วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๐


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             คิมพยายามฝึกฝนตนเองให้นอนหลับโดยไม่ฝัน กำหนดจิตดิ่งลงภวังค์ หลับลึก เพื่อตื่นมาอย่างสดชื่น มีกำลัง พร้อมสำหรับงานที่ต้องทำ

             คืนนี้ จิตเขาลงภวังค์เพียงชั่วครู่ แล้วดีดขึ้นมาโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จากนั้นหูแว่วเสียงหวีดดัง วี้ด วี้ด อู้ อู้อื้ออึงแบบไม่ได้สรรพ มันดังจากทางโน้นที ทางนี้ที ระงมไปทั่ว เหมือนตัวต้นเสียงยืนรายล้อมเขาอยู่ แล้วต่างตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมกัน

             จากนั้นคิมเริ่มมองเห็นพวกมัน...เหยื่อรายแรก นายโกวิทโผล่มาจากความมืด ตัวเขียวซีด มีหยดน้ำไหลตามเป็นทาง แล้วก็นายดนู นายคะนึง ปิดท้ายด้วยร่างแดงฉาน ลุกโพลงด้วยเปลวไฟของนายเกริกภพ

             ทั้งสี่ยืนโอบล้อมเขา ต่างตะเบ็งเปล่งเสียงวี้ด วี้ดสาปแช่ง เรียกร้องขอความเป็นธรรม จากการตายอันน่าสะพรึงของตนเอง พวกมันกำลังขอให้เขาชดใช้ ให้คืนชีวิตของมันด้วยชีวิตเขาเอง

             คิมมองพวกมันนิ่ง ๆ นึกถึงบทสวดที่ร่ำเรียนมาจนช่ำชอง ระลึกได้แม้ในฝัน คำสวดถูกเปล่งออกมา และท่องซ้ำสามสี่จบ จนใจเกิดกำลัง เพ่งตรงยังอสุรกายทั้งสี่

             ฉับพลัน พวกมันก็สลายหายวับ กลายเป็นเถ้าถ่าน

             คิมลืมตา ลุกจากที่นอน รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติ...ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังมืดสนิท นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันตั้งแต่เขาก้าวสู่เส้นทางนี้

             พวกโดน อาคม ของเขากำลังกลับมาเรียกร้องความยุติธรรม

             กลัวหรือไม่...ใจถามใจ

             กลัว...ใจตอบ

             กลัวเพียงชั่วขณะ หวั่นไหวเพียงชั่วครู่ก็ยอมรับได้ รู้เสียแล้วว่า...หากเดินบนเส้นทางนี้ ต้องพบพานกับสิ่งใดบ้าง

             อาจารย์ บอกทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อนรับเขาเป็นศิษย์

             เมื่อใดก้าวเข้าสู่เส้นทางสายล้างแค้น นั่นหมายถึงกำลังเดินบนถนน ผู้ก่อกรรมร้าย

             เมื่อใดก่อกรรม...เมื่อนั้นต้องเป็นทายาท...ชดใช้กรรม

             ยิ่งกรรมที่ก่อด้วย อาคมร้าย ผลลัพธ์ย่อมน่าสะพรึงกลัว...

             กล้าเผชิญกับมันหรือไม่?

             เขาตอบ...กล้าสิ...รับได้...เพราะสิ่งที่พวกมันทำต่อเขาและครอบครัว มันโหดร้ายไม่แพ้กัน

             มันต้องชดใช้...และต้องชดใช้ให้เขาเห็นในชาตินี้ด้วย!

             คิมยังไม่เข้าใจ เรื่องร้ายที่เขาเคยเจอ คือผลของกรรมที่เขาไม่สามารถทราบสาเหตุ เขาจึงเลือกที่จะเข้าสู่วงจรอุบาทว์แห่งการแก้แค้น สร้างกรรมชั่วใหม่ แล้วมันก็จะหมุนวนกลับมาเป็นวัฏจักร วนเวียนยืดยาวอีกเนิ่นนาน ยากยุติได้ง่าย ๆ



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             ใกล้รุ่ง

             แสงตะวันเพิ่งจับปลายฟ้า ความมืดยังไม่คลี่คลาย ดอกแก้วแย้มกลีบ ส่งกลิ่นหอมกระจาย ลำต้นเป็นทรงพุ่มสูงเลยศีรษะ บอกถึงอายุที่นานนับสิบปี

             ทีเกื้อถือกระทงใบตอง อีกมือใช้กรรไกรเล็กตัดดอกแก้วใส่กระทงทีละดอก แสงสว่างยังไม่มากพอจะเห็นรอบตัวชัดเจน เขาอาศัยความคุ้นเคยตั้งแต่เล็ก ทำงานนี้อย่างคล่องแคล่ว

             แม่ชอบดอกแก้ว ทุกปีที่มาทำบุญ ทีเกื้อจะตัดดอกแก้วใส่กระทงใบตอง นำไปวางไว้ที่ห้องพระ หน้ารูปของแม่และคุณตา จากนั้นแบ่งอีกส่วนไปวัด ถวายไว้หน้าพระประธานในโบสถ์

             เลือกดอกสวย ๆ ตัดใส่เกือบครึ่งกระทง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังสวบสาบเข้ามาใกล้ จึงหยุดยืนดู คิดว่าพี่สาวตนคงลงมาตัดด้วยเหมือนกัน

             หญิงสาวที่มาถึงใส่เสื้อสีขาวของเอื้อกานต์ ผมปล่อยยาว ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางดูเนียนใส แลสว่างตาทั้งที่บรรยากาศยังสลัว

             ทีเกื้อเห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็นใคร นึกอยากเลี่ยงไปทางอื่น ขาเจ้ากรรมกลับไม่ยอมขยับ หยุดยืนมองจนเธอเดินเข้ามาใกล้

             อุ๊ย พี่เกื้อ สัตตบงกชอุทาน เมื่อพบร่างสูงยืนตะคุ่มหลังพุ่มดอกแก้ว

             มาทำอะไรตอนนี้ ยังไม่สว่างดีเลย เดี๋ยวเจองูเงี้ยวเข้าจะเป็นอันตรายเปล่าๆ ชายหนุ่มพูดกึ่งดุ

             หญิงสาวเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้น ขณะยกกระทงใบตองในมือชูให้เขาดู

             หนูดีมาเก็บดอกแก้ว จำได้พี่เกื้อเคยบอกว่าคุณแม่ชอบมาก

             ชายหนุ่มนิ่งอั้น นึกไม่ถึง เรื่องที่เคยเล่าให้ฟังนานขนาดนั้น เธอยังจำได้ไม่ลืม

             พี่เก็บได้เยอะแล้วล่ะ หนูดีขึ้นไปบนบ้านเถอะ อาจเป็นเพราะฟ้ายังไม่สว่างนัก และมีพุ่มดอกแก้วกั้นกลาง เขาจึงเผลอพูดกับเธออย่างสนิทสนมดังเดิม

             ให้หนูดีช่วยเถอะค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว อยากทำอะไรให้คุณแม่บ้าง

             คำพูดง่าย ๆ จริงใจเช่นนี้ ทำให้เขาไม่กล้าขัด จึงเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้เธอเข้ามายืนใกล้ ๆ

             งั้นมายืนตรงนี้ดีกว่า มันสว่างกว่า เก็บดอกตรงกิ่งล่าง ๆ ก็ได้ ระวังดี ๆ นะ เขาพูดราวกับเธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อย

             ค่ะ หญิงสาวยิ้มใส เดินเข้ามาใกล้จนสามารถสัมผัสกลิ่นกาย

             ทีเกื้อขยับตัวออกห่างนิดนึงแล้วนิ่ง เก็บดอกไม้ต่อโดยไม่พูดจา หญิงสาวยืนอยู่ใกล้ แอบอมยิ้มน้อย ๆ โดยไม่ให้เขาแลเห็น

             ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ขอเก็บเกี่ยวความอบอุ่น ชิดใกล้นี้ไว้ให้เต็มที่สักครั้ง เพราะต่อไป อาจไม่มีเวลาเช่นนี้อีกแล้ว

             สองหนุ่มสาวเก็บดอกไม้เงียบ ๆ ไม่มีการพูดจา บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยน ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ความรู้สึกทั้งสอง กลับมีแสงสว่างแห่งความรื่นรมย์บังเกิดขึ้น อย่างที่ไม่อยากให้มันเลือนหายไปเร็วนัก

             ตะวันลอยสูง สว่างพอจะแยกแยะสีใบไม้ได้ ดอกแก้วเต็มกระทงส่งกลิ่นหอมเย็น ๆ เสียงร้องเพลงลูกทุ่งของตาชมก็ดังโหวก ๆ แบบถูก ๆ ผิด ๆ มาแต่ไกล

             ชาติก่อนเราเพียง คู่เคียง เก็บดอกไม้ร่วมต้น...

             แต่ว่าเราสองคน ไม่สนใจ ใส่บาตรร่วมขัน...

             เพลง ทำบุญร่วมชาติ ทำให้ทีเกื้อชะงัก ก้มมองหญิงสาวที่อยู่ข้าง สายตาสองคู่สบกัน ความรู้สึกแปลก ๆ บังเกิดขึ้น จากนั้นทั้งคู่ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างโดยไม่ได้นัดหมาย

             ...ถึงจะเคยเก็บดอกไม้ร่วมต้น...หรือมีโอกาสใส่บาตรร่วมขันกันก็จริง แต่ถ้าไม่ใช่คู่เคียงกันแท้จริง ก็ย่อมมีเหตุให้พลัดพราก ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อยู่ดี...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -





             เสียงพระสวดให้พรดังก้องศาลา ชาวบ้านมาทำบุญ รับพรวันนี้มีไม่มากนัก รัฐมนตรีธีรนัฐ และกลุ่มลูก ๆ นั่งอยู่มุมหนึ่ง ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น สะดุดตา ถึงอย่างนั้นคนที่หน้าตามีบารมีดูเป็นคนใหญ่คนโตแบบนี้ กับหนุ่มสาวหน้าตาดี ท่าทางบอกชัดเป็นคนกรุงขนาดนั้น จะไม่ให้ชาวบ้านสนใจก็นับว่าแปลกเต็มที

             พระให้พรจบ การทำบุญถึงผู้วายชนม์เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องฝาแฝดนำน้ำที่กรวดตอนรับพรไปเทที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัด

             เสร็จภารกิจเรียบร้อย คณะของนายธีรนัฐต้องกลับเข้าเมือง ไปที่โรงแรม เพื่อเตรียมตัวรับนายกรัฐมนตรีซึ่งจะมาประชุมในวันนี้

             ท่านรัฐมนตรี บุตรชายคนโต และว่าที่ลูกสะใภ้ขึ้นรถเรียบร้อย ทีเกื้อปิดประตูเสร็จก็เดินไปจะขึ้นรถฝั่งคนขับ

             ระวังตัวหน่อยนะ เอื้อกานต์เตือน

             ทีเกื้อพยักหน้า เข้าใจ เหตุร้ายน่าจะยังไม่จบ ต้นสายปลายเหตุของแก๊งปาหินเมื่อวานยังไม่มีคำตอบ วันนี้อาจเกิดเรื่องอย่างอื่นตามมาอีกก็ได้

             ดูแลพ่อด้วย หญิงสาวย้ำ

             หือ... ทีเกื้อรู้สึกว่าพี่สาวมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่พูด

             สังเกตมั้ยว่าพ่อมีท่าทางแปลก ๆ ตั้งแต่เช้า เอื้อกานต์บอก

             ทีเกื้อชะงัก รู้สึกละอายใจ โดยหน้าที่แล้ว เขาควรเป็นฝ่ายสังเกตเห็นก่อน ไม่น่าให้พี่สาวมาบอก

             คิดว่าพ่อกังวลใจเรื่องอะไร เขาถาม

             ไม่รู้สิ เอื้อกานต์ตอบ แต่ที่รู้สึกแน่ ๆ คือวันนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่าง

             นายตำรวจหนุ่มไม่สงสัยลางสังหรณ์ของพี่สาวตน เพราะเขาเอง พอได้ยินคำทักเช่นนี้ สัมผัสภายในก็เริ่มทำงาน รู้สึกชัดตรงกับเอื้อกานต์

             ถ้ายังไง เอื้อเสร็จธุระทางนี้แล้วจะรีบเข้าเมือง ไปช่วยดูที่โรงแรมให้

             ขอบใจนะ...

             ชายหนุ่มตอบรับอย่างวางใจ รู้สึกอุ่นใจลึก ๆ เขาเชื่อเสมอว่า หากมีเอื้อกานต์อยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าเรื่องร้ายใดก็ไม่น่าเกินกำลังพวกเขาสองพี่น้อง

             ยิ่งนาน สัมผัสเร้นในใจยิ่งทำงาน เห็นชัด ต้องเกิดเรื่องร้ายแน่ ๆ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิด...มันย่อมเกิด ไม่มีทางเลี่ยงง่าย ๆ เขาทำได้เพียงตั้งมั่น พร้อมเผชิญหน้ากับมัน



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๙



             สนามบิน...เวลาใกล้เที่ยง

             ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด นายทหารระดับสูง คณะรัฐมนตรีที่มาล่วงหน้า ต่างเตรียมรอต้อนรับนายกรัฐมนตรีอยู่ในห้องรับรองวีไอพี

             นายตำรวจติดตามแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มใกล้ชิดจะเข้าไปในห้องรับรอง ส่วนอีกกลุ่มจะคอยดูแล กันพวกนักข่าว และติดต่อประสานงาน อำนวยความสะดวกอยู่ด้านนอก

             ทีเกื้อและนภอยู่นอกห้องรับรอง ทั้งสองยืนตรงจุดที่สามารถเห็นเจ้านายตนและมองเห็นลานจอดด้านนอกได้สะดวก

             เป็นไงบ้างวะ นภถามกึ่งชวนคุย

             อะไรเป็นยังไง

             ทำงานกับเจ้านายคนนี้เป็นยังไงบ้าง

             ก็ดี ยังไม่ถูกด่า

             ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับงานบ้างไหม

             ยัง...ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ทีเกื้อย้อนถาม

             ถ้าจะว่าปกติก็ปกติดีว่ะ แต่ถ้าจะบอกว่ามันผิดปกติ...ก็มีเยอะแยะ นภตอบกวน

             กวน...นะมึง เอาเฉพาะเกี่ยวกับงานเราสิวะ

             นภหัวเราะ ก่อนอธิบาย

             ที่ว่าปกติ เพราะนายเดชาก็เหมือนนักการเมืองรวย ๆ ทั่วไป รู้จักคนเยอะ มีอิทธิพล อีหนูเพียบ ที่ผิดปกติคือวัน ๆ แกไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตำแหน่งที่ปรึกษาพรรคของแก เหมือนยกไว้เฉย ๆ ไปประชุมก็แค่เป็นไม้ประดับ อย่างงานครม.สัญจรนี่ แกไม่ต้องมาก็ได้ แต่เหมือนพวกผู้ใหญ่บางคนเกรงใจแก พยายามให้เกียรติ ไม่ทำให้แกดูไร้ค่า ไปแช่แข็ง ไม่ให้แกออกงานอย่างนั้นน่ะ

             ทีเกื้อส่ายหน้า นภยังพูดไม่เข้าประเด็นสำคัญที่เขาอยากรู้

             พวกนักการเมืองมันก็มีลับลมคมในหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันอยู่แล้ว ที่กูอยากรู้ก็แค่เฉพาะงานของเรา ว่านายเดชาตอนนี้ มีอะไรเข้าข่ายเสี่ยงเป็นเหยื่อรายต่อไปหรือเปล่า

             ไม่หรอก...กูเช็คคนรอบตัวแกแล้ว ไม่มีใครแปลกปลอมเข้ามา ข้าวของส่วนตัวก็ไม่เห็นมีอะไรหาย ไม่เห็นมีใครโวยวายตามหาอะไร แต่กูก็ไม่แน่ใจนะ

             เออ...อย่างนั้นก็ดี... ทีเกื้อพูดยังไม่ทันขาดคำ กระแสบางอย่างก็แปลบเข้ามาในหัว นิมิตเห็นคลื่นสีดำถาโถมผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว

             โครม!” เสียงดังจากห้องวีไอพี ตามด้วยเสียงเอะอะตกใจ และมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเหล่าตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งหลาย

             ฉิบหายแล้ว เครื่องนายกฯ จะลงอยู่รอมร่อ เกิดอะไรขึ้นวะ นภบ่นเบา ๆ

             เงียบแล้วรีบเข้าไปดูเถอะมึง อย่าให้นักข่าวรู้เชียว เดี๋ยวเป็นเรื่องแน่ ทีเกื้อเตือน

             นายตำรวจทั้งสองรีบตามกันเข้าไปในห้องรับรอง เพียงแค่ก้าวพ้นหลืบบังตาก็มองเห็นเหตุการณ์ปรากฏต่อหน้าชัดเจน

             นายเดชา ที่ปรึกษาพรรคผู้นำรัฐบาลกำลังนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น หนึ่งในคณะที่เป็นนายแพทย์กำลังเข้าไปดูอาการ และปฐมพยาบาลขั้นต้น มีเสียงผู้ใหญ่ในห้องบอกให้เรียกรถพยาบาลมาด่วน

             คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างยืนพิงผนังใบหน้าซีดเผือด วิตกกังวล ตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งยืนกั้นหน้าประตูป้องกันนักข่าวและสายตาคนภายนอก

             ทีเกื้อยืนมองนิ่ง ๆ เกิดสังหรณ์ประหลาด...หรือนายเดชากำลังเป็นเหยื่อรายที่ห้า



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             สนามกีฬา...เวลาเที่ยงตรง

             ดวงตะวันทอแสงเจิดจ้ากลางฟ้า เหนือสนามฟุตบอลที่ร้างผู้คน ความแรงร้อนของแสงแดดยามเที่ยงดูจะแผดกล้ารุนแรงกว่าเคย และพร้อมจะเผาผลาญบางสิ่งที่อยู่กึ่งกลางสนาม

             สิ่งนั้นไม่สามารถสังเกตเห็นง่าย ๆ เมื่อมองจากที่ไกล ต้องขยับเข้าไปใกล้ จึงพบรอยนูนเล็ก ๆ ขนาดไม่เกินครึ่งลูกเทนนิสผุดขึ้นเหนือผืนหญ้าเรียบ

             รอยนูนนั้นดูคล้ายเป็นจุดรวมแสงตะวันกล้า ทำให้บริเวณผิวหน้าของมันเป็นสีส้มระเรื่อบาง ๆ

             ด้านอัฒจันทร์โดยรอบเงียบสงัด วังเวงคลับคล้ายไร้สิ่งมีชีวิต หากสังเกตดี ๆ จะพบร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างเสา ใต้เงาหลังคา สายตาพุ่งตรงมายังกึ่งกลางสนาม ที่รอยนูนแห่งนั้น

             ความเงียบอันน่าอึดอัดแผ่ขยายครอบคลุมชั่วขณะใหญ่ ก่อนจะมีเสียงแผ่วต่ำสวดสาธยายถ้อยคำแปลก ๆ ยากแปลความหมาย ยามกระแสเสียงของมันลอยผ่านจะรู้สึกได้ถึงหมอกมืดอันน่าสะพรึง และกระแสความเกลียดชังอันร้ายกาจที่แฝงมาอย่างปิดไม่มิด

             คิมกำลังสวดอาคม มนต์ดำด้วยใจแน่วนิ่ง เจตจำนงพุ่งตรงยังเป้าหมายด้วยความพยาบาทอันแรงกล้า ในน้ำเสียงมีความดำมืดของโทสะ คับแค้น อาฆาตเต็มเปี่ยม

             แสงแดด เวลา สถานที่ และมนต์ดำถูกวางไว้เหมาะเจาะ ลงตัว ส่งผลให้อาคมร้ายบังเกิดผลรวดเร็ว รุนแรง มุ่งหน้าไปสู่เหยื่อโดยไม่รั้งรอ...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             นายเดชาถูกส่งตัวขึ้นรถพยาบาลในเวลาไม่นาน มีนภเป็นตำรวจติดตามขึ้นรถด้วย ทีเกื้อละล้าละลังอยากตามไป แต่เขามีหน้าที่ดูแลรัฐมนตรีผู้เป็นบิดา ไม่สามารถตามไปด้วยได้

             เขาเห็นอาการขั้นต้นของนายเดชา ทำให้เชื่อว่า น่าจะเป็นเหยื่อของผู้ร้ายที่ เล่นของ รายนั้นแน่ ๆ หากเขาอยู่ใกล้ ๆ น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า

             ...ถ้าตามไปแล้วจะช่วยอะไรได้มั้ย...คำถามนี้เกิดขึ้นในใจ

             ลึก ๆ แล้วเขาเชื่อว่าคงจะหาหมอที่รักษาอาการโดนของแบบนายเดชาไม่ได้ง่าย ๆ แน่

             ...แล้วจะตามไปทำไม...ความสงสัยตามมา

             ไม่รู้! คำตอบง่าย แต่อธิบายยาก

             ทีเกื้อรู้สึกว่าตนเองจะมีประโยชน์กับนายเดชามากกว่า ถึงไม่รู้ว่าควรรักษา หรือช่วยชีวิตเขาแบบใด อย่างน้อย ก็น่าจะทำอะไรได้ดีกว่าอยู่เฉย ๆ อย่างนี้

             พอตัดสินใจได้ ก็มองหารถเพื่อตามรถพยาบาลคันนั้น

             เกื้อ...อาเดชาเป็นยังไงบ้าง ธีรภูมิตามออกมาถามข่าว

             พี่ภูมิ ฝากบอกพ่อทีนะ ว่าผมจะตามไปที่โรงพยาบาลก่อน ทีเกื้อได้โอกาสรีบบอกพี่ชาย

             เฮ้ย ตอนนี้ข้างในกำลังยุ่งกันใหญ่เลยนะ พวกนักข่าวมารุมจะสัมภาษณ์พวกผู้ใหญ่ รัฐมนตรีกันเต็มเลย ปิดข่าวไม่ได้แล้ว จะไม่อยู่ดูแลพ่อก่อนเหรอ ธีรภูมิแย้ง

             ทีเกื้อใช้เวลาคิดนิดเดียวก่อนตอบ

             พ่อยังมีตำรวจติดตามอีกสองคน เขาดูแลได้แน่ แต่คนป่วยรายนี้ผมต้องตามไปดูให้ได้ มันเป็นงานของผมเหมือนกันพี่

             ธีรภูมิไม่ทันพูดอะไร ทีเกื้อก็ตรงไปยังรถของคณะที่ยังว่างอยู่ พร้อมบอกให้คนขับพาตนเองไปโรงพยาบาลทันที



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -  - - -   - - -   - - -   - - -





             เอื้อกานต์เพิ่งเสร็จธุระที่บ้านคุณตา กำลังจะขึ้นรถเพื่อขับเข้าเมืองไปหาน้องชายตามที่ตกลงกันไว้ตอนเช้า เพียงเอื้อมมือจับประตูก็ได้ยินเสียงทีเกื้อดังเข้ามาในสมอง

             เอื้อ...เกิดเรื่องแล้ว

             พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า เอื้อกานต์กังวลใจเรื่องบิดาเป็นอันดับแรก

             ไม่ใช่พ่อ แต่เป็นผู้ใหญ่ในพรรค ทีเกื้อตอบ

             ตอนนี้อยู่ที่ไหน เอื้อกานต์สงบใจถาม

             กำลังจะไปโรงพยาบาล มาช่วยทีสิ

             ได้

             เอื้อกานต์ตอบ การติดต่อหยุดลง เธอเปิดประตู ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง แล้วใจก็แวบนึกถึงเกริกภพ...เหยื่อรายที่แล้ว ซึ่งเธอไม่สามารถช่วยเขาได้

             ถ้ามาในอาการเดียวกันอีก...เธอจะช่วยอย่างไร

             ต้องมีวิธีสิน่า...เอื้อกานต์บอกต่อตนเอง

             ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าจะช่วยได้อย่างไร เอาไว้ให้เห็นสภาพอาการเสียก่อน เวลานั้นน่าจะหาทางช่วยได้

             รถแล่นออกจากบ้านด้วยความเร็วเกินกว่ามาตรฐานการขับรถของคุณหมอ ตอนนี้เธอเชื่อว่า ถ้าได้พบคนไข้เร็วเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาก็จะมากขึ้นเท่านั้น

             เอื้อกานต์จึงเหยียบคันเร่ง โดยไม่ห่วงสวัสดิภาพตนเอง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             มาถึงกลางทาง ทีเกื้อเห็นรถพยาบาลที่นำมาก่อนจอดลงไหล่ทาง ไฟไซเรนแดงวะวาบ ล้อรถฟุบแบนสองล้อ จึงบอกให้คนขับจอดรถ แล้วตนเองรีบลงไปดูที่รถพยาบาลคันนั้น

             บนรถกำลังวุ่นวายใหญ่ เจ้าหน้าที่พยาบาลคนหนึ่งพยายามปั๊มหัวใจนายเดชา ส่วนอีกคนก็ติดต่อรถพยาบาลอีกคันให้ออกมารับ

             เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทีเกื้อถามนภที่ยืนข้างรถ

             ไม่รู้รถไปโดนอะไร ขับมาดี ๆ ยางก็แฟบทีเดียวสองล้อ ยางอะไหล่มีแค่เส้นเดียวไม่พอเปลี่ยน นี่เรียกรถพยาบาลอีกคันให้มารับแล้ว

             เอาคนเจ็บขึ้นรถที่มากับกูนี่ดีมั้ย น่าจะถึงโรงพยาบาลเร็วกว่า ทีเกื้อออกความเห็น

             เออ...ลองไปถามเจ้าหน้าที่เขาดู นภเห็นด้วย

             ทั้งคู่หันไปภายในรถพยาบาล ทันเห็นเจ้าหน้าที่พยาบาลที่กำลังปั๊มหัวใจ ถูกผู้ป่วยสะบัดฟาดด้วยแรงผิดมนุษย์จนกระเด็นแทบตกรถ

             เฮ้ย...ฉิบหายแล้ว นภอุทาน

             ทีเกื้อปราดขึ้นรถ ทันเห็นนายเดชาลุกขึ้นนั่ง อาละวาดฟาดแขนขาไปทั่วเหมือนถูกผีเข้า สภาพร่างกายแข็ง ๆ ทื่อ ๆ แบบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่แรงเหวี่ยงออกมาเกินกว่าคนปกติทั่วไปจะทำได้

             ชายหนุ่มสังเกตสีผิวของผู้ป่วยนี้ มันไม่ได้แดงเถือกเหมือนนายเกริกภพ หรือเขียวซีดเหมือนอีกสองรายที่ตายก่อนหน้า สีของมันเป็นสีน้ำตาลเทา คล้ายสีก้อนดิน...ดินที่แห้งผากใกล้ปริแตก

             ต้องช่วย!

             นายตำรวจหนุ่มไม่คิดถึงความปลอดภัยตนเอง หลบแขนขาที่ฟาดเหวี่ยงของนายเดชาจนเข้าไปถึงตัว ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกดให้ร่างนั้นนอนลง...

             เอื้อ...บอกที...เกื้อจะช่วยเขายังไง ชายหนุ่มตะโกนถามพี่สาวในใจ

             หวังว่าคำตอบที่ได้จะสามารถช่วยชีวิตเหยื่อรายนี้ได้สำเร็จ



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             เอื้อกานต์ขับรถเกือบจะเข้าถึงตัวเมืองแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกทางจิตจากน้องชาย เมื่อจิตสัมผัสการเรียกขาน ความเชื่อมต่อก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ

             ภาพที่ทีเกื้อเห็นคือภาพที่เอื้อกานต์เห็น สัมผัสที่เขารู้สึกก็คือสัมผัสที่เธอรู้สึกเช่นกัน

             ขณะเห็นสภาพร่างกายนายเดชา ผ่านสายตา สัมผัสของทีเกื้อ ทำให้คุณหมอสาวสามารถประเมินอาการคนเจ็บได้ทันที

             ...พอไหว...คำแรกผุดในใจ ก่อให้เกิดกำลังใจอยากช่วยเหลือ

             เกื้อ...ตั้งใจฟังนะ...ทำตามที่เอื้อบอก หญิงสาวส่งคำพูดกลับไป

             ได้

             จากนั้นเอื้อกานต์ก็บอกขั้นตอนวิธีที่ตนเองเคยใช้การรักษาแบบ พิเศษ แก่ทีเกื้อ ถึงรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอย่างตนเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็พอจะชะลอเวลาจนกว่าหล่อนจะตามไปถึงได้

             โอเค ทีเกื้อตอบกลับ หลังรับรู้ขั้นตอนทั้งหมด

             สัญญาณการติดต่อถูกตัด ขาดหาย สองพี่น้องรู้ดีว่า เวลานี้จำเป็นต้องใช้พลังสติ สมาธิอย่างยิ่งยวด หากมัวส่งจิตออกติดต่อสื่อสารกันแบบนี้ มีแต่จะดึงพลังงานที่จะใช้ช่วยเหลือผู้อื่นออกไป

             ไม่ว่าทีเกื้อจะสามารถรักษาคนป่วยแบบเธอได้หรือไม่ อย่างน้อยควรลองดู...ดีกว่าปล่อยให้คนตายต่อหน้าโดยไม่ช่วยอะไรเลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP