วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๓๓


cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย




ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



ชายร่างสูงผอมอยู่ในชุดดำเดินออกมาจากเงามืดของพุ่มไม้หน้าเซฟเฮาส์ ท่วงท่าก้าวเดินองอาจ ไม่เกรงกลัว แสงจากเสาไฟด้านหน้าส่องจับใบหน้านั้นจนเห็นชัด...ชัดเจนจนเหลือเชื่อ

ใบหน้าขาวเผือด เรียบ ๆ ไม่มีสิ่งใดสะดุดตา ตรงกับภาพสเก็ตใบหน้าของคิม ตามที่ทีเกื้อให้ทุกคนดู ในมือคิมถือปืนสั้นขนาด ๑๑ ม.ม. กำกระชับ แววตาอำมหิต เปล่งรังสีการฆ่าฟันรุนแรง

ท่านรองฯ สะกดใจเพ่งมองร่างนั้นให้ชัด รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่นายตำรวจหนุ่มอย่างนภกลับไม่มีความมั่นคงเท่า พอคิมยกปืนขึ้นเล็งมาทางเสาที่ทั้งสองหลบอยู่ นภก็กลิ้งหลบและยิงนำไปก่อนทันที

ปัง...ปัง

เสียงระเบิดกระสุนดังลั่น คนอยู่ใกล้หูแทบแตก ร่างยืนเป็นเป้าในที่โล่งกลับไม่สะทกสะท้าน เดินต่อด้วยอาการปกติ คล้ายสามารถหลบกระสุนเหล่านั้นอย่างง่ายดาย

คิมเริ่มเหนี่ยวไก นภสาดกระสุนกลับไปอีกชุด

ปัง...ปัง...ปัง

เสียงกระสุนดังเฉพาะจากฝ่ายตำรวจ ไม่มีเสียงกระสุนจากคิม...มีเพียง กลิ่น อะไรบางอย่างที่แทรกมากับเขม่าดินปืนเหล่านั้น

ท่านรองฯ ฉุกใจ ลุกขึ้นจากที่ซ่อน เล็งปืนตรงกลางหน้าผากผู้บุกรุก แล้วเหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล

ปัง!” กระสุนนัดเดียว เป็นนัดเดียวที่นายตำรวจอาวุโสมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด

กระสุนไม่พลาด มันเจาะเข้ากลางหน้าผากคิมตรง ๆ แล้วทะลุผ่านไปด้านหลังโดยไม่เกิดริ้วรอยใด ๆ ทั้งสิ้น

วินาทีนี้ท่านรองฯ รู้แล้ว...ทั้งหมดคือภาพลวงตา

ลวงตาให้เขากับนายตำรวจอารักขาทั้งหมดเห็นว่าคิมบุกเข้ามาพร้อมกันทุกทิศ ทุกทาง ก่อให้เกิดห่ากระสุน เสียงดังเป็นชุดเพื่อรบกวนสมาธิกันและกัน

เจตนาแท้จริงของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เข้ามายิงกันโต้ง ๆ แบบนี้

ท่านรองฯ ฉุกคิด พร้อมกับจมูกได้กลิ่นฉุนแปลก ๆ เข้าใจชัด สิ่งที่คิมยิงมาไม่ใช่กระสุน แต่เป็นยาสลบ!

ยาสลบที่แฝงอำนาจสะกดอย่างที่ทีเกื้อเคยเจอ และเกือบพลาดพลั้งมาแล้ว

นภ...กินยาแก้สลบเดี๋ยวนี้ ท่านรองฯ ตวาดสั่งนายตำรวจข้างตัวดังลั่น

ยาชนิดนี้ทีเกื้อนำมาให้... ทุกคนได้กินป้องกันบ้างแล้ว แต่จำนวนไม่มากพอ เพราะไม่แน่ใจอีกฝ่ายจะบุกคืนไหน เมื่อไหร่

นภได้กลิ่นฉุนแปลก ๆ ตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายยกปืนขึ้นเล็ง เพียงไม่สนใจ จนตอนนี้สมองเริ่มมึนเบลอไม่รู้สึกตัว แทบไม่รู้ตนเองเป็นใคร กำลังทำอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงตวาดจากผู้เป็นนายดังลั่น ค่อยมีสติขึ้นมาเฮือกหนึ่ง

รีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบยาลูกกลอนที่เพื่อนสนิทให้พกติดตัว ออกมากรอกใส่ปากแล้วกลืนทันที

หลังจากยาถูกกลืนลงท้อง ความคลื่นเหียนผะอืดผะอมก็เกิดขึ้น มันช่วยให้อาการเวียนหัว มึนเบลอหายไป สติกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

ว. สั่งให้ทุกคนรีบกินยาด้วย ท่านรองฯ สั่งสำทับ

นภรีบกดวิทยุ ตะโกนบอกตามคำสั่ง ทว่าเสียงที่ส่งไป กลับได้ความเงียบกริบเป็นคำตอบ

ฉิบหายแล้ว ท่านรองฯ สบถลั่น

คิมยิ้มอย่างน่ากลัว ก่อนจะจางหายต่อหน้าต่อตา ท่านรองฯเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนั้นจึงรีบแก้ไข

นภ...ไปเฝ้าด้านหลัง อย่าให้ใครบุกเข้ามาได้

ครับ เวลานี้นภทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง

สมองของเขาตอนนี้มันทื่อ ๆ ไม่สามารถคิดอ่านอะไรได้รวดเร็ว พอไปถึงด้านหลังเซฟเฮาส์ ก็เห็นนายตำรวจอารักขาที่เฝ้าประจำจุดนี้ต่างสลบเหมือด หมดสภาพด้วยฤทธิ์ยาสะกดนั่น และเชื่อว่าในจุดอื่น ๆ ก็คงตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

มือกระชับปืนแน่น สะบัดหัวเรียกสติให้กลับคืน กลิ่นยาฉุน ๆ ลอยอบอวลไปทั่ว อากาศรอบตัวยิ่งอบอ้าวกว่าเดิม ทั้งที่ตะวันลับฟ้าไปแล้ว ความมืดของราตรีกาลครอบคลุม ความร้อนอ้าวยังอยู่ บรรยากาศชืด ๆ ทึม ๆ กระจายทั่ว คล้ายอุ้งมือมหายักษ์กำลังบีบรัดพวกเขาอย่างย่ามใจ

นภหายใจติดขัดไม่สะดวก ตาพร่า มองเห็นเงาไม้รอบตัวซ้อน ๆ กันหลายต้น เขาสะบัดหัวอีกครั้ง ล้วงยาลูกกลอนที่เหลือกลืนกินจนหมด เดินโซซัดโซเซไปที่ก๊อกน้ำใช้รดต้นไม้

มือข้างที่ไม่ถือปืนเปิดก๊อกน้ำ เอาหัวจุ่มลงไปให้น้ำเย็น ๆ ช่วยเรียกความสดชื่นคืนมา

เพียงชั่วไม่กี่นาที เขาก็ต้องรีบกระโจนออก เมื่อน้ำในก๊อกร้อนฉ่า ไอน้ำพวยพุ่งเป็นควันขาว รีบลุกขึ้น ถอยหลังกลับไปยังจุดเดิมของตน

สติแจ่มใส อาการผะอืดผะอมในท้องลดลง ขยับตัวมาหลบยังจุดที่มีนายตำรวจสลบอยู่ ดูสีหน้าอาการตำรวจนายนั้นแล้ว ยังไม่น่าช่วยอะไรได้

ชายหนุ่มถอนใจ บรรยากาศเงียบกริบ เงียบจนน่าหวั่นใจ ไม่มีเสียงคำสั่งจากทางวิทยุ เชื่อว่าตอนนี้ นอกเซฟเฮาส์คงมีแค่เขากับท่านรองฯ ที่ยังมีสติ ไม่สลบไสล

ตอบตนเองไม่ถูกว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร พวกเขาอยู่เพื่อจัดการกับคิม หรือยืนเป็นเหยื่อให้คิมเลือกที่จะจัดการเชือดแบบไหนเท่านั้นเอง

เสียงหัวใจดังตุบ ตุบพร้อมกับบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ความอบอ้าว กลิ่นฉุนของยาสลบรุนแรงขึ้น มันกำลังหมุนวนอยู่รอบ ๆ ราวกับมีใครมากวนพวกมันจนก่อให้เกิดกระแสรุนแรงเพิ่มขึ้น

นภตาลาย มึนเบลอ มองภาพตรงหน้าสะเปะสะปะ แยกแยะไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร แสงสีวูบวาบ บาดตา เห็นคนจำนวนมากดาหน้าเข้ามาหาพร้อมอาวุธครบมือ

ภาพลวงตา...ภาพลวงตา เขากระซิบย้ำกับตนเองซ้ำ ๆ

แล้วภาพของกลุ่มคนหน้าถมึงทึง พร้อมอาวุธครบก็แปรเปลี่ยน กลายเป็นกองทัพปีศาจร้าย ส่งเสียงกระหึ่มข่มขวัญ คืบคลานเข้ามาใกล้

นภเห็นพวกมันชัดเจน ชัดขนาดที่มองภาพเงาสะท้อนของตนเองผ่านนัยน์ตาของมันได้ ภาพสะท้อนนั้น เป็นร่างของเขาที่กำลังนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

นายตำรวจหนุ่มกัดฟันแน่น...ย้ำตัวเองชัด ๆ ซ้ำ ๆ ว่ามันคือภาพลวงตา...

ปืนยังกำในมือ ยกเล็งตรงนัยน์ตาเจ้าปีศาจร้ายตัวแรก เจ้าของดวงตาที่ปรากฏเงาสะท้อนร่างอันน่าอดสูของเขาเอง

ปัง...ปัง...ปัง...ชายหนุ่มเหนี่ยวไก ยิงจนกระสุนหมดแม็ก สไลด์ปืนค้าง ควันจากปากกระบอกปืนลอยเอื่อย

หัวใจเต้นแรงกว่าที่เคยแรง ริมฝีปากสั่นระริก ปีศาจร้ายตนนั้นหายไปแล้ว กองทัพด้านหลังของมันก็พร่าเลือน สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือความมืด...มืดสนิท มองไม่เห็นกระทั่งปืนในมือ

จู่ ๆ เรี่ยวแรงในกายหายวูบ ปืนหล่นจากมือ ก่อนที่ความมืดจะโถมทับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้ตั้งตัว ไม่มีโอกาสดิ้นรน

สติดับวูบ พร้อมความมืดอันน่าสะพรึงนั้น



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



เมื่อได้ยินเสียงปืนดังถี่ ๆ จนเงียบสนิทจากด้านหลังเซฟเฮาส์ ท่านรองฯ ก็คาดการณ์ได้ว่า นภคงพลาดท่าเสียทีแล้ว ขณะนี้เหลือเขาคนเดียวที่ยังยืดหยัด ต่อต้านคนร้ายในเงามืดผู้นี้

กลิ่นฉุนของยาสลบยังลอยเอื่อย ๆ ท่านรองฯ ล้วงมือหยิบยามาจากกระเป๋า มันเหลือแค่สามสี่เม็ด เขาจึงค่อย ๆ กินมันลงไปอย่างช้า ๆ ระมัดระวังจนหมด แล้วปลดกระดุมเสื้อดึงสายเชือกถักที่คล้องคอออกมา

มันเป็นสายเชือกถักลงอาคมแบบเดียวกับที่เคยให้ท่านธีรนัฐไว้ใช้ และเป็นเส้นเดียวที่เหลืออยู่

ท่านรองฯ พนมมือ ใช้นิ้วโป้งเกี่ยวสายเชือกถัก สวดมนต์รำลึกถึงครูบาอาจารย์เพื่อเรียกกำลังใจ ให้เกิดสติ พร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายเต็มที่

ทันทีที่สวดจบบท มือคลายจากการพนม เอื้อมไปดึงปืนที่เหน็บข้างเอวขึ้นมา บรรยากาศรอบกายก็เปลี่ยนไป สายลมพัดอู้ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว กลิ่นฉุนของยารุนแรงกว่าเดิม ท้องฟ้ามืดยิ่งกว่าเคยมืด

ไฟบนเสาหน้าเซฟเฮาส์ดับลงทีละดวง ความมืดกล้ำกรายเข้ามาอย่างฮึกเหิม ไม่เกรงกลัว

นายตำรวจผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับมองตรงหน้า จิตใจหนักแน่น มั่นคง เห็นกระแสลมที่พัดอู้ ๆ นั้นเพียงหมุนรอบตัวเขา ความมืดรอบตัวก็กำลังบีบเข้ามาอย่างอหังการ

ริมฝีปากเหยียดออก ขยับท่องมนตราบางบท จิต สมาธิ และมนตรา รวมเป็นหนึ่ง สายเชือกที่คล้องคอเปล่งแสงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนที่ท่านรองฯ จะยกปืนขึ้นเหนือหัว แล้วเหนี่ยวไกด้วยความมั่นใจ

ปัง....เสียงปืนดังลั่น สะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา

สิ้นเสียงปืน สายลมที่กรรโชกแรงก็อ่อนกำลังลง กลิ่นยาสลบค่อยเจือจาง ความมืดถดถอย ท้องฟ้าคลี่คลาย เริ่มมองเห็นดวงดาวระยิบพราย

ท่านรองฯ ยืนนิ่ง ระบายลมหายใจแผ่วเบา นัยน์ตาเขม้นมอง เห็นอาคันตุกะรายใหม่ เป็นชายร่างสูงผอม อยู่ในชุดสีดำสนิท เดินออกมาจากเงาของต้นไม้

ไฟบนเสาหน้าเซฟเฮาส์ค่อยติดทีละดวง ส่องให้เห็นใบหน้าขาวเผือด โครงหน้าคม นัยน์ตาโตลึก จมูกเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบาง ใบหน้าคุ้นตา กิริยาคุ้นเคย

ท่านรองฯ ลดปืนลงมาจ่อเล็งชายผู้มาใหม่ ร่างนั้นเดินเข้ามาด้วยมือปราศจากอาวุธ ท่าทางผ่อนคลาย ไม่เกรงต่อปืนที่จ่อรอคุกคาม

สวัสดีครับคุณอา ชายคนนั้นยกมือไหว้ ทักทายอย่างคนรู้จักกันดี

กลด... ท่านรองฯ หลุดปากเอ่ยเรียก มือที่จ่อเล็งค่อยลดลงโดยอัตโนมัติ

ชายผู้มาใหม่คือทรงกลด...บุคคลที่ใคร ๆ คิดว่าเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีที่แล้ว

ท่านรองฯ ก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งทีเกื้อนำรูปทรงกลดมาให้ พร้อมบอกว่า...นี่คือตัวจริงของคิม!

จากนั้นเรื่องราวอันเหลือเชื่อ พิสดารของทรงกลดก็ถูกถ่ายทอดออกมา

ขนาดท่านรองฯ มีใจโอนเอน เชื่อในเรื่องของทีเกื้อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอเห็นทรงกลดมายืนต่อหน้า ก็อดแปลกใจ แกมตื่นเต้นไม่ได้

ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะครับคุณอา ทรงกลดเข้ามาใกล้อีก น้ำเสียงบอกชัดถึงความสัมพันธ์

ท่านรองฯ เป็นรุ่นน้องที่อายุไม่ห่างจากท่านทรงพลมากนัก ไปมาหาสู่กันตลอด รู้จักทรงกลดตั้งแต่เล็ก เคยชวนให้เขามาเป็นตำรวจด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ เพราะต้องการเลือกเส้นทางเป็นผู้พิพากษา

ตอนเกิดเรื่องกับท่านทรงพล ท่านรองฯ ผู้นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของเพื่อนรุ่นพี่ พยายามหาหลักฐาน พยานมาสู้ แต่ก็เจอทางตันกับอำนาจมืด สุดท้ายมาทราบว่าท่านทรงพล และครอบครัวขึ้นเครื่องบิน หนีออกนอกประเทศ จนเสียชีวิตทั้งหมด จึงหยุดการสืบสาว ติดตามคดี

ใช่...เราไม่ได้เจอกันนานเลย... ท่านรองฯ พึมพำ ก่อนได้สติ ทำไมกลดต้องมาที่นี่ด้วย

คำถามบอกชัด รู้ถึงเจตนาอีกฝ่าย

คุณอาก็ทราบนี่ครับ ว่าผมมาทำไม ทรงกลดตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ

ใช่...อารู้ ผู้สูงวัยกว่ายอมรับแต่...กลับไปเสียเถอะกลด...อย่าทำอะไรท่านศักดิ์ชายเลย

ท่านรองฯ เอ่ยชื่ออดีตนายกฯ ชัดถ้อยชัดคำ

อาจะให้ผมกลับ ทั้งที่รู้ว่าเขาทำอะไรกับครอบครัวผมงั้นหรือครับ ทรงกลดถาม

กลดไม่มีสิทธิพิพากษาใครนะ

แล้วทำไมเขาถึงทำกับครอบครัวผมได้ขนาดนั้นโดยไม่มีใครเอาผิดได้

เพราะตำรวจและผู้พิพากษาจะเชื่อถือในพยานและหลักฐาน ท่านรองฯ ตอบ

ผมว่าเกื้อคงเอาเอกสารต่าง ๆ ให้อาดูทั้งหมดแล้ว...แค่นั้นยังไม่พอหรือครับ

กลดก็จบกฎหมาย น่าจะรู้ดีว่า หลักฐานแค่นั้น มันไม่พอแม้แต่จะยื่นขอให้อัยการส่งฟ้องศาลด้วยซ้ำ

ใช่ครับ...ไม่พอให้อัยการส่งฟ้อง...แต่น่าจะพอ สำหรับคนที่เป็นตำรวจมาทั้งชีวิตอย่างคุณอา จะรู้ว่านายศักดิ์ชายและพรรคพวก ทำอะไรลงไปบ้าง

ใช่...พอ ท่านรองฯ ไม่ปฏิเสธ



เมื่อห้าหกปีก่อน...เป็นช่วงเวลาของการใกล้หมดวาระของรัฐบาล อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่

นายศักดิ์ชาย ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรีที่ใกล้หมดวาระ จำเป็นต้องระดมหาทุนเพื่อการเลือกตั้งครั้งสำคัญ

ระยะเวลาสี่ปีที่ดำรงตำแหน่งรัฐบาล เกิดเรื่องเสียหายจนประชาชนเสื่อมความนิยมมากมาย ต้องปรับคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง บางครั้งก็ต้องเชิญคนนอกอย่างท่านทรงพล ที่คนทั่วไปยอมรับ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

นอกจากนี้ ฐานเสียง ฐานคะแนนของพรรคก็สั่นคลอน เริ่มมีการแปรพักตร์ หากจะมีการประมูล ซื้อตัว ก็ต้องใช้เงินเป็นตัวเลขหลายหลัก

ดังนั้น การระดมทุนจึงต้องหามาจากทุกวิถีทาง และหนึ่งในนั้นคือการอนุมัติโครงการสัมปทานระดับเมกะโพรเจ็กต์หลายโครงการ และเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการประมูลงาน เงินใต้โต๊ะ และซองขาวจึงมีจำนวนมหาศาล

นายศักดิ์ชาย คิดว่าการประมูลสัมปทานแบบไม่โปร่งใสของโครงการใหญ่เหล่านั้น คงถูกปิดสนิท ไม่มีใครรู้ ปรากฏว่ามีข่าวเล็ดรอดออกไปถึงสองสามราย นั่นคือรายของนายคะนึง เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และรายของคุณหญิงอัปสร เจ้าแม่ในวงการธุรกิจ โดยพัวพันถึงคนอนุมัติคือนายโกวิท และนายดนู

เรื่องอาจไม่ถึงขั้นใหญ่โต ถ้าคนเป็นรัฐมนตรียุติธรรมจะไม่ใช่ท่านทรงพล บุคคลที่ได้ชื่อว่า ตงฉิน คนหนึ่งในยุคนี้

นายศักดิ์ชายเคยส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านทรงพลวางเฉย แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างนิ่มนวล หนำซ้ำยังมีการเตรียมลงดาบทันที สุดท้ายต้องมีการลงขันวางแผนกำจัดท่านทรงพลเสียก่อน เพราะหากแฉ และเอาผิดเรื่องประมูลสัมปทานครั้งนี้ รับรองว่าต้องเป็นข่าวใหญ่ ให้ฝ่ายค้านโจมตี

เก้าอี้นายกฯ สะเทือนไม่เท่าไหร่ แต่การที่ประชาชนหมดศรัทธาในพรรค ทำให้การเลือกตั้งพลิกผัน กลับขั้ว เกิดการตามเช็คบิลกันทีหลัง จะเป็นสิ่งน่ากลัวเกินคาด

แผนการล้มท่านทรงพลเป็นไปตามเป้าหมาย คนของนายเกริกภพทำงานได้ดี ตั้งแต่เข้าไปขโมยของในบ้าน แล้วแกล้งให้ถูกจับได้ จนถึงขั้นโกหกป้ายสี กุเรื่องเงินสดนับร้อยล้านในบ้านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม จนสามารถโยงไปถึงคดีค้ายาเสพติดในเรือนจำหลายแห่ง

แผนเกือบพลิกตอนท่านทรงพลกับครอบครัวเตรียมหนีไปต่างประเทศ แต่ด้วยคำสั่ง และเส้นสายของคนระดับนายศักดิ์ชาย บวกกับฝีมือของคนจากนายเกริกภพ ทำให้การลอบวางระเบิดสำเร็จรอย่างที่วางไว้

ส่วนนายเดชาที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต่อ ก็สามารถเก็บกวาด และปิดคดีได้เรียบร้อย

ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า อีกห้าปีต่อมา คนที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้น จะทยอยตายไปทีละคนอย่างทรมาน โดยไม่ทราบสาเหตุ

ท่านรองฯ อ่านข้อมูลของทีเกื้อ แล้วเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ข้อมูลนั้นเป็นหลักฐานที่อ่อนเกินกว่าจะเอาผิดคนระดับนี้ได้ ถึงจะมีใจเชื่ออย่างไร ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่สมควรกระทำ หนำซ้ำยังต้องมาคุ้มครองคนผิดเสียอีก



ครับ...ผมเชื่อว่าคุณอาคงเข้าใจ แต่ก็มีหน้าที่ต้องปกป้องมัน!” ทรงกลดพูดเสียงแผ่ว มีกระแสกร้าวแข็งอยู่ในนั้น

อาเป็นตำรวจ และอากำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ท่านรองฯ ตอบ

หน้าที่ปกป้องคนผิดงั้นหรือ น้ำเสียงเย้ยหยัน

เปล่า...อากำลังปกป้องไม่ให้ บางคนต้องทำผิดอีกต่างหาก คำพูดชัดเจน แววตาจริงใจ

ทรงกลดอึ้ง นัยน์ตาอ่อนแสงลง ก่อนลุกวาวเรืองโรจน์ขึ้นมาทันใด ยกมือชี้ไปที่ลำคอท่านรองฯ เชือกอาคมที่คล้องคออยู่นั้นก็ร้อนวาบ ขาดผึง หล่นเป็นผงดำ ๆ กระจายบนพื้น

กลด!” ท่านรองฯ อุทานตกใจ แม้จะเห็นฝีมืออีกฝ่ายตั้งแต่ต้น ก็ยังคาดไม่ถึงกับการกระทำครั้งนี้

ไม่ต้องมาปกป้องผมหรอกครับ...ในเมื่อคุณอาเองก็ยังไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย คำพูดเรียบนิ่ง ชวนขนลุก

ท่านรองฯ เกือบก้าวถอยหลังด้วยใจหวั่น ทว่ายังฝืนข่มใจให้เข้มแข็ง ประสานสายตากับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรง แค่เห็นฝีมือทำลาย ของขลัง ชิ้นเดียวของเขาแบบนี้ ก็รู้ว่าหากชายหนุ่มจะลงมือทำร้ายตนเอง นับว่าง่ายเหลือเกิน

มันง่ายจนทำให้จิตใจท่านรองฯ ก้าวข้ามขีดความกลัวไปแล้ว

เอาสิกลด ถ้าจะทำอะไรท่านศักดิ์ชาย ก็ต้องผ่านอาไปก่อน คำพูดสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยการท้าทาย

ผมไม่ทำร้ายคนดีหรอกครับ ทรงกลดบอกชัด แต่ผมอยากถามคุณอาสักข้อ

ชายหนุ่มพูดช้า ๆ แต่ละคำมีน้ำหนักชวนให้คนฟังสนใจ คล้อยตาม

คุณอาเป็นตำรวจ...หน้าที่ตำรวจคือจับคนร้าย นำคนผิดมาลงโทษ...ผมเชื่อว่าตลอดชีวิตการทำงานของคุณอา คงได้พบ ได้เห็น คนร้ายจำนวนมากที่ทำผิดแล้วยังลอยนวล เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม โดยที่ตำรวจเอาผิดไม่ได้ เนื่องจากขาดพยาน หลักฐาน

คำพูดนี้ทำให้ท่านรองฯ สะท้านไปทั้งใจ...ภาพเก่า ๆ ในชีวิตการทำงานถูกย้อนทวนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

คุณอาอาจเคยปล่อยคนผิด ทั้งที่รู้ว่ามันผิดจริง แต่ศาลกลับตัดสินว่ามันไม่ผิด เพราะหลักฐาน พยานอ่อนเกินไป...ตอนนั้น...คุณอารู้สึกอย่างไรครับ...

แค้นสิ...โกรธจนพูดไม่ออก ...ท่านรองฯ ตอบในใจ

และบางครั้ง คุณอาก็เห็นว่าไอ้คนที่มันถูกปล่อยตัวออกมานั้น กลับมาทำความผิด ความเลวร้ายแบบเดิมซ้ำอีก แถมยังลอยหน้าบอกว่า ยังไงก็ไม่มีใครเอาผิดมันได้ ครอบครัวมันยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลมากพอ รอบรู้กฎหมาย สามารถอุดช่องโหว่ต่าง ๆ ทำให้หลักฐานพยานอ่อน จนคดีของมันต้องถูกยกฟ้องทุกครั้ง

เวลานั้น ใจท่านรองฯ เดือดปุด ๆ เมื่อนึกถึงหน้าของหลายคน ที่แสดงอาการ ท่าทางอย่างทรงกลดบอก

หลายคนบอกให้เชื่อในกฎแห่งกรรม คนทำชั่วย่อมได้รับผลชั่วแน่นอน...แต่กฎแห่งกรรมก็ทำงานช้าเหลือเกิน...

ทรงกลดหยุดพูดนิดนึง จ้องตาผู้สูงวัย ด้วยแววตาเจิดจ้ากว่าทุกครั้ง

มันจะดีกว่านี้ไหมครับคุณอา...ถ้าจะมีใครสักคน ทำหน้าที่แทนกฎแห่งกรรม ให้คนเลว คนชั่วพวกนั้นได้รับผลชั่วของมันอย่างรุนแรง ทันตาเห็น...ให้คนที่คิดจะทำชั่วต่อไปเกิดความหวาดกลัวผลกรรม จนไม่กล้าทำผิด คิดชั่วอีก

ท่านรองฯ เผลอพยักหน้า จิตใจเห็นด้วยกับคำพูดฝ่ายตรงข้าม

ผมจะเป็นตัวแทนกฎแห่งกรรมเองครับอา...ผมนี่แหละจะทำให้คนชั่วได้รับผลชั่วของมันอย่างทันตาเห็น ผมจะทำให้พวกมันทรมานจนแดดิ้นตาย เหมือนอย่างที่มันเคยทำกับคนอื่น...ได้โปรดเถอะครับคุณอา โปรดหลีกทางให้ผม...ให้ผมได้ไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์

คำพูดทรงกลดกังวานอยู่ในหัวท่านรองฯ ภาพเก่า ๆ ที่เคยพบมาตลอดชีวิตการทำงานเวียนมาให้เห็น ความเจ็บปวด เคียดแค้นในความอยุติธรรมประเดประดังขึ้นมาในจิตใจ

สุดท้าย เขาก็เห็นด้วยกับทรงกลด เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูด

เอาสิกลด...ไปเลย...อาไม่ขวางอีกแล้ว ท่านรองฯ พูดอย่างเผลอไผล แทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

ทรงกลดยกมือไหว้ ก้มศีรษะขอบคุณ ก่อนเดินเลี่ยงไปทางประตูเซฟเฮาส์

ท่านรองฯ ทรุดฮวบลงกับพื้น ร่างกายไร้เรี่ยวแรง พลังงานถูกสูบโดยไม่รู้ตัว เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า เพลียทั้งกายและใจ อยากจะพักผ่อน นอนหลับให้เต็มอิ่ม หลับลึก เพื่อจะได้ลืมเหตุการณ์อยุติธรรมเก่า ๆ ที่เคยพบเห็น...ลืม...ลืมให้สิ้น จิตใจเขาจะได้เป็นปกติเสียที



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -  - - -   - - -   - - -   - - -



บทที่ ๒๙



ทรงกลดเดินผ่านนายตำรวจอาวุโส ขึ้นบันไดหน้า ยกมือแตะประตู นัยน์ตาฉายแววแปลก แสดงอาการรู้สึกบางอย่าง ก่อนผลักประตูตรง ๆ ปรากฏว่ามันติดล็อก เขาจึงหลับตานิ่ง มือทาบบานประตู กำหนดนิมิตให้เห็นจุดที่ติดล็อกนั้น และใช้อำนาจจิตคลี่คลาย ปลดล็อก

เสียงดังกริ๊ก...ประตูเปิดตามมือ ด้านในมีแค่แสงสลัวของห้องโล่งชั้นนอก ยังมีห้องด้านในอีกชั้น อาจมีตำรวจอีกชุดซุ่มอยู่

ชายหนุ่มเดินเข้าเซฟเฮาส์ด้วยท่าทางสบาย ๆ ปิดประตูตามหลัง พอเดินต่อไปได้สองสามก้าวก็จงใจเหยียบพื้นบางจุด เสียงโครมครามดังลั่น ก่อนจะมีลูกกรงเลื่อนลงมาจากเพดานสกัดกั้น ครอบทางหนีของเขาไว้ทุกด้าน

ครืด...ครืด...ปัง...ตึง...

...แชะ...

ไฟเปิดสว่างโร่โดยอัตโนมัติ ทรงกลดถูกกักขังในกรง เป็นกลไกกับดักที่ติดตั้งอยู่ในเซฟเฮาส์ สีหน้าเขาไม่มีวี่แวววิตก กังวลสักนิด

ปกติหากคนร้ายติดกับดัก โดนจับเรียบร้อยเช่นนี้ ตำรวจจะกรูกันเข้ามาล้อมจับโดยเร็ว ครั้งนี้กลับไม่ใช่ ลูกกรงลงมาครอบร่างทรงกลดได้ครู่หนึ่งแล้ว บริเวณโดยรอบยังเงียบงัน

ตำรวจทุกคนในอาณาเขตใกล้เคียง รวมถึงที่ซุ่มในเซฟเฮาส์หลังนี้ล้วนโดนฤทธิ์ยาสลบของเขาจนหมดสติ ไม่มีเหลือสักคน กระทั่งคนมีวิชาฝีมือ อย่างท่านรองฯ ก็ยังโดนอำนาจมนต์กล่อมใจจนหลับใหล ไม่อาจต้านทาน

ทรงกลดรู้แต่แรกว่าเซฟเฮาส์แห่งนี้เป็นกับดัก นายศักดิ์ชายไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจงใจเข้ามาติดกับดัก เพื่อตรวจเช็คว่ายังมีตำรวจคนไหนหลงรอดจากอาคมสะกดหรือไม่

ปรากฏว่าไม่มี...เมื่อไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก

ทรงกลดยื่นมือแตะลูกกรงเหล็กตรงหน้า หลับตารวบรวมสมาธิ ก่อนผลักเบา ๆ แทบไม่ใช้เรี่ยวแรงใด ๆ ลูกกรงด้านนี้ก็หลุดตามแรงมือไปทั้งแผง เสียงล้มครืนดังลั่น

ปึง...

เปิดประตูเซฟเฮาส์ ก้าวขาจากไปโดยไม่แยแส จุดหมายต่อไปคือเซฟเฮาส์ที่เก็บตัวนายศักดิ์ชายแท้จริง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



มันเป็นบ้านรีสอร์ตหลังขนาดย่อม ไม่แตกต่าง หรือแปลกกว่าบ้านหลังอื่นในบริเวณนั้น ภายในบ้านดับไฟมืด ประตูหน้าคล้องกุญแจ บอกชัดว่าไม่มีคนอยู่

ทรงกลดก้าวขึ้นบันไดไม่ลังเล สัมผัสในใจบอกชัด บ้านหลังนี้มีพลังงานชีวิต บ้านที่ล็อกกุญแจ ไร้ผู้คน ทำไมถึงมีพลังชีวิต กระแสของลมหายใจอยู่ในนั้น

กุญแจที่คล้องประตูไม่ใช่อุปสรรค แค่เขาเอื้อมมือไปดึงมันเบา ๆ ก็หลุดดังคลิก คล้ายกับคล้องไว้เล่น ๆ ทั้งที่มันเป็นกุญแจยี่ห้อดัง ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ทนทาน

ทรงกลดเปิดประตู นัยน์ตายังไม่ชินกับความมืด เพียงก้าวสองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังกริ๊ก...

ที่มุมห้องมีเก้าอี้โยกตัวใหญ่ตั้งอยู่ ด้านข้างมีโต๊ะตัวเล็กตั้งโคมไฟสวย แสงสว่างมาจากหลอดไฟดวงน้อยในนั้น

แสงอาจไม่สว่างจ้านัก แต่สายตาของคนที่คุ้นชินความมืดมาตลอด สามารถมองเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจน บนเก้าอี้โยกมีชายร่างสูงเพรียวเพิ่งลุกขึ้นยืน หลังจากเปิดสวิตซ์ไฟ สายตาเขามองทรงกลดด้วยแววตาสงบราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก ทั้งแปลกใจหรือยินดี

อยู่ที่นี่เองหรือเกื้อ ทรงกลดทักชายหนุ่มรุ่นน้อง

ผมมารอพี่นานแล้ว ตอนได้ยินเสียงปืนก็พอเดาได้ว่า ตำรวจเกือบร้อยคนนั้น คงหยุดพี่ไม่ได้

อืม...กับดักในเซฟเฮาส์นั่นก็เหมือนกัน ทรงกลดพูดต่อ

ที่จริงท่านรองฯ ก็พยายามวางแผนรอบคอบที่สุดแล้ว ไม่มีใครมั่นใจว่าจะจับพี่ได้ กระทั่งผมเองก็เหมือนกันเราถึงพยายามหาหนทางที่ดีที่สุด

ตอนนี้ พี่ไม่มีความจำเป็นต้องหนีไปไหน ทรงกลดพูดราวกับถอนใจ

ทีเกื้อเดินออกมาจากมุมเก้าอี้โยก หยุดยืนห่างจากทรงกลดเพียงสองสามก้าว ระยะห่างขนาดนี้ เพียงพอให้ต่างฝ่ายเห็นแววตา ความรู้สึกภายในของกันและกัน

พี่กลดจำเป็นต้องฆ่าท่านศักดิ์ชายจริง ๆ หรือ? ทีเกื้อถามตรงไปตรงมา

จริง คำตอบชัดไม่ปิดบัง

ก็ได้...งั้นตามผมมา ทีเกื้อพูดพลางเดินนำหน้าไปอีกห้อง

ทรงกลดแปลกใจ คาดไม่ถึงกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากทีเกื้อ การรับคำของเขาฟังดูง่ายราวกับการฆ่าคนสำคัญระดับนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ความผิดอะไร

ถึงประหลาดใจ ทรงกลดก็เดินตามหลังนายตำรวจหนุ่มโดยไม่นึกหวั่นเกรง มั่นใจในฝีมือตนเองเปี่ยมล้น เชื่อว่าไม่มีใครสามารถกักขัง หน่วงเหนี่ยวเขาไว้ได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks







แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP