วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๙


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ดาดฟ้าโรงพยาบาลอยู่สูงพอจะมองเห็นบริเวณรอบๆ ไกลสุดสายตา ด้านบนถูกจัดเป็นสวนหย่อมร่มรื่น สบายตา ให้เจ้าหน้าที่และคนป่วยขึ้นมาพักผ่อน

             เวลาโพล้เพล้ แดดอ่อนสลัว สวนหย่อมบนดาดฟ้ามีแค่สองหนุ่มสาวนั่งคุยอย่างผ่อนคลาย หลังผ่านเรื่องน่าหวาดเสียวมาด้วยกัน

             “หมอเอื้อได้อะไรจากศพมือปืนมั้ย” หมากถามก่อน

             “ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ หมากมองนิ่งๆ รอฟังคำอธิบายโดยไม่ซักไซ้

             “เอื้อเห็นนิมิตตึกสูง คิดว่ามันอาจเป็นสถานที่ปล่อยไวรัสครั้งต่อไป”

             หมากพยักหน้า ไม่นึกสงสัยใน ‘นิมิต’ ของหญิงสาว

             “มันอยู่ที่ไหน?”

             “เอื้อไม่แน่ใจ ต้องลองค้นดูอีกที”

             ชายหนุ่มไม่บีบคั้นให้หญิงสาวรีบคิด ทั้งที่รู้...วันพรุ่งนี้ไวรัสอาคมจะถูกปล่อยออกมาแล้ว

             “อีกเรื่องนึง...” เอื้อกานต์พูดต่อ “ในนิมิต เอื้อเห็นพวกผี ปิศาจ...รู้สึกว่าพวกมันก็มีส่วนในการปล่อยอาคมเหมือนกัน ตอนหลัง เอื้อพยายามตามรอยอาคมไป แต่ก็โดนตัดเส้นทาง เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้ว...”

             “มิน่า...หลังจากนั้นเลยมีพวกผีสิงเข้ามาจัดการเราเสียเลย” หมากอ่านเรื่องราวต่อ

             สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันอย่างเพลียๆ เอื้อกานต์รู้สึกสบายใจที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายเกี่ยวกับสัมผัสพิเศษของตนมากมาย สามารถพูดกันแบบตรงๆ ได้

             ครู่หนึ่งชายหนุ่มเริ่มเอ่ยปาก

             “มาคราวนี้ ผมได้รู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน”

             เอื้อกานต์หันมองอย่างสนใจ หมากยิ้มนัยน์ตาใส

             “ได้รู้ว่าหมอเอื้อก็บู๊เก่งเหมือนกัน ไม่เสียแรงมีน้องชายเป็นถึงสารวัตร”

             หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ขณะที่หมากพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

             “ที่จริง เหตุผลที่ผมมาโรงพยาบาลไม่ได้มีแค่ขอดูศพมือปืนคนนั้น”

             เอื้อกานต์นิ่ง ตั้งใจฟัง

             “ผมลองลากเส้นจุดเกิดเหตุของเหยื่อทั้งสามรายบนแผนที่ ปรากฏว่ามันมาตัดกันที่โรงพยาบาลนี้พอดี”

             “หมอเลยคิดว่าที่นี่น่าสงสัย”

             “ครับ” เขายอมรับ “นอกจากนั้น ผมยังคิดว่าเจ้าไวรัสนี้มันน่าจะใช้เชื้อโรคจริงเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม แล้วใช้เวทมนตร์ อาคม เป็นตัวกำกับ เลยสงสัยว่าคนที่ปล่อยไวรัสเอาไวรัสนี้ออกมาจากแล็บโรงพยาบาลได้ยังไง ...พอมาเจอเจ้าหน้าที่โดนผีสิงแบบนี้เลยเข้าใจแล้ว”

             “ไวรัสอาคม” เอื้อกานต์เรียกชื่อมันตามข้อสรุปที่เข้าใจ

             “ถ้าอย่างนั้น หมอคงคาดว่า...คนร้ายคงสั่งให้ผีไปสิง ควบคุมเจ้าหน้าที่ให้ขโมยตัวอย่างเชื้อออกมา แล้วทำพิธีปล่อยไวรัสอาคมสักแห่งใกล้ๆ กัน...อย่างเช่น บนดาดฟ้านี้”

             นอกจากเอื้อกานต์จะตามความคิดชายหนุ่มทัน เธอยังเดาใจเขาถูกถึงเหตุผลที่ชวนคุยบนดาดฟ้าแห่งนี้

             “ครับ” ชายหนุ่มรับคำ แววตาชื่นชม “แต่ตอนที่ผมขึ้นมา ก็พยายามดูทุกอย่างบนนี้แล้ว ไม่เห็นมีร่องรอยการทำพิธีอะไรเลย”

             “ใครเขาจะปล่อยหลักฐานทิ้งไว้เรี่ยราดขนาดนั้นคะ” เอื้อกานต์บอก

             ความที่อ่านบันทึกของคุณตา ประกอบกับมีน้องชายเป็นตำรวจ จึงพอรู้เรื่องการทำคดีมาบ้าง

             “นั่นสิ...” เขายอมรับ ถอนใจยาว “ทีแรกผมว่าเรามาที่นี่คงจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ที่ไหนได้ เหมือนไม่ได้อะไรเลย...แถมยังพาหมอเอื้อมาเสี่ยงอีก...”

             นึกถึงการตอบโต้จากฝ่ายตรงข้ามครั้งนี้ หมากยังนึกเสียวสันหลังไม่หาย ตัวเขาเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ถ้าเอื้อกานต์ต้องบาดเจ็บ โดนทำร้ายด้วย เขาคงไม่ให้อภัยตัวเอง

             “ทำไมจะไม่ได้คะ” เอื้อกานต์ให้กำลังใจ “เราได้รู้ขั้นตอนของเขาตั้งเยอะ ที่สำคัญ เราได้เบาะแสสถานที่ที่เขาจะปล่อยอาคมครั้งต่อไปด้วย”

             หมากถอนใจ พูดเบาๆ

             “เราคงต้องใช้เบาะแสนั้นรีบหาสถานที่ปล่อยอาคมโดยเร็วที่สุด”

             “ทำไมคะ” เอื้อกานต์ถาม

             ชายหนุ่มนิ่งครู่หนึ่ง ชั่งใจก่อนตอบ

             “ผมคิดว่า...เขาน่าจะปล่อยไวรัสอาคมในวันพรุ่งนี้!”

             เอื้อกานต์สะดุ้ง ตัวชาวาบ ไม่สนใจไถ่ถามว่าหมอหมากรู้ได้อย่างไร ในเมื่อเขากับเธอมีความพิเศษคล้ายคลึงกันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น...ไม่มีความจำเป็นต้องสงสัยกันและกัน

             สิ่งสำคัญที่รออยู่คือ วันพรุ่งนี้...เธอต้องควานหาสถานที่ในนิมิตนั้นให้เจอ ก่อนการปล่อยอาคม!



             ขณะที่เอื้อกานต์และหมากกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ผีสิง ทรงกลดกำลังเดินรอบตึกสูงในย่านธุรกิจกลางกรุงเทพฯ

             ตอนสร้อยข้อมือปลุกเสกของทรงกลดสำแดงฤทธิ์ ขับไล่ปิศาจที่สิงเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันที รีบหาเก้าอี้ริมทางใกล้ตัวแล้วนั่งลง ใช้สมาธิดูเหตุการณ์ที่เกิด

             ความจอแจของผู้คน รถรา ก่อกวนจนสมาธิรวมตัวยาก ถึงอย่างนั้นยังพอเห็นเหตุการณ์เลือนราง จับเค้าได้ไม่ยาก กระทั่งเอื้อกานต์ใช้สร้อยครั้งที่สอง ทรงกลดจึงรีบสร้างกำแพงอาคมสกัดกั้นการเชื่อมต่อระหว่างสร้อยข้อมือปลุกเสกกับตนเองทันที

             เอื้อกานต์อาจสงสัยที่มาของสร้อยข้อมือเมื่อไรก็ได้ หากเธอใช้สัมผัสพิเศษสืบเสาะย้อนมา ก็จะเจอตัวเขา จำเป็นต้องสร้างกำแพงป้องกันไว้ก่อน

             เธอจะรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของเขาไม่ได้...

             กำแพงนี้ไม่คงทนถาวรนัก พอช่วยปิดกั้น ป้องกันชั่วคราว หลังจากเสร็จงานนี้ เขาควรออกนอกประเทศสักพัก...ทรัพย์สินที่ ฮันเตอร์ คิม โอนให้ตอนพาเดินทางรอบโลก สามารถใช้ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ขาดแคลนไม่ว่าจะอยู่แห่งใดบนโลกนี้

             หลังปิดกั้นการเชื่อมต่อกับสร้อยข้อมือ ทรงกลดค่อยลุกขึ้น มองขึ้นไปบนตึก...เป้าหมายที่สองของวันนี้

             ตึกเป้าหมายแรก เขาไปถึงตอนบ่าย ใช้เวลาครึ่งค่อนวันตรวจสอบ ไม่พบร่องรอยภูตผีหรืออาคมของอาจารย์ใหญ่ ถึงที่นี่อาจเป็นจุดปล่อยอาคม เขาก็เชื่อว่าอาจารย์ใหญ่คงไม่ใช้มัน

             ที่นี่เป็นเป้าหมายที่สอง เขามาถึงตอนเย็น เดินตรวจสอบรอบตึกยังไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเตรียมขึ้นไปบนดาดฟ้า พอดีรับรู้ปัญหาของเอื้อกานต์ก่อน

             ตึกแห่งนี้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย มีทั้งห้างสรรพสินค้า สำนักงาน บริษัทใหญ่ๆ เช่าอยู่ตามชั้นต่างๆ โดยชั้นบนสุดเป็นภัตตาคารลอยฟ้า ดาดฟ้ามีลานจอดเฮลิคอปเตอร์

             ทรงกลดเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชั้นล่างของตึก ตั้งใจมองหาลิฟต์เพื่อขึ้นชั้นบนสุด หูแว่วเสียงดนตรีคุ้นเคย เป็นเสียงกีตาร์ไพเราะ ประสานเสียงร้องทุ้มนุ่มอ่อนหวาน

             ชายหนุ่มเดินตามเสียงดนตรี พบว่ามันมาจากลำโพงที่ทางห้างติดตั้งไว้ เขาเกือบหมดความสนใจ หากไม่ทันนึกว่าท่วงทำนองเพลงที่ได้ยินนั้นคุ้นหู ติดความทรงจำเหลือเกิน

             กวาดสายตาไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้าที่ร้านขายเครื่องไฟฟ้ายี่ห้อดัง หน้าร้านตั้งโทรทัศน์จอใหญ่ ซึ่งเวลานี้กำลังฉายภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่ทรงกลดรู้จัก เคยผ่านตา

             หนูดี...สัตตบงกช แฟนทีเกื้อ

             หนูดีกำลังทำหน้าที่พิธีกร สัมภาษณ์แขกรับเชิญเป็นนักร้องคู่ดูโอสาวชื่อดัง เกี่ยวกับคอนเสิร์ตหนึ่ง

             ทรงกลดเข้าไปดูใกล้ๆ จนได้ยินเสียงสัมภาษณ์ชัดเจน สองนักร้องสาวกำลังพูดถึงเพลงโฟล์กซองอมตะที่ตนเองจะร้องใน “คอนเสิร์ตกลางสวน” พิธีกรสาวขอให้ทั้งคู่ร้องเพลงนี้ให้ฟัง

             ชายหนุ่มเตรียมขยับขาก้าวออกมาแล้ว แต่พอกีตาร์ขึ้นอินโทรเพลง แข้งขาเขากลับหยุดนิ่ง หูผึ่ง นัยน์ตาเบิกกว้าง จดจำ ระลึกถึงเพลงนี้ได้ชัดเจน

             Are you goin’ to Scarborough fair?

             Parsley, sage, Rosemary and Thyme

             Remember me to one who lives there

             He once was a true love of mine

             ท่วงทำนองเพลงก้องกังวานชัด เป็นบทเพลงมีมนตร์ขลัง ทรงกลดจำได้แม่น เพราะเพิ่งได้ยินมาไม่นานบนดาดฟ้าโรงเรียนร้าง...บทเพลงที่ทำเอาเขาเกือบพลาดพลั้งเสียท่าให้แก่สมุนของอาจารย์ใหญ่

             อาจารย์ใหญ่ใช้ท่วงทำนองเพลงผูกด้วยอาคมแยบยล เกือบสะกดเขาสำเร็จ...เขาเพิ่งได้ยินชื่อเพลงนี้...

             Scarborough fair…







บทที่ ๘



             เพลงจบ...สัตตบงกชพูดคุยกับแขกรับเชิญเกี่ยวกับงานคอนเสิร์ตกลางสวนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้าต่ออีกเล็กน้อย

             ทรงกลดไม่สนใจฟัง ในหัวนึกย้อนถึงตอนโดนอาจารย์ใหญ่ใช้ท่วงทำนองเพลงนี้ผ่านสมุน ปิศาจมาสะกดให้เขาหลง เผลอคิดถึงอดีต

             เวทมนตร์ อาคม ที่อาศัยจังหวะ ทำนองเพลง มาสะกดคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขายังไม่เคยร่ำเรียน มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดลึกลับอะไร วรรณคดีไทยก็เคยกล่าวถึงมาแล้ว

             เช่นพระอภัยมณีสามารถเป่าปี่ บรรเลงบทเพลงไพเราะ ขับกล่อมให้ผู้คนหลับใหล ไม่มีสติได้!

             บทเพลงของอาจารย์ใหญ่ร้ายกาจกว่านั้น พระอภัยยังต้องใช้เครื่องดนตรี ขับกล่อมให้ได้ยินต่อหน้าจึงสัมฤทธิผล อาจารย์ใหญ่แค่ใช้พวกภูตผีส่งคลื่นเสียงสูงๆ ต่ำๆ แล้วตนเองใช้เวทมนตร์ควบคุมให้เกิดจังหวะ ทำนอง แปรเปลี่ยนเป็นบทเพลงต่างๆ ตามใจ โดยผู้บรรเลงอาจอยู่ไกลเป็นร้อยกิโลเมตร

             นอกจากเวทมนตร์ร้ายกาจเช่นนี้ อาจารย์ใหญ่ยังมีวิชาพิสดารใดอีก ที่ความรู้ ความเข้าใจของเขา ยังไม่หยั่งทราบ เข้าถึง

             ทรงกลดรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อภาพในจอทีวีถูกเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์ตัวอย่างสั้นๆ เพื่อโชว์คุณภาพสีสัน ความคมชัด

             ชายหนุ่มเดินออกจากร้านโดยไม่ใส่ใจ ขณะท่วงทำนอง ‘Scarborough fair’ ยังกังวาน สะท้อนก้องในความทรงจำ



             รูปสเกตซ์ตรงหน้ามีรายละเอียดครบ เส้นดินสอคมชัด เป็นภาพวาดมุมสูงของหมู่ตึกเรียงรายกลางกรุงเทพฯ ตึกบางแห่งมีรูปลักษณ์โดดเด่น บางแห่งติดโลโก้บริษัทชื่อดัง

             ดูแล้วน่าจะบอกได้ สถานที่แห่งนี้อยู่ไหน?

             เอื้อกานต์กลับไม่รู้! กระทั่งหมอหมากซึ่งนั่งดูภาพสเกตซ์ด้วยกันยังส่ายหน้า

             “ตั้งแต่จบหมอ ผมก็อยู่บ้านนอก...เมืองนอก มากกว่ากรุงเทพฯ เท่าที่ดูจากรูป บอกได้อย่างเดียวเลย...”

             “ว่าไงคะ” หญิงสาวสนใจ อยากฟังความเห็น

             “หมอเอื้อวาดรูปสวย อย่างนี้ศิลปินตัวจริงอายเลย” เขาพูดหน้าตาเฉย

             เอื้อกานต์หลุดหัวเราะขำ เวลาอย่างนี้ หมากยังมีอารมณ์พูดเล่น

             ถ้าการคาดหมายของหมอหมากไม่ผิด ไวรัสอาคมจะถูกปล่อยอีกครั้งวันนี้ เอื้อกานต์ยอมลางาน นั่งสเกตซ์รูปจากความทรงจำในนิมิตเกือบครึ่งคืน เพื่อให้ชายหนุ่มดู และช่วยค้นหา ออกความเห็น ซึ่งจนบัดนี้ยังตอบไม่ได้

             คุณหมอสาวนั่งมองภาพสเกตซ์ตรงหน้า เปรียบเทียบกับภาพในความทรงจำ พยายามมองหาว่าตนเองลืมใส่รายละเอียดจุดใดบ้างหรือไม่ พอนึกได้ค่อยเขียนเติมเป็นจุด เป็นแห่ง ทีละนิด

             หมอหมากเห็นอย่างนั้นจึงลุกจากเก้าอี้ พยายามไม่รบกวนหญิงสาว เลี่ยงไปชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ไกลออกไป

             หลังผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นเมื่อเย็นวาน กลับถึงคอนโดฯ ต่างฝ่ายต่างพักผ่อน รุ่งเช้าเอื้อกานต์จึงโทร. หาหมอหมาก ชวนมาที่ห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ

             เมื่อมาถึง เขาเห็นภาพสเกตซ์วางอยู่แล้ว แสดงว่าหญิงสาวคงพยายามนั่งเขียนตั้งแต่เมื่อคืน ขณะที่เขาพยายามติดต่อพลู แต่ฝ่ายนั้นจงใจเงียบ ไม่ส่งสัญญาณกลับ

             เอื้อกานต์สเกตซ์ภาพบนกระดาษแผ่นใหญ่ สามารถเก็บรายละเอียดมาก ฝีมือวาดภาพสวย ใกล้เคียงของจริง ปัญหาคือ ต่อให้ได้ภาพวาดจากนิมิต ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันอยู่ตรงไหนในกรุงเทพฯ

             ขนาดโทรศัพท์ตามหมอหมากมาช่วย ยังไม่เกิดประโยชน์ เขารู้จักกรุงเทพฯ น้อยกว่าเธอเสียอีก



             หมากคุ้นเคยกับบ้านหญิงสาวมากพอจะเดินไปชงกาแฟเองโดยไม่ต้องขออนุญาต ไม่นาน กาแฟควันกรุ่นหอมฉุยสองถ้วย ก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะใกล้เอื้อกานต์

             “ดื่มกาแฟหน่อยสิหมอเอื้อ เมื่อคืนได้นอนบ้างหรือเปล่า” ถามกึ่งชวนคุย

             “ตั้งแต่เช้ามานี่ เอื้อดื่มกาแฟไปสองถ้วยแล้ว...” เอื้อกานต์ยิ้มหวานให้คนมีน้ำใจ ชงกาแฟมาเผื่อ “หมอชงมาเองก็ช่วยรับผิดชอบด้วยนะ”

             “ครับผม”

             หมากพยักหน้ารับ ไม่อิดเอื้อน ขยับตัวนั่งเก้าอี้ใกล้รูปสเกตซ์ จิบกาแฟ มองดูรูปที่มีรายละเอียดมากกว่าเดิม

             ขนาดรายละเอียดมากขนาดนี้ เขายังนึกไม่ออกอยู่ดีว่ามันอยู่ที่ไหน...ยิ่งเป็นภาพมุมสูง ถ้าไม่ได้เกิดเป็นนก นักบิน ก็ต้องเป็นคนทำงานแถวนั้นถึงจะดูออก

             ครั้นสังเกตรายละเอียดที่เอื้อกานต์เพิ่มมาให้ เขาก็สะดุดตากับบางสิ่งซึ่งโดดเด่น มองปราดเดียวก็เห็นชัด

             “นั่นอะไรน่ะหมอเอื้อ?”

             ชายหนุ่มชี้นิ้วบนจุดหนึ่งในรูป หญิงสาวมองตามอย่างสนใจ



             ท่วงทำนองของบทเพลงนั้นยังก้องกังวาน ติดตามทรงกลดมาถึงในฝัน เสียงดนตรีบรรเลงคลับคล้ายการสวดอ้อนวอน เปล่งเสียงสูงๆ ต่ำ ๆ พาจิตใจไหลเลื่อนตามกระแสคีตา

             แล้ว...‘พวกมัน’ ก็ปรากฏตัว

             เหล่าอสุรกายรูปร่างอัปลักษณ์ผุดขึ้นมาท่ามกลางแสงสลัวราง หมอกสีเทาจางกระจายเป็นหย่อม อากาศแห้ง เย็น กลิ่นเหม็นหืนเอียน ชวนอาเจียน ลอยอวล

             พวกมันโผล่มาทีละตัว รายแรกร่างเขียวซีด นัยน์ตาเหลือกโพลง บอกถึงความทุกข์ทรมานก่อนตาย อีกรายร่างสีน้ำตาลแก่ แห้งเกราะ ตาถลนเปล่งแรงอาฆาตแค้น อีกสามรายต่อมามีเปลวไฟแลบแปลบปลาบ มือหงิกงอ กรงเล็บยาวแหลม ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนสั่นประสาท

             ทรงกลดมองพวกมันด้วยแววตาอ่อนล้า หดหู่ใจ เขาสามารถท่องมนตร์ขับไล่มันได้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินกำลัง แต่ใจไม่ต้องการ เขาแค่กำลังรอ...ให้พวกมันมาทวงหนี้คืน

             ทว่า...อสุรกายเหล่านั้นทำได้เพียงยืนอยู่ห่างๆ ส่งเสียงกราดเกรี้ยว แสดงอาการทุกขเวทนาหลอกหลอน

             พวกมันเป็นใคร?

             พวกมันคือคนชั่วช้าที่เสียชีวิตด้วยอาคมของเขา!

             ทรงกลดเคยมีครอบครัวแสนสุข ชีวิตปกติ สุขสบาย มีคนรักแสนดี จิตใจงดงาม หน้าที่การงานมั่นคง อนาคตสดใส จนใครเห็นต้องอิจฉา

             คนชั่วช้าเหล่านั้นรวมหัวกันใส่ความพ่อของเขา ทำลายล้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจนสิ้น ขนาดทุกคนยอมหลบหนีออกนอกประเทศ พวกมันยังรู้ทัน สั่งคนวางระเบิดเครื่องบิน สังหารครอบครัวเขาและทุกคนบนเครื่องตายหมด

             ทรงกลดรอดได้เพราะ ฮันเตอร์ คิม อยู่บนเครื่องลำนั้น เห็นเขามีพรสวรรค์หายากในการฝึกฝนอาคม จึงช่วยเหลือออกมา สืบสาวเรื่องราวเบื้องหลังการฆาตกรรม ระเบิดเครื่องบิน จนรู้ความจริง จากนั้นพาเขาตระเวนทั่วโลก เรียนรู้สารพัดวิชาอาคม เพื่อกลับมาแก้แค้น

             ผ่านไปห้าปี ทรงกลดกลับบ้านเกิดเมืองนอน ปิดบังชื่อเสียง ใส่หน้ากากปลอมแปลงโฉม วางแผนสังหารศัตรูทีละคนด้วยอาคมร้ายกาจอันไร้ร่องรอย

             ศัตรูร้ายตายเกือบหมด มาถึงเหยื่อรายสุดท้าย เขาสามารถสังหารมันง่ายดาย...

             ทว่า ทีเกื้อ น้องชายเอื้อกานต์ กลับโผล่มาขัดขวาง กระตุ้นให้เขาเกิดสติ ได้คิด มองเห็นความจริง ยอมรับ สำนึกในความผิดที่ผ่านมา

             เขาเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ ใช้อาคมที่มีช่วยเหลือชีวิตผู้คนโดยไม่มีใครรู้เห็น ถึงอย่างนั้น ความผิดที่เคยกระทำ บาปที่ก่อไว้ ไม่ได้หาย ลบล้างไปไหน

             มันเพียงรอคอยเวลาอันเหมาะสม เพื่อเรียกชำระหนี้กรรมตามความยุติธรรมแท้จริง

             ปิศาจ อสุรกายเหล่านั้น จะมาเรียกร้องชีวิต ทวงหนี้แค้นทุกครั้งที่เขาหลับแบบขาดสติ

             เมื่อก่อน ทรงกลดจะท่องอาคมกำราบ...วันนี้ไม่จำเป็น ใจรู้เสียแล้วว่ายังไม่ถึงเวลาชำระหนี้คืน

             บุญกุศล สิ่งดีๆ ที่สร้างสมมาตลอดชีวิตก่อนทำบาปกรรมร้ายครั้งนั้น ยังส่งผลคุ้มครองเขาอยู่ ประกอบกับกรรมดีที่กระทำในปัจจุบัน แข็งแรงพอเป็นเกราะคุ้มครอง รักษาตนเอง

             ถึงอย่างนั้น ใช่ว่าบาปกรรมที่เคยสร้าง จะไม่มีโอกาสผลิดอก ออกผล

             ปิศาจ อสุรกาย และวิบากชั่วกำลังรอจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่กำลังกุศลของเขาอ่อนแรง เมื่อนั้น พวกมันจะตามมาเรียกร้อง ทวงหนี้สิน...โดยไม่มีความเมตตา

             ทรงกลดลืมตาตื่นตอนเช้า โดยภาพอสุรกายทวงแค้นยังติดตา บทเพลงหลอนประสาทของอาจารย์ใหญ่ยังกังวานติดหู...



             “นั่นอะไร?” ปลายนิ้วชี้ตรงจุดพร้อมคำถาม

             “เสาส่งสัญญาณมั้งคะ” เอื้อกานต์ตอบ

             “สัญญาณอะไร” หมากถาม

             “ไม่รู้สิ มันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เอื้อเพิ่งนึกได้ แล้วเติมมาตะกี้เอง”

             หมากดูรูปสเกตซ์ฝีมือเอื้อกานต์อีกครั้ง รายละเอียดมากกว่าเดิม ดูคุ้นตา คลับคล้ายเคยเห็นมาก่อน

             ท่ามกลางตึกสูงกลางเมืองหลวง ตึกที่สูงเด่น มีเสาส่งสัญญาณ มองจากมุมสูง ดิ่งตรง ดูไม่ใหญ่โต สะดุดตา เอื้อกานต์จึงลืมวาดในตอนแรก

             “ใช่เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์หรือเปล่า” หมากออกความเห็น

             “เอื้อไม่แน่ใจเหมือนกัน สมัยนี้ตามตึกสูงก็มีเสาพวกนี้เยอะนะ ทั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ ส่งสัญญาณวิทยุ ส่งสัญญาณโทรศัพท์ แถมยังมีพวกเสาส่งสัญญาณดาวเทียมเพิ่มมาอีก”

             สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน จนปัญญา...พักหนึ่ง เอื้อกานต์ค่อยนึกออก

             “ลองถามคนอื่นดีกว่า!”

             เธอเห็นว่าถ้ามัวนั่งมึนกันสองคน คงไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลาเดินผ่านเรื่อยๆ คนร้ายจะปล่อยไวรัสอาคมเมื่อไรไม่รู้ ขืนนั่งอยู่อย่างนี้เสียเวลาเปล่า

             เอื้อกานต์ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปสเกตซ์นั้น แล้วส่งไปให้สัตตบงกช แฟนน้องชาย ซึ่งน่าจะรู้จักกรุงเทพฯ มากกว่าเธอ

             ส่งรูปเสร็จ ตามด้วยข้อความสั้นๆ

             หนูดีจ๊ะ ช่วยดูให้พี่ที สถานที่ในรูปอยู่แถวไหน?”

             ไม่นานก็มีข้อความตอบกลับมา

             “ไม่แน่ใจค่ะ เดี๋ยวหนูดีถามคนแถวนี้ให้ พี่เอื้อรีบมั้ยคะ”

             เอื้อกานต์ส่งข้อความกลับ

             “หนูดีทำงานอยู่หรือเปล่า? พี่เกรงใจไม่กล้ารบกวนมาก”

             คำตอบรวดเร็ว

             “กำลังเตรียมตัวเข้าห้องบันทึกเทปค่ะ...ไม่ต้องห่วง ยังมีเวลา...เดี๋ยวหนูดีถามคนแถวนี้ให้นะคะ”

             เอื้อกานต์ส่งรูปตัวการ์ตูนยิ้มกว้าง พร้อมส่งรูปดอกไม้ไปให้

             ไม่นานก็ได้รับคำตอบ

             “อยู่แถว...ค่ะ กลางกรุงนี่เอง สังเกตง่าย ตึกที่มีเสาส่งสัญญาณดาวเทียมนี่ เขามีห้องอัดรายการโทรทัศน์ด้วย คนที่นี่เขาเคยทำงานตึกนั้น เลยจำได้...ฝีมือสเกตซ์รูปของใครเอ่ย วาดสวยจัง”

             “ของพี่เอง...ขอบใจมากนะจ๊ะ...จุ๊บจุ๊บ”

             เอื้อกานต์ส่งรูปการ์ตูนส่งจูบให้ตามหลังข้อความตนเอง



             หมอหมากนั่งมองอยู่ห่างๆ ไม่ชะโงกหน้าดูข้อความด้วย เพียงเห็นสีหน้าอาการของคุณหมอสาว ก็เดาออก ว่างานนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว

             เอื้อกานต์เงยหน้าขึ้นยิ้ม ยกนิ้วส่งสัญญาณโอเค

             “เราออกไปพร้อมกันเลยมั้ย” หมากถาม

             “ได้ค่ะ เอื้อขอเวลาห้านาที” เอื้อกานต์บอก

             “ผมแถมให้อีกสองนาทีด้วยเอ้า” หมากใจป้ำ

             หญิงสาวยิ้มรับ ต่อให้รู้...วันนี้จะเกิดเหตุการณ์ร้าย พวกเขายังมีอารมณ์หยอกล้อ ยิ้มให้กันได้



             นี่เป็นตึกเป้าหมายแห่งสุดท้ายที่ทรงกลดคิดว่ามันสามารถใช้ปล่อยไวรัสอาคมได้

             ตึกสูงหลายสิบชั้น ด้านบนสุดติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียม รอบด้านยังมีตึกสูงอีกหลายแห่งเรียงรายลดหลั่นกันไป ผู้คนหนาแน่น จอแจ ด้วยเป็นย่านธุรกิจสำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

             ทรงกลดกวาดตามองผู้คนโดยรอบ ก่อนเดินตามคนอื่นๆ เข้าตึกนั้นอย่างกลมกลืน ไม่สะดุดตา ผิดสังเกต

             ภายในตึกชั้นล่างมีร้านค้า สำนักงานเอกชน ราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้คนขวักไขว่ติดต่อใช้บริการหนาแน่น ไม่ผิดแผกจากที่เคยเป็น

             กระนั้นทรงกลดยังสำเหนียกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จิตใจมีอาการระคายแปลกๆ ระหว่างเดินผ่านผู้คน ร้านค้า สำนักงานเหล่านั้น เขารับรู้กระแสเอื่อยๆ จางๆ ของภูตผี สมุนอาจารย์ใหญ่ ร่องรอยมันเจือจางมาก หากจิตไม่ไวพอ ย่อมไม่อาจสัมผัส รับรู้

             ตอนนี้ภูตผีเหล่านั้นไม่อยู่ที่นี่ มันแค่เคยผ่านบริเวณนี้มาเป็นจำนวนมาก ทรงกลดแหงนหน้าขึ้นไปมองยังด้านบน สูงขึ้นไปอีกหลายสิบชั้น เขาเชื่อว่าต้องมีชั้นใดชั้นหนึ่งที่เป็นแหล่งรวมเหล่าสมุนของอาจารย์ใหญ่

             สถานที่นั้นเป็นจุดปล่อยอาคม!

             ทรงกลดหยุดยืนอ่านผังแต่ละชั้นของตึกแห่งนี้ นึกสะดุดตาชั้นที่ยี่สิบห้า ที่นั่นมีแล็บของศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ที่อาจมีการเพาะเชื้อโรคเพื่อส่งไปผลิตวัคซีน

             ชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ เลือกกดชั้นยี่สิบห้าแล้วยืนชิดด้านใน ปล่อยให้คนตามมาทีหลังยืนบังร่างเขาไว้

             ลิฟต์เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทยอยออกตามชั้นต่างๆ โดยไม่มีคนเข้ามาเพิ่ม สุดท้ายเมื่อผ่านชั้นที่ยี่สิบจึงเหลือทรงกลดยืนในลิฟต์อยู่เพียงคนเดียว

             เวลานั้น ทรงกลดรู้ว่าตนเองติดกับดักแล้ว

             ตึง! เสียงดัง ลิฟต์สะท้านเยือก หยุดสนิท

             กระไอเย็นแผ่ซ่านเข้ามาข้างใน พร้อมละอองหมอกขาวปนเทาลอยเลื่อน ซึมแทรกผ่านรอยแยกประตูและเพดานด้านบนลิฟต์

             ทรงกลดยืนนิ่ง เพ่งสายตามองละอองไอหมอกขาวปนเทาที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ความเย็นแผ่ซ่านชวนยะเยือก ตัวชา เขาขยับตัวถอยห่างกลุ่มหมอกที่ลอยสูงขึ้น...สูงขึ้น

            ชายหนุ่มขยับริมฝีปาก สวดท่องอาคมอันคุ้นเคย หวังสกัดกั้น กำราบ ขับไล่ฝูงหมอก ปิศาจเหล่านี้ ทว่า...เสียงสวดกลับเงียบหาย กลบกลืนไปกับความว่างตรงหน้า

             พลังอาคมที่เปล่งออกไปล้วนสาบสูญ คล้ายเผชิญมนตราบทพิเศษที่สามารถดูดกลืนอาคมทุกชนิด

             ทรงกลดระบายลมหายใจแผ่ว ตั้งแต่รู้...คู่ต่อสู้คืออาจารย์ใหญ่ เขาไม่เคยประมาท หนำซ้ำยังพร้อมรับมือเต็มกำลัง ขนาดนั้นยังรู้สึก มนตราของผู้ทรงอาคมรายนี้ช่างผิดแผก แปลกประหลาด ยากจับแนวทางถูก สมเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง

             ขณะยืนนิ่ง ครุ่นคิด หมอกขาวปนเทาครอบคลุมภายในลิฟต์จนทั่วแล้ว ทรงกลดมองไม่เห็นกระทั่งมือที่ยื่นมาตรงหน้า รู้แค่ตนเองกำลังถูกดึงดูดเข้าสู่ดินแดนเวทมนตร์ของผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว



             เอื้อกานต์และหมากยืนแหงนคอมองเสาส่งสัญญาณบนยอดตึกสูง จากนั้นจึงกวาดตามองตึกต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ เปรียบเทียบกับภาพสเกตซ์ในมือ

             “ผมว่าใช่นะ” หมากรับรอง

             “เอื้อก็ว่าใช่” เอื้อกานต์ไม่ขัด “ปัญหาคือ เราจะเข้าไปดูตึกไหนก่อน”

             “ตึกที่มีแล็บของศูนย์การแพทย์ หรือไม่ก็ตึกที่มีศูนย์เพาะเชื้อ” หมากพูด

             เอื้อกานต์มองตึกที่เรียงรายรอบด้าน แล้วหันมายิ้มแกมประชด

             “มันคงหาง่ายเนอะ!”

            นัยน์ตาหมากพราวระยับ ขำขันกิริยาหญิงสาว

             “เลือกตึกที่หมอเอื้อเห็นว่าเป็นจุดศูนย์กลางในนิมิตก่อนสิ” เขาแนะนำ

             “ถ้างั้นก็เป็นตึกนี้”

             เอื้อกานต์ชี้มือยังตึกสูงที่ด้านบนมีเสาส่งสัญญาณสูง เป็นตึกเดียวกับที่ทรงกลดล่วงหน้าเข้าไปสำรวจก่อน...เส้นทางสองสายจะบรรจบมายังที่เดียวกันหรือไม่?



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP