วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๑


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บนรถพยาบาลอีกคัน ที่เพิ่งรับผู้ป่วยจากกลางทาง มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล...

             นายเดชาสงบลงแล้ว นอนราบทื่อ ๆ บนเปลคนป่วยไม่ต่างจากท่อนไม้ ท่อนฟืนแห้ง ผิวกายเป็นสีน้ำตาลเทาเข้มขึ้น ทีเกื้อตามขึ้นรถมาด้วย เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองวางทาบหน้าอกผู้ป่วย กดขึ้นลงเป็นจังหวะ เจ้าหน้าที่พยาบาลในรถคิดว่าเขากำลังปั๊มหัวใจช่วยคนป่วย

             ไม่มีใครคัดค้านการกระทำของเขา เพราะเห็นนายตำรวจหนุ่มผู้นี้เป็นคนทำให้นายเดชาสงบลงตั้งแต่อยู่บนรถคันที่ยางแบน และไม่ขัดเมื่อเขาตามขึ้นมาดูแลต่อทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตนเอง

             นภนั่งมาบนรถด้วย มองเห็นเพื่อนตนเองผิดตาไปกว่าเคย ใบหน้าทีเกื้อค่อนข้างเผือดซีด แววตามุ่งมั่นจริงจัง จิตใจจดจ่อต่องานตรงหน้าไม่สนใจผู้คนโดยรอบ เขาไม่เคยรู้ว่าทีเกื้อรักษาพยาบาลคนเป็น ถึงจะมีพี่สาวฝาแฝดเป็นหมอก็ตาม

             ทีเกื้อไม่สนใจคนรอบข้าง ใจมุ่งต่องานตรงหน้า ไม่แส่ส่ายแม้แต่จะคิดสื่อสารถามไถ่รายละเอียดพี่สาวเพิ่มเติม

             เอื้อกานต์บอกขั้นตอนคร่าว ๆ หมดแล้ว เขาไม่สนใจตนเองจะทำได้อย่างเธอหรือไม่ ขณะนี้เขามีเพียงใจที่อยากช่วยเหลือ อยากให้คนเจ็บตรงหน้ารอดจากพระยามัจจุราช จิตใจเช่นนี้ไม่ต่างจากพี่สาวตนสักนิด

             มือที่ทาบหน้าอกนายเดชาแบบการปั๊มหัวใจนั้น แท้จริงคือการถ่ายทอดพลังตนเองออกไปต้านพลังภายนอกที่แทรกซึมเข้ามาสู่คนเจ็บ

             ทีเกื้อสัมผัสถึงหมอกดำที่ครอบคลุม แทรกซึมเข้ามาในร่างนายเดชา ในม่านหมอกนี้แฝงด้วยพลังอันรุนแรง เผ็ดร้อน และแผดกล้าอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนไม่มีการหยุดพัก ไม่มีที่สิ้นสุด

             ชายหนุ่มรับรู้ได้ มันเป็นพลังงานแห่งความเกลียดชัง อาฆาตแค้น ที่แปรรูปเป็นอะไรบางอย่างซึ่งสามารถทำร้ายคนถึงแก่ชีวิต แบบไร้ร่องรอยให้ตรวจค้นภายหลัง

             เอื้อกานต์บอกวิธีถ่ายทอดพลังตนเองออกไปต่อต้าน ขับไล่ บอกเส้นทางการเดินพลัง เขาเข้าใจแต่พอทำจริงในครั้งแรกก็ติดขัด ฝืดฝืน สะดุดหลายตอนเพราะไม่เคยทำมาก่อน อีกทั้งจิตใจยังร้อนรนเกินไป

             จนครู่หนึ่ง ใจสงบ เห็นใบหน้าที่เริ่มแข็งกระด้างเงามรณะทาทาบของนายเดชาแล้วเกิดความเมตตา อยากช่วยเหลือ ใจเขาจึงอ่อนโยนลง หมดความร้อนรน กระวนกระวาย พลังในตนจึงถ่ายทอดผ่านฝ่ามือออกไปช้า ๆ ตามจังหวะกดปั๊มหัวใจ

             พลังของเขาไม่สามารถขับไล่เมฆหมอกดำนั้นให้หมดสิ้นภายในเวลาสั้น ๆ ทีเกื้อทำได้เพียงใช้น้ำใสจากใจจริงค่อยรินรดล้างคราบโคลนทีละน้อย และใช้สายลมแห่งเมตตาพัดผ่านให้หมอกดำคลายตัว จืดจาง สลายตัวอย่างช้า ๆ

             สติ สมาธิอยู่กับงานตรงหน้า เห็นอาการนายเดชาดีขึ้น เงามรณะจางหาย สีผิวอ่อนลง อาการแข็งกระด้างบนใบหน้าค่อยคลาย

             รับรู้ด้วยใจ พลังตนช่วยคลี่คลายพลังร้ายได้ส่วนหนึ่ง เกิดกำลังใจขึ้น ถ่ายเทพลังต่อโดยไม่คำนึงถึงตนเอง เชื่อว่าที่สุดแล้ว ต้องช่วยคนป่วยตรงหน้าได้สำเร็จ



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             สนามกีฬา...เที่ยงครึ่ง

             เสียงสาธยายมนต์ของคิมยังดำเนินต่อเนื่องไม่ติดขัด ทุกคำคุ้นปาก คุ้นลิ้น สมาธิจิตแนบชิดในทุกถ้อยคำ ซึ่งทุกครั้ง ภายในเวลาไม่เกินนี้ ผลสำเร็จจะเกิดขึ้น เป้าหมายเสียชีวิต...ไร้ร่องรอยสืบสาว

             ครั้งนี้ไม่ใช่อย่างนั้น มนต์ดำถูกสวดขาน อาคมร้ายส่งไปแล้ว ทุกอย่างสมบูรณ์พรักพร้อม ไม่มีสิ่งใดขาดพร่อง...ทว่าความสำเร็จยังไม่เกิด!

             มีอะไรบางอย่างขัดขวาง อาคม ของเขา...บางอย่างที่เป็นขั้วตรงข้ามยืนประจันหน้าขัดขวางไม่ให้มนต์ดำสำแดงฤทธิ์เต็มที่

             คิมแปลกใจ แต่ไม่หวั่นใจ เขาร่ำเรียนวิชาจาก อาจารย์ มาเจนจบ ตลอดมาไม่เคยพบพานอุปสรรคในการสังหาร...นี่เป็นครั้งแรกที่เจอ จึงเกิดความฮึกเหิม อยากลองวิชา อยากต่อสู้กับสิ่งที่กล้าเผชิญหน้ากับอาคมเขา

             คำสวดถูกปรับเปลี่ยน ถ้อยคำบาดคม กระแสรุนแรง หนักแน่น ประกายตาเจิดจ้า พุ่งตรงกลางสนามกีฬาด้วยพลังงานไร้รูป ร้อนแรง

             ที่รอยนูนดินกลางสนามแปรเปลี่ยนจากสีส้มเรื่อเป็นสีแดงจัด...เจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ แสงแดดส่งพลังความร้อนเข้าช่วยเหลือ ยิ่งเสริมให้มันมีกำลังเป็นทวีคูณ

             บทสวดอาคมอันเร่งเร้าไม่ต่างจากสุมเชื้อเพลิงชั้นดี เข้าไปในมหากองกูณฑ์ที่กำลังสะบัดเปลวอย่างร่าเริง ร้อนเร่า

             ดูสิว่าจะมีสิ่งใดต้านทานได้!

             คิมกระหยิ่มในพลังที่เพิ่มขึ้นมา นัยน์ตายิ่งเจิดจ้า บาดคม ความมืดรอบตัวยิ่งทะมึนดำกว่าเคย มืดมิด ดำสนิทและมีพลังร้ายเกินกว่าใครจะคาดถึง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             อีกไม่ไกลจะถึงโรงพยาบาล

             ทีเกื้อเผชิญกับคลื่นอันดำมืดถาโถมเข้าใส่ด้วยแรงมหาศาล มันมืดมิด ห้อมล้อม คลุมครอบปิดกั้นจนไร้ทางออก...ไม่เหลือหนทางให้หลบหนี

             พลังร้ายนั้นแทรกซึมเข้าร่างนายเดชารวดเร็ว รุนแรงเกินกว่าทีเกื้อจะขัดขวาง ต้านทาน มันมีพลังมากกว่าเดิมจนประมาณไม่ถูก หนำซ้ำเขายังรู้สึกถึงการท้าทายจากฝ่ายตรงข้าม

             ลองดูสิ...แกสามารถขจัดพลังร้ายระลอกนี้ได้หรือไม่?

             ชายหนุ่มสู้อย่างหลังชนฝา ทั้งที่รู้กำลังตนเองไม่พอ แต่ยังฝืนสู้ ต้านทานสุดกำลัง จนลืมสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งไป...นั่นคือ ใจ ที่อยากช่วยเหลือ

             เวลานี้ทีเกื้อเห็นคลื่นหมอกดำร้ายโถมใส่เข้ามารอบด้าน เขาจึงใช้พลังตนเองออกต้านอย่างแข็งกร้าว จนลืมไปว่า เจตนาเดิมของตนคือ เมตตา อยากช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกทำร้ายด้วยมนต์มืดนี้

             เขาใช้ความแรงเข้าต้านความแรง ใช้ความแข็งกร้าวสู้กับหมอกมืด ที่ขณะนี้ถักทอเป็นตาข่ายหนาหนัก จิตเกิดโทสะ อยากเอาชนะ ลืมจิตเมตตา อยากช่วยเหลือ สงเคราะห์ในคราวแรกไป

             เมื่อใจมีโทสะ เกิดเป็นขั้วเดียวกับสิ่งที่ถูกส่งมาพร้อมกับอาคม มันจึงสามารถดึงดูด ผสานเข้ากันเป็นเนื้อเดียวอย่างกลมกลืน

             เมตตาหายไปแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดเป็นขั้วตรงข้าม โทสะดึงดูดซึ่งกันและกัน มนต์ดำจากอาคมร้ายจึงแทรกซึมเข้าสู่นายเดชาอย่างรวดเร็ว ที่ร้ายกว่านั้นมันยังซึมซ่านผ่านมือทีเกื้อ และลามขึ้นสู่แขนทีละน้อย

             ใบหน้านายเดชาเป็นสีน้ำตาลเทาเข้ม แข็งกระด้าง ร่างกายร้อนรุ่มไม่ต่างจากอยู่ในเตาเผา หน้าอกแข็งเกร็ง ต้านแรงกดจากมือนายตำรวจหนุ่ม

             เหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ผุดบนใบหน้าทีเกื้อ แขนเริ่มแข็งล้า รอยสีน้ำตาลเทาแผ่ลามเชื่องช้ามาจาง ๆ ความร้อนแปลบแทรกผสานสร้างความทรมาน แขนของเขากลายเป็นสีน้ำตาลเทา และมันค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจนถึงหัวไหล่

            ทีเกื้อรู้ หากปล่อยต่อไป เขาคงมีสภาพไม่ต่างจากนายเดชา จึงพยายามสงบใจ ตั้งมั่น รวบรวมกำลังจากข้างใน ต่อต้านพลังมืดภายนอกสุดกำลัง

             เกิดการปะทะจากพลังที่ไร้รูป ร่างนายเดชากระตุกชัก นายตำรวจหนุ่มกระเด็น หลังกระแทกตัวรถรุนแรงจนจุกเสียด พูดอะไรไม่ออก

             เฮ้ย...ที เป็นอะไรมากหรือเปล่า นภตกใจร้องถาม

             ทีเกื้อเรี่ยวแรงเหือดหาย พยายามลุกขึ้นเพื่อเข้าไปหานายเดชาอีกครั้ง รถพยาบาลก็แล่นมาถึงทางเข้าห้องฉุกเฉินพอดี

             รถจอด ประตูท้ายเปิด เจ้าหน้าที่ลากเปลนายเดชาออก และเข็นเตียงมารับอย่างรวดเร็ว เรียบร้อย

             ขอบคุณมากครับผู้กอง เจ้าหน้าที่พยาบาลที่มาด้วยกันบอกอย่างจริงใจ เขาเห็นความพยายามของนายตำรวจตั้งแต่ต้น ถึงจะไม่แน่ใจในผลก็ตาม

             นภประคองทีเกื้อลงจากรถพยาบาล สัมผัสถึงความร้อนผะผ่าวบนท่อนแขนเพื่อนสนิท

             ตัวร้อนขนาดนี้ ไม่สบายหรือเปล่า เข้าไปหาหมอด้วยกันมั้ย เขาถามอย่างเป็นห่วง

             ไม่เป็นไร ให้กูนั่งพักเดี๋ยว ทีเกื้อบอก

             นายตำรวจหนุ่มนั่งพักบนเก้าอี้ เรี่ยวแรงเหือดหาย อยากกองร่างทิ้งไว้ตรงนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าหากจะไม่มีสายตาเพื่อนสนิทมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง

             ไปดูเจ้านายมึงได้แล้ว กูนั่งพักเดี๋ยวเดียวก็หาย

             เขาสูดลมหายใจลึก ๆ ฝืนพูดตามปกติ ทั้งที่ร่างกายเกิดอาการขัด ๆ ความร้อนรุ่มกำลังแผ่ทั่วร่างจนแทบทนไม่ไหว

             เอางั้นเหรอวะ นภลังเล

             เออ...รีบไปเถอะมึง ทีเกื้อบอกปัด ๆ ไม่แสดงท่าทีเจ็บปวด มากเกินกว่าอ่อนเพลียธรรมดา

             โอเค งั้นกูไปดูเจ้านายก่อน มึงนั่งรอที่นี่นะ เดี๋ยวกูมา

             ไปเหอะน่า...ร่ำไรเป็นผู้หญิงไปได้ เขารีบไล่ส่งเพื่อน ก่อนตนเองจะหมดแรงสะกดกลั้นอาการ



            ลับหลังนภไม่เท่าไหร่ ทีเกื้อต้องฟุบหน้าลงกับพนักเก้าอี้ รู้สึกในกายร้อนรุ่ม เหมือนมีไฟมาแผดเผา เหงื่อโซมชุ่มทั้งตัว รอยสีน้ำตาลเทายังอยู่ที่หัวไหล่ ไม่ขยับเลื่อนไปไหน เพราะเขาใช้พลังในตนเองสะกดกั้นเอาไว้

             ค่อยสูดลมหายใจช้า ๆ แผ่วเบา ซึมซับความเย็นของอากาศรอบกายให้ซึมเข้าร่าง แล้วขับไล่ความร้อนภายในออกมา

             ไม่นานความร้อนคลายตัวลงกว่าเดิม ลมหายใจมีกำลัง จิตใจเกิดความตั้งมั่น มองเห็นอาการเจ็บปวด ร้อนรุ่มที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่ยอมคลี่คลายออกไปง่าย ๆ

             นึกถึงเวลาออกกำลังกายตอนเช้า เขามักสนุกกับการแยก ดู กายกับจิต เห็นร่างกายเป็นเหมือนหุ่นยนต์กำลังวิ่ง เห็นจิตใจ ความคิดเกิด ดับเป็นระยะ โดยไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อย่างไร

             คราวนี้ ถ้าเขาจะสังเกตเพิ่ม จากการแยกดูแค่กายกับจิต มาเป็น กาย เวทนา จิต

             โดยหันมาดูความเจ็บปวด ทุกขเวทนาที่เกิดในขณะนี้ เห็นมันเป็นเพียงแค่ สิ่งที่ถูกรู้ ถูกดูเหมือนกัน

             มองเห็นร่างกายเป็นเหมือนหุ่นกำลังนั่งฟุบอยู่บนเก้าอี้ เห็น ความเจ็บปวด ร้อนรุ่มภายใน เป็น อะไรบางสิ่ง ที่เกาะร่างกาย แต่ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่กระทั่งส่วนหนึ่งของร่างกายด้วยซ้ำ

             พอจิตถูกนำทางเช่นนี้ มันก็ตั้งมั่นเป็นผู้ดูชั่วขณะ...เห็นเวทนา เห็นร่างกายแยกออกจากกัน ความเจ็บปวด เป็นแค่ความเจ็บปวด ร่างกายเป็นร่างกาย ไม่เกี่ยวกัน เห็นมันโดยมีจิตเป็นเพียง ผู้ดู

             ทีเกื้อเห็นกาย เวทนา จิตแยกกันอย่างเป็นอิสระชั่วคราว รู้สึกโล่งโปร่งชั่วแวบ ด้วยความที่จิตมีกำลังไม่พอ เกิดความตั้งมั่นน้อย ไม่นานเวทนา ความเจ็บปวดก็มารวมกับกายได้อีก เกิดเป็นก้อนทุกข์เดียวกัน

             เวลานี้ทำได้เพียงฝืนอดทน สะกดกลั้นด้วยใจอันเข้มแข็ง เชื่อมั่นว่าไม่นานมันต้องหาย...ไม่มีอะไรเที่ยงทน เวทนา ความเจ็บปวด ก็ไม่อยู่เหนือเหตุผล กฎเกณฑ์นี้

             ...เป็นไรเป็นกัน...ตายเป็นตาย...เขาบอกแก่ตนเองเช่นนั้น ไม่นึกเสียใจสักนิด ที่การเข้าช่วยเหลือนายเดชาแล้วจะได้รับผลเช่นนี้

             เหงื่อผุดเต็มร่าง ความร้อนภายในยังไม่คลายกว่าเดิม เป็นคนอื่นคงดิ้นรน ทุรนทุราย ทีเกื้อเพียงแค่ฟุบหน้านิ่ง อดทน...ด้วยใจเข้มแข็งเกินธรรมดา



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             สนามกีฬา...ใกล้บ่ายโมง

             คิมจบบทสวด ดวงตาทอประกายสมใจ กึ่งกลางสนามฟุตบอลนั้น รอยนูนแดงจ้าเริ่มมีจุดสีดำบังเกิด ควันขาวลอยจาง ๆ ก่อนจุดดำจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีเสียงดังพรึบ...กลุ่มควันลอยคลุ้ง

             พอควันจางจึงมองเห็นดินบริเวณนั้นยุบราบเสมอกัน มีแค่ร่องรอยขี้เถ้าสีเทาดำเกลี่ยจาง ๆ ซึ่งไม่นานสายลมจะโพยพัดเศษฝุ่น เศษดินเข้ามากลบทับมันจนไร้ร่องรอย

            คิมทำสำเร็จ...เหยื่อรายที่ห้าไม่อาจรอดชีวิตแล้ว

             เวลานี้ เขาเพียงนึกสงสัย ใคร สามารถมีพลังมาต้านทานอาคมของเขา

             ถึงผู้นั้นจะทำไม่สำเร็จ แต่พลังตอบโต้เช่นนี้เป็นครั้งแรกที่คิมเคยเจอ

             น่าเสียดายที่มันไม่รู้จักเจียมตัวเสียเลย หารู้ไม่ว่า...คนที่มาขวางเส้นทางอาคม หากไม่สามารถผลักไสมันออกไปได้ เขาก็ต้องได้รับพลังร้ายนี้ไว้แบบเต็ม ๆ

             มันอาจไม่โดนถึงร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างเช่นเหยื่อที่ถูกระบุตัว แต่คนที่โดนไฟแห่งพยาบาทนี้เผา ต่อให้ไม่มอดไหม้เป็นจุณ แค่มันซึมผ่านเพียงหนึ่งในสิบ อาการอย่างเบาที่สุดก็ต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัวเป็นปี

             โดยที่ไม่มีหมอคนไหนในโลกสามารถบอกสาเหตุของโรคได้เลย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๑๐



             เอื้อกานต์ขับรถเร็วกว่าปกติ จนมาถึงก่อนรถพยาบาล หล่อนจอดรถไว้ที่ลานจอดหน้าตึก ไม่แน่ใจว่ารถพยาบาลจะจอดตรงไหน เลยรีบไปดักรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน เผื่อนายเดชามาจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที

             ยืนรอไม่กี่นาที เตียงผู้ป่วยก็เข็นเข้ามาอย่างเร่งด่วน หมอและพยาบาลเตรียมเครื่องมือช่วยชีวิตพร้อมอยู่แล้ว

             เตียงเข็นผ่านหน้า หญิงสาวยืนชิดผนังก้มมองดูผู้ป่วย เห็นใบหน้าเขาเป็นสีน้ำตาลอมเทา ยิ่งกว่านั้นสัมผัสพิเศษยังทำให้หล่อนเห็นหมอกควันสีดำเข้มปกคลุมร่างนายเดชาอย่างหนาแน่น

             ไม่รอด คำบอกนี้ชัดเจนในใจกว่าครั้งใด ต่อให้มีหมอ พยาบาลพรักพร้อมกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

             กระทั่งการรักษาแบบพิเศษของเธอก็ไร้ความหมาย!

             บางสิ่ง ที่นายเดชาโดน มีพลังอำนาจร้ายแรงกว่าที่นายเกริกภพได้รับหลายเท่า คล้ายเผชิญการจู่โจมจากสัตว์ร้ายครั้งแรกแล้วเอาตัวรอดมาได้ มันจึงเกิดโทสะ ย้อนกลับมาใหม่ พร้อมกับทำร้ายหนักกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

             การให้ทีเกื้อใช้พลังพิเศษช่วยชะลอเวลาบนรถพยาบาล กลับเป็นผลร้ายไปกระตุ้นฝ่ายตรงข้ามให้ลงมือรุนแรงหนักข้อจนหมดทางแก้ไข

             พอนึกถึงทีเกื้อ สังหรณ์ก็บอก...เขากำลังลำบาก!

             รู้ว่าไม่มีทางช่วยนายเดชาแล้ว จึงหันกลับ ย้อนไปทางที่รถพยาบาลจอด เชื่อว่าคงเจอทีเกื้อนั่งพักอยู่แถวนั้นแน่

             หมอเอื้อ นภทักขณะกำลังจะเดินสวนกัน

             นภ...เกื้ออยู่ไหนรู้มั้ย เอื้อกานต์ไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม ก็รีบชิงเข้าเรื่องก่อน

             นั่งพักอยู่ตรงเก้าอี้ทางโน้นแน่ะ นภชี้มือไปด้านหลัง หมอเอื้อมาทำอะไรที่นี่?

             เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ เอื้อมีธุระ หญิงสาวตัดบท

             เดี๋ยวสิ นภรั้ง ไหน ๆ ก็มาแล้ว ช่วยพาไอ้ทีเข้ามาตรวจหน่อยก็ดี อาการมันแย่ ๆ ยังไงไม่รู้ แต่มันใจแข็งไม่ยอมบอก ถ้าเป็นหมอเอื้อมันคงยอมเชื่อ

             นภพอจะรู้สภาพร่างกายเพื่อน แต่ก็รู้นิสัยกันดีเลยไม่ร่ำไร คะยั้นคะยอ เจอเอื้อกานต์ที่นี่จึงรีบฝากฝัง

             ได้สิ...ขอบใจนะนภ

             หญิงสาวรีบเดินไปตามทิศทางที่นภบอก เพียงแค่ลับเหลี่ยมมุมห้องก็เห็นน้องชายนั่งหมดแรงบนเก้าอี้ ศีรษะฟุบกับพนักสภาพอิดโรย สัมผัสกระไอร้อนจาง ๆ ลอยมากระทบ

             เมื่อนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน สามารถรับรู้อาการของอีกฝ่ายอย่างละเอียดโดยไม่ต้องซักถามสักคำ

             เอื้อ... ทีเกื้อยังมีสติ เงยหน้าทักพี่สาว

             เป็นยังไง หมดท่าเชียวผู้กอง คุณหมอหยอกล้อน้องชาย

             นายเดชาเป็นยังไงบ้าง ชายหนุ่มไม่ห่วงตัวเอง ถามถึงคนในความรับผิดชอบก่อน

             ช่วยไม่ได้แล้ว หญิงสาวตอบง่าย คนฟังถอนใจเฮือกใหญ่

             ขอโทษนะ ที่เกื้อช่วยรักษาคนอย่างเอื้อไม่ได้

             ไม่หรอกน่า คุณหมอให้กำลังใจ ถ้าช่วยไม่ได้ แล้วทำไมตัวเองถึงต้องมารับเคราะห์แบบนี้ได้ล่ะ...เกื้อช่วยเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายเขาเก่งกว่า เพิ่มแรงกลับมาเราเลยรับไม่ไหว

             เอื้อกานต์พูดราวกับตนเองอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทั้งที่จริงอาศัยแค่สมมุติฐานจากเหตุการณ์แวดล้อม

             ทีเกื้อไม่มีแรงเถียง อาการอึดอัดปนร้อนผ่าวภายในกำเริบขึ้นอีกระลอก พยายามฝืนสะกดกลั้นเอาไว้จนเหงื่อโซม ใบหน้าซีดเผือด

             เอื้อกานต์ขยับตัวเข้าใกล้ มือขวาสอดเข้าไปเกาะกุมมือซ้ายทีเกื้อกระชับแน่น สัมผัสถึงกระไอร้อนที่แผ่ออกมาชัดเจน

             ขืนทำแบบนี้...ที่นี่...คนที่ผ่านมาเห็นเขาจะคิดว่าเราเป็นคู่รักกันนะเอื้อ นายตำรวจหนุ่มมีอารมณ์ตั้งข้อสังเกต

             เอื้อกานต์หัวเราะเบา ๆ

             มีแฟนสวยขนาดเอื้อแบบนี้ ไม่เห็นต้องอายใครนี่...น่าภูมิใจจะตาย

             ใบหน้าทีเกื้อคลายลง นัยน์ตามีรอยยิ้มส่งให้พี่สาว เรี่ยวแรงเหือดหายจริง ๆ จนพูดอะไรต่อไม่ไหวอีกแล้ว ศีรษะค่อย ๆ พับ พิงไหล่บอบบางของเอื้อกานต์อย่างวางใจ ลมหายใจระบายออกช้า ๆ เชื่อมความรู้สึกระหว่างกันอย่างแผ่วเบา เรียบเนียน

             มือสัมผัสมือ ใจสื่อถึงกัน ลมหายใจเข้า ออกผสานเป็นจังหวะเดียว ทีเกื้อหลับตา ผ่อนคลายทั้งร่าง ไม่สนใจตนเองอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร จิตใจโปร่ง โล่งเบา ไม่เกาะเกี่ยวทุกความคิดที่เวียนผ่านเข้ามา

             เอื้อกานต์ตั้งสมาธิ จิตใจแผ่ความเมตตาออกกว้างขวาง ไร้ขอบเขต ก่อนจะหดมารวมที่กึ่งกลางหน้าอก ระลึกถึงความเย็นฉ่ำจากใจตน กำหนดให้มันเป็นสาย ไหลตรงไปสู่แขน เข้าไปกลางฝ่ามือ แล้วทะลุผ่าน พุ่งไปยังมือของทีเกื้อ

             สายธารความเย็นค่อยขจัดความร้อนบนเส้นทางที่ผ่านทีละน้อย เชื่องช้า ทว่ามั่นคง หนักแน่น เอื้อกานต์นิมิตเห็นภายในร่างกายน้องชายเป็นเส้นใยยุ่งเหยิง แดงซ่าน มีหมอกสีเทาจางคล้ายควันไฟซึมแทรกอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ทำให้ร้อนรน อึดอัดทรมาน

             กระแสพลังความเมตตาพุ่งเป็นเส้นใยสีขาว อบอุ่น เยือกเย็น ซอกซอนเข้าไปขับไล่หมอกควันสีเทานั้นออก ช่วยเยียวยาอาการเจ็บปวดภายในให้ทุเลาลง

             ไม่ยาก... คุณหมอรู้สึกเช่นนั้น

             การรักษาทีเกื้อไม่ถึงขั้นหนักหนา กินแรง เพราะสิ่งที่เขาได้รับ เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของทั้งหมดที่ถูกส่งมา ถ้าหากมันมาถึงครึ่งหนึ่งที่นายเดชาโดน คนเป็นหมอเอง ก็ไม่แน่ใจว่าจะรักษาน้องชายตนได้หรือไม่

             กลางฝ่ามืออีกข้างของทีเกื้อ เริ่มมีควันสีเทาบาง ๆ ไหลออกมา บอกให้รู้ว่า มนต์ร้าย ที่ซึมเข้าร่าง ได้ถูกขับออกมาบ้างแล้ว...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             คิมเกิดสังหรณ์แปลก ๆ ขณะขับรถวกกลับมาโรงพยาบาลเพื่อยืนยันผลงานตนเอง มันเป็นสังหรณ์ที่ตอบไม่ถูกว่ามีความหมายอย่างไร

             ใจหายวูบ...ขนบนต้นคอลุกชัน สายตาที่มองถนนตรงหน้าพร่าเลือน พยายามตั้งสติ ขับรถให้ตรงทางก็ยังลำบาก กินแรงกว่าเคย

             คิมไม่รู้สาเหตุของมัน...รู้แค่ว่า...เรื่องร้ายกำลังจะเกิดแก่เขาภายในไม่กี่นาทีนี้แล้ว



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             ทีเกื้อเห็นความร้อนภายในกายถูกบีบเป็นเส้น แล้วไหลออกทางฝ่ามือข้างที่ยังว่าง

             แรก ๆ มันไหลช้า ฝืดฝืน ต่อมาค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น ราวกับตนเองสามารถดูดซับพลังของเอื้อกานต์มารวมกับพลังในตน ใช้ขับเร่งพิษร้ายออกมาอย่างถนัดถนี่ สะดวกใจ

             ศีรษะเขายังพิงไหล่หญิงสาว รู้สึกเมื่ออยู่ในท่านี้ เขากับเอื้อกานต์คล้ายเป็นคน ๆ เดียวกัน สองร่างรวมเป็นหนึ่งความรู้สึก ก่อให้เกิดพลังที่มีอำนาจเกินหยั่งถึง

             ชั่วเวลาไม่นาน พิษร้ายระลอกสุดท้ายก็ถูกขับออกมา ทีเกื้อลืมตา ยกศีรษะขึ้น ขยับตัวออกห่าง มองหน้าพี่สาวพร้อมกับแบมือข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมให้เธอดู

             ควันเริ่มจางหาย บนมือทีเกื้อมีเศษฝุ่นสีเทา กองเล็กขนาดปลายนิ้วก้อย

             เขาขยับปากจะถามหญิงสาวว่ามันคืออะไร?

             จู่ ๆ เจ้ากองฝุ่นสีเทานั่นก็จางหายต่อหน้าต่อตา ละลายกลายเป็นอากาศธาตุด้วยตัวของมันเอง

             เอื้อกานต์เห็นอย่างทีเกื้อเห็น...และ เห็น ไกลกว่านั้น เจ้าฝุ่นพิษนี้ไม่ได้หายไปไหน...

             มันแค่ กลับ ไปหาคนที่ ส่ง มันมาเท่านั้นเอง!



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             สิ่งที่ไร้รูปบางอย่างพุ่งเข้ามา คิมปวดจี๊ดที่ขมับ รีบหักพวงมาลัยจอดลงข้างทาง หัวใจเต้นถี่เร็ว สิ่งไร้รูปนั้นไหลซ่านไปทั่ว ปวดหัว ตาพร่ามองอะไรแทบไม่เห็น ร่างกายเกิดอาการปั่นป่วน ทรมาน ปวดแสบปวดร้อนไปหมด

             คิมรู้แล้ว มันเกิดอะไรขึ้น...ของ ที่ส่งไปถูกแก้ตก มันจึงกลับคืนมาโดยอัตโนมัติ หนำซ้ำยิ่งเพิ่มความรุนแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า

             อาจารย์เคยบอก เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้ เขาแค่คิดไม่ถึงมันจะเกิดเร็วขนาดนี้ ทั้งเกิดในขณะที่เพิ่งลำพองใจจากความสำเร็จสด ๆ ร้อน ๆ

             คิมตั้งสติมั่น ระลึกถึงบทสวดแก้ไข คลี่คลายมนต์ดำ จากนั้นเร่งสวดออกมาอย่างรวดเร็ว

             สติไว สมาธิมั่น เสียงสวดถี่ต่ำ ดังกระชั้น แม้ผู้สวดจะเกิดเวทนาทางกายแรงกล้า น้ำเสียงท่องมนต์ยังมั่นคง ชัดเจน สมกับที่ฝึกฝน ท่องสาธยายนับครั้งไม่ถ้วน

             ชั่วเวลาไม่นานปรากฏมีควันบาง ๆ ลอยออกทางผิวหนัง รูขุมขน อาการเจ็บปวดคลี่คลาย ระบายลมหายใจแผ่วเบา เปิดกระจกหน้าต่างรถออกทุกด้าน ปล่อยสายลมภายนอกให้พัดผ่าน นำฝุ่นควันสีเทาจางในรถออกไป

             คิมนั่งนิ่ง...รอคอย...รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

             ตื้ด...ตื้ด...โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสั่นเรียกเข้า เขารีบรับมันทันที

             ใครสามารถแก้ของที่ผมส่งไปได้ครับ เป็นครั้งแรกที่คิมเอ่ยปากก่อนอีกฝ่าย

             ลองคิดดูสิ คำตอบสั้น

             คิมครุ่นคิด ไม่นานก็ได้คำตอบ

             คนที่มาช่วยนายเดชาหรือครับ

             คน ๆ นั้นสามารถต้านทานอาคมระลอกแรกของเขาได้ แต่ไม่อาจต้านทานอานุภาพในระลอกสอง ถึงขนาดได้รับพลังร้ายเข้าไปในกายส่วนหนึ่งเช่นกัน

             แสดงว่า...มันแก้อาคมที่เข้าตัวได้แล้ว คิมมีข้อสรุปโดยคนเป็นอาจารย์ไม่ต้องอธิบาย

             คนผู้นั้นรับเศษอาคมเข้าไป แต่สามารถแก้ตก พลังนั้นจึงถูกส่งคืนกลับมา...ความแรงของมันย่อมมีกำลังมากกว่าเดิม โชคดีที่ไม่แรงเท่าอาคมที่ส่งไปให้นายเดชา ไม่เช่นนั้นเขาคงยากจะคลี่คลายได้เร็วขนาดนี้

             มันเป็นใคร เขาถามเสียงเครียด

             ถ้าอยากรู้...ก็ไม่ยาก อาจารย์ตอบน้ำเสียงท้าทาย

             คิมเข้าใจ เขาสามารถใช้จิตย้อนทวนตามพลังอาคมที่ส่งกลับมาได้...ทว่า หากทำเช่นนั้น คนที่แก้อาคมย่อมเห็นเขาได้ไม่ยากเช่นกัน

             ผมต้องรู้ให้ได้ เขายอมเสี่ยง

             ตามใจ คำตอบสั้น สัญญาณขาดหาย

             คิมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า วางมือบนพวงมาลัยสบาย ๆ หลับตา ใช้จิตสัมผัสคลื่นอาคมที่ยังหลงเหลือ แล้วค่อยย้อนทวนกระแส ตามกลับไปยังต้นตอ เพื่อค้นหาบุคคลผู้สามารถแก้อาคมคนนั้น

             คิมถือว่ามันคือศัตรู...เขาต้องรู้จักหน้าตาของศัตรูเสียก่อน จึงจะจัดการกับมันได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


 

- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP