วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๘


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เมื่อทั้งสาม พร้อมตำรวจติดตามออกจากห้องเล็ก เตรียมแยกย้ายกันคนละทาง ก็พบบุคคลที่คาดไม่ถึง

             แม่ครับ...เป็นห่วงคุณพ่อถึงขนาดออกมาตามเองเลยเหรอ ชายหนุ่มทักแกมหยอก หวังให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี

             คุณหญิงอัปสรกวาดตามองทุกคนในรวดเดียว ได้รับคำตอบทันทีว่าเหตุใดสามีและบุตรชายถึงออกมาเข้าห้องน้ำนานนัก

             ไม่ใช่หรอก...แม่กำลังจะไปเข้าห้องน้ำจ้ะ เดี๋ยวภูมิกับพ่อรีบเข้าไปในงานทีนะ มิสเตอร์โอตะเขาอยากคุยกับพ่อมากเลย ภูมิช่วยไปแนะนำเขาแทนแม่สักแป๊บนึงนะ

             พูดอย่างนี้สองพ่อลูกก็หาทางเลี่ยงไม่ถูก เห็นเอื้อกานต์ยืนนิ่ง ไม่กล้าเสียมารยาทเดินหนีไปต่อหน้า ธีรภูมิกำลังหาวิธีช่วยให้น้องสาวจากไปโดยไม่น่าเกลียด พอดีคุณหญิงพูดขึ้นเสียก่อน

             อ้อ...เดี๋ยวเธอช่วยไปห้องน้ำด้วยกันหน่อยนะ คุณหญิงหันมาพูดตรง ๆ กับบุตรนอกสมรสของสามี

             ค่ะ เอื้อกานต์รับคำ ไม่มีทางเลี่ยง

             ธีรภูมิขยับตัวจะช่วยแยกตัวน้องสาวออกมา คนเป็นพ่อกลับดึงแขนไว้...รู้ว่าทำอย่างนั้นเท่ากับยิ่งจุดไฟโทสะให้คุณหญิง

             สุดท้าย ฝ่ายชายทั้งหมดกลับเข้าห้องจัดงาน คุณหญิงกับเอื้อกานต์ยังยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่คิดไปเข้าห้องน้ำอย่างที่บอกแต่แรก

             ถ้ามีธุระอะไรน่าจะไปคุยกันที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาแอบนัดคุยกันแบบนี้ คุณหญิงเริ่มด้วยเสียงแข็ง

             ขอโทษค่ะ เอื้อกานต์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

             พวกเธอทำกันแบบนี้ คนอื่นรู้เข้าจะว่าลับหลังฉันได้...ว่าเป็นหัวหลักหัวตอ ปล่อยให้ใคร ๆ ทำอะไรข้ามหัวอย่างไม่เกรงใจกัน

             หญิงสาวได้แต่ฝืนยิ้ม จากประสบการณ์วัยเยาว์ วิธีเผชิญหน้ากับคุณหญิงอัปสรได้ดีที่สุดคือยอมนิ่ง ปล่อยให้เธอพูดระบายโทสะออกมาจนหมด แล้วทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติเอง

             ที่จริง พวกเธอก็โต ๆ กันแล้วนะ ฉันไม่เห็นว่าน่าจะมีธุระอะไรต้องรบกวนท่านอีก...แม้จะเป็นเรื่องเงินก็ตาม ท้ายเสียงฟังเหยียดหยาม

             เอื้อกานต์กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ใจร่ำ ๆ อยากเถียงแต่จำต้องนิ่ง

             คอนโดฯ ใจกลางเมืองที่ท่านซื้อให้น่ะ มูลค่าไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ พวกเธอยังจะต้องการอะไรอีก...บ้านคนละหลังเลยหรือไง

             ไม่ใช่ค่ะ เอื้อกานต์รีบแก้ ก่อนคุณหญิงจะพูดจาชวนเข้าใจผิดมากไปกว่านี้

             ไม่ใช่แล้วอะไร น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกว่าเดิม แอบนัดพบคุยกันลับ ๆ ล่อ ๆ ระหว่างงานของบริษัทฉันนี่นะ...ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ เปิดเผย ทำไมถึงมาคุยกันที่แจ้งไม่ได้

             เอื้อกานต์อยากย้อนถาม...ที่แจ้งแบบไหน...แบบที่มีคุณหญิงร่วมรับฟังทุกคำด้วยใช่ไหม...

             ขอโทษค่ะ เอื้อกานต์ไม่สามารถพูดตามที่ใจคิดได้ หากเป็นทีเกื้อคงแตกหักตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว

             พูดขอโทษซ้ำ ๆ แบบนี้ แสดงว่าคงไปทำเรื่องไม่ดี บอกใครไม่ได้มาจริง ๆ ล่ะสิ คุณหญิงยิ้มเยาะ

             ค่ะ ถ้าคุณหญิงไม่มีธุระอะไรอีก ดิฉันคงต้องขอตัว หญิงสาวหาทางเลี่ยงอย่างนุ่มนวลที่สุด

             คุณหญิงอัปสรกวาดตามองสตรีตรงหน้าหัวจดเท้า แววตาหมิ่นหยาม เกิดความรู้สึกเกลียดชังทุกครั้งที่เห็นหน้า อยากเชือดเฉือนอีกฝ่ายให้ดิ้นตายด้วยวาจาตน

             พวกที่ชอบทำอะไรลับหลัง มันก็เหมือนกันหมด เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายจริง ๆ ถ่ายทอดกันมาทั้งแม่ทั้งลูก พอถูกจับได้ก็หนี ไม่กล้าสู้หน้า

             เอื้อกานต์กัดฟันแน่น อดทนฝืนยกมือไหว้ สะกดใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปล่อยให้มีไฟโทสะออกมา

             สวัสดีค่ะ ดิฉันคงต้องขอตัว ลากลับก่อน

             หญิงสาวหันหลัง เดินกลับด้วยจิตใจรุ่มร้อน ความโกรธแล่นขึ้นจนใบหน้าร้อนผ่าว เห็นอาการกดข่มจิตใจ ไม่ยอมให้หลุดกิริยา วาจาเลวร้ายออกไป

             ...ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อความยาวด้วย...

             จะให้ทุ่มเถียง ทะเลาะเบาะแว้ง สาดวาจาเลวร้ายใส่กันด้วยโทสะนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่สุดท้ายคนที่ทุกข์ใจ ลำบากที่สุดคือคนกลางเช่นบิดาของตนเอง

             เอื้อกานต์โตพอที่จะรู้เหตุรู้ผล เข้าใจจิตใจคุณหญิง เข้าใจถึงความเกลียดที่ฝังลึกขนาดนั้น

             คุณหญิงอัปสรรักพ่อของหล่อนมาก...รักมากย่อมหวังเป็นเจ้าของมาก ไม่ยินยอมแบ่งให้ใคร เมื่อพ่อทำให้เธอผิดหวัง ความโกรธแค้นยิ่งทบทวีคูณ และเมื่อไม่สามารถทำร้ายคนที่ตนรัก คุณหญิงจึงหันมาทำร้าย คนที่เป็นเหยื่อแห่งความเกลียดชังเช่นเอื้อกานต์ กับทีเกื้อแทน

             ถึงเข้าใจอย่างนั้น รู้เหตุผลของการเกลียดชังขนาดนั้น ใจมันก็อดที่จะมีโทสะไม่ได้ ยิ่งกดข่ม พยายามไม่ยอมตอบโต้ โทสะยิ่งอัดแน่น เผาไหม้จนใจแทบเกรียมไม่มีชิ้นดี




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




             เอื้อกานต์มาถึงคอนโดฯ จอดรถ เดินขึ้นลิฟต์ด้วยใจอ่อนล้า เรี่ยวแรงเหือดหาย รู้สึกอ่อนแรงป้อเปลี้ย เหน็ดเหนื่อย หดหู่อย่างบอกไม่ถูก

             ซากขี้เถ้าโทสะยังคุกรุ่นในใจ ไม่อาจจืดจางหมดเชื้อง่ายดาย

             เข้ามาในลิฟต์ กดชั้นที่ต้องการ ถอยไปยืนเกือบชิดผนัง ก้มหน้าไม่สนใจใคร ถอนใจเบา ๆ หวังระบายความร้อนในอกออกมาบ้าง

             รู้สึกมีวงแขนหนึ่งยื่นมาโอบกอดหล่อนไว้ ความอบอุ่นเบาบางถ่ายทอดสู่หัวใจ

             วันนี้ไปหาพ่อมาใช่มั้ย เสียงห้าว ๆ คุ้นหู

             หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา เอนศีรษะพิงอกกว้างนั้นอย่างวางใจ

             เป็นห่วง...ขืนอยู่เฉยอย่างเกื้อบอกคงบ้าตาย ตอบพลางถอนใจ

             นอกจากเจอพ่อแล้ว คงเจอยายแม่มดนั่นด้วยสิ คนพูด รู้ใจ กันดี

             อืมม์... เอื้อกานต์ไม่อยากอธิบายรายละเอียด

             ถ้าเขาว่าแค่เอื้อกับเกื้อ คงไม่โกรธขนาดนี้...แสดงว่าคราวนี้คงว่าถึงแม่เราด้วยใช่มั้ย น้ำเสียงชายหนุ่มเข้มข้น เดาเรื่องราวไม่ยาก

             ช่างเถอะ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมายหรอก หญิงสาวบอก

             ที่ว่าไม่เต็มที่...ก็เพราะเอื้อไม่ตอบโต้อะไรเขาเลยน่ะสิ ทีเกื้อโมโหแทน พูดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

             ถึงตอนนี้หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ อารมณ์ดีขึ้น ความอึดอัด ทรมานใจถูกแบ่งเบา ถ่ายทอดให้กับชายหนุ่มที่โอบกอดหล่อนไปเกินกว่าครึ่ง

             เรื่องมันแล้วไปแล้วน่า...ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เสียงนั้นมันก็เงียบไปแล้ว...ถ้าเราไม่สนใจจำ ไม่เก็บมันมาคิดซ้ำ เรื่องมันก็จบ...ไม่ต้องทุกข์ใจอีก

             เอื้อกานต์ตั้งสติได้ จึงพูดอย่างเข้าใจ ทีเกื้อส่ายหน้า กระชับวงแขนรั้งร่างหญิงสาวมาชิดอีกนิด ใจเขาไม่ยอมรับคำพูดนั้นง่าย ๆ แต่ไม่มีเหตุผลอะไรมาเถียง



             วันนี้เจอคิมมั้ย เอื้อกานต์เปลี่ยนเรื่อง

             เจอ...ได้คุยกันพักนึง ทีเกื้อพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ

             หือ... หญิงสาวอุทานแปลกใจ ขยับตัวออกห่าง เงยหน้ามองน้องชาย แล้วเป็นยังไง

             ทีเกื้อส่ายหน้า ถอนใจ

             เป็นอย่างที่คิด ไอ้หมอนี่ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไล่ต้อนยังไงก็ไม่จน ถามไปถามมาเหมือนพายเรือวนในอ่าง...ขอร้องให้เลิกก็ไม่ยอม จะยิงทิ้งก็ทำไม่ได้...ต้องพยายามหาจุดอ่อน ขัดขวางมันต่อไป

             พูดพลางหรี่ตาครุ่นคิด นึกถึงน้ำเสียงของคิมที่พูดกับเขาก่อนจาก...มันมีกระแสคุ้นเคยบอกไม่ถูก

             มีอะไรอีกหรือเปล่า เพราะสัมผัสใกล้กันขนาดนี้ เอื้อกานต์ถึงรับรู้ความรู้สึกน้องชาย

             อือ...นิดหน่อย พูดถึงตรงนี้ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน

             ทีเกื้อพูดพลางโอบไหล่พี่สาวเดินออกจากลิฟต์ สัมผัสจากใจบอกว่า เอื้อกานต์ยังต้องการไออุ่น มาช่วยเยียวยาบาดแผลที่ได้รับจากคุณหญิงอัปสร

             ยิ่งเอื้อกานต์ไม่ตอบโต้เท่าไหร่ จิตใจยิ่งได้รับบาดเจ็บจากการกดข่มมากเท่านั้น...

             เวลา...และการไม่เก็บทุกข์มาคิดซ้ำสามารถช่วยรักษาได้

             นอกจากนี้ ไออุ่นจากคนใกล้ที่เข้าใจ ก็เป็นยาสมานแผลชั้นดี ช่วยให้เธอหายเจ็บเร็วขึ้นเช่นกัน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             สัตตบงกชอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ และคุณหญิง...กำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ที่ตนเองก็ตอบไม่ถูก ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ต้องการมันไปเพื่ออะไร

             หญิงสาวตอบตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่ตอนไหน?

             ห้องนอนกว้าง หรูหรา ออกแบบ ตกแต่งโดยไอเดียคุณหญิงอัปสร แสดงถึงรสนิยมดี มีระดับ เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น ล้วนออกแบบมาโดยเฉพาะ จัดวางเข้ามุมพอดี

             กระทั่งบังตา ที่ใช้อำพรางประตูห้องเสื้อผ้า ห้องเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ก็ทำได้กลมกลืนกับสีผนังห้อง

             หญิงสาวค้นดูตามตู้ เตียงทุกซอกทุกมุม ไม่พบของที่ต้องการ จึงเข้าไปในห้องเสื้อผ้า ห้องเก็บของใช้ส่วนตัวอีกที พยายามมองหา รื้อค้นอย่างละเอียด

             ค้นหา ค้นหา ค้นหา ทั้งที่ไม่รู้ตนเองกำลังหาอะไร รู้แค่เมื่อไหร่พบมัน ใจจะมีคำตอบเองว่า ใช่

             พบกล่องเก่า ๆ ซุกอยู่ในซอกลิ้นชัก จึงหยิบมันออกมาดู...เปิดออก...เปิดออก...แล้วนัยน์ตาสะดุดกับของชิ้นหนึ่ง...

             ใช่...ใช่มันแน่ ๆ




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ธีรภูมิสะดุดตากับของชิ้นหนึ่งซึ่งซุกอยู่ในก้นกล่องเก่า ๆ

             ของชิ้นนี้เขาใช้เวลาค้นหาอยู่นาน...ค้นหาทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

             ชายหนุ่มรื้อค้นอย่างงมงาย จนพบมันนอนสงบนิ่งอยู่ก้นกล่องเก่า ๆ ซึ่งถูกเก็บงำอย่างดี รักษาราวกับเป็นของมีค่า คู่ควรต่อการทะนุถนอม

             เขาแน่ใจว่าใช่...ใช่มันแน่ ๆ

             นำมันมาให้คิม...นำมันมาให้คิม

             เสียงห้าวแปลก ๆ ดังกังวานซ้ำไปซ้ำมา อื้ออึงอยู่ภายในหัว



             ธีรภูมิลืมตาตื่นขึ้นมาโดยภาพที่ซ่อนของชิ้นนั้นยังติดความทรงจำ...

             มันเป็นเวลาเดียวกับที่สัตตบงกชลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงตนเอง โดยที่ภาพของชิ้นนั้น รวมถึงสถานที่ซ่อนกระจ่างชัดในใจ

             นำมันมาให้คิม!”

             คำสั่งนี้กังวานในใจหญิงสาวเช่นกัน...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คิมลืมตาจากสมาธิ เขาสามารถเห็นภาพใน ฝัน ของเหล่า ผู้ถูกใช้งาน ของตนเองทั้งหมดทุกคน

             เขารู้ว่าคนเหล่านั้นเห็นชัด ของ ที่ต้องการถูกซ่อนในที่ใด

             จากนั้นเหลือแค่ ใครจะนำมันมาให้เขาได้เร็วที่สุด

             การที่คิมวางตัว ผู้ถูกใช้งาน ไว้มากกว่าหนึ่งคน ก็เผื่อมีบางรายทำพลาด อีกรายที่เหลือจะสามารถทำงานแทนได้

             กำหนดการทำพิธี เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาไม่ยอมให้มันคลาดเคลื่อน เพียงเพราะนำของสำคัญมาไม่ทันการ ฉะนั้นจำเป็นต้องวางผู้ถูกใช้งานให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการผิดพลาด ไม่ให้เกิด

             เวลานี้ ผู้ถูกใช้งาน ต่างรู้แล้ว ของอยู่ที่ไหน...อย่างเร็วพรุ่งนี้ อย่างช้าวันมะรืน เขาจะได้รับของทำพิธี...

             การสังหารด้วยอาคมจะเริ่มถัดจากนั้นไม่กี่วัน!

             วูบหนึ่ง คิมอดคิดถึงนายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งคุยกันไม่ได้...ผู้ชายที่ยอมแลกชีวิตตนเองกับบิดา

             เรื่องที่ได้ยิน อาจเกินคาดหมายอยู่บ้าง แต่มันไม่ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจ...



             ทีเกื้อยังจะยืนยันคำเดิมหรือไม่...หากได้รู้ว่าเหยื่อรายนี้ ทำร้ายบุคคลที่เขาเคารพ อย่างอดีตรัฐมนตรีทรงพล ไว้รุนแรงขนาดไหน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๑๖



             พวงมาลัยดอกมะลิสามพวงส่งกลิ่นหอม วางไว้หน้าโกศเจดีย์เล็ก ๆ หลังวัดที่สงบเงียบ ธูปหนึ่งดอกจุดปัก ควันลอยเป็นสายทำให้ภาพตรงหน้าดูพร่าเลือน

             บริเวณนี้เรียงรายด้วยโกศเจดีย์บรรจุอัฐิผู้วายชนม์เป็นจำนวนมาก รอบด้านเงียบสงัด ทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่แทรกแซม ร่มครึ้ม จึงไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน

             ทีเกื้อยืนมองรูปที่ติดหน้าโกศ... ใบหน้าสามคนที่เขาเคารพ คุ้นเคย ท่านทรงพล คุณหญิง และพี่ทรงกลด ทั้งสามพ่อแม่ลูกถูกนำอัฐิมารวมบรรจุอยู่ในโกศเจดีย์เดียวกัน

             ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มน้อย ๆ นัยน์ตาคมมีร่องรอยรำลึกอันงดงาม

             ขอโทษนะครับคุณลุง คุณป้า พี่กลด ที่ผมไม่ได้มาเยี่ยมเสียนาน

             ใบหน้าทรงกลดในรูปดูคล้ายกำลังยิ้มให้เขา สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน ชวนให้หวนรำลึกถึงวันวาน วันที่เคยมีเหตุการณ์ดี ๆ ร่วมกัน



             หนึ่งในเหตุการณ์นั้นคือช่วงเวลาที่เขาแอบติดตาม ดูพฤติกรรมของทรงกลด เป็นการ สกรีน ว่ามีข้อบกพร่องใด เป็นรอยด่างไม่ควรคบหากับเอื้อกานต์บ้าง

             ชายหนุ่มหน้าตาดี ความรู้ระดับเนติบัณฑิต ทำงานในสำนักงานทนายความเล็ก ๆ เช่าห้องพักราคาถูกใกล้ที่ทำงาน ชีวิตแต่ละวันมีแต่งานกับงาน

             เท่าที่ตามสังเกต แอบถามจากคนรอบข้างจึงได้รู้ ทรงกลดเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจทำงานมากกว่าคนอื่น ขยันขันแข็งมากกว่าใคร เป็นที่รักของทุกคนที่รู้จัก หนำซ้ำไม่เคยมีปัญหาเรื่องชู้สาว

             ทีเกื้อแทบไม่อยากเชื่อ ยังมีผู้ชายดี ๆ แบบนี้เหลืออยู่ในโลก !

             วันหนึ่ง ขณะเขาแอบซุ่มอยู่ใกล้สำนักงานทนายความ ตั้งใจว่าจะตามดูทรงกลดเป็นวันสุดท้ายแล้ว จู่ ๆ ก็เห็นคนที่เขารอ ผลุนผลันออกจากที่ทำงาน ขับรถออกไปด้วยอาการรีบร้อน

             ทีเกื้อยืมมอเตอร์ไซค์เพื่อนมาใช้สะกดรอยอยู่แล้ว จึงขับตามรถทรงกลดทันที กระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็กในซอยไกลผู้คนแห่งหนึ่ง

             หน้าบ้านมีผู้ชายตัวโต ท่าทางดุ ๆ ประมาณสี่ห้าคนมาเป็นแขก เจ้าของบ้านเป็นหญิงชราท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ กำลังถูกผู้ชายกลุ่มนั้นข่มขู่

             ทรงกลดลงจากรถ รีบเข้าไปพูดจา รับหน้าแทนหญิงชรา โดยมีทีเกื้อแอบมองอยู่ด้านนอก เสียงของสองฝ่ายดังพอให้เขาจับใจความหลัก ๆ ได้

             พวกวายร้ายสี่ห้าคนได้รับคำสั่งให้มาข่มขู่หญิงชรา เพื่อบังคับขายที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งเป็นแปลงสำคัญในการทำธุรกิจใหญ่

             คุณยายแกไม่ยอมขาย เพราะที่ดินแปลงนั้นสามีผู้ล่วงลับของแกสร้างไว้เป็นบ้านเด็กกำพร้า ก่อนตายก็ขอร้องให้แกช่วยรักษา ดูแลต่อ

             ทีเกื้อเห็นทรงกลดยืนเผชิญหน้ากับวายร้ายกลุ่มนั้นด้วยท่าทางไม่พรั่นพรึง มีความเข้มแข็ง เชื่อมั่น ไม่เกรงกลัวใคร กล้ายืดหยัดต่อการข่มขู่ กดดัน หนำซ้ำยังใช้วาจา คำพูดตอบโต้พวกมันอย่างชาญฉลาด ข่มขู่กลับแบบแนบเนียน จนพวกมันอึ้ง อับจนถ้อยคำ ยอมถอยต่อคนกล้า คนจริงที่ไม่กลัวโดนทำร้าย

             แก๊งข่มขู่ขับรถจากไป ทีเกื้ออมยิ้มมองตามท้ายรถด้วยแววตาขบขัน ชื่นชมความสามารถทนายความหนุ่มจนลืมสังเกตว่าใครบางคนมายืนอยู่ข้าง ๆ

             อืม...ถ้าพี่โดนนักเลงพวกนั้นรุมกระทืบ เกื้อจะเข้ามาช่วยมั้ย

             คำถามนี้ตอบไม่ยาก ทีเกื้อหัวเราะเบา ๆ ก่อนหันกลับมามองทรงกลด

             พี่กลดเก่งขนาดไล่พวกมันไปได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังแบบนี้ ผมคงไม่ต้องลงแรงช่วยอะไรแล้วล่ะ

             ก็ไม่แน่หรอก ที่พี่กล้าพูดกับพวกมันอย่างนั้น ก็เพราะรู้ว่ามีตำรวจนักบู๊แอบอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ

             คนถูกยอสบตาชายหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

             เอื้อไม่เคยบอกพี่กลดเหรอ...ตอนสมัยเด็ก ที่ผมชอบมีเรื่องชกต่อยบ่อย ๆ แล้วเอาตัวรอดมาได้ทุกทีน่ะ ไม่ใช่เพราะหมัดหนักกว่าใครเขาหรอก แต่เพราะขาแข็งแรง วิ่งเร็วกว่าคนอื่นต่างหาก

             ทรงกลดหัวเราะ สองหนุ่มสบตากันด้วยความเข้าใจ ทั้งคู่ต่าง รู้มือ กันและกัน เพียงต่างฝ่ายชอบถ่อมตัว ไม่ยกตัวเองให้ดูเด่นกว่าคนอื่น

             ทีเกื้อเห็นอย่างนี้ก็ยอมรับ...ทรงกลดเป็นผู้ชายที่เกินมาตรฐานคำว่าดีด้วยซ้ำ

             ทั้งหมดที่เห็น รับรู้ ทำให้เขายอมประทับตรา ผ่าน ยินดีให้ทรงกลดคบกับเอื้อกานต์ พี่สาวที่มีความสำคัญต่อเขาโดยไม่คัดค้าน ขัดขวาง



             อีกเรื่องที่ทีเกื้อประทับใจทรงกลด คือตอนที่เขาเชิญสองพี่น้องไปพักค้างคืนกับพ่อแม่เขาที่บ้านตากอากาศ มันเป็นช่วงเวลาของความใกล้ชิด ผูกพัน ทำความรู้จักระหว่างกันอย่างเข้าใจ

             ประโยคแรกที่ท่านทรงพล ทักทายทีเกื้อกับพี่สาวก็คือ...

             เจ้ากลดมันบอกว่า วันนี้จะแนะนำลูกสาวคนใหม่ให้พ่อรู้จัก...แหม...คิดไม่ถึงว่าพ่อจะได้ลูกชายรูปหล่อเพิ่มขึ้นมาอีกคน

             คำทักทายง่าย ๆ แสดงความสนิทสนมเช่นนี้ คือการยอมรับพวกเขาสองพี่น้องเข้าเป็นหนึ่งในครอบครัวอย่างอบอุ่น เต็มใจ

             ความที่หัวใจโหยหาความรัก ความอาทรมาตลอด จึงไม่ยากเลยที่จะทำให้ทีเกื้อ รักครอบครัวของทรงกลดทันทีที่รู้จัก พูดคุยกันไม่ถึงห้านาที

             อาจมีบางครั้งที่จิตใจเขาแอบอิจฉาความรักใคร่ กลมเกลียว ความอบอุ่นของครอบครัวทรงกลดบ้าง แต่นั่นมันก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจแก่ตัวเขาว่า เอื้อกานต์จะมีความสุขเพียงใด เมื่อเข้าไปอยู่ในครอบครัวเช่นนี้

             เขารักทรงกลด รักท่านทรงพล และคุณหญิง หัวใจเขาจึงเจ็บปวดไม่แพ้เอื้อกานต์ ยามได้รู้ข่าวโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกครั้งนั้น...



             แสงแดดส่องมากระทบใบหน้า เรียกสติทีเกื้อจากความทรงจำ ชายหนุ่มมองโกศเจดีย์ตรงหน้าด้วยหัวใจวิบวับ ตอบตนเองไม่ได้ว่า มาที่นี่ด้วยเหตุผลใด

             เพียงแค่สองประโยคท้ายของคิม ที่ติดอยู่ในความทรงจำ...คำเรียกขานที่คุ้นหู คุ้นเคยนั้น มันชวนให้คิดถึงใครบางคน

             ชายในรูปตรงหน้าเขา...ทรงกลด

             ทั้งที่รู้ ครอบครัวนี้เสียชีวิตหมดแล้ว...ใจก็ยังสงสัย...รู้สึก...น้ำเสียงนั้นรบกวนจิตใจเขาจนบอกไม่ถูก

             มันรบกวนจนทำให้เขาอดไม่ได้ ต้องมาที่วัด ยืนหน้าโกศบรรจุอัฐิของทรงกลด เพื่อยืนยันกับตัวเองว่า...ผู้ชายคนนี้ เสียชีวิตแล้ว

             ไม่มี พี่กลด ผู้ชายในดวงใจของเอื้อกานต์...ไม่มี พี่กลด พี่ชายที่เขาอิจฉาครอบครัวแสนอันอบอุ่นนั้น

             ทีเกื้อยื่นมือไปสัมผัสรูปของทรงกลด นัยน์ตาที่มีรอยยิ้มมองตอบกลับมายังเขา...

             ชั่วขณะนั้น นายตำรวจหนุ่มก็สัมผัสกระแสอันหม่นมืด ลอยเอื่อยอยู่ใกล้ ๆ เขาตั้งสติมั่นเปิดสัมผัสตน รับกระแสนั้นเข้ามา จนเกิดภาพนิมิตขึ้น...

             คิม กำลังยืนอยู่ด้านหลัง ห่างกันแค่โกศเจดีย์กั้น ดวงตาที่มองมามีแววเวิ้งว้าง ว่างเปล่า กระแสความรู้สึกเศร้าของคิม กระแทกเข้าสู่ใจทีเกื้อ

             ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ดึงมือจากรูปทรงกลด ยิ้มน้อย ๆ ให้กับรูปนั้น...

             พี่กลดจำเรื่องคุณยายคนที่โดนข่มขู่ให้ขายที่ได้มั้ย ทีเกื้อพูดลอย ๆ สายตาไม่ละจากภาพทรงกลด

             ผมถามพี่ว่า...เราจะสู้กับพวกผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นไหวเหรอ พวกมันมีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ

             ทีเกื้อหยุดชั่วขณะ ก่อนส่งเสียงดังกว่าเดิม จงใจให้ใครบางคนได้ยิน

             พี่กลดตอบผมว่า...พวกมันมีเงิน มีอำนาจ...เราก็มีกฎหมายและความชอบธรรม...พี่เชื่อมั่นในกฎหมาย พี่ศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม พี่บอกผมเองว่า...ต่อให้มันร่ำรวยล้นฟ้า มีอิทธิพล อำนาจมากสักแค่ไหน แต่มันเป็นคนผิด...คนผิดก็ต้องเป็นคนผิดวันยังค่ำ...พวกมันต้องได้รับโทษ พี่มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกมันได้ด้วยกฎหมาย

             นายตำรวจหนุ่มยืนตัวตรง น้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง

             พี่เป็นคนสอนผมให้ศรัทธาในกฎหมาย ความถูกต้อง ผมก็เชื่อในกฎหมายเหมือนพี่...ผมเป็นผู้รักษากฎหมาย ในขณะที่พี่ก็ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้ใช้กฎหมายลงโทษคนผิด เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ซื่อตรง ไม่คลอนแคลนด้วยอคติ รักหรือชัง...ผมไม่รู้ว่า...

             ทีเกื้อพูดช้าลง เน้นย้ำคำท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...

             ผมไม่รู้ว่า...พี่กลด...ลืมคำพูดของตัวเองไปหรือยัง

             ชายหนุ่มยืนนิ่ง ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากออกมาอีก เขากำลังรอ...รอว่าอาจจะมีวาจาใดหลุดมาจากบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลัง

             รอว่า...อาจมีคำแก้ต่าง...คัดค้านคำพูดของเขา

             นาน...เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ใจทีเกื้ออ่อนล้า ผิดหวัง หันหลังกลับ สายตามองไปยังจุดที่คิดว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น

             สิ่งที่เห็นคือ...เงาหลังของคิม ที่เดินจากไปไกล ทิ้งให้เห็นถึงร่องรอยอันอ้างว้าง หดหู่ โดดเดี่ยว เดียวดายอย่างจับใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP