เบา กระชั้น แบ่งเป็นคำสั้นๆ ก่อให้เกิดกลุ่มก้อนพลังงานควบตัวแน่นขึ้น เปล่งอำนาจอาคมทรงกลดแรงกล้า

             ภาพมายา กระไอหมอกขาวปนเทา รวมถึงแสงสลัวราง ถูกดึงดูดให้หดรวมตัวเข้ามาทีละน้อย

             ไฟในลิฟต์เปิดสว่าง บรรยากาศกลับเป็นปกติ ลิฟต์เลื่อนขึ้นช้า ๆ เหมือนไม่เคยเกิดเหตุขัดข้องมาก่อน

             สุดท้ายมีเสียงดัง “ติ๊ง” ไฟตัวเลขบอกว่ามาถึงชั้นที่ยี่สิบห้า

             ประตูลิฟต์เปิดออก ทรงกลดระบายลมหายใจยาว ก้าวออกมาด้วยจิตใจเหนื่อยล้า หลังผ่านสนามอาคมยกแรกแบบสะบักสะบอม



             บันไดหนีไฟ

             เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง ถูกตัดขาดจากภายนอก เงียบจนน่าแปลก วังเวงผิดปกติ นับจากก้าวผ่านประตูเข้ามา หมากรู้สึกถึงอันตรายซ่อนเร้น ซุ่มรอคอยเวลา

             เมื่อเอื้อกานต์สัมผัสบรรยากาศปิดในส่วนของบันไดหนีไฟ สังหรณ์กระตุ้นเตือนชัดเจน ครั้งนี้เธอตัดสินใจผิดแล้ว

             ทั้งสองหันมองหน้ากัน ความกังวลปรากฏในแววตา ต่างฝ่ายต่างเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดจา

             ...ก้าวต่อไปดีมั้ย...

             ...หรือควรถอยหลังกลับ!...

             เอื้อกานต์ลูบสร้อยลูกปัดข้อมืออย่างเผลอไผล นึกขอกำลังใจ ขณะที่แววตาหมากปราศจากความลังเล ไม่คิดถอยหลัง

             ไม่ว่าจะไปเส้นทางไหน หากเพื่อขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคม ย่อมมีอันตรายรออยู่...ต่อให้กลับไปรอขึ้นลิฟต์ ก็คงพบรูปแบบหนึ่ง ขึ้นบันไดทางอื่นก็จะเจออีกรูปแบบ

             เมื่อตั้งใจมั่น จะลุยไปข้างหน้า มัวหวั่นเกรงทำไม

             ในเมื่อ...ไม่ได้เผชิญภัยอย่างเดียวดาย...

             ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจคุณหมอหนุ่ม ความอบอุ่นนี้แผ่กระทบมาถึงเอื้อกานต์ด้วย สองหนุ่มสาวไม่พูดจามากความ ก้าวขึ้นบันไดพร้อมกันโดยไม่จำเป็นต้องนัดหมาย ให้สัญญาณ

             เอื้อกานต์ไม่รู้สึกถึงร่องรอยภูตผี ปิศาจ อันตรายที่จะเข้ามาในลักษณะจู่โจม ทำร้ายอย่างเคยเจอ กระนั้นสังหรณ์ในใจยังกระตุ้นเตือนเป็นระยะ...ประมาทไม่ได้

             ยิ่งสูงขึ้นไป อากาศยิ่งเย็นลง ความหนาแน่นของมวลอากาศรอบตัวเพิ่มความกดดันมากขึ้น มีสิ่งที่มองไม่เห็นจับจ้องพวกเขาอยู่ ไม่อาจยืนยันด้วยสายตา เพียงรู้ด้วยใจว่าพวกมันกำลังรอคอย

             หมายเลขชั้นบอกระยะที่สูงขึ้น...สูงขึ้น พ้นชั้นที่สิบกว่า แข้งขาเอื้อกานต์เริ่มอ่อนล้า เดินช้าลง หมากแข็งแรงกว่า ไม่รู้สึกอะไร แต่พอสังเกตเห็นจังหวะการเดินของหญิงสาว เขาก็ผ่อนฝีเท้า รอคอยโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเรียกรั้ง

             ผ่านชั้นที่ยี่สิบ จุดหมายอยู่อีกไม่ไกล ถึงเอื้อกานต์เหนื่อย หากกำลังใจยังดี ขาก้าวช้าลง แต่ไม่ยอมหยุดเดิน ไม่ทำตัวเองเป็นภาระกับชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้าง

             ถึงจุดหมายชั้นที่ยี่สิบห้า หญิงสาวแทบอยากกองลงกับพื้น เอื้อกานต์จับประตูผลักเปิดออก ปรากฏว่ามันติดล็อก มองผ่านกระจกก็เห็นผู้คนเดินไปมาอยู่เบื้องนอก ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องล็อกประตู

             หันไปมองชายหนุ่ม เห็นเขาขมวดคิ้ว จับประตูออกแรงผลัก เขย่า เผื่อประตูติดขัด มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อน เหมือนโดนหลอมติดกับกรอบประตูเป็นเนื้อเดียวกัน

             “หมอเอื้อรออยู่นี่ก่อน ผมจะลองไปดูประตูที่ชั้นอื่น” หมากพูดพร้อมหันหลัง เตรียมลงไปดูทางออกชั้นที่ยี่สิบสี่ แต่พอมาถึงหัวบันไดก็ต้องชะงักเท้า ถอยหลังช้าๆ

             ครั้นขยับตัวจะขึ้นบันไดไปดูที่ชั้นยี่สิบหก แค่เพียงเงยหน้ามองด้านบนก็สะดุ้ง เย็นสันหลังวาบ ถอยหลังมายืนข้างเอื้อกานต์อย่างเงียบงัน

             หญิงสาวมองตามสายตาชายหนุ่ม เข้าใจทันทีว่าเหตุใดเขาจึงไม่ขึ้นหรือลงบันไดนั้น

             ทั้งด้านบนและด้านล่างจากชั้นนี้ มีหมอกทะมึนสีดำสนิทคืบคลานมาอย่างเชื่องช้า ปิดทางขึ้นลงจนสิ้น คงไม่มีใครกล้าพอบุกฝ่าความมืดดำที่ไม่รู้มีอันตรายใดซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่นอน







บทที่ ๙



             ชั้นที่ยี่สิบห้า

             ทรงกลดยืนหน้าศูนย์บริการการแพทย์ที่ตั้งใจขึ้นมาสำรวจ แผ่คลื่นสัมผัสออกตรวจสอบ ค้นหาพลังของอาจารย์ใหญ่ ร่องรอยเหล่าภูตผี

             ...เงียบเชียบ...ไม่พบร่องรอยอาคมหรือสิ่งผิดธรรมชาติใดอยู่ในสถานที่นี้

             เจ้าหน้าที่ คนที่มาใช้บริการ ล้วนปกติธรรมดา ไม่มีใครถูกสะกด ไม่มีคนโดนผีสิง ไม่มีกระทั่งกลิ่นอายอาคม มนตรา แม้สักน้อย

             ชายหนุ่มรู้ตัว...เขาหลงกลอาจารย์ใหญ่แล้ว

             การลอบทำร้าย ขัดขวางภายในลิฟต์ เป็นเพียงแผนการให้เขาหลงเชื่อว่าอาจารย์ใหญ่จะใช้ไวรัสจากศูนย์การแพทย์นี้ แล้วขึ้นไปปล่อยไวรัสอาคมบนดาดฟ้ายอดตึก

             พลาดแล้วต้องรีบแก้ไข หาร่องรอยใหม่ทันที

             พอคิดได้ ทรงกลดก็กลับขึ้นลิฟต์ กดปุ่มไปยังชั้นบนสุด ระหว่างลิฟต์เลื่อนขึ้น เขาหลับตา พยายามเหนี่ยวนำกำลังที่สูญเสียกลับคืน ร่างกาย จิตใจ คล้ายแบตเตอรี่ถูกชาร์ต

             จนกระทั่งลิฟต์ขึ้นถึงชั้นต้องการ มีเสียงดัง...ติ๊ง...ประตูเปิดออก...



             หมอกดำหยุดนิ่งตรงหัวบันไดทั้งทางขึ้นและทางลง ก่อตัวหนาแน่นเป็นกำแพงทึบทะมึน เหลือช่องว่างตรงหน้าประตูทางออกให้แก่สองหนุ่มสาว คลื่นความเย็นจัดส่งออกมาสร้างความหนาวเย็นจนต้องห่อตัวสั่นระริก

             เบื้องหน้าคือกำแพงหมอกที่ไม่รู้ว่ามีอันตรายน่ากลัวใดซุกงำ ซ่อนเร้น เบื้องหลังคือประตูที่ปิดสนิทแทบเป็นเนื้อเดียวกับกรอบผนัง และแม้จะเป็นกระจก มองทะลุผ่านไปได้ แต่ก็ยากจะทุบมันให้แตกเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ

             คุณหมอทั้งสองจะเลือกหนีเส้นทางใด?

             “หนาวแฮะ” หมากบ่น

             “นั่นสิ เอื้อก็หนาว แต่ปวดขามากกว่า ขอนั่งพักขาก่อนนะ” พูดจบหญิงสาวก็ทรุดตัวลงนั่ง หลังพิงประตู เหยียดขายาว ใช้มือบีบนวดเบาๆ ไม่สนใจบรรยากาศรอบตัว

             หมากลงนั่งตาม สายตามองหมอกดำเบื้องหน้า สังเกตว่ามันจะเคลื่อนที่รุกเข้ามาอีกหรือไม่

             “ผมช่วยนวดมั้ย” ชายหนุ่มหันมาถาม หลังจากแน่ใจว่ามันไม่รุกคืบมากกว่าเดิม

             “จบศัลยแพทย์มาไม่ใช่หรือคะ...หรือว่าหมอพ่วงปริญญานวดแผนโบราณมาด้วย” หญิงสาวแซว

             “สมัยเด็ก ผมกับไอ้พลูผลัดกันนวดให้คุณย่าเป็นประจำ ...แลกค่าขนม” หมากบอก

             “ไม่ละค่ะ เอื้อไม่อยากเสียค่าขนมให้หมอ”

             หมากหัวเราะเบาๆ

             “กับหมอเอื้อ ผมนวดให้ฟรีเลยเอ้า” เขาพูดแบบลดแลกแจกแถม

             สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน นัยน์ตายังลอบมองกำแพงหมอกที่นิ่งสนิทอยู่ตรงหัวบันได เห็นมันไม่ขยับเขยื้อนเข้าใกล้ ไม่ปล่อยความหนาวเย็นมากกว่าเดิม

             แสดงชัด...ความเข้าใจทั้งคู่ไม่ผิดพลาด

             ฝ่ายตรงข้ามเพียงต้องการกักขังพวกเขาไว้ โดยไม่มีเจตนาร้าย

             เอื้อกานต์ถือโอกาสนี้พักขา ผ่อนคลาย หมากพูดจาหยอกล้อ อารมณ์ดี ยังไม่คิดจะทุบกระจกประตูด้านหลังเพื่อขอความช่วยเหลือให้เอิกเกริก

             “หมอเอื้อเคยคิดมั้ย ถ้าเราไปทันก่อนเขาปล่อยไวรัสอาคม แล้วจะขัดขวางเขายังไง” หมากหาเรื่องคุย

             หญิงสาวบีบนวดขาตนเอง ขณะคิดหาคำตอบ

             “ไม่รู้สิ คงต้องใช้วิธีหาเหตุผล ขอร้องกันดีๆ มั้ง”

             “แหม...ถ้าเรื่องแบบนี้ขอร้องกันได้ง่ายๆ ผมว่าเขาคงไม่ทำตั้งแต่แรกแล้วละ”

             “อย่างน้อย เอื้อคงต้องถามเขาก่อน ว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?”

             “อยากลองของ ลองวิชา” หมากเดา

             “เอาชีวิตคนเป็นเครื่องมือลองวิชา ไม่ใช่เรื่องดีนะคะ”

             “หรือว่าอยากช่วยตำรวจจับคนร้าย” หมากยกประเด็นนี้ เพราะคนที่ตายล้วนกำลังก่ออาชญากรรม

             “การช่วยจับคนร้ายมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ตัดสินโทษประหารให้เขา...มันไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือคะ”

             “บางที...ไวรัสอาคม มันอาจใช้การลงทัณฑ์แบบอื่นไม่ได้”

             “ถ้าควบคุมมันไม่ได้ สู้อย่าทำเลยดีกว่า” เอื้อกานต์พูดลอยๆ

             สองหนุ่มสาวพูดจาเหมือนโต้เถียง...ฝ่ายหนึ่งจงใจตั้งประเด็น อีกฝ่ายใช้เหตุผลลบล้าง เพื่อหวังให้ความคิดและคำพูดของตนสะท้อนถึงผู้ใช้อาคมซึ่งหลบซ่อนอยู่ในเงามืด

             “สมมุติว่าเราได้เจอเขาจริง หมอเอื้อจะขอร้องเขายังไง” หมากตั้งประเด็นใหม่

             “เอื้อไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้เพราะเหตุผลส่วนตัว หรือเหตุผลอื่นอะไร...แต่ถ้ามันเป็นเหตุผลส่วนตัว เอื้อก็อยากให้เขาเห็นแก่ชีวิตคนอื่นบ้าง...จะคนดีหรือคนเลว เขาก็เป็นคนคนหนึ่ง เราไม่ควรใช้อำนาจพิเศษที่ตัวเองมีไปตัดสินโทษใครเขา”

             “แต่คนที่โดนไวรัสอาคมจนตายนี้...ความผิดที่เขาทำ มันก็ร้ายแรงจริงๆ นะ ที่สำคัญ มันไม่ใช่ความผิดครั้งแรกด้วย” หมากพูดแทนฝ่ายที่ไม่ปรากฏตัวตน

             “เวลาคนทำผิดถูกจับขึ้นศาล...ผู้พิพากษาเขายังให้โอกาส มีทนายความมาว่าความ แก้ต่าง หาเหตุผล ความดี เหตุจูงใจมาเพื่อขอลดหย่อนโทษ นักโทษคดีเดียวกัน อาจได้รับคำตัดสินไม่เหมือนกัน อย่างในกรณีคุณผกาแก้ว เธอแค่มีจิตใจคิดจะทำร้าย โดยยังไม่ทันลงมือกระทำด้วยซ้ำ ตามเหตุผลแล้ว ไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำผิด...ยิ่งถ้าได้รู้เหตุจูงใจของเธอ เอื้อว่าใครได้ยินก็คงเห็นใจมากกว่ากล่าวโทษเธอด้วยซ้ำ”

             “บางคนมองถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด เห็นแค่สีขาวกับสีดำ ไม่มีตรงกลาง”

             “เอื้อรู้สึกว่า...คนที่มีอำนาจพิเศษ สามารถตัดสินโทษเป็นโทษตายแก่ใครก็ได้นั้น จิตใจเขาควรกอปรด้วยเมตตา มีความเป็นกลางโดยไร้อคติบดบัง เพราะความเมตตาเป็นเหมือนแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนทั้งโลก ใจของคนที่มีเมตตา สามารถมีความสุขได้ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพาใคร”

             หมากไม่พูดต่อคำในวาจานั้น เขาเชื่อว่า เท่าที่เอื้อกานต์พูด มันพอแล้ว หากใครคนนั้นได้ยิน รับรู้ ย่อมนำมันมาไตร่ตรอง ครุ่นคิด ทบทวนถึงการกระทำของตนเองได้เพียงพอ

             ความเงียบกางตาข่ายกั้น เป็นคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว ตอกย้ำ...คำพูดเอื้อกานต์ไร้ประโยชน์ ฝ่ายตรงข้ามไม่เก็บมาคิดแม้สักครึ่งคำ

             คุณหมอสาวยิ้มเพลียๆ ขาหายปวดเมื่อย ลุกขึ้นยืนตามปกติ ชายหนุ่มลุกยืนเคียงข้าง พร้อมคุ้มครองไปด้วยกัน

             “หมอว่าเราควรขึ้นข้างบน ลงข้างล่าง หรือทุบกระจกเรียกคนมาช่วยดีคะ” เอื้อกานต์ถามความเห็น

             “ผมเป็นช้างเท้าหลัง หมอเอื้อตัดสินใจได้เลย” สีหน้าชายหนุ่มปลอดโปร่ง แววตาเจิดจ้าเอาจริงกว่าเคย

             “ลองทุบกระจกดูก่อน”

             เอื้อกานต์เป็นคนต้นความคิด หมากเป็นคนจัดการ รอบตัวไม่มีของแข็งอะไรสักอย่าง เขาจึงถอดรองเท้า ขยับตรงส้นหันตรงด้านแข็งออก โบกมือให้เอื้อกานต์หลบ แล้วฟาดส้นรองเท้าไปที่กระจกเต็มแรง

             ...โป๊ก...แรงสะท้อนกลับมาไม่ต่างจากกระแทกหิน

             หมากลองซ้ำอีกสองสามครั้งก็หันมายิ้มขันๆ

             “สงสัยตึกนี้เขาจะใช้กระจกกันกระสุนมั้งหมอเอื้อ”

             เห็นอย่างนี้ก็รู้ ทางหนีอีกเส้นถูกปิด เหลือทางเลือกแค่สอง...จะลุยหมอกดำขึ้นข้างบน หรือลงข้างล่าง

             “ขึ้นข้างบนกันเถอะ เอื้อว่าอย่าถอยหลังลงข้างล่างเลย” หญิงสาวเปลี่ยนแผนทันที ไม่หวั่นต่อเส้นทางที่มองไม่เห็น

             “ครับผม” หมากไม่ขัด ไม่นึกเสียดายทางรอดแรกที่ถูกปิด

             สวมรองเท้าเสร็จ ยื่นมือไปกุมมือหญิงสาว บีบกระชับแน่น แววตาบอกแทนวาจา...เขาจะไม่ปล่อยมือเธอจนกว่าจะพ้นเส้นทางอันตราย

             กำแพงหมอกหนาแน่น เย็นเยียบ แต่มันไม่ใช่กำแพงปูน กำแพงหิน ที่ต้องใช้ค้อนปอนด์ทุบฝ่าออกไป ทั้งคู่แค่ไม่รู้ หลังความมืดของม่านหมอกมนตรานี้ จะมีอันตรายใดหลบซ่อน

             พวกเขารู้แค่...เมื่อถึงตรงนี้แล้ว จะไม่ยอมถูกกักขัง เพราะโดนสิ่งเหล่านี้ข่มขู่ ถึงอย่างไรต้องฝ่าออกไป ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ก็ตาม



             บนดาดฟ้า ยอดตึกสูง

             ทรงกลดยืนนิ่ง โดดเดี่ยว เด่นสง่าเสมือนรูปสลักหิน กระแสจิตแผ่ออกเป็นวงกว้าง ครอบคลุมอาณาเขตไกล ซอกซอนเสาะหาเป้าหมายที่อาจเป็นจุดปล่อยอาคมอื่นได้อีก

             ...ไม่มี... สัมผัสภายในบอกเช่นนั้น

             เมื่อยืนยันชัด ไม่มีจุดปล่อยอาคมจากแหล่งอื่น เขาก็ดึงกระแสจิตกลับมายังตึก กำหนดเป้าหมาย สแกนลงไปทีละชั้นจากจุดที่ตนเองยืนจนถึงชั้นสุดท้าย

             ...ว่างเปล่า ปกติ...

             ไม่มีร่องรอยสิ่งแปลกปลอม ไม่มีกลิ่นอายอาคมให้สัมผัส ทั้งที่เขาเพิ่งเผชิญมันเมื่อครู่นี้เอง

             อาจารย์ใหญ่อยู่ในตึกนี้แน่นอน เขามั่นใจ หนำซ้ำยังใช้อาคมปิดกั้น อำพรางสัมผัสพิเศษของเขา ไม่ให้รับรู้ พบเจอ

             อาจารย์ใหญ่กับเหล่า ปิศาจหลบซ่อนอยู่จุดใดกันแน่?

             ...หลบซ่อน...ไม่ใช่สิ คนระดับอาจารย์ใหญ่ไม่มีทางหลบซ่อนหลานศิษย์เช่นเขา ที่ปิดบังอำพรางก็เพราะเตรียมพร้อมปล่อยไวรัสอาคม ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน

             หากปิดบัง อำพรางแค่ชั้นใดชั้นหนึ่งบนตึก จะเป็นจุดสังเกต ผิดปกติ อาจารย์ใหญ่จึงใช้อาคมอำพรางกระแสจิตเขาทั้งตึก...อำพรางให้ดู ‘ปกติ’ ทั้งหมด จนไม่รู้ว่าชั้นใด แห่งไหน ผิดปกติ

             ทรงกลดเงยหน้ามองเสาส่งสัญญาณดาวเทียมที่พุ่งตรงสูงสู่ฟ้า หากอาจารย์ใหญ่สามารถใช้อาคมผสานกับวิทยาศาสตร์การแพทย์จนสร้างไวรัสอาคมได้...จะแปลกอะไร ถ้าอาจารย์ใหญ่จะอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งไวรัสเหล่านี้ผ่านคลื่นความถี่สัญญาณโทรทัศน์!

             ตึกนี้ต้องมีห้องส่ง หรือห้องบันทึกเทปโทรทัศน์

             อยู่ชั้นไหน?

             ทรงกลดหลับตา นึกภาพแผนผังตึกที่ตนยืนอ่านตอนอยู่ชั้นล่าง จิตนิ่งไม่ขยับไหว ภาพแผนผังตึกปรากฏในความทรงจำ มันละเอียดชัดจนสามารถไล่อ่านตัวหนังสือที่เขียนบอกชื่อสถานที่ หน่วยงาน ห้างร้าน จนถึงห้องบันทึกเทป ห้องส่งสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียมได้

             ชายหนุ่มลืมตา ดวงตาส่งประกายฉายแววเจิดจ้า สูดลมหายใจเข้ายาวลึก ก่อนระบายออกช้าๆ ร่างกายพร้อม สติมั่นคง เรี่ยวแรง พลังเต็มขีด

             เขารู้แล้ว อาจารย์ใหญ่กับสมุน ปิศาจเตรียมปล่อยไวรัสอาคมที่ไหน อย่างไร...การเผชิญหน้ากันจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP