วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๗


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๖



             คุณหญิงอัปสร สตรีวัยกลางคน อายุเลยเลขห้ามาหลายปี ใบหน้ายังเรียบตึงแทบหาริ้วรอยอายุไม่เจอ เห็นเพียงเส้นบาง ๆ ตรงหางตา เส้นผมรวบเกล้าสูง นัยน์ตามีประกายอำนาจ ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง แต่งกายธรรมดาอยู่บ้านแต่ยังดูมีราศี รสนิยมสูง

             ทีเกื้อมองคุณหญิงด้วยแววตาราบเรียบไม่แสดงความเคารพ นอบน้อม แต่ก็ไม่แสดงทีท่าก้าวร้าว ไม่เกรงใจ นึกย้อนถึงวันแรกที่เจอ...

             กาลเวลาผ่านเลยอาจทำให้เกิดริ้วรอยเล็กน้อยบนใบหน้า หางตาคู่นั้น ทว่าความดุ วางอำนาจ มองคนต่ำกว่าด้วยสายตาดูแคลน เหยียดหยันกลับเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านเลย

             ชายหนุ่มเห็นจิตใจตนเองเปลี่ยนไปเช่นกัน จากเด็กวัยรุ่นผอมบางที่มอง คุณผู้หญิง อย่างสั่น ๆ ทั้งเกลียดทั้งกลัว เหลือเพียงความรู้สึกอึดอัด รังเกียจเมื่ออยู่ใกล้ ไม่เกรงกลัว แต่คร้านที่จะสนทนาต่อปากคำ

             ทำไมต้องมาอารักขาท่านเป็นพิเศษ คุณหญิงถาม

             ผมเป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อย มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง คงให้คำตอบคุณหญิงไม่ได้หรอกครับ คำพูดสุภาพ น้ำเสียงกลับแข็งกร้าว

             ตำรวจมีตั้งเยอะแยะ ทำไมเขาต้องส่งแกมาด้วย คุณหญิงซักไซ้ไม่ลดละ

             ทีเกื้อเกือบหลุดปาก...บอกให้ไปถามท่านรัฐมนตรีเอง...เพราะท่านเจาะจงเลือกเขามา!

             พอเห็นลักษณะท่าทางเอาเรื่องของคุณหญิงแล้ว ก็หยุดปาก...ขืนพูดอย่างที่คิด พ่อคงเดือดร้อนแน่

             ผมแค่ทำตามคำสั่งครับ ไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลจากผู้บังคับบัญชา เขาตอบเลี่ยง

             พูดอย่างนี้แสดงว่าฉันต้องไปถามนายของแกใช่ไหม น้ำเสียงเกรี้ยวกราด

             ทีเกื้อยืนนิ่งไม่ตอบ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ถ้าดวงตาคุณหญิงเป็นเปลวไฟ มันคงลุกโพลงออกมาแผดเผาเขาตั้งแต่นาทีแรกที่คุยกันแล้ว



            หนูดี...ติดต่อผบ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ฉันหน่อย คุณหญิงหันไปสั่งลูกสะใภ้

             สัตตบงกชอึ้ง ทำตัวไม่ถูก เธอรู้ ท่านรัฐมนตรีเป็นคนเจาะจงเลือกทีเกื้อมาเอง หากติดต่อสอบถามไปยังต้นสังกัด พอได้คำตอบกลับมา โทสะคุณหญิงจะไปลงยังสามีเต็ม ๆ ปัญหาจะยืดเยื้อไม่จบง่าย ๆ

             เอ่อ...คุณหญิงคะ...หนูดีคิดว่า...

             ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะใช้เหตุผลหว่านล้อม โน้มน้าวใจ สตรีผู้เป็นใหญ่ในบ้านก็ส่งเสียงเรียบเย็น มองเธอด้วยหางตา

             ฉันไม่ได้ขอให้เธอออกความเห็นนะ

             หญิงสาวหน้าชาเหมือนโดนตบสุดแรง มือเย็นเฉียบทำอะไรไม่ถูก คำพูดเรียบ ๆ นั้นฟังรุนแรง ชวนเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกตะคอก ด่าทอ แววตามองมานั้นบอกชัดเจน เธอไม่มีความหมายใดในสายตาคุณหญิงเลย ตำแหน่ง ว่าที่ลูกสะใภ้ ไม่มีความสำคัญสำหรับคุณหญิงแม้สักนิด

             ทีเกื้อเห็นใบหน้าหนูดีซีดสลด ตัวเริ่มสั่นทำอะไรไม่ถูก ดวงตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ใจเขาหล่นวูบ อยากเข้าไปยืนข้าง ๆ คอยปกป้องเธอ

             ขอโทษครับคุณหญิง คราวนี้ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับสตรีผู้ทรงอำนาจแบบตรง ๆ ไม่หลีกเลี่ยง

             การที่ผมมาทำงานที่นี่ ตามคำสั่งของทางราชการ มันผิดตรงไหน แล้วสร้างความเดือดร้อนให้คุณหญิงยังไง

             ได้ผล คุณหญิงอัปสรละสายตาจากว่าที่ลูกสะใภ้มายังคู่กรณีทันที

             ไม่ผิด คุณหญิงตอบชัด แต่ฉันไม่พอใจที่แกกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก

             ทีเกื้อรู้สาเหตุที่คุณหญิงไม่อยากให้เขากลับมาที่นี่ และรู้ว่าควร จี้ ตรงไหน ถึงจะเป็นจุดอ่อนให้คุณหญิงยอมถอยหลังได้

             การจะใช้จุดอ่อนนี้มาตอบโต้ เป็นสิ่งที่ฝืนใจ ขัดต่อนิสัยทีเกื้อจนไม่อยากทำ แต่พอเห็นใบหน้าเซียว ๆ ของสัตตบงกช ซึ่งเป็นคนกลาง ทำตัวไม่ถูกแล้วก็อ่อนใจ ยอมลดทิฐิ พูดคำเหล่านี้ออกไป

             ครับ...บ้านหลังนี้เป็นของคุณหญิง ถ้าคุณหญิงไม่พอใจ ผมก็ไม่ควรมาเหยียบที่นี่อีก แต่เผอิญ พ่อแท้ๆ ของผมก็อยู่ที่นี่ด้วย สายเลือดมันตัดกันยังไงก็ไม่ขาดหรอก การที่ผมมีโอกาสได้มาดูแล อารักขา พ่อ ของตัวเองแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ลูกกตัญญูควรทำไม่ใช่หรือครับ...ความพอใจ หรือไม่พอใจของคุณหญิงไม่ใช่สิ่งที่จะมาขัดขวางได้

             ทีเกื้อจงใจเน้นคำว่า พ่อ ในทุกประโยคชัดเจน ส่งผลให้คุณหญิงหน้าผิดสี นัยน์ตาวาวโรจน์ ลำคอจุกตัน หาคำพูดตอบโต้ไม่ถูก ความที่วางตัวใหญ่เหนือคนอื่นเสียเคย แค่ปรายตามอง คนในบ้านก็กลัวลาน ทำให้เธอไม่นิยมแสดงความเกรี้ยวกราด อาละวาดอย่างแม่ค้ากลางตลาด

             นายตำรวจหนุ่มพูดจี้โดนใจคุณหญิงขนาดนี้ เป็นคนอื่นคงปราดเข้ามาตบ ไม่ก็ตะโกนไล่ ไสหัวออกจากบ้านไปแล้ว แต่สิ่งที่คุณหญิงกระทำคือ เม้มริมฝีปากแน่น ลำคอตั้งตรงอย่างหยิ่งผยอง หันหลังกลับและเดินออกจากห้องอย่างเชื่องช้า รอบตัวมีกรุ่นไอ บรรยากาศอันร้อนเร่าทิ้งไว้เป็นรายทาง

             ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ มั่นใจว่า สิ่งแรกที่คุณหญิงจะทำ คือเข้าห้อง ปิดประตูเงียบ แล้วต่อสายตรงถึงท่านรัฐมนตรี พร้อมออกคำสั่งให้เฉดหัวเขาออกจากบ้านภายในสามนาที

             รัฐมนตรีธีรนัฐจะต้องผจญกับพายุอารมณ์คุณหญิงอย่างไรบ้าง คงไม่ทราบได้...ทีเกื้อเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คนที่อยู่ด้วยกันมากว่าค่อนชีวิต น่าจะมีวิธีรับมือกันอยู่บ้าง...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหญิงเกิดโทสะขนาดนี้

             ห่วงก็แต่หญิงสาวตรงหน้า ที่เพิ่งเจอสถานการณ์เกินคาด ขนาดคุณหญิงออกจากห้องไปแล้ว ร่างเธอยังสั่น เข่าอ่อน ทรุดตัวหมดแรงบนเก้าอี้

             ทีเกื้อทำได้เพียงส่งสายตาปลอบประโลม มองด้วยแววตาอ่อนโยน...ไม่อาจโอบกอดปลอบโยนได้เหมือนวันเก่า...วันที่เธอเคยร้องไห้รำพัน ถึงเรื่องกดดันในชีวิต



            หนูดีเป็นแค่ตุ๊กตา...หนูดีต้องทำทุกอย่างตามที่แม่บอก แม่ไม่เคยถามหนูดีเลยว่าอยากได้อะไร ต้องการมีอนาคตยังไง ทุกอย่างแม่วางไว้หมด หนูดีทนไม่ไหวแล้ว...หนูดีอยากเป็นอิสระ หนูดีอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง...ทำไมคะพี่เกื้อ...ทำไมการเป็นเด็กดี เป็นลูกที่ดีถึงลำบากขนาดนี้

             สาวน้อยร้องไห้รำพัน เมื่อรู้แน่ชัดว่าต้องจากไกล ไปเรียนต่างประเทศทั้งที่ยังไม่พร้อม

             วันนั้นเขาเป็นแค่นักเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่มีฐานะ ความมั่นคงใด ๆ พอจะเป็นที่พึ่งให้เธอ ทำได้เพียงปลอบประโลม ชี้ให้เห็นถึงอนาคต วันข้างหน้า ข้อดีของการไปเรียนต่างประเทศ

             ไปเรียนเมืองนอกก็ดีออก ใคร ๆ เขาก็อยากไปกันทั้งนั้น จะได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ เปิดประสบการณ์ให้เรา ซึ่งมันหาไม่ได้ง่าย ๆ นะ

             แต่หนูดีไม่อยากจากพี่เกื้อไปไกล ๆ อย่างนั้นนี่ สาวน้อยบอกถึงความรู้สึก

             ถึงไกลแค่ไหนเราก็ติดต่อกันได้...หัวใจพี่จะไม่ยอมอยู่ไกลจากหนูดีเด็ดขาด

             คำพูดที่เสมือนคำสัญญาวันนั้น ช่วยให้สาวน้อยคลายใจ ยอมเดินทางไกล อยู่ห่างกันครึ่งโลกเพื่อไปศึกษาต่อเป็นเวลาหลายปี

             ถ้าวันนั้นทีเกื้อรู้อนาคต...เขาจะยังบอกต่อเธอด้วยคำพูดเช่นเดิมอีกหรือไม่นะ



            สาวน้อยในวันนั้น คือหญิงสาวที่นั่งตรงหน้าขณะนี้ เธอควบคุมตัวเองได้แล้ว อาการสั่นหายไป ใบหน้ายังซีดเซียว ลักษณะความมั่นใจ มั่นคงค่อยกลับคืนมา

             ขอโทษ คือคำแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยหลังคุณหญิงออกจากห้อง ที่ทำให้ลำบาก ต้องมารับฟังเรื่องไม่เป็นเรื่อง

             ไม่เป็นไรค่ะ หญิงสาวตอบ ก่อนเว้นช่วง สูดลมหายใจลึก ๆ หนูดีเพิ่งเคยเห็นคุณหญิงเป็นแบบนี้ครั้งแรก เลยยังไม่ชิน

             ทีเกื้อยิ้มขัน แววตาวับ

             ปกติ ไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขาหรอก

             พี่เกื้อ...เอ่อ... หญิงสาวรู้ตัวว่าหลุดปากเรียกขานเขาด้วยคำคุ้นเคย จึงรีบหยุด และพูดใหม่

             ผู้กอง...กับคุณหญิงไม่ลงรอยกันอย่างนี้มาตลอดหรือคะ

             คำว่า พี่เกื้อ หลุดจากปากหญิงสาว กระตุ้นหัวใจชายหนุ่มให้กระตุกวูบ บังเกิดความหวานซึมซ่านเบา ๆ

             เขาเกลียดพี่ เกลียดเอื้อ เกลียดแม่ของพี่ ชายหนุ่มเผลอกลับมาใช้สรรพนามเดิมที่คุ้นเคย

             สัตตบงกชไม่กล้าสบตาเขา ไม่กล้าเอ่ยปากถามเหตุผล เพราะเข้าใจคุณหญิงดี...ผู้หญิงที่เย่อหยิ่ง สูงค่า มีเกียรติ พรั่งพร้อมเช่นเธอ หากรู้สามีอันเป็นที่รัก สามีที่ผลักดันจนเป็นใหญ่เป็นโตกลับหักหลัง นอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่น เธอจะโกรธแค้นรุนแรงขนาดไหน

             โกรธสามีนั้นเรื่องหนึ่ง เกลียดผู้หญิงที่มาแย่งสามีรุนแรงกว่า

             เมื่อผู้หญิงคนนั้นตายไป ความเกลียดชังทั้งหลายย่อมตกมาอยู่กับลูกฝาแฝดทั้งสอง

             ที่จริง คุณหญิงเขาก็มีเหตุผลสมควรเกลียดพวกพี่อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา ชายหนุ่มพูดอย่างคนผ่านโลกมาในระดับหนึ่ง มีความเข้าใจ ยอมรับ เพียงแต่ไม่มีความอดทนพอ ที่จะนิ่งเฉยต่อพายุความชังนั้นได้ โดยไม่ตอบโต้

             เอ่อ...หนูดี... หญิงสาวอยากพูดจาปลอบโยน หาเรื่องขบขันเบา ๆ มาช่วยผ่อนคลายอย่างที่เคยทำในวันเก่า อยากบอกเขาว่า...เธอจะอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเจ็บปวด เป็นทุกข์เช่นไร

             ทว่า...คำพูดเหล่านั้น ไม่อาจหลุดจากปากเวลานี้...มันสายเกินไปแล้ว

             ทีเกื้อได้ยินคำเรียกขานแทนตัวที่อบอุ่น อ่อนหวานอย่างในอดีต ริมฝีปากเขาก็ขยับรอยยิ้มขึ้นมา ประกายตาทอดมองหญิงสาวไม่ต่างจาก พี่เกื้อ คนเดิม

             ถึงหญิงสาวไม่สามารถพูดทุกคำในใจออกมาได้ จิตใจชายหนุ่มก็ยังสัมผัสวลีจากหัวใจชัดเจน...อยากบอกขอบคุณเธอ...แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็น...

             พี่...เอ่อ...ผม...ขอรายชื่อ ประวัติลูกจ้างทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้มั้ย มีเรื่องต้องตรวจสอบหน่อย

             ทีเกื้อฝืนใช้สรรพนามที่ห่างเหิน เพราะรู้ หากไม่สร้างกำแพงบางอย่างมากั้น สักวัน เขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก

             ค่ะ หญิงสาวตอบรับสั้น แววตาตัดพ้อชั่วแวบ

             ทีเกื้อจงใจหลบ ไม่ยอมรับรู้...จะทำอย่างไรได้...ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว...

             วันนี้...ผู้หญิงตรงหน้าคือว่าที่พี่สะใภ้ของเขา



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมา เอื้อกานต์เพิ่งอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็เดินตามกลิ่นหอมมาถึงในครัว พบทีเกื้อยืนหันหลังชงกาแฟดังกรุ๊กกริ๊ก

             เอาสักแก้วมั้ย เดี๋ยวชงให้ ชายหนุ่มถามโดยไม่หันมามอง

             ดีจัง วันนี้มีหนุ่มหล่อมาบริการด้วย หญิงสาวไม่ปฏิเสธ

             ไม่นาน กาแฟหอม ควันลอยกรุ่นก็วางตรงหน้า พร้อมขนมปังปิ้ง ทาเนยบาง ๆ

             แหม ผู้กองใจดีจัง บริการขนาดนี้ เมื่อคืนฝันดีหรือไงคะ คุณหมอแซว

             ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไม่ต่อปากคำด้วย บรรยากาศยามเช้าอบอุ่นสบาย กาแฟพร่องไปหน่อยหนึ่งเขาค่อยเอ่ยปาก

             เอื้อ เรื่องไปทำบุญให้แม่น่ะ เกื้อคงไปพร้อมด้วยไม่ได้นะ

             คุณหมอเหลือบตามองน้องชาย

             มิน่า วันนี้ถึงใจดีเป็นพิเศษ พูดแกมประชด

             ริมฝีปากนายตำรวจหนุ่มมีรอยยิ้มขัน

             ไม่เกี่ยวหรอกน่า วันนั้นมีครม.สัญจร เกื้อคงต้องไปตามคณะก่อน แต่น่าจะปลีกตัวตอนทำบุญเช้าให้แม่ได้

             ปลีกตัวได้ยังไง บ้านคุณตาอยู่ต่างจังหวัดนะหญิงสาวสงสัย

             ก็เขาจัดประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดนั้นแหละ...ถึงบ้านคุณตา วัดที่เราจะไปทำบุญ ไม่ได้อยู่ในเมือง แต่ก็ห่างจากเมืองไม่ไกล ขับรถไม่นานก็ถึง

             ชายหนุ่มตรวจสอบรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว จึงวางแผนเดินทางของตนเอง

             ก็ได้...สรุปให้เอื้อไปเตรียมของทำบุญที่บ้านคุณตาก่อน แล้วเกื้อจะตามหลังไปที่วัดเลยใช่มั้ย

             ใช่...ที่จริงเอื้อน่าจะดีใจนะ...เพราะถ้าเกื้อติดงานครม.สัญจร ไอ้นภมันก็ต้องติดงานนี้เหมือนกัน รับรองไม่มีทางไปกวนใจเอื้อถึงบ้านคุณตาแน่ ๆ

             ย่ะ หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ

             สองพี่น้องไม่พูดจาร่ำไร เยิ่นเย้อ จบปัญหาเร็ว ดื่มกาแฟต่อจนใกล้หมดถ้วย เอื้อกานต์นึกถึงบางเรื่องได้

             เกื้อ...ตอนไปตรวจบ้านพ่อ เจอพิรุธอะไรน่าสงสัยเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า

             ทีเกื้อนิ่งคิดชั่วครู่...ถ้าไม่นับการปะทะคารมกับคุณหญิงเป็นเรื่องพิเศษแล้ว การตรวจสอบลูกจ้าง คนงานในบ้านท่านรัฐมนตรีก็ปกติดี ไม่มีใครน่าสงสัย ลูกจ้างทั้งหมดทำงานเกินหนึ่งปี ไม่มีใครเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ประวัติทุกคนสะอาด

             ไม่มี ถามทำไม ชายหนุ่มสงสัย

             เมื่อวานภรรยานายเกริกภพมาที่โรงพยาบาล เอื้อกานต์เริ่มเล่า

             มาทำไม ทีเกื้อถามแทรก เขาจำได้ชัด นายเกริกภพคือเหยื่อรายล่าสุด

             มาขอบคุณผอ. กับพวกหมอ แล้วก็ขอโทษ เรื่องที่ทำให้ทางโรงพยาบาลยุ่งยาก วุ่นวาย เป็นข่าว

             มีเรื่องอะไรน่าสนใจมั้ย นายตำรวจมุ่งเข้าประเด็น

             มี คุณหมอตอบ เอื้อลองถามเขาดูแล้ว ว่าก่อนนายเกริกภพคืนเกิดเหตุ มีของสำคัญของนายเกริกภพหายไปบ้างหรือเปล่า

             มีอะไรหายมั้ย

             สำเนาโฉนดที่ดินแปลงแรกในชีวิตของเขา

             ได้ยินอย่างนี้ ชายหนุ่มแปลกใจ ไม่คิดว่ากระดาษสำเนาแผ่นเดียวจะเป็นของสำคัญไปได้

             มันสำคัญยังไง

             เท่าที่ภรรยาเขาเล่า...นายเกริกภพไม่ได้รวยตั้งแต่เกิด เขาปากกัดตีนถีบ ทำงานทุกประเภทมาตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งสามารถเก็บออม ซื้อที่ดินผืนแรกในชีวิตได้ มันจึงเป็นของมีค่าสำหรับเขามาก ถึงขนาดถ่ายสำเนาเก็บไว้ แล้วเขียนลายเซ็นตัวเองลงไป พร้อมลงวันที่ได้โฉนดแปลงนี้แทนการบันทึกความทรงจำ

             ทีเกื้อนิ่งคิด การที่มาเฟียอย่างนายเกริกภพเห็นสมบัติชิ้นแรกของตนเป็นของมีค่าขนาดนี้ เขาคงรู้ว่า สมบัติที่ได้มาด้วยความมิชอบในเวลาต่อมา มันมีความร้อนรุ่ม และปัญหามากมายเพียงใด

             แล้วมีอะไรอีกมั้ย ชายหนุ่มถามต่อ

             อีกเรื่องคือ ก่อนที่นายเกริกภพจะเสียชีวิต มันไม่ได้มีเหตุการณ์ปกติอย่างที่พวกนั้นบอก...ที่จริง นายเกริกภพมีอาการกระสับกระส่ายตั้งแต่เย็นแล้ว อารมณ์หงุดหงิดผิดปกติ แล้วแกก็ทะเลาะกับลูกชายคนโต ก่อนเกิดอาการช็อคเข้าโรงพยาบาล พวกลูก ๆ แกเลยพยายามให้หมอพิสูจน์ หาความจริงการตายให้ได้ เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่มีความผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อ

             ทีเกื้อนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนได้ข้อสรุปสองประเด็น

             แสดงว่าก่อนเหยื่อจะเสียชีวิตมีของสำคัญหายไป และก่อนอาการกำเริบจะมีอารมณ์หงุดหงิด ผิดปกติจากเดิม... ฟังดูน่าเชื่อว่าจะเป็นการ โดนของ จริง ๆ ซะแล้ว

             เกื้อคอยสังเกตรอบตัวพ่อให้ดีแล้วกัน ถ้ามีสัญญาณอะไรแบบนี้เกิดขึ้น รีบบอกเอื้อให้เร็วที่สุด เผื่อยังไงจะได้หาทางป้องกัน ช่วยเหลือกันได้

             เพิ่งรู้ว่าคุณหมอเอื้อก็รักษาคนโดนของได้...อย่างนี้ถ้าไปตั้งสำนักคงจะรวยกว่าเป็นแพทย์แผนปัจจุบันนะ

             รู้ว่าน้องชายแซวเล่น หญิงสาวกลับคิดสงสัย หากมีคนโดนของมาให้รักษาจริง ๆ เธอสามารถรักษาเขาได้หรือไม่...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ถ้าคน ๆ นั้นเป็นบิดาตนเอง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             รัฐมนตรีธีรนัฐ และคณะผู้ติดตามมาถึงโรงแรมที่พักในการประชุมครม.สัญจร ตั้งแต่เที่ยงวันพุธ ก่อนวันประชุมหนึ่งวัน ทั้งที่บ่ายนี้ไม่มีคิวการประชุมล่วงหน้า หรือต้องไปตรวจหน่วยงานใดเป็นพิเศษ

             ก่อนทุกคนจะแยกย้ายไปเก็บของที่ห้องพักตนเอง ผู้นำคณะก็บอกผู้ติดตาม

             บ่ายนี้ฟรีนะ ใครจะไปเที่ยว หรือพักผ่อนที่ไหนก็ตามสะดวก ค่ำนี้ค่อยเจอกัน

             จากนั้นหันมาสั่งเลขา

             หนูดี ช่วยไปดูทีว่ารถที่ให้หาไว้มาถึงหรือยัง...แล้วบอกเจ้าภูมิให้มันเตรียมตัวไปธุระกับพ่อด้วย

             ค่ะ...คุณพ่อจะให้ตำรวจติดตามกี่คนคะ

             แค่เจ้าเกื้อคนเดียวก็พอ ให้เขาขับรถด้วย อยากไปแบบส่วนตัว ไม่ต้องมีคนอื่น

             ค่ะ หญิงสาวรับคำ เตรียมปฏิบัติตามคำสั่ง

             ท่านรัฐมนตรีบอกแผนคร่าว ๆ ของบ่ายวันนี้แล้ว ว่าจะให้คณะพักผ่อน ส่วนท่านจะเดินทางไปทำธุระส่วนตัว ไม่ต้องมีผู้ติดตาม นอกจากลูกชาย เลขา และทีเกื้อ

             หญิงสาวไม่ซักถามรายละเอียดงานส่วนตัวของท่าน การที่เลือกไปเฉพาะคนในครอบครัวแบบนี้น่าจะมีจุดมุ่งหมายที่บอกคนอื่นไม่ได้...โดยเฉพาะ...ภรรยาตนเอง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             ทีเกื้อรู้จุดมุ่งหมายของบิดาทันทีที่ได้ยินว่าจะต้องขับรถไปที่ไหน...เขารับคำสั่ง ไม่แสดงความเห็น ความรู้สึกใด ๆ และขับรถออกจากโรงแรมโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

             คนที่เฉลยขึ้นมาในรถคือธีรภูมิ

             อ๋อ...คุณพ่อจะไปบ้านแม่ของเกื้อนี่เอง

             หญิงสาวคนเดียวในรถแทบสะดุ้ง ขณะที่ท่านรัฐมนตรีนั่งเฉย สายตาแลตรงไปข้างหน้า ไม่แสดงความรู้สึก

             ตั้งแต่วันที่ทีเกื้อมีปากเสียงกับคุณหญิงอัปสร ผู้อยู่ในเหตุการณ์คิดว่าจะเกิดพายุลูกใหญ่แน่ ๆ และคนที่ต้องรับเต็ม ๆ คือท่านรัฐมนตรี แต่เรื่องกลับเงียบเชียบ

             วันนั้นคุณหญิงโทรหาสามีแน่ ๆ เพราะคนใกล้ชิดที่ทำเนียบบอกว่าท่านรับโทรศัพท์แล้วสีหน้าเครียด

             ทีเกื้อเตรียมใจต้องกลับไปทำงานที่เดิม แต่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณหญิงไม่ให้ความสนใจต่อเขาอีก ส่วนบิดาก็ไม่พูดถึงเรื่องวันนั้น ราวกับให้ทุกอย่างผ่านเลยไป ไม่จดจำ

             ไม่มีใครในรถคิดจะถามถึงสาเหตุที่ต้องไปบ้านมารดาสองฝาแฝด ธีรภูมิจึงเฉลยเอง

             จริงสิ...ผมลืมไป พรุ่งนี้ก็ครบรอบวันตายของแม่เกื้อแล้ว ใช่มั้ยครับคุณพ่อ

             การที่คนเป็นพ่อนิ่งเฉย มันก็แทนคำตอบรับชัดเจน ธีรภูมิจำได้ สมัยก่อน เขากับคุณย่าเคยพาสองพี่น้องฝาแฝดกลับมาไหว้มารดา ในครบรอบวันตาย และยังนอนค้างที่บ้านหลังเก่าของสองพี่น้องด้วย

             รถวิ่งจากตัวเมืองเข้าสู่ถนนนอกเมือง เป็นเส้นทางโล่ง รถราไม่ขวักไขว่ ทีเกื้อขับรถเงียบ ๆ สายตามองถนนสลับกับเหลือบดูบิดาผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะ ส่วนพี่ชายที่นั่งเบาะหน้าคู่กันก็ยังบอกเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับครอบครัวให้คู่หมั้นสาวฟังอย่างละเอียด

             ถึงแม่พี่จะไม่ยอมรับเกื้อกับเอื้อนะ แต่คุณย่าท่านก็รักหลานเท่ากันทุกคน พี่อยู่กับคุณย่ามากกว่าแม่ ก็เลยได้ตามคุณย่ามาที่บ้านเกื้อด้วย แม่ไม่รู้หรอก...ยังจำบรรยากาศได้เลย บ้านไม้หลังใหญ่ ๆ ใต้ถุนสูง มันดูสงบ เย็นสบาย น่าอยู่มาก ๆ

             สายตาทีเกื้อมองถนนเบื้องหน้า ในใจกลับเห็นภาพตามคำพูดพี่ชาย มันเป็นภาพความสุขที่ติดตรึงความทรงจำมิรู้คลาย รู้สึกกำซาบความสุขนั้นไว้อยู่ในอก

             ชั่วขณะหนึ่ง ในหัวก็เกิดนิมิตขึ้นมาฉับพลัน...

             ก้อนหิน!

             หินก้อนขนาดย่อมถูกขว้างจากข้างทางมากระแทกกระจกรถ...

             ไม่นานเลย...สัมผัสเร้นลับบอกต่อตนเอง

             นายตำรวจหนุ่มรีบชะลอรถ และหักลงข้างทางทันที

             ตุ๊บ...ตึง

             ก้อนหินลอยมาจากข้างทางจริง ๆ มันกะจังหวะให้ปะทะกระจกหน้ารถ แต่ทีเกื้อเหยียบเบรกชะลอกะทันหัน พร้อมกับหักหลบลงข้างทางโดยไม่ให้สัญญาณ หินก้อนนั้นจึงกระทบฝากระโปรงหน้า แล้วกระเด้งออกไปนอกถนน

             เอี้ยด... เสียงเหยียบเบรกลากยาว

             ปกติแล้ว หากโดนแก๊งปาหินระหว่างทาง สิ่งที่สมควรทำคือ ห้ามหยุดรถ!”

             รีบขับต่อไปให้เร็วที่สุด ไม่ว่ากระจกจะได้รับความเสียหายหรือไม่

             มิเช่นนั้น อาจเจออาชญากรกลุ่มใหญ่ดักรอปล้นทรัพย์เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

             ทีเกื้อย่อมรู้ดี...แล้วเขาหยุดรถทำไม?

             เกื้อ...ไปต่อเถอะ ธีรภูมิเอ่ยเตือน ในเมื่อรถไม่เป็นอะไรมาก สามารถวิ่งต่อได้ ก็ไม่ควรจอดแถวนี้

             นายตำรวจหนุ่มหันมาสบตาบิดา แล้วบอกทุกคนรวม ๆ

             อยู่ในรถนะครับ อย่าออกมา ผมขอออกไปดูอะไรนิดเดียว

             พูดจบลงจากรถ ไม่รอฟังคำทัดทาน ไม่มีเสียงคัดค้านจากท่านรัฐมนตรีที่นั่งในรถ

             ทีเกื้อมองรอบบริเวณ ข้างทางเป็นแนวต้นไม้โปร่ง สลับกับพงหญ้าสูง บนถนนเวลานี้ไม่มีรถวิ่งผ่าน ทั้งที่เวลาบ่าย แดดส่องจ้า

           จากประสบการณ์ เท่าที่รู้มา ทีเกื้อไม่คิดว่าแก๊งปาหินที่หวังปล้นทรัพย์จะปฏิบัติงานในเวลากลางวัน ถ้ามันจงใจทำเช่นนี้ แสดงว่าต้องปาด้วยความคึกคะนอง ไม่ก็มีเหตุผลอื่นแอบแฝง

            การที่ชายหนุ่มหยุดรถลงมาดูเพราะเขาเห็นนิมิตอีกครั้ง ตอนหลบรถลงข้างทางแล้ว...นิมิตภาพเด็กวัยรุ่นสามสี่คนแอบอยู่ริมถนน และชายอีกคนไม่รู้หลบตรงไหน ทีเกื้อเห็นใบหน้าเขาโผล่ในนิมิตแวบสุดท้ายเท่านั้น

              ใบหน้านักข่าวที่เจอในโรงพยาบาล!

             ชายคนนี้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้าย ทีเกื้อต้องการเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง

             ขณะนี้ชายปริศนายังไม่ปรากฏตัว กลุ่มวัยรุ่นที่หลบอยู่ข้างทางกลับเดินขึ้นมาบนถนน ดาหน้าเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

             ทีเกื้อถอยหลังเตรียมกลับขึ้นรถ เขายังมีคนในความรับผิดชอบอีกสามคน ไม่สามารถเสียเวลากับเด็กพวกนี้ได้ แต่พวกมันกลับจงใจให้เขาเสียเวลาจริง ๆ เมื่อวัยรุ่นคนแรกกระโจนเข้ามาทันที

             มันรวดเร็วเสียจนชายหนุ่มเกือบตั้งตัวไม่ทัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP