วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๕


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ธีรภูมิสะดุ้งตื่นกลางคืน เวลาไล่เลี่ยกับสัตตบงกช เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก หัวใจเต้นรัวเร็ว เหนื่อยทั้งที่ไม่ได้ไปทำอะไรมา เขาไม่รู้สะดุ้งตื่นเพราะเหตุใด ฝันร้าย หรือมีเสียงปลุก

             ชายหนุ่มลุกจากเตียง ในหัวยังมีเสียงดังอู้ ๆ ก้อง ๆ จับใจความไม่ถูก ไม่รู้เป็นเสียงใคร ไม่รู้พูดจาอย่างไร

             เขาเดินไปริมหน้าต่าง รูดม่านออกมองความมืดเบื้องนอก ถอนใจยาว...คิดถึงเรื่องที่รับปากน้องชาย...

             การสืบค้นหาเบื้องหลังการตายปริศนาของคนในพรรครัฐบาล

             อาศัยความเป็นลูกรัฐมนตรี ทำให้ผู้ใหญ่ เพื่อนฝูงพ่อเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลาน จึงได้ข้อมูล เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับคดีของอดีตรัฐมนตรีทรงพลเมื่อ ๕ ๖ ปีก่อน

             ช่วงเวลานั้นมีการให้สัมปทานงานชิ้นใหญ่ ๆ หลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่าตั้งแต่หลักพันถึงหมื่นล้าน ในจำนวนผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติโครงการใหญ่ ๆ เหล่านั้นก็มีชื่อของนายโกวิท และนายดนู อยู่ด้วย

             ที่น่าสนใจคือ นายคะนึง เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ก็เป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานงานใหญ่ชิ้นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

             มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นหรือไม่ และเรื่องของคนทั้งสามไปเกี่ยวข้องกับท่านทรงพล รัฐมนตรียุติธรรมในขณะนั้นได้อย่างไร?

             เมื่อเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าหากันก็เริ่มเห็นภาพความเกี่ยวข้องขึ้นมาราง ๆ และยิ่งตั้งสมมุติฐานบางอย่างขึ้นในหัว ก็แทบทำให้ได้คำตอบทุกอย่างที่ค้างคาใจ

             เพียงแต่...ธีรภูมิยังไม่กล้าปักใจเชื่อในสมมุติฐานของตัวเอง...อีกทั้งยังไม่กล้าครุ่นคิดต่ออีกด้วย

             ชายหนุ่มถอนใจยาว สมองล้า มึน กลับไปนอนที่เตียงอีกครั้ง หวังจะลืมเลือนเรื่องราวต่าง ๆ ในหัวออกไปได้

             ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ธีรภูมิได้ยินเสียงสั่งเข้ามาในหัว

             พรุ่งนี้ไปพบคิม...พรุ่งนี้ไปพบคิม เสียงสั่งซ้ำ ๆ แล้วจางหาย หายไปพร้อมกับความรู้สึกตัว

             ธีรภูมิจมดิ่งสู่ห้วงความหลับอันเร้นลึก หลับสนิทราวถูกสะกดด้วยมนตราอาคมที่ทรงอานุภาพ ไร้ร่องรอย




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อลืมตาขึ้นมาตอนเช้า แสงตะวันส่องผ่านกระทบเปลือกตา เสียงฝีเท้าดังกุกกักอยู่ไม่ห่างเรียกความรู้สึกตัว ลืมตาอย่างเพลีย ๆ ร่างกายปวดเมื่อย พบตนเองนอนอยู่บนโซฟายาวรับแขก

             ขยับกายลุกขึ้นนั่ง บิดตัวหาว มีเสียงดังจากเบื้องหลัง

             โซฟานั่นมันนอนสบายขนาดนั้นเลยเหรอ เกื้อถึงไม่ยอมขึ้นไปนอนบนห้องสักที

             เอื้อกานต์เดินมาจากห้องครัวพร้อมกาแฟหอม ควันกรุ่น

             ขอกาแฟเผื่อสักแก้วสิ เอาแบบขม ๆ หน่อยนะ เขาสั่งกาแฟแทนการบอกทักทาย

             ได้...แต่ไปอาบน้ำก่อนดีมั้ย มอมแมมชะมัด ยังกะไปฟัดกับใครเขามาแน่ะ เกื้อแต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แสดงว่าเมื่อคืนกลับมาก็ไม่ยอมอาบน้ำอีก หญิงสาวบ่น

             ถ้าได้เข้าไปอาบน้ำ แล้วจะมานอนตรงนี้ทำไมเล่า ชายหนุ่มเถียง แต่ยอมลุกขึ้นไปบนห้อง อาบน้ำโดยไม่เกี่ยงงอน



             ทีเกื้อเข้าห้องน้ำ เห็นสภาพตัวเองในกระจก มันทั้งโทรมทั้งมอมแมมอย่างที่เอื้อกานต์ว่าจริง ๆ...

             เมื่อวานหลังจากฟัดกับพวกวัยรุ่นโดนสะกดแล้ว เขาก็พาเจ้าเกี้ยงไปส่งโรงพยาบาล จากนั้นก็ไปสถานีตำรวจ ขอความร่วมมือกับทางท้องที่ให้ติดตามหาตัวคิมอีกแรง

             พอเสร็จเรื่องตำรวจก็วกกลับไปดูอาการเจ้าเกี้ยงที่โรงพยาบาลอีกรอบ รอดูจนมันฟื้น อาการดีขึ้น พูดจาให้กำลังใจ เสร็จแล้วถึงได้กลับบ้าน

             วุ่นวายทั้งวันทั้งคืนกลับถึงบ้านก็หมดแรง นอนสลบไสลบนโซฟาเหมือนหุ่นยนต์ลานขาด

             ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่เกินห้านาที ก็ออกจากห้อง ตัวหอมฟุ้ง ผมเปียกลู่ ไม่สนใจเช็ดให้แห้ง

             วิ่งผ่านน้ำมาหรือเกื้อ คุณหมอเห็นแล้วอดบ่นไม่ได้

             อือ... ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ

             บนโต๊ะมีกาแฟอีกแก้ววางรออยู่แล้ว เขาจึงมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหยิบกาแฟมาจิบพลางมองหน้าพี่สาว

             เห็นกระเป๋าที่เกื้อหอบมาเมื่อวานหรือเปล่า ตะกี้ดูในห้องไม่ยักมี ทีเกื้อถาม

             กระเป๋าอะไร เอื้อกานต์ย้อนถามไม่มองหน้า

             ก็...กระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาไง เอื้อไม่ได้เก็บไว้ให้เหรอ ในนั้นเกื้อสำเนาเอกสารข้อมูลแวดล้อมเกี่ยวกับลุงทรงพลไว้ทั้งหมด

             อ๋อ...อ่านจบแล้ว หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ

             อ้าว... ทีเกื้องง งั้นกระเป๋านั่นอยู่กับเอื้อสิ

             อือ เห็นทิ้งไว้อย่างนั้น เลยคิดว่ามันไม่สำคัญไงหญิงสาวเฉไฉ

             หือ... ทีเกื้อมองพี่สาวแววตารู้ทัน
 
             เอื้อกานต์ยิ้มแหย ๆ

             อือ...ขอโทษที่รื้อค้น ก็เล่นคุยเรื่องสำคัญค้างไว้อย่างนั้นนี่ เอื้อก็เลยอยากรู้ว่าในกระเป๋ามีอะไรเกี่ยวกับลุงทรงพลมั้ย ได้รายละเอียดเพิ่มเติมหรือเปล่า แล้วเมื่อวานไปทำอะไรมา

             พูดซะขนาดนี้ อยากฟังเรื่องอะไรก่อนล่ะ เขาย้อนถาม

             เอาเรื่องเมื่อวานก่อนสิ เรื่องของลุงทรงพลอ่านหมดแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง

             เมื่อวานสายของเกื้อโทรมาบอกว่าเจอคิม

             แล้วเป็นยังไง จับตัวได้มั้ย

             ทีเกื้อส่ายหน้า แววตาขุ่นใจ

             โดนมันหลอกตลบหลังเอาน่ะสิ

             พูดจบก็เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อวานให้ฟังจนจบ

             เอื้อกานต์ฟังเรื่องราว แล้วครุ่นคิดแยกประเด็นต่าง ๆ ออกมาในหัว เกิดประกายความคิดสว่างขึ้นมาชั่วแวบ ทำให้รีบเอ่ยปากบอกน้องชาย

             คิมทิ้งรูปถ่ายเกื้อไว้บนเตียง...แล้วเกื้อเก็บรูปนั้นมาหรือเปล่า

             เก็บ ชายหนุ่มบอก ทิ้งไว้ในห้องก่อนอาบน้ำ

             ขอดูหน่อยสิ เอื้อกานต์บอก

             ชายหนุ่มขึ้นไปหยิบรูปบนห้องโดยไม่เอ่ยปากซักถามเหตุผลจากพี่สาว

             เอื้อกานต์รับรูปใบนั้นมาพลิกดู อมยิ้มน้อย ๆ

             อืมม์...ดูจากรูปมุมนี้ เกื้อก็หล่อไม่ใช่เล่นนะเนี่ย หญิงสาวพูดหน้าตาเฉย

             เอื้อ... ทีเกื้อพูดเสียงเข้ม...อยากดุเอาเสียด้วยซ้ำ...ว่าตอนนี้มันใช่เวลาพูดเล่นหรือไง...

             จริงนะ เอื้อกานต์พลิกรูปนั้นให้น้องชายดูแทนคำยืนยัน ดูสิ รูปสวยมาก นายแบบหล่อโคตร แววตาจริงจัง มีเสน่ห์น่าหลงใหลออก

             เอื้อน่ะ ไหลออกนอกเรื่องแล้ว เขาดึงรูปคืนจากพี่สาว

             เอื้อกานต์ยิ้มน้อย ๆ ดวงตาเป็นประกายกระจ่าง

             รู้มั้ย...การที่จะถ่ายรูปใครสักคน จิตใจของช่างภาพจะส่งออกมาจับที่ตัวเจ้าของรูปก่อน...

             ทีเกื้อชะงัก เริ่มเข้าใจราง ๆ

             ปกติถ้าเกื้อโดนแอบถ่ายรูป หรือมีใครมาจ้องมองกันตรง ๆ แบบนี้ เกื้อมักจะรู้สึกตัวก่อนเสมอไม่ใช่หรือ...ที่คิมเขาแอบถ่ายรูปไปโดยเกื้อไม่รู้ตัว ก็เพราะมัวแต่ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องหาข้อมูลของลุงทรงพล

             ชายหนุ่มไม่เถียง เขามีสัญชาตญาณพิเศษในเรื่องพวกนี้ ทำให้เอาตัวรอดเวลาออกสนามจับผู้ร้ายมาได้ตลอด

             แต่ถึงเกื้อจะไม่รู้ตัว...แต่อาการของจิตที่ออกมาจับเจ้าของภาพ มันก็ยังมีร่องรอยติดอยู่ในรูปให้เราสืบเสาะหาได้นี่

             เอื้อกานต์เน้นคำท้าย

             ถ้างั้น เราก็สามารถตามรอยคิม ค้นหาที่อยู่ปัจจุบันของเขา จากรูปที่เขาถ่ายได้ใช่มั้ยทีเกื้อถามแทนการสรุป

             มันก็น่าลองดูนะ เอื้อกานต์ยิ้มรับ พลางแบมือออกไปข้างหน้า

             ทีเกื้อวางรูปตนเองบนมือพี่สาว จากนั้นใช้มือของเขาประกบทับรูปนั้นอีกที

             ฝ่ามือทีเกื้อและเอื้อกานต์ประกบกันโดยมีรูปที่คิมถ่ายอยู่คั่นกลาง ทั้งสองหลับตาพร้อมกัน สัมผัสระหว่างมือต่อมือเชื่อมโยงความรู้สึก

             จังหวะหายใจผ่อนเข้า ออกเบา ๆ สม่ำเสมอ เป็นจังหวะเดียวกัน ลมออกยาว ลมเข้าสั้น...ไม่นานความรู้สึกถูกผสานเป็นหนึ่ง กลมกลืนเป็นกลุ่มก้อนสัมผัสพิเศษ ซึมแทรกเข้าไปในรูปถ่ายใบนั้น

             สัมผัสพิเศษกระจายตัวออก ใช้รูปถ่ายเป็นสื่อ ชักนำ เชื่อมโยงไปยังตัวผู้ถ่ายภาพ พลังสัมผัสแผ่ออกกว้างขวาง จับกระแสความเป็น คิม ได้ และติดตามย้อนกลับไปยังต้นตออย่างรวดเร็ว




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ยามสาย ที่ร้านกาแฟ

             สัตตบงกชตอบไม่ถูก เหตุใดเธอถึงเลี้ยวรถมาจอดหน้าร้านกาแฟแห่งนี้ หนำซ้ำยังเดินเข้ามาในร้าน สั่งเครื่องดื่ม ของว่างเป็นเค้กชิ้นเล็ก ๆ ทั้งที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้ามา

             เวลานี้หล่อนควรไปถึงบ้านท่านรัฐมนตรีได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจโดนผู้ใหญ่ตำหนิ

             หญิงสาวนั่งกระสับกระส่าย รอเครื่องดื่ม ของว่างมาเสิร์ฟ ใจกลับกระวนกระวายอยากออกจากร้านเร็ว ๆ

             ยังไม่ทันที่เครื่องดื่ม อาหารจะมาถึง ประตูหน้าร้านก็เปิดออก พร้อมมีชายหนุ่มผิวขาว ร่างสูงเดินเข้ามา

             พี่ภูมิ สัตตบงกชอุทานอย่างแปลกใจ เหตุใดธีรภูมิถึงมาที่นี่ ทั้งที่ไม่ได้นัดหมายกัน

             หนูดี สีหน้าธีรภูมิดูประหลาดใจไม่ต่างจากหญิงสาวเช่นกัน

             ดอกเตอร์หนุ่มไม่เข้าใจตนเอง ทำไมเขาถึงขับรถมาร้านกาแฟแห่งนี้ โดยที่ใจไม่นึกอยากดื่ม อีกทั้งยังเป็นเวลาที่เขาต้องเข้าทำเนียบแล้วด้วย

             มาได้ยังไง สองหนุ่มสาวเอ่ยปากพร้อมกัน

             ชายหนุ่มทรุดตัวบนเก้าอี้ตรงข้ามหญิงสาว เหลียวมองรอบ ๆ ยามสายเช่นนี้ ไม่มีลูกค้าอื่น ทั้งคู่จึงเป็นลูกค้าโต๊ะเดียวในร้าน

             ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดจาซักถามแก้ความข้องใจ ประตูร้านก็เปิดอีกครั้ง คราวนี้ผู้เข้ามาเป็นชายร่างสูง ผอม ใบหน้าเรียบ ๆ ไม่สะดุดตา ทว่าดวงตาเขากลับมีประกายเร้นลับ ทำให้ไม่มีใครกล้าสบตาเนิ่นนาน

             เขามานั่งร่วมโต๊ะกับธีรภูมิ สัตตบงกชโดยสองหนุ่มสาวไม่อาจคัดค้าน ขับไล่

             คุณ... สองหนุ่มสาวเอ่ยปากพร้อมกันอีกครั้ง

             ครั้งนี้เป็นการเอ่ยปากเพียงคำเดียวก่อนเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก แววตาธีรภูมิ สัตตบงกชเลื่อนลอย ไร้ความรู้สึก

             ชายแปลกหน้าวางภาพวาดที่มีลายเส้น สีสันเหมือนจริงไว้ตรงหน้าคนทั้งคู่ จงใจให้พวกเขาเห็นและจดจำรายละเอียดชัดเจน

             จำไว้...จำให้ดี...ไปนำมันมาให้คิม

             เสียงแผ่วเบา เจาะจงให้ได้ยินแค่คนทั้งสอง เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมาในหัว...



             กริ๊ก...ถ้วยกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พร้อมของว่าง และเมนูอาหารอีกหนึ่งเล่ม

             สองหนุ่มสาวสะดุ้งเฮือก ตื่นจากภวังค์ มองรอบตัวอย่างไม่เข้าใจ ที่โต๊ะนี้มีแค่สองคน กับบริกรสาวที่เพิ่งนำกาแฟมาเสิร์ฟ และยืนรอรับออเดอร์

             จะรับอะไรเพิ่มไหมคะ บริกรถามธีรภูมิ

             ไม่ครับ ชายหนุ่มเพิ่งได้สติ ตอบปฏิเสธ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

             รอจนบริกรเดินจากไป เขาค่อยเอ่ยปากถาม

             หนูดีนัดพี่มาคุยที่นี่ มีธุระอะไรหรือเปล่า ความทรงจำ บอก ธีรภูมิเช่นนั้น

             หนูดีเป็นคนนัดพี่ภูมิหรือคะ หญิงสาวงุนงง หนูดีคิดว่าพี่ภูมิเป็นคนนัดเสียอีก ยังสงสัยเลยว่ามีธุระอะไรด่วน เพราะเดี๋ยวหนูดีก็จะเข้าไปอยู่แล้ว

             งั้นเหรอ...พี่เป็นคนนัดเหรอ ธีรภูมิย่นหัวคิ้ว เหมือนมีความทรงจำราง ๆ บอกว่าเขากับหนูดีนัดเจอกันที่นี่ แต่นึกเหตุผลการนัดหมายไม่ออก

             สัตตบงกชยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนอุทาน

             ตายแล้ว หนูดีสายมากแล้วค่ะ พี่ภูมิมีธุระอะไรค่อยคุยกันทีหลังดีมั้ย

             ได้สิ...พี่ก็มีงาน ต้องเข้าทำเนียบเหมือนกัน

             ไม่นาน หนุ่มสาวทั้งสองก็ออกจากร้านกาแฟ ขับรถแยกกันไปคนละทาง พร้อมความงุนงงสงสัย นึกเหตุผลชัดเจนของการนัดหมายครั้งนี้ไม่ออก สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้มันผ่านไป



             คิมเดินออกมาจากข้างร้านกาแฟหลังจากรถของสัตตบงกช และธีรภูมิแล่นลับไปจากร้าน นัยน์ตาหรี่เร้น มีแววกังวล ขัดใจ

             มนต์สะกด ครั้งนี้ไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขนาดคนทั้งคู่ถูก วางยา ล่วงหน้ามาแล้ว ตั้งแต่ก่อนงานประชุมครม.สัญจร

             การสะกดควรแนบเนียน ไม่มีข้อสงสัย เคลือบแคลงใจ หลังจากเหยื่อมา รับงาน ที่นี่

             การปาหินใส่รถยนต์ท่านรัฐมนตรีครั้งนั้นมีเหตุผลแอบแฝง ยา ที่ทำให้ทุกคนสลบไสลมันมีประสิทธิภาพมากกว่าใครคาดคิด

             แท้จริงมันคือตัวยาที่ใช้ร่วมกับการสะกดจิต ผูกเหยื่อให้ตกอยู่ใต้อำนาจสะกดแบบลึกซึ้ง แม้จะมีระยะห่างไกลสักแค่ไหนอำนาจสะกดสามารถสั่งการไปถึง

             หลังจากวางยาครั้งนั้น เมื่อคืนคิมก็ใช้มนต์สะกดเรียกคนทั้งคู่ให้มาที่นี่เพื่อ รับงาน ซึ่งหลังจากรับงานไปแล้ว พวกเขาควรลืมเหตุการณ์ทั้งหมด และมีความทรงจำใหม่ที่เขาใส่ไว้ให้แทน

             จากที่เห็นเมื่อครู่ เหยื่อทั้งสองของเขาดูงุนงง สับสนระหว่างความทรงจำจริง กับความทรงจำลวงที่เขายัดเยียดให้ แสดงว่ากำลัง อาคม ของเขาถดถอย ไม่สัมฤทธิผลเต็มร้อย

             มันเกิดจากเหตุใด?

             ขณะเกิดคำถาม ภาพของหมอเอื้อกานต์ก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด...หญิงสาวร่างบอบบาง สวย ดวงตาคมฉายแววเมตตา อ่อนโยน...ผู้หญิงคนนี้กำลังมีอิทธิพลต่อเขา




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เอื้อกานต์ตามรอยสัมผัสนั้นไปจนถึงห้อง ๆ หนึ่ง ลักษณะเป็นเหมือนห้องเช่าสี่เหลี่ยมทั่วไป บานหน้าต่างเปิดรับแสงสว่าง มองเห็นทั้งห้องมีเฟอร์นิเจอร์แค่ตู้กับเตียง

             ทีเกื้อสามารถเห็นสิ่งเดียวกับพี่สาวเขาเห็น...ห้องเช่าสี่เหลี่ยม มีลักษณะคล้ายห้องเช่าที่เขากับเจ้าเกี้ยงตามไปสืบพบ ต่างกันแค่วิวนอกหน้าต่างเป็นตึกสูง ค่อนข้างทันสมัย แสดงว่าอยู่กันคนละย่านกับที่เดิม และในห้องนี้ไม่ได้ว่างโล่ง ไร้ข้าวของส่วนตัวอย่างที่เขาเคยเจอ

             ในตู้มีเสื้อผ้าแขวนสองสามชุด ที่มุมห้อง ตรงหลืบติดกับหัวเตียงมีกระเป๋าใส่กล้องสีดำใบใหญ่ เมื่อความสนใจของสองพี่น้องพุ่งตรงมายังสิ่งนี้ ภาพกระเป๋าถูกดึงเข้ามาใกล้ หนำซ้ำยังสามารถเห็นสิ่งของที่อยู่ภายในได้ชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องเปิดมันออกมาดู

             ในนั้นมีกล้องดิจิตอลแบบ DSLR ตัวใหญ่ ลักษณะของมืออาชีพ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะคิมมักแฝงตัวเป็นนักข่าว ซอกซอนไปตามที่ต่าง ๆ เสมอ

             นอกจากกล้องถ่ายรูปยังมีภาพถ่ายจำนวนหนึ่งซุกอยู่ตรงก้นกระเป๋า รูปใบบน ๆ เป็นภาพของทีเกื้อ ถ่ายตอนอยู่ในห้องสมุด ซึ่งหนึ่งในนั้นถูกส่งมาให้เขาแล้ว

             เมื่อสังเกตดูภาพล่าง ๆ จะเริ่มมีการปะปนกัน มีทั้งรูปของนายโกวิท นายดนู นายคะนึง นายเกริกภพ และนายเดชา รูปเหล่านี้ดูออกว่าเป็นการถ่ายภาพตอนออกงานต่าง ๆ ซึ่งคิมในคราบนักข่าวสามารถถ่ายรูปพวกนี้ได้ไม่ยาก

             ที่ดูแปลกจนเด่นชัดในรูปทั้งห้าคนก็คือ รูปพวกเขาถูกเมจิกสีแดงวงใบหน้า และกากบาททับ...บอกชัดว่าทั้งหมดล้วนเสียชีวิต

             ภาพทั้งห้าที่กากบาทแดง ปรากฏไล่เรียงในห้วงนิมิตสองพี่น้องโดยไม่ต้องเปิดกระเป๋าค้น จนกระทั่งทั้งคู่มองเห็นภาพที่หก ซึ่งยังไม่ถูกกากบาทแดง

             ภาพที่หก...เป็นรูปรัฐมนตรีธีรนัฐ ยืนยิ้มให้กล้อง เคียงคู่กับคุณหญิงอัปสร ในงานเลี้ยงประชุมใหญ่ของพรรค

             ที่รูปนี้ยังไม่ถูกกากบาทแดง แสดงว่างานยังไม่สำเร็จ...เหยื่อยังมีชีวิต...แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหน!

             สองพี่น้องตกใจ จิตวูบย้อนกลับคืน ภาพที่เห็นหายวับ...เหลือเพียงความทรงจำ...ความทรงจำที่บอกชัดว่า บิดาตนคือเหยื่อรายต่อไป

             พ่อ... เอื้อกานต์พึมพำเบา ๆ ความหวั่นกลัวฉายอยู่ในดวงตา

             ทีเกื้อกดโทรศัพท์ รอสัญญาณเรียกดังสี่ห้าครั้ง กว่าจะมีคนรับสาย

             นภ... นายตำรวจหนุ่มพูดเสียงเครียด อยู่ที่ไหน

             ที่บ้านท่านรัฐมนตรีสิวะ...มีอะไร คนเป็นเพื่อนจับสำเนียงผิดปกติไม่ออก

             ท่าน...ธีรนัฐ...มีเรื่อง...อะไร...ผิดปกติมั้ย ทีเกื้อถามสะดุดเป็นห้วง ๆ

             ไม่มี ปกติดี ตอนนี้ท่านอยู่ในห้องประชุม ตอนบ่ายถึงจะเข้าทำเนียบ

             ตรวจเช็คบุคคลแวดล้อมของท่านอย่างละเอียดที่สุด ดูด้วยว่าของสำคัญส่วนตัวของท่านยังอยู่ครบมั้ย...ระวังคนแปลกหน้าที่จะเข้ามาหาด้วย

             เฮ้ย มีอะไรวะ สั่งเสียงเข้มเชียว นภรู้สึกถึงความแปลกในน้ำเสียงรวมถึงเรื่องที่สั่ง

             รัฐมนตรีธีรนัฐคือเหยื่อรายต่อไป ชายหนุ่มบอกชัดถ้อยชัดคำ

             เฮ้ย แล้วมึงรู้ได้ยังไง นภสงสัย

             ไม่ต้องสงสัย ช่วยเช็คดูกำหนดการออกงานทั้งหมดของท่านไว้ด้วย เราต้องเตรียมวางแผนป้องกันเร่งด่วน

             เฮ้ย...เอาแต่สั่ง ๆ ไม่บอกที่มาที่ไปให้กูรู้บ้างเลยหรือวะ

             เออ...ยังไม่ต้องรู้อะไรมากหรอก ทำตามที่บอกไปก่อน

             ทีเกื้อกดโทรศัพท์ตัดสัญญาณการติดต่อ จากนั้นกดหมายเลขโทรศัพท์ไปยังอีกเบอร์ ซึ่งเป็นหมายเลขฉุกเฉินสำหรับติดต่อผู้ใหญ่

             ท่านรองครับ ผมทีเกื้อ

             ว่ายังไง

             ผมทราบแล้วครับว่าใครคือเหยื่อรายต่อไป

             ใคร?

             ท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ

             เสียงจากปลายสายเงียบไปชั่วขณะ
 
             ต้องการคนไปช่วยไหม ผู้มียศสูงกว่าเอ่ยถาม

             ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้ครับ ผมยังไม่รู้แผนการของฝ่ายตรงข้าม นอกจากรูปสเก็ตที่ผมให้ไปคราวก่อน ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่ามันใช้ชื่อว่าคิม

             คิม... ฝ่ายนั้นทวนคำอย่างสงสัย

             คงไม่ใช่ชื่อจริงหรอกครับ ไม่งั้นเราคงหาตัวมันพบแล้ว

             บอกนภให้จัดการเช็คคนที่บ้านท่านหรือยัง

             เรียบร้อยแล้วครับ

             ดี...ถ้าอย่างนั้น วันนี้ผมจะขอเข้าพบท่านรัฐมนตรี เตือนให้ท่านคอยระวังตัวก่อน

             ครับ ส่วนผมจะไปตามจับเจ้าคิมให้ได้ ก่อนมันจะลงมือทำอะไร

             ดี...ตามนั้นเลย

             ทั้งสองวางสายในเวลาใกล้เคียงกัน ทีเกื้อเก็บโทรศัพท์ พบใบหน้าพี่สาวมองมาด้วยแววตากังวล

             เอื้อพอจะช่วยอะไรพ่อบ้างได้ไหม หญิงสาวถาม

             ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง...จากสถิติการตายของเหยื่อเจ้านี่ มันจะทิ้งช่วงห่างกันประมาณเดือนนึง นายเดชาเพิ่งตายไปได้อาทิตย์ สองอาทิตย์ เราน่าจะมีเวลาป้องกันทัน

             เอื้ออยากช่วย หญิงสาวย้ำ

             ทีเกื้อเข้าใจ ขนาดคนอื่น ไม่รู้จักกัน เจ็บไข้ได้ป่วย หรือรับอันตราย เอื้อกานต์ยังมีใจอยากรักษา อยากช่วยเหลือ นี่พ่อแท้ ๆ ของตัวเองทั้งคน จะไม่ให้ห่วง กังวลได้อย่างไร

             ถ้ามีอะไรให้ช่วย เกื้อต้องบอกแน่ ๆ ตอนนี้จะไปตามหามันที่ห้องเช่า ที่เราเห็นล่าสุดก่อน

             เกื้อรู้ว่ามันอยู่ไหนเหรอ เอื้อกานต์ถาม

             ไม่แน่ใจ แต่เอื้อเห็นตึกที่อยู่นอกหน้าต่างห้องนั้นมั้ย เกื้อจำได้ว่ามันเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคาร...มีโลโก้เด่นชัดแบบนี้จำง่าย หาไม่ยาก ส่วนไอ้ห้องเช่านั่นมันต้องอยู่ในซอยแถวนั้นแน่

             เอื้อกานต์นึกถึงภาพห้องเช่าเมื่อครู่...ที่นอกหน้าต่างนั้นมีวิวเป็นตึกสูงแห่งหนึ่งจริง ๆ หล่อนจำไม่ได้ว่าเป็นตึกอะไร จนทีเกื้อพูดถึงโลโก้ธนาคาร และบอกว่าเป็นอาคารสำนักงานใหญ่จึงค่อยนึกออก

             ระวังตัวด้วยนะ

             อือ...ไม่ต้องห่วง

             สองพี่น้องมองตากันอย่างเข้าใจ ความกังวล เป็นห่วงไม่น้อยกว่ากัน ถึงทีเกื้อจะไม่แสดงออกว่ารัก ผูกพันกับบิดาตน ถึงอย่างไรก็ยังเป็นพ่อแท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด จะทำใจเป็นเหมือนคนอื่นคงไม่ได้

             เพราะทั้งคู่กังวลใจเรื่องบิดาตนมากเกินไป จึงมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง นั่นคือประเด็นที่ว่า...เหยื่อทุกรายจะมีความเกี่ยวพันกับอดีตรัฐมนตรีทรงพล

             พอรู้ว่าเหยื่อรายต่อไปคือพ่อของตนเอง พวกเขาก็วางเรื่องการสืบสาวต้นตอ ที่มาของเหตุฆาตกรรมนี้ทันที และเพราะการลืมสืบสาวต้นตอเหตุผลการฆาตกรรม ทั้งที่มาถูกทางขนาดนี้ จึงทำให้ทั้งคู่ทำผิดพลาดเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง...

             เรื่องสำคัญที่ทำให้ทีเกื้อต้องเสียใจ จนแทบไม่อาจให้อภัยตัวเองได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP