วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๖


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เจน...ภรรยาน้อยนายเดชา นักการเมืองชั้นผู้ใหญ่เดินกลับขึ้นรถ จากไปเรียบร้อย

             คิม ค่อยขยับตัว หยิบถุงกระดาษติดมือลุกขึ้นยืน มองรถของเจนจนลับสายตา จากนั้นก้าวลงจากชานชาลา ปะปนกับผู้คนทั่วไปอย่างกลมกลืน

             ใบหน้าคิมไม่สะดุดตา การแต่งกายเรียบง่าย ท่วงท่ากิริยาไม่ต่างจากคนเมือง ชาวมนุษย์เงินเดือนทั่วไป

             หากใครมีโอกาสสบนัยน์ตาเขา ค่อยเห็นความแปลก แตกต่าง ดวงตาคู่นั้นมีสีเข้ม เร้นลึกคล้ายห้วงมหาสมุทร มีคลื่นลมปั่นป่วนซุกซ่อนภายใน และบางครั้งมันก็มีอำนาจสะกดรุนแรง จนเหยื่อทั่วไปยากจะขัดขืน ต้านทาน

             คิมได้ของที่จะเป็น สื่อ ของเหยื่อรายที่ห้าแล้ว ไม่นานก็สามารถเริ่มทำพิธีกรรมได้

             คนชั่ว...จะจบชีวิตอีกหนึ่งราย

             โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสั่นบอกสัญญาณเรียกเข้า คิมรีบหยิบออกมารับสาย เวลานี้มีคนเดียวเท่านั้นที่รู้หมายเลข และเป็นคนเดียวที่จะโทรหาเขา

             ครับ...อาจารย์ คิมรับสาย

             ของอยู่ในมือแล้วใช่ไหม เสียงทุ้มกังวาน ฟังแล้วรู้สึกสะเทือน

             ครับ

             จะทำพิธีเมื่อไหร่

             สัปดาห์หน้า

             วางเหยื่อล่อ สำหรับรายที่หกหรือยัง

             ยังครับ

             ถ้าช้าไปอาจไม่ทันฤกษ์

             ผมจะเร่งมือ

             ได้รายละเอียดข้อมูลของมันแล้วใช่ไหม

             ครับ

             งั้นรีบจัดการเสีย...เหนื่อยหน่อย แต่ต้องรีบทำ

             ครับ

             โทรศัพท์ถูกวางสาย บอกชัด เจ้าของเสียงหมดเรื่องพูด คิมหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า กิริยาท่าทางไม่ต่างจากเดิม ชั่วเวลาไม่นาน ร่างของเขาก็ถูกกลืนไปกับผู้คนเดินถนนอย่างไร้ร่องรอย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             เด็กหญิงตัวน้อยผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่แถวหน้าห้องพักแพทย์ เอื้อกานต์เพิ่งเดินตรวจคนไข้ในเสร็จ มาเห็นเจ้าตัวเล็กก็อดยิ้มไม่ได้ แกล้งเดินเบา ๆ มายืนด้านหลัง

             หนูผักกาด มาหาหมอหรือคะ

             อุ๊ย...คุณหมอเจ้าหญิง หนูน้อยตกใจ หลุดชื่อที่เธอแอบตั้งให้คุณหมอออกมา

             เจ้าหญิงเลยเหรอ... คุณหมอยิ้มขัน ชมกันแบบนี้ ไหนลองบอกมาสิว่าไม่สบายตรงไหน หมอจะรักษาให้

             ผักกาดปวดหัว เด็กหญิงทำหน้าเซียว

             ถ้าปวดหัวทำไมไม่บอกพี่พยาบาลล่ะคะ พี่เขาจะได้เอายามาให้ทาน คุณหมอรู้ทัน

             ยามันขม ผักกาดกินแล้วเจ็บคอ ผักกาดอยากให้คุณหมอมารักษา

             เอื้อกานต์คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย อาการแบบนี้แค่มองตาก็รู้ต้นเหตุของโรคแล้ว

             เอาล่ะ...คุณหมอจะรักษาให้เดี๋ยวนี้เลย เตรียมตัวนะจ๊ะ

             พูดจบก็โอบร่างน้อยมากอดแนบอก สัมผัสถึงความเหงาหงอย ว้าเหว่ของเจ้าตัวเล็ก จิตใจที่มีเมตตาของหญิงสาวจึงถ่ายทอดความอบอุ่นออกไปให้ใจดวงน้อยได้ซึมซับ รับรู้....

             ครู่ใหญ่ ค่อยคลายอ้อมกอด และหอมพวงแก้มยุ้ยนั้นเบา ๆ

             คุณแม่หนูผักกาดต้องทำงาน ค่ำ ๆ ถึงมาหาได้...ผักกาดเป็นเด็กดี อย่าทำให้คุณแม่เป็นห่วงนะ

             คำพูดง่าย ๆ เจาะตรงอาการของโรค หนูผักกาดเพิ่งหายป่วย หมอให้พักรอดูอาการอีกวันสองวัน มารดาเธอไม่สามารถเฝ้าดูแลได้ทั้งวัน เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพยาบาล

             แม่หนูน้อยเหงา คิดถึงแม่จึงเกิดอาการงอแงเช่นนี้...

             ค่ะ หนูผักกาดรับคำ ยิ้มออก

             เดี๋ยวหมอจะพาไปส่งที่ห้องนะ...คราวหน้าอย่าแอบหนีพี่พยาบาลมาอีกล่ะ



            เอื้อกานต์ลุกขึ้นยืน จูงมือหนูน้อย เตรียมพากลับห้อง พบนายตำรวจหนุ่มยืนกอดอกมองยิ้ม ๆ อยู่ไม่ห่างนัก

             เก่งจังนะคุณหมอ...แค่กอดเฉย ๆ ก็รักษาโรคได้แล้ว

             อยากรักษาบ้างมั้ยล่ะคุณหมอแกล้งถาม

             ก็ดี...แต่เป็นโรคอกหักนะ กอดเฉย ๆ แบบนี้มันจะพอดามหัวใจได้หรือเปล่า

             ถ้าอย่างนั้นจะไปถามหมอกระดูกให้แล้วกัน ว่าควรใช้เหล็กดาม หรือหักกระดูกหน้าอกมันทิ้งไปเลย อย่างไหนจะมีประโยชน์กว่า

             หมอใจร้าย

             ทีเกื้อบ่นขำ ๆ เดินตามหญิงสาวไปส่งหนูผักกาดที่ห้องเรียบร้อย แล้วย้อนกลับมาที่ห้องพักแพทย์พร้อมกัน ระหว่างทางคุณหมอก็เอ่ยถาม

             มาโรงพยาบาลนี่ มีอะไรหรือเปล่า

             จะมาบอกว่าเจอ เขา แล้ว ชายหนุ่มจงใจเว้น ไม่บอกว่าเขาคือใคร

             ยังเจ็บอยู่มั้ย

             อือ...เจ็บ คำตอบสั้น ชัดเจน

             แล้วขณะนี้ ใจ มันเจ็บเท่ากับตอนเห็นหน้าเขาหรือเปล่า หญิงสาวถาม

             ไม่

             เพียงแค่วก ดูใจ ตัวเองแวบเดียว ก็เห็นอาการเจ็บเปลี่ยนไป ไม่ทรมานเท่ากับตอนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น

             แล้วก่อนมาที่นี่ ได้ไปทำอะไรกับใจตัวเองมั้ย หญิงสาวถามต่อ

             เปล่า คำตอบตรงคำถาม

             งั้นจะไปรักษาใจมันทำไม...ในเมื่อใจมันเจ็บเองได้ มันก็หายเองได้...เรื่องธรรมดา ไม่เห็นยากเย็นอะไร

             เอื้อกานต์สรุป

             ทีเกื้อสังเกตใจตามคำถามของพี่สาวเรื่อย ๆ จนมาถึงคำปิดท้าย เขาก็รู้สึกโล่ง จิตใจปลอดโปร่ง หลุดจากอาการเจ็บปวดที่รุม ๆ อยู่ภายใน

             เอื้อเก่งนะ พูดไม่กี่คำก็ช่วยเกื้อได้

             เพราะเกื้อไม่ย้ำคิด ย้ำทุกข์เองนั่นแหละ เอื้อกานต์บอก อ้อ...แล้วที่มานี่ มีธุระอะไรอีก

             เฮ้อ...เบื่อจริงพวก รู้ใจ กันนี่ ทีเกื้อแกล้งบ่นก่อนบอก ไปกินข้าวเย็นนอกบ้านกันมั้ย

             มีใครจะมากินด้วยล่ะ หญิงสาวดักคอ

             นภ นายตำรวจหนุ่มบอกง่าย ๆ รู้ทันด้วยว่าพี่สาวจะพูดอย่างไรต่อ จึงรีบดักคอคืน

             รู้แล้วน่า...ว่าไม่อยากเปิดโอกาสให้มันใกล้ชิด มันจะได้ไม่มีความหวัง...แต่...แค่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันสามคนก็ไม่น่ามีอะไรนี่

             แล้วว่าอะไรหรือยัง เอื้อกานต์ย้อน

             ปากไม่ว่า แต่ใจรำคาญไม่ใช่เหรอ

             หญิงสาวไม่ตอบ การมีคน รู้ใจ อยู่ใกล้ตัวแบบนี้ อาจทำให้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก จะแย่ก็บางครั้ง ที่ไม่สามารถปิดบังความในใจระหว่างกันได้เลย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             อาหารมื้อเย็นระหว่างสามหนุ่มสาวดำเนินไปอย่างสบาย ราบรื่น พูดคุยกันเพลิดเพลิน ไม่มีเรื่องขัดหู ขัดใจ บรรยากาศดีจนกระทั่งนภหันมาคุยเรื่องงานกับทีเกื้อ

             ไอ้ที วันนี้ไปรายงานตัวเป็นไงบ้าง

             ไม่มีอะไร ทีเกื้อตอบ

             รัฐมนตรีธีรนัฐ เขาเป็นหนึ่งในบิ๊กของพรรคผู้นำรัฐบาลเลยนะ

             อือ ชายหนุ่มเริ่มถนอมปากคำ

             แต่คนที่บิ๊กกว่ารัฐมนตรีคนนี้ คือซูสีไทเฮาของแกว่ะ นภพยายามคุยให้เป็นเรื่องขัน ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนเริ่มแสดงอาการผิดปกติ

             เรอะ คำตอบสั้น แข็ง

             คุณหญิงอัปสรน่ะ แกใหญ่จริงนะ คุมอำนาจสามีเบ็ดเสร็จเชียว

             ทีเกื้อเงียบ นิ่ง เอื้อกานต์รีบเปลี่ยนเรื่องคุย

             จริงสิ ตอนนี้นภรับผิดชอบใครอยู่ล่ะ

             นายเดชา...แกเคยเป็นรัฐมนตรียุติธรรมมาก่อน ตอนนี้เป็นแค่ที่ปรึกษาพรรค

             อ๋อ... หญิงสาวเออออตามเรื่อง

             น่าแปลกนะหมอเอื้อ ขนาดแกไม่มีตำแหน่งสำคัญอะไร แต่คนในพรรคยังเกรงใจแกน่าดู บ้านใหญ่โตยังกะวัง คนเข้า-ออกกันให้ครึ่ด อีกเรื่องเท่าที่รู้ แกเจ้าชู้สุด ๆ มีเมียน้อย อีหนูเป็นโหลได้มั้ง...ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไปตามอารักขาแกถึงบ้านเล็ก บ้านน้อยพวกนั้นด้วยหรือเปล่า

             คำว่า เมียน้อย ทำให้ใบหน้าทีเกื้อผิดปกติ นัยน์ตาดุฉายแววขุ่น ถึงเขาจะสนิทกับนภตั้งแต่สมัยเรียน ก็ยังไม่เคยบอกเล่าเรื่องครอบครัวส่วนตัวให้ฟัง

             เกื้อ...อาทิตย์หน้าครบรอบวันตายของแม่ ช่วงนั้นพอจะหยุดงานได้สักวันมั้ย

             เอื้อกานต์เปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง คราวนี้นภสนใจจริง ๆ

             หมอเอื้อจะไปทำบุญครบรอบให้คุณแม่เหรอ...วันไหนล่ะ อยากไปด้วย

             วันพฤหัสหน้า วัดที่เก็บกระดูกคุณแม่ท่านอยู่ที่ต่างจังหวัดนะ เอื้อคิดจะไปค้างสักคืน นภไปด้วยกลัวจะลำบากเปล่า ๆ

             เรื่องลำบากน่ะ ไม่มีปัญหาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ขอเช็คตารางงานเจ้านายคนใหม่ก่อน ดูว่าพอจะขอหยุดไม่ต้องตามสักวันสองวันได้มั้ย นภกระตือรือร้นอยากไปจริง ๆ

             แล้วเกื้อล่ะ คุณหมอถามน้องชาย

             เหมือนกัน...ต้องไปเช็คตารางอาทิตย์หน้าก่อน เพราะเท่าที่ดูมันของสัปดาห์นี้

             หมอเอื้อตั้งใจจะไปกี่วัน นภถาม

             ลางานไว้สองสามวัน ตั้งใจไปนอนค้างบ้านคุณตา ไม่ได้แวะไปเกือบปีแล้ว ตาชมกับยายยิ้ม คนดูแลที่นั่นโทรมาบ่นบ่อย ๆ ว่าคิดถึง

             เมื่อพูดถึงบ้านคุณตา อารมณ์ทีเกื้อค่อยดีขึ้น

             นั่นสิ อยากไปนอนค้างสักวันสองวันเหมือนกัน ปีที่แล้วเรายุ่งกันทั้งคู่ ไปนอนค้างแค่คืนเดียวก็รีบกลับ โดนสองตายายบ่นซะหูชาเลย

             โอ๊ย...ฟังแล้วอยากไปด้วย ไอ้ทีนะไอ้ที รู้จักกันมาตั้งนาน ไม่เคยชวนกันบ้างเลย

             ทีเกื้อยิ้มขัน ไม่กล้าหลุดคำพูดที่อยู่ในใจ

             ขืนกูชวนมึง ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มึงทำคะแนนจีบเอื้อ...แล้วถ้าเอื้อมันรู้ มันก็ด่ากูเละน่ะสิ

             เอื้อกานต์หันมามองน้องชาย ได้ยินคำพูดในใจชัดเจน...รอยยิ้มหมั่นไส้ปรากฏบนใบหน้า

             ทีเกื้อจงใจหลบพี่สาว ไม่ยอมสบตากัน ไม่เช่นนั้น คงหลุดหัวเราะด้วยกันทั้งคู่ โดยคนนอกอย่างนภ ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ว่าสองพี่น้องกำลังขบขันเรื่องอะไร



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             อรุณกำลังจะรุ่ง...

             ขณะเอื้อกานต์นั่งอยู่ริมระเบียง ฝึกฝนจิตตามปกติ ทีเกื้อก็อยู่ในห้องออกกำลังกาย เดินช้า ๆ บนเครื่องวิ่งสายพาน บานกระจกเปิดออกรับสายลมเย็น ใช้ความรู้สึกที่เท้ากระทบสายพานเป็นเครื่องมือให้เกิดสติ

             จากนั้นปรับความเร็วสายพานให้เพิ่มขึ้น ร่างกายขยับเป็นวิ่ง เท้ากระทบสายพานถี่ ๆ จับความรู้สึกขณะที่เท้ากระทบเป็นระยะ จนจิตเริ่มทรงตัวนิ่งขึ้น เห็นความคิดฟุ้งซ่านในหัวเกิด-ดับ เกิด-ดับเรื่อย ๆ

             ยิ่งนาน ยิ่งเห็นความคิด ความฟุ้งซ่านเป็นแค่บางสิ่งที่ผ่านมา ผ่านไปในหัว ทั้งเรื่องดี ทั้งเรื่องที่ไม่อยากคิดถึงล้วนเกิด-ดับ ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ เหนี่ยวรั้ง

             นานเข้าร่างกายเริ่มเหนื่อย หายใจเร็ว แรงขึ้น จิตก็หันมาสนใจดูลมหายใจเข้า-ออก เห็นร่างกายเป็นหุ่น มีโพรงกลวงให้ลมผ่านเข้ามา ออกไป ดูนาน ๆ จิตสนุกสนานกับการดูกาย สลับกับดูใจไปเรื่อย ๆ ไม่คิดว่าจะได้ผลดี ผลเสียอย่างไร

             เอื้อกานต์แนะนำให้เขาฝึกอย่างนี้เอง

             ไหน ๆ เกื้อก็ชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว ก็ทำให้มันได้ประโยชน์ทางใจด้วยสิ

             เหตุผลการชักชวนของหญิงสาวน่าสนใจ เขาจึงลองทำตามเล่น ๆ ไม่คาดหมายอะไร ตอนหลังค่อยเห็นว่าสติไวขึ้น กาย-ใจโปร่งเบา การสื่อสารทางจิตระหว่างพี่น้องคล่องตัว เป็นธรรมชาติ

             น่าเสียดายที่สองพี่น้องมักชอบส่งจิต ดูใจของกันและกัน ไม่ก็ออกรู้ ออกดูเรื่องภายนอก จิตของคนอื่นจนกลายเป็น สนุกสนาน พอใจกับของเล่นแบบนี้ ทำให้ละเลยไม่หมั่นน้อมมาดูใจตนเองให้เป็นนิสัย ทำให้ไม่ก้าวหน้า ขึ้นชั้นเป็นนักภาวนา ปฏิบัติธรรม มุ่งเรียนรู้กาย-ใจตนเอง เพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์ตามจุดหมายสูงสุดของชาวพุทธแท้...



            ฟ้าสว่าง ดวงตะวันลอยสูง ทีเกื้อออกกำลังกายจนเหงื่อซึม เปียกเสื้อกล้าม ชายหนุ่มกดปรับเครื่องวิ่งบนสายพานให้ช้าลง จนสามารถเดินผ่อนคลายได้ สติ สมาธิแจ่มใส สดชื่น เดินพอสมควรแล้วเขาก็เอื้อมมือปิดเครื่อง

             ขณะที่หยุดเดิน สายตามองสีขาวของท้องฟ้ากว้าง จิตทรงตัว มีกำลังจากสมาธิ ปรากฏนิมิตเงาดำมืดกางปีกเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว...

             จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เห็นท่ามกลางเงามืดนั้นมีใบหน้าราง ๆ ซ่อนอยู่ เป็นใบหน้าคลับคล้ายนักข่าวที่เคยเจอในโรงพยาบาล

             ใบหน้าเรียบ ๆ ไม่สะดุดตา มองครั้งเดียวไม่อาจจดจำ...

             นิมิตยังไม่หมดแค่นั้น ใบหน้าเลือนรางลงกลายเป็นเงาดำขนาดใหญ่ โถมมาโอบล้อม ปกคลุม ทีเกื้อยืนนิ่ง ไม่ขัดขืน รู้ว่านิมิตนั้นไม่อาจทำอันตรายตนได้

             ถึงอย่างนั้น แขนสองข้างก็ยังชาดิก แข็งเหมือนหินไม่อาจขยับเขยื้อน หนำซ้ำมันยังคืบคลานลามขึ้นหัวไหล่เรื่อย ๆ ชายหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยจากการสังเกตดูกายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ขณะวิ่งออกกำลัง เขาจึงแยกเวทนา ความรู้สึกชาด้านออกจากแขน มองเห็นความเจ็บปวดเป็นอื่น ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่แขนตน

             ชั่วขณะนั้น อาการชาแข็งก็หลุดหาย ราวกับไม่เคยเกิดมาก่อน!

             ทีเกื้อลงจากเครื่องวิ่งบนสายพาน หยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ ถอนใจ เอ่ยปากพูดเสียงไม่ดังนัก

             ไม่มีอะไรหรอกเอื้อ...ไปอาบน้ำเถอะ

             ด้วยจิตที่ยังทรงความตั้งมั่นอยู่ จึงรู้ได้ว่าพี่สาวสัมผัสถึงความผิดปกติของเขา ตั้งใจเข้ามาหาในห้องออกกำลังกาย ทีเกื้อเลยส่งเสียงบอกออกไป

             ไม่มีการตอบรับจากคุณหมอสาว มีแค่เสียงฝีเท้าเดินห่าง และเสียงเปิดประตูห้องของเธอ แทนการบอกให้รู้ว่า...เข้าใจแล้ว...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             การมาบ้านรัฐมนตรีผู้เป็นบิดาคราวนี้ ทีเกื้อพยายามทำตัวให้ชิน ปรับใจยอมรับงานที่ได้รับมอบหมาย พร้อมเผชิญหน้าหลายคนที่ไม่อยากเจอ

             รัฐมนตรีธีรนัฐ มีตำรวจคอยติดตาม ผลัดเวรกันประมาณสามสี่คน ทีเกื้อไม่มีความจำเป็นต้องติดตามบิดาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

             เขาแค่เช็คตารางงาน เพื่อพิจารณาว่างานไหนท่านรัฐมนตรีมีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย แปลกหน้า เขาค่อยติดตาม คอยสอดส่องดู เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากล นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบลูกจ้าง คนทำงานเข้า-ออกในบ้านหลังนี้ว่าใครน่าสงสัยเป็นพวกฆาตกรบ้าง

             การทำงานต่าง ๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากสัตตบงกช เลขารัฐมนตรี ผู้หญิงที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด



             สวัสดีค่ะผู้กอง

             ทั้งที่ไม่อยากเจอ ก็ยังหลบไม่ได้ หญิงสาวยกมือไหว้ ทักทายเมื่อเจอกันตอนเช้า ชายหนุ่มรู้สึกมันห่างเหินชวนแสลงใจ

             ครับ เขาตอบรับตามมารยาท

             คุณพ่อออกไปทำเนียบแล้วค่ะ หนูดีกลับมาเอาเอกสาร กำลังจะตามท่านไปเหมือนกัน

             พูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยากอยู่กับเขาเนิ่นนานเช่นกัน

             ผมมีเรื่องรบกวนหน่อย ทีเกื้อพูดเข้าประเด็น

             ค่ะ หญิงสาวรอฟัง

             ตารางงานสัปดาห์หน้าของท่านออกมาหรือยัง...ผมอยากทราบว่าวันพุธ-พฤหัสหน้า ท่านจะไปที่ไหนบ้าง

             สัตตบงกชก้มลงดูเอกสารบนโต๊ะ พลิกกระดาษสองสามหน้า ก่อนเงยหน้าบอกสั้น ๆ

             พฤหัสหน้าคุณพ่อต้องไปประชุมครม.สัญจร พร้อมกับท่านนายกฯ ที่ต่างจังหวัดค่ะ

             เดินทางเมื่อไหร่

             กำหนดการยังไม่แน่นอน ท่านอาจนั่งเครื่องไปแต่เช้า หรือไม่ก็นั่งรถไปตั้งแต่วันพุธ

             ไปที่จังหวัดไหน

             ที่... หญิงสาวบอกชื่อจังหวัด สถานที่จัดประชุม ก่อนถามปิดท้าย ผู้กองจะตามไปด้วยมั้ยคะ

             พอได้ยินชื่อจังหวัดที่จัดประชุม ทีเกื้ออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนตอบคำถามของเธอ

             คงต้องไป

             การเดินทางออกต่างจังหวัดมีโอกาสสูงที่จะเจอคนแปลกหน้า การระวังป้องกันลำบาก หากมีใครมุ่งลอบทำร้าย หรือวางอุบาย

             มีอะไรจะถามอีกมั้ยคะ หนูดีรวบรวมเอกสารใส่แฟ้ม พร้อมออกจากห้อง

             พี่ภูมิอยู่หรือเปล่า

             วันนี้ทีเกื้อตั้งใจอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบลูกจ้างในบ้าน ถ้าธีรภูมิอยู่ด้วย เขาจะทำงานสะดวกขึ้น

             ออกไปทำเนียบพร้อมคุณพ่อแล้วค่ะ

             ครับ...ขอบคุณมาก

             สัตตบงกชสะดุดกับคำขอบคุณนั้น มันฟังดูประชดประชันชอบกล กำลังจะพูดบางอย่างสวนคืน พอดีประตูห้องทำงานเปิดออก มีเสียงดังจากเบื้องหลังนายตำรวจหนุ่ม



             หนูดีจ๊ะ...ตาภูมิออกไปทำงานหรือยัง

             คำพูดฟังดูใกล้ชิด เป็นกันเอง น้ำเสียงกลับแสดงความรู้สึกของผู้มีอำนาจ กำลังไถ่ถามบ่าวไพร่ในความปกครอง

             ไปแล้วค่ะคุณหญิง สัตตบงกชตอบสุภาพ

             ทีเกื้อเย็นสันหลังวาบ เหมือนพลังสายตาคมกริบของผู้อยู่เบื้องหลังกำลังเพ่งตรงมายังเขาอย่างรุนแรง

             ...เวลาพบกับคน ๆ นี้มาถึงแล้ว...

             ...ช้า...เร็ว...ยังไงก็ต้องเจอ...

             ชายหนุ่มบอกต่อตนเอง ก่อนหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ด้วยกิริยาเป็นตัวของตัวเอง

             สวัสดีครับคุณหญิง

             คำพูดสุภาพ เคารพ ไว้ตัวอยู่ในที...สองสายตาประสานกัน ฝ่ายหนึ่งมองอย่างผู้น้อยที่ไม่กลัวเกรง แต่ไม่ก้าวร้าว อีกฝ่ายมองกลับด้วยด้วยแววตาตกตะลึง แปลกใจ ก่อนมีประกายโทสะ ขุ่นใจแบบปุบปับ

             แก...มีธุระอะไรถึงมาที่นี่ วาจาแหลม ห้วน แสดงอาการข่มขู่ มากกว่าไถ่ถาม

             ผมเป็นนายตำรวจ ที่ได้รับคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มาอารักขาท่านรัฐมนตรีเป็นการพิเศษครับ

             คำตอบชัดตรง นัยน์ตาคมดุฉายแววแกร่ง เจิดจ้า ไม่เกรงกลัว

             ทั้งสองยืนประจันหน้ากันโดยยังไม่สามารถหาวาจาอื่นมาต่อบทสนทนา สายตาราวกับคมมีด ปะทะกันอย่างเงียบงัน ไม่มีใครยอมใคร

             สัตตบงกช หญิงสาวเหมือนคนนอกยืนมองโดยไม่กล้าเอ่ยปาก รู้สึกคล้ายตนเองกำลังอยู่กลางสมรภูมิรบ ที่ต่างฝ่ายเตรียมปะทะกันแบบไม่มีใครยอมใคร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP