วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๔


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ภาพที่คุณหญิงเห็น เป็นเพียงภาพมายาจากคิม มันสามารถทำให้คุณหญิงระเบิดโทสะได้รุนแรงกว่าเคย

             แต่ความจริงบางอย่าง ก็อาจจุดไฟโทสะแก่คุณหญิงได้ไม่น้อยกว่ากัน

             กุหลาบแห่งความทรงจำ ที่เป็นของสำคัญในพิธีมาถึงมือคิมได้อย่างไร

             ใครเป็นคนนำมันมาให้?

             ไม่ใช่ธีรภูมิ ไม่ใช่สัตตบงกช แต่เป็นท่านธีรนัฐ สามีของเธอเอง

             คิมวางยาคนใกล้ชิดทั้งสามของคุณหญิงในเวลาเดียวกัน คือตอนที่รถโดนก้อนหินขว้างใส่ เพื่อให้มีโอกาสเข้าไปขโมยของสำคัญได้เร็วและแนบเนียนที่สุด

             ธีรภูมิกับสัตตบงกชพลาดโอกาส ส่วนท่านธีรนัฐทำสำเร็จ...สำเร็จโดยไม่รู้ตัว

             ท่านรัฐมนตรีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า คิมเคยแอบนำรูปกุหลาบดอกนี้มาให้ท่านดูในบ้าน วันเดียวกับที่เรียกให้ธีรภูมิกับสัตตบงกชไปร้านกาแฟ

             และท่านก็ไม่รู้ว่าคืนนั้นท่านก็แอบนำของออกจากบ้าน ลอบนำไปให้คิมด้วยตนเองที่หน้าสระน้ำ

             ถ้าคุณหญิงทราบเรื่องทั้งหมดนี้...เธอจะโกรธสามีขนาดไหนหนอ...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ไม่เป็นไรหรอก...เพียงแค่นี้ ความโกรธของคุณหญิงก็กลายเป็นไฟโทสะขนาดใหญ่แล้ว เปลวเพลิงแห่งความโกรธเช่นนี้ สามารถเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นจุณมหาจุณ

             เริ่มจากจิตใจคุณหญิงที่ไหม้เกรียม ร้อนเร่า จนแผ่ความร้อนไปถึงของขลังที่คล้องคอ อีกทั้งยังสามารถผลักไส พลังแห่งเมตตาที่ไหลรินเข้ามาช่วยเหลือให้แห้งหาย กลับคืน

             เวลานี้ไฟในอันร้อนยิ่งกว่าเคยร้อน กำลังผสานกับไฟนอกที่ส่งมาอย่างไม่หยุดยั้ง

             ใครฤาขวางกั้นได้




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ในห้องฉุกเฉิน

             อาการคุณหญิงอัปสรเพิ่งสงบหลังลงจากรถพยาบาล เข็นเข้ามาถึงก็ยังไม่มีอาการรุนแรงให้เห็น เอื้อกานต์ตามมาเห็นหมอ พยาบาลเตรียมพร้อม เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมพรัก

             หญิงสาวเข้าไปอธิบายอาการขั้นต้นกับคุณหมอประจำห้องฉุกเฉินสั้น ๆ เห็นอาการคุณหญิงดีขึ้นอย่างนี้แล้วค่อยคลายใจ คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรตามมาอีก

             ไม่กี่วินาทีสภาพการณ์ก็เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ร่างคุณหญิงกระตุกเฮือก เตียงสั่นดังลั่น เสียงสัญญาณชีพดังยาว บอกว่าหัวใจหยุดเต้น

             เอื้อกานต์เห็นคลื่นสีดำบิดตัวเป็นเกลียวเข้มข้น พุ่งตรงเข้าหาคุณหญิงอย่างรวดเร็ว ส่วนกลางอกคุณหญิงมีกระแสหมุนวนเป็นสีดำมืด รอเปิดรับ...พลังมืดสองด้านกำลังรวมกันแล้ว

             หมอประจำห้องฉุกเฉินคว้าเครื่องกระตุ้นหัวใจ เข้าไปปั๊มหัวใจคุณหญิงให้กลับมาเต้นทันที

             แอ้ด...ปึ้ง!

             ครั้งที่หนึ่ง...ยังเงียบ สัญญาณชีพยังไม่กลับ

             แอ้ด...ปึ้ง!

             ครั้งที่สองเพิ่มแรงขึ้นอีก ก็ยังไม่มีสัญญาณชีพ

             แอ้ด...ปึ้ง! ...พรึ่บ!

             ครั้งที่สามเกิดแรงต้านผิดปกติ ไฟฟ้าในห้องดับพรึ่บ อุปกรณ์ทุกชิ้นไม่ทำงาน กระทั่งไฟสำรองก็ไม่ติด

             เอื้อกานต์รีบเข้าไปแทนคุณหมอห้องฉุกเฉิน ใช้มือตนเองปั๊มหัวใจอีกครั้ง หลังจากช่วยสำเร็จมาแล้วบนรถพยาบาล

             ในห้องยังพอมีแสงสลัวอยู่บ้าง จึงมองเห็นเชือกอาคมที่คล้องคอนั้นมีรอยไหม้เล็ก ๆ เกิดขึ้น และมันกำลังลามไปทีละน้อย

             หญิงสาวเบิกตากว้าง สูดลมหายใจยาวลึก ดึงชายกระโปรงตนเอง แล้วปีนขึ้นไปบนเตียงคนป่วย สองมือประกบกัน ตั้งสมาธิมั่น ทาบมันลงบนหน้าอกคุณหญิง แล้วกดแบบปั๊มหัวใจ พลังสีขาวในตัวถูกถ่ายทอดไปอีกครั้ง

             คราวนี้คล้ายเผชิญพลังมืดอันน่ากลัว ก่อเป็นกำแพงหนาไม่สามารถบุกทะลวงได้ เอื้อกานต์หลับตา ระลึกถึงใจที่อยากช่วยเหลือ...ช่วยทุกคน ไม่ว่าเป็นใคร หน้าไหน...เคยดี เคยร้ายกับตนอย่างไร จิตใจยามนี้ มองทุกคนเสมอกัน ไม่มีแบ่งแยก

             กระแสคลื่นสีขาวก่อเกิดกลางอก ทยอยเข้าซัดสาดกำแพงมนตราสีดำ ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยโทสะกล้าภายใน

             พลังสองด้านยันกันอยู่ไม่นานนัก เชือกอาคมก็มีรอยไหม้เพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้น จนสุดท้ายกลายเป็นขี้เถ้า หลุดจากคอคุณหญิง

             พลังที่ปะทะเอื้อกานต์เพิ่มขึ้นนับสิบเท่าทวีคูณ แรงของมันผลักเธอจนกระเด็นตกลงจากเตียง

             เพล้ง...ตุ้บ...

             เสียงข้าวของตกหล่น พร้อมกับร่างคุณหมอหล่นมากระแทกเครื่องมือแพทย์ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ จุกเสียด เจ็บจนพูดไม่ออก

             ในห้องฉุกเฉินมืดสลัว หนำซ้ำบังเกิดกลุ่มควันสีเทาดำเข้ามาครอบคลุม หมอพยาบาลที่อยู่ในนั้นล้วนหมดสติไม่รู้ตัว

             เอื้อกานต์เหลียวมองรอบ ๆ แปลกใจที่เสียงดังขนาดนี้กลับไม่มีใครเข้ามาช่วย พอจิตเข้าสัมผัสควันเทาดำนั้นก็ได้คำตอบ อาณาเขตในห้องฉุกเฉินนี้ถูกปกคลุมด้วยมนต์ดำ คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นอะไรผิดปกติ คิดว่าหมอ พยาบาลกำลังทำงานกันอยู่

             ยันกายขึ้นด้วยอาการจุกเสียด สายตามองเห็นราง ๆ สัมผัสทางใจกลับชัดเจน ยิ่งกว่าเคยชัด เธอรู้ว่าวาระสุดท้ายของคุณหญิงใกล้มาถึง ทุกคนในห้อง กระทั่งนอกห้องก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้

             ไฟโทสะภายในกับอาคมมืดภายนอกผสานกันเป็นหนึ่งเดียว หลอมร่างกาย จิตใจคุณหญิงอัปสรให้ตกอยู่กลางกองเพลิง รอเวลาขาดใจ

             สิ่งเดียวที่เอื้อกานต์พอจะทำได้เวลานี้คือ ยืนดูคุณหญิงเสียชีวิต อย่างเช่นเคยเห็นในรายนายเกริกภพมาก่อน

             ไม่มีทางช่วย...ไม่มีทางจริง ๆ

             ชั่วขณะที่ใจยอมรับมรณกรรมรายนี้...สัญชาตญาณพิเศษในตนก็บังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

             เอื้อกานต์รู้ขึ้นมาเองว่ายังมีทางรักษาได้ เธอมองเห็นหัวใจคุณหญิงหยุดเต้น แต่ภายในยังมีไฟชีวิตหลงเหลือ เธอเห็นหนทางช่วยเหลืออีกหนทางหนึ่ง เป็นหนทางที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนเองสามารถกระทำได้

             จนกระทั่งเวลานี้ ยามที่ทุกเหตุการณ์บีบคั้นให้เห็นถึงเนื้อแท้เมตตาจิตของตน เอื้อกานต์ก็พบศักยภาพพิเศษบางอย่างที่ตนเองสามารถนำมาช่วยเหลือคนอื่น

             ความสามารถนี้ รู้ได้ด้วยตนเอง...ไม่มีใครมาสอน...

             ทว่า...เธอจะทำมันจริงหรือ?

             ทำสิ...ถ้าช่วยได้ ต้องช่วย!

             เอื้อกานต์ตอบตนเองโดยไม่ลังเล



             หญิงสาวก้าวขึ้นไปบนเตียงพยาบาลอีกครั้ง เห็นใบหน้า ร่างกายคุณหญิงเป็นสีเทาดำ มรณะจะมาเยือนในไม่กี่อึดใจ

             เอื้อกานต์ดึงมือสองข้างของคุณหญิงมาประสานไว้บนอก จากนั้นเอามือตนเองสองข้างวางทาบลงไปที่มือนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววเมตตาปราณี

             จิตใจเอื้อกานต์สว่างยิ่งกว่าเคยสว่าง กว้างขวางยิ่งกว่าเคยกว้าง ความอบอุ่น สงบเย็นแผ่ออกไปไม่มีสิ้นสุด ไม่มีประมาณ

             ความเมตตาหลอมรวมจิตใจเข้าเป็นหนึ่ง บังเกิดความอาจหาญอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่หวั่นเกรงต่อทุกสิ่งใด ใจเพียงคิดแผ่ความร่มเย็น อบอุ่นออกไปช่วยเหลือ เยียวยาทุกคน ไม่มีเว้น...ไม่แยกแยะเป็นใคร ดีหรือเลว

             แสงสีขาวโอบคลุมร่างเอื้อกานต์ แล้วส่องสว่างครอบลงมายังร่างคุณหญิงอัปสร

             มีหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยชีวิตคน ๆ นี้ได้ เป็นหนทางที่มีแต่คนจิตใจมากด้วยเมตตา กว้างใหญ่...ถึงจะกระทำได้




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             กุหลาบแห้งดอกนั้นกลายเป็นสีดำสนิททั้งดอก มันยังคงสภาพเดิมอยู่ได้ประมาณไม่ถึงนาที ก่อนเสียงสาธยายมนต์จะจบคาบ

             สิ้นเสียงสวด กุหลาบก็ป่นเป็นผงละเอียด ตะเกียงดับพรึ่บ เรือลอยลำเคว้งกลางแม่น้ำ ยามมืดสนิท

             คิมระบายลมหายใจแผ่วเบา งานครั้งนี้สำเร็จลงแล้ว มนตราจบคาบ ไม่มีกระแสต่อต้านจากพลังของเอื้อกานต์ แสดงว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องยอมปล่อยให้คุณหญิงตายโดยสุดกำลังจะช่วยเหลือ

             เสร็จจากคุณหญิง...ก็จะไปถึงเหยื่อรายที่เจ็ด...รายสุดท้าย

             หลังจากนั้น...หลังจากนั้นเป็นอย่างไร?

             ไม่รู้...

             ทำไมเขารู้สึกเคว้งคว้างเหลือเกิน ทั้งที่ยอมรับนานแล้วว่าชีวิตนี้ ไม่มีโอกาสหวนคืนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นได้อีก

             คิมหลับตา รวบรวมความเข้มแข็งขึ้นมา...งานยังไม่จบ ไม่มีเวลามาอ่อนแอเช่นนี้

             ขณะที่จิตตั้งมั่น กระแสคลื่นที่เชื่อมโยงกับเหยื่อก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้น เป็นนิมิตที่เห็นแล้วใจหายวูบ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

             พอตั้งสติได้ก็รีบติดเครื่องเรือ มุ่งหน้าไปท่าเรือที่ใกล้กับโรงพยาบาลให้มากที่สุด

             เขาได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตแล้ว!




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อจอดรถเสร็จก็รีบวิ่งไปห้องฉุกเฉินโดยไม่สนใจผู้คน ไม่ใส่ใจกระทั่งเพื่อนสนิทอย่างนภที่ร้องทักเรียกเขา

             จิตใจชายหนุ่มสั่นระรัว เกิดสังหรณ์ประหลาด สังหรณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

             ห้องฉุกเฉินปิดอยู่ คนภายนอกไม่มีใครสนใจ ทีเกื้อผลุนผลันผลักประตูเข้าไปแทบงุนงง ตกตะลึง ไม่เชื่อสายตา

             ดวงไฟกะพริบเพิ่งติด เห็นข้าวของเครื่องมือแพทย์ตกเกลื่อน หมอพยาบาลสลบไสล บนเตียงผู้ป่วยมีสองร่างนอนทับกันอยู่

             ทีเกื้อปราดเข้าไปทันที ร่างคุณหญิงนอนอยู่ข้างใต้เอื้อกานต์ ใบหน้ามีสีสันเป็นปกติ ลมหายใจระรวย แผ่วเบา แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่

             เอื้อกานต์นอนฟุบทับร่างคุณหญิงอยู่ครึ่ง ๆ ทีเกื้อประคองหญิงสาวลงมาจากเตียงด้วยจิตใจวูบไหว หวั่นกลัว ใบหน้าอันซีดเผือดของเอื้อกานต์ปรากฏแก่สายตา ร่างกายเธออ่อนปวกเปียก ต้องอุ้มลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ทะนุถนอม

             ทีเกื้อนั่งลงกับพื้น ร่างเอื้อกานต์หนุนอยู่บนตัก แววตาหวาดหวั่น ริมฝีปากเม้มแน่น ค่อย ๆ ใช้มือสัมผัสใบหน้าพี่สาว แล้วมารองที่ปลายจมูก

             ไม่มีลมหายใจ...ไม่มีอาการกระเพื่อมไหวของชีพจร

             สัมผัสของเขาเชื่อมต่อความรู้สึกสุดท้ายของเอื้อกานต์ ได้รับคำตอบที่สะท้านใจ...

             เอื้อกานต์ดึงดูดอาคมดำของคิมออกมาจากร่างคุณหญิง แล้วถ่ายทอดพลังชีวิตของเธอเข้าไปหล่อเลี้ยง ให้คุณหญิงฟื้น กลับคืนมามีลมหายใจอีกครั้ง

             มันเป็นการใช้ชีวิต แลกชีวิต

             คุ้มค่าแล้วหรือเอื้อ...คุ้มค่าแล้วหรือที่จะใช้ชีวิตอันมีค่าของตัวเอง ไปแลกกับชีวิตนางมารร้าย ที่ก่อเวรก่อกรรมกับพวกเขามาตลอดแบบนี้

             ทำไม...ทำไม...?

             ทีเกื้อเฝ้าถามพี่สาวอยู่ในใจ โดยไม่ได้รับคำตอบใดกลับคืน...

             เขารู้เอื้อกานต์เป็นอย่างนี้เอง...

             เธอมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น มีความสุขที่เห็นคนป่วยของเธอรอดชีวิต ต่อให้เป็นคนเลวร้ายอย่างคุณหญิงอัปสร หากมีหนทางช่วยเหลือ ต่อให้เอาชีวิตตัวเองเข้าแลก เธอก็จะทำโดยไม่ลังเลเลย



             เอื้อ...เอื้อ...อยู่ที่ไหน...เอื้อ...อยู่ไหน...บอกมาหน่อยสิ...บอกมา

             ทีเกื้อส่งสัญญาณเรียกหญิงสาวซ้ำแล้วซ้ำอีก

             ผลคือความเงียบงัน...

             ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเอื้อกานต์...เอื้อกานต์ไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว

             น้ำตาชายหนุ่มหยดลงบนแก้มพี่สาวอย่างช้า ๆ




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๒๑



             อะไรคือความตาย?

             ความตายคือการที่คุณไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเดิม ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนที่คุณรัก คุ้นเคย ไม่สามารถรักษาลมหายใจอันมีค่าได้อีกตลอดไป...ใช่หรือไม่

             คำตอบของความตายมีมากมาย แล้วแต่ประสบการณ์ มุมมองของแต่ละคน

             คุณหญิงอัปสรคิดว่าตนเองต้องตายแน่!

             มันเริ่มจากความร้อนรุนแรง ทุกข์ทรมานเกินทนจนต้องกรีดร้อง ทุรนทุราย ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดก็ไม่ได้จางหาย หนำซ้ำยิ่งทวีความร้ายกาจมากขึ้น ร่างกายแทบทนไม่ไหว

             สติขาดหายแหว่งวิ่น ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในหัวมีภาพต่าง ๆ ไหลเวียนมาไม่หมดสิ้น บางภาพคุ้นเคย บางเรื่องราวจำได้ ใบหน้าบางคนจดจำ บางคนลืมเลือนไปแล้ว

             เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยกระทำทั้งดี ทั้งร้าย ผู้คนมากมายที่เคยพานพบ ทั้งรัก ทั้งเกลียด เหล่านี้ล้วนกลับมาให้คุณหญิงได้เห็น ได้ระลึกถึงอีกครา

             คุณหญิงมองเรื่องราว ผู้คนที่ผ่านมาในชีวิตตนด้วยความรู้สึกอย่างเป็นคนนอก เป็นแค่คนดูเฉย ๆ จนเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น นั่นคือ เห็นตนเองเป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่งบนโลก ซึ่งเล่นตามบทบาท เหตุการณ์ที่มากระทบ

             คุณหญิงเคยรับบทเป็นลูกสาวมหาเศรษฐี สวย ไว้ตัว หยิ่งผยอง ตกหลุมรักชายหนุ่มมีแต่ตัว กับความมุ่งมั่น บากบั่น เธอรักเขา หวงเขา เป็นเจ้าของเขา ต้องการให้เขาดำเนินชีวิตไปตามที่ตนเองต้องการ

             ตอนนั้นคุณหญิงต้องแสดงบทเคี่ยวเข็ญ บีบคั้น ผลักดันให้เขาไปสู่จุดที่สูงที่สุด เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ใหญ่ยอมรับว่าเธอเลือกผู้ชายไม่ผิด

             พอเขากระทำเรื่องผิดคาด ด้วยการมีผู้หญิงคนใหม่ คุณหญิงก็แสดงบทโกรธ อาละวาด สวมหน้ากากนางมารร้าย ประกาศให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นทันที

             มารหัวใจตาย ก็ยังหลงเหลือลูกแฝด เข้ามาอาศัยในชายคาบ้าน คุณหญิงแสดงบทแม่เลี้ยงใจร้าย โขกสับ บีบคั้น ทำร้ายจิตใจเด็กด้วยวาจาเชือดเฉือน ไม่มีเมตตา

             จนถึงวันนี้ คุณหญิงรับบทเป็นนางพญา ผู้บงการชีวิตคนรอบตัว นางพญาที่ใคร ๆ ต่างเกรงกลัว ไม่กล้าโต้เถียง ขัดแย้ง

             ทว่า...วินาทีนี้ วินาทีที่ความเจ็บปวด ทรมานรุมเร้าจนถึงที่สุด คุณหญิงก็รู้สึกว่า เธอกำลังจะได้รับบทบาทสำคัญ...บทบาทที่ไม่มีใครต้องการ...บทความตาย!

             เมื่อต้องมารับบทตาย กำลังจะเป็นคนตายในอีกไม่กี่วินาทีนี้ คุณหญิงกลับรู้สึกว่า...แท้จริงแล้ว เธอไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย...ความตายต่างหาก ยิ่งใหญ่กว่าเธอ ความตายต่างหาก กำลังจะกลืนกิน โดยเธอไม่มีโอกาสดิ้นรน ขัดขืนได้เลย

             เพราะความตาย...เป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถบังคับ ควบคุมได้

             เมื่อมองย้อนไปในภาพรวมของชีวิตที่ผ่านมา จนถึงบทเกือบสุดท้ายนี้ คุณหญิงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองคือใคร เธอเกิดมาเพื่ออะไร แล้วที่แสดงบทบาทต่าง ๆ มานั้น...สุดท้ายแล้วได้อะไร?

             ความนิ่ง...เงียบงัน...เคลื่อนผ่านยาวนาน...นาน...จนน่ากลัว

             คุณหญิงตกอยู่ในภวังค์ของปัญหา ความสงสัยอันน่าพรั่นใจ โดยไม่มีคำตอบใดหลุดออกมา

             สุดท้าย...เธอก็ร้องไห้...ร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจอย่างหาทางออกไม่ถูก รู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเคยเศร้า เสียใจยิ่งกว่าเคยเสียใจ...และที่น่ากลัวไปกว่านั้น...เธอไม่รู้ตนเองเศร้า เสียใจด้วยเรื่องอะไร

             คุณหญิงรู้แค่เธอยังไม่อยากตาย...ไม่ใช่ว่ากำลังกลัวตาย...แต่เธอไม่อยากตายในขณะที่ยังค้างคาใจกับปัญหามากมายขนาดนี้

             เธอคร่ำครวญ วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เธอรอดพ้นจากความตาย ขอให้ความเจ็บปวดทรมานเกินทนนี้ได้คลี่คลาย สูญหายไปเสียที

             ขณะความมืดมิดกำลังจะถาโถมลงมาพร้อมความเจ็บปวดมหันต์ระลอกสุดท้าย บังเกิดแสงสว่าง ยิ่งกว่าความสว่างใดฉายกราดมาในความรู้สึกสับสน มัวซัว ขับไล่ความมืดให้ถอยห่าง แล้วซึมแทรกเข้ามาขจัดความอึดอัด ร้อนเร่าภายในร่างกาย ให้ความเจ็บปวดทรมานบรรเทา เบาบางลง

             นี่อาจเป็นเพราะคำภาวนาส่งผล บุญเก่ายังหนุนนำ หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของคุณหญิง เธอถึงผ่านความเจ็บปวดสาหัสขนาดนั้น แล้วหลุดอีกร่างออกมาเป็นคนดู

             คุณหญิงเห็นร่างกายตัวเองนอนอยู่บนเตียงพยาบาล ใบหน้าเป็นสีเทาคล้ำ แทบไม่ต่างจากซากศพ และเห็นเอื้อกานต์ ลูกเมียน้อยที่เธอแสนเกลียดชังกำลังใช้สองมือประกบทับกับมือที่ประสานวางบนอกของเธอ

             แสงสีดำถูกดึงดูดจากตัวเธอเข้าไปสู่เอื้อกานต์ และแสงสว่างสีขาวจากเอื้อกานต์รวมตัวเป็นลำสว่างซึมแทรกเข้าไปแทนที่

             มองแค่นี้ใครก็รู้...เอื้อกานต์กำลังใช้ชีวิตของตนเอง มาช่วยชีวิตคุณหญิงเอาไว้

             คุณหญิงอธิบายความรู้สึกในขณะนี้ไม่ถูก ว่ามันกำลังอึดอัด กระอักกระอ่วน หรือละอายใจ

             คนที่เธอเกลียดชัง และทำร้ายมาตลอด กลับใช้ชีวิตตนเองมาช่วยชีวิตเธอ

             สิ่งที่เห็นปรากฏไม่นานนัก คุณหญิงถูกดูดกลับมายังร่างตนอีกครั้ง คราวนี้สติ ความรู้สึกตัวเลือนหาย เลื่อนลอย และหลับลึกเข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งการพักผ่อน หลังจากร่างกายเผชิญทุกขเวทนาแสนสาหัส




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             น้ำตา...เป็นสิ่งที่ผู้ชายอย่างทีเกื้อไม่ค่อยมีให้ใครเห็น

             ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยร้องไห้

             ความที่ถูกสั่งสอนมาตลอดว่าลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง ไม่ยอมให้ใครเห็นน้ำตา หล่อหลอมจนดูเหมือนเขาสามารถอดทนต่อสิ่งบีบคั้น เรื่องราวเจ็บปวดต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ

             แต่มันไม่ใช่ครั้งนี้

             ครั้งที่รู้สึกถึงการสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิต

             เอื้อกานต์...ครอบครัวคนเดียวที่ยังเหลืออยู่

             คนที่อยู่ร่วมท้องกันมาเก้าเดือน เกิดตามมาในเวลาไล่เลี่ย เลี้ยงดู เติบโตมาด้วยกัน รู้จิตรู้ใจกันแทบทุกเรื่อง

             การสูญเสียครั้งนี้จึงหนักหน่วงอย่างยิ่งสำหรับเขา!

             เอื้อกานต์ดูคล้ายนอนหลับ สีหน้าสงบ มีรอยยิ้ม เพียงแต่ใบหน้าเป็นสีเทาคล้ำ หัวใจไม่เต้น ร่างกายไม่มีการตอบสนอง และไม่สามารถรับการสื่อสารจากเขาได้อีกต่อไป

             อย่างนี้ใช่ไหมความตาย?

             หัวใจทีเกื้อเจ็บปวดจนเกินกว่าคำว่าเจ็บปวด มันเจ็บจนชาด้านไร้ความรู้สึก ไม่สนใจผู้คน ไม่สนใจหมอพยาบาลตำรวจที่กรูตามเข้ามาในห้องฉุกเฉิน

             เสียงพูดจาแตกตื่น ตกใจกับสภาพที่เห็น หมอพยาบาลที่สลบไสลในห้องถูกนำตัวไปปฐมพยาบาล หมออีกชุดที่ตามเข้ามารีบไปดูแลอาการคุณหญิงอัปสรบนเตียง



             นภเดินเข้ามาหาทีเกื้อ มองเห็นสภาพเอื้อกานต์ที่นอนบนตัก ใบหน้าสีเทาคล้ำ ไม่มีอาการกระเพื่อมไหวหายใจ ยิ่งเห็นสีหน้าทีเกื้อก็พอเดาเหตุการณ์ เรื่องราวได้ ใจเขาก็เจ็บปวดไม่น้อย แต่เห็นสภาพเพื่อนที่เหมือนคนหมดอาลัยขนาดนั้นเขาจึงพยายามฝืนเข้มแข็ง

             ไอ้ที... เสียงเรียกกึ่งเกรง กึ่งไม่แน่ใจควรพูดจาอย่างไร

             ทีเกื้อสบตาเพื่อนด้วยแววตาเลื่อนลอย เกือบเหมือนคนเสียสติ นภทำใจกล้า เอื้อมมือไปแตะชีพจรข้อมือเอื้อกานต์ หวังว่าจะได้รับสัญญาณการมีชีวิต ทว่า...มันเงียบสนิท...นิ่ง...ไม่มีการตอบสนอง

             นภรีบหันไปหาหมอที่อยู่ใกล้

             คุณหมอครับ...มาทางนี้หน่อย

             ไม่ต้อง!” ทีเกื้อตวาดลั่น

             มึงไปเลย อย่ามายุ่ง ไม่มีใครช่วยเอื้อได้แล้ว

             เสียงตวาดดุ มีพลังข่มขู่จนหมอ พยาบาลคนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ นัยน์ตาเขาวาวโรจน์ดุจสัตว์ร้ายบาดเจ็บ ประกายของมันฉายแววน่ากลัวกว่าจงอางหวงไข่ ความดุร้าย และพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้ทุกคนในห้องต้องก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

             นภอาศัยความเป็นเพื่อนสนิท ทำใจกล้าเอ่ยปากแบบใจดีสู้เสือ

             ให้หมอเขาดูอาการหมอเอื้อก่อนดีมั้ย เผื่อยังไงพอช่วยได้

             ไม่ต้อง! กูรู้...หมอที่ไหนก็ช่วยเอื้อไม่ได้หรอก อย่ามายุ่งกับกู...ไป!”

             เสียงทีเกื้อไม่ใช่แค่ดังอย่างเดียว มันมีกระแสของความคั่งแค้น ปวดร้าว และความอาฆาตกร้าวแกร่งบางอย่างที่สยบทุกคนให้ยิ่งถอยห่าง

             หมอกับพยาบาลพยักหน้าให้กัน แล้วย้ายคนป่วยอื่นออกไปอีกห้อง ปล่อยให้ชายที่มีลักษณะใกล้บ้าได้มีเวลาทำใจสักระยะ

             นภยังไม่ยอมขยับไปไหน ถึงรู้เอื้อกานต์ไม่มีลมหายใจ ก็ยังอยากให้หมอช่วยยื้อชีวิตอีกครั้ง

             ที...ให้หมอเขาลอง...

             ยังพูดไม่ทันจบ ทีเกื้อก็สวนทันที

             ถ้ามึงไม่ไป กูยิงมึงเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มชักปืนออกมาจ่อตรงหน้า แววตาไม่บอกว่าล้อเล่น

             เป็นครั้งแรกที่นภรู้สึกว่าตนไม่เคยรู้จักทีเกื้อ และเป็นครั้งแรก...ที่เขากลัวเพื่อนคนนี้จับใจ

             นภยอมถอยห่าง ปล่อยให้ทีเกื้ออยู่เพียงลำพังกับร่างไร้ลมหายใจ และความเงียบเหงา วังเวงที่โอบล้อมสองร่างราวกับเป็นฉากกั้น แยกจากโลกภายนอก



             หลังจากทุกคนถอยห่าง ได้ระบายอารมณ์เต็มที่ ทีเกื้อค่อยสงบลง ก้มมองหน้าเอื้อกานต์ด้วยหัวใจรวดร้าว ว้าเหว่ เหมือนชีวิตครึ่งหนึ่งขาดหาย

             ภาพวันเก่า ๆ ย้อนทวนความทรงจำ ทั้งความสุข ความเศร้า สองคนเคยหัวเราะ ร้องไห้ ทะเลาะ ตีกัน แล้วกลับมาดีกัน...ราวกับเพิ่งผ่านมาไม่นาน

             ยามสองพี่น้องทะเลาะกัน แม่จะเป็นตุลาการตัดสินความ เสียงนุ่มหวาน อ่อนโยนของแม่ยังก้องในหู

             จะทะเลาะกันไปทำไมลูก เป็นพี่น้องกันแท้ๆ

             ก็เกื้อมันมาหาเรื่องก่อนนี่

             เอื้อต่างหากหาเรื่องก่อน

             ทั้งสองเถียงกันวุ่นวาย จนแม่ต้องทำใจเย็นอธิบาย

             ใครหาเรื่องใครก่อน แม่ไม่รู้หรอก...แต่เราน่ะ ให้อภัยกันได้มั้ย เอื้อกับเกื้อมีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นนะ คุณตาท่านก็เสียแล้ว ถ้าแม่ตายไปอีกคน ลูกจะทำยังไง

             ไม่เอา เกื้อไม่ยอมให้แม่ตาย

             ความตาย...มันเอาแน่ไม่ได้หรอกลูก...แม่อาจอยู่ได้อีกไม่นาน...คราวนี้ก็จะเหลือแค่ลูกสองคน...ถ้ายังทะเลาะกัน ไม่รักกัน ไม่สามัคคีกันแบบนี้ ต่อไปลูกจะพึ่งใคร

             สองพี่น้องเงียบ ก้มหน้าฟัง น้ำเสียงแม่อบอุ่น ใสเย็นเปี่ยมด้วยความเมตตา อาทร

             รู้มั้ย...ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่า...เอื้อกับเกื้อ...

             คำถามทำให้สองฝาแฝดเงยหน้า ตาแป๋ว ตั้งใจฟัง คนเป็นแม่ยิ้มละไม ลูบศีรษะลูกน้อยทั้งสองอย่างอ่อนโยน

             เพราะแม่อยากให้ลูกทั้งสองเอื้อเฟื้อ และเกื้อกูลต่อกัน...ไม่ว่าใครจะมีเรื่องลำบากยังไงก็ยังมีอีกคนคอยช่วยเหลือเกื้อกูล คอยเอื้อเฟื้อกันยามลำบาก

             เอื้อเฟื้อ...เกื้อกูล...สองคำนี้มีความหมายสำคัญสำหรับสามคนแม่ลูก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP