สารส่องใจ Enlightenment

เห็นภัยในวัฏสงสาร



วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร



ปุจฉา ๑ : หลวงปู่คะดิฉันจะต้องปฏิบัติเช่นไรคะ
จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์อีก
แต่ดิฉันก็คิดว่า การไม่ขอเกิดมาอีกนะดีเยี่ยมที่สุดนะเจ้าคะ
แต่บุญบารมีของดิฉันจะมีมากพอที่จะทำให้ดิฉันไม่ต้องมาเกิดอีกหรือไม่
แต่ดิฉันจะเร่งเพียรพยายามเร่งสะสมบุญนะเจ้าคะ
เพราะถึงอย่างไรในภพนี้ดิฉันก็ได้เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์แล้ว
ก็อย่าได้เสียชาติเกิด ต้องเร่งสะสมบุญไปเรื่อยๆ เร่งทำความเพียรเจริญสติตลอดเวลา
เวลาที่ดิฉันต้องออกไปธุรกิจ หรือต้องขึ้นรถลงเรือ หรือไปไหนๆ
ดิฉันมักจะคิดว่า ถ้าดิฉันเกิดตายไปตอนนี้ ดิฉันได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว
ดิฉันก็เลยเกิดความรู้สึกว่า เออ...นี่เรายังไม่ได้ทำอะไรกับเขาเท่าไหร่เลย ก็จะต้องมาตายซะแล้ว
เพราะความตายเกิดได้ทุกขณะ ดิฉันนึกถึงความตายอย่างนี้ตลอดเวลา
จะเรียกว่าดิฉันได้เจริญมรณานุสติ ใช่ไหมเจ้าคะ


วิสัชนา : เมื่อหลานๆ เห็นภัยในวัฏสงสารอย่างเต็มที่แล้ว มันก็เป็นผู้มีวาสนาอยู่ในตัว
สามารถทำตนให้พ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติได้โดยแท้
เพราะคนเราเมื่อเห็นทุกข์เป็นหลักของหัวใจแล้ว นั่นก็คือตัวศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง
เมื่อเห็นอยู่เนืองๆ ติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย
ก็เรียกว่าภาวนาอยู่ไม่ขาดสาย เป็นข้อวัตรของจิตใจที่ชอบด้วย
หนักเข้าก็เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฎสงสารแบบเย็นๆ รอบคอบ
เรียกว่าปัญญาชอบในวิปัสสนา


อนึ่ง บุคคลผู้จะเกิดเป็นมนุษย์อีกติดกันในชาติต่อไป เป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์เท่านั้นก็พอแล้ว
เพราะโหรเอกพระบรมศาสดาองค์ท่านทายไว้ว่า
บุคคลผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว
มีคติเป็นสอง ไม่เป็นมนุษย์ก็ต้องเทวดา มันเป็นของไม่ยากของผู้ทรงศรัทธา
แต่ก็ตรงกันข้ามกลายเป็นของยากของผู้ที่ไม่ศรัทธา
ความดีคนดีทำได้ง่าย ความชั่วคนดีทำได้ยาก
ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยาก
สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงมาแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่พูดอีกก็จริงอีก พูดอยู่ไม่หยุดก็จริงอยู่ไม่หยุด
และก็การเกิดในศาสนาพุทธนั้น เมื่อเราถึงไตรสรณคมน์แล้ว มันก็มีพืชไว้แล้ว
ถึงแม้มีภพมีชาติอีก มันก็ไปเกิดในมนุษย์พุทธศาสนานั่นเองไม่ต้องสงสัยเลยนา


การเกิดเป็นเทวดาเทวบุตรและพรหมมีทุกข์น้อยกว่ามนุษย์ก็จริงอยู่แล้ว
แต่เมื่อมันอยู่ใต้อำนาจแห่งความไม่เที่ยงแล้ว ก็จัดว่าเป็นทุกข์เสมอกันในด้านปรมัตถ์
และก็มรรคผลนิพพานก็มีในชั้นเทวโลก และพรหมโลกเหมือนกัน
บางท่านก็ภาวนาติดต่ออยู่ในภพนั้นๆ สร้างบารมีอยู่ในภพนั้นๆ
ก็เป็นพระอริยบุคคลได้เหมือนมนุษย์เรานี่เอง
มันก็ล่าช้าอยู่แต่สัตว์เดรัจฉาน เปรตทุกจำพวก และสัตว์นรกทุกจำพวกเท่านั้น


“จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ตีตนตายก่อนไข้ เราจะไม่หวังภพต่อไปในอนาคตอีก
เราจองขาดผูกขาดเพื่อพ้นทุกข์ทั้งปวงในปัจจุบันชาติ
เพื่อจะตัดปัญหาความมุ่งหวังหลายทาง ให้เหลือแต่ทางเดียว
ปัญหามันจะน้อยลง ความประสงค์ก็ไม่มีมาก
แม้เราจะภาวนาเห็นตัวกองทุกข์ขณะจิตเดียว หรือพุทโธคำเดียว
ก็มีคุณค่ามากกว่าที่ปรารถนาในภพต่อไป
การปรารถนาในภพต่อๆ ไปตั้งล้านๆ ขณะจิต
ก็ไม่เท่าขณะจิตเดียวที่หวังพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ


การจองคิว การสมาทาน เจตนา ความประสงค์ ความต้องการ และความอธิษฐาน
ทั้งหลายเหล่านี้เรียกชื่อต่างกัน แต่ก็มีความหมายอันเดียวกันแห่งรสชาติ
ฉะนั้น ความต้องการพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ
เป็นพระสติพระปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาอีกด้วย
มีพลังมากแต่เราบัญญัติไม่เป็น ก็กล่าวตู่ตนว่าศีลไม่มีในเจตนา
ที่แท้นั้น เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ เจตนาไปทางดีนั่นเอง
เป็นตัวศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันในขณะเดียว
เหมือนเชือกสามเกลียวที่เราเรียกว่า ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกลเลย
จะบัญญัติหรือไม่บัญญัติก็ไม่เป็นปัญหา ขอให้ภาวนาติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย
ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นเป้าอันเดียวกัน พร้อมกับลมหายใจออก-เข้า
นิวรณ์ทั้งหลายมันตั้งอยู่ไม่ได้ดอก


“ผู้รักใคร่ภาวนาอยู่เป็นเนืองนิตย์ เรียกว่าผู้นั้นบารมีแก่กล้าแล้ว
ท่านผู้ใดขี้เกียจก็ให้ทราบเถิดว่าบารมียังอ่อนเหลวไหลมาก
ฉะนั้นจึงไม่ควรนั่งควรนอนให้บารมีแก่กล้า”

คำว่านั่งนอน นอนทั้งกายทั้งใจด้วย นั่งก็เหมือนกัน
ยืนเดินนั่งนอนเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถเฉยๆ
แต่ด้านจิตใจและศรัทธาไม่เปลี่ยนออกจากพุทธ ธรรม สงฆ์ ไปไหนเลย
จะทำท่าไม่ทำท่าก็ไม่เป็นปัญหา
คล้ายกับเกลือจะอยู่ถ้วย หรืออยู่ชาม หรืออยู่ที่ไหนก็ตาม
ก็รักษาความเค็มของตนอยู่ไว้อย่างนั้น
จะอย่างไรก็ตาม ขอให้แบ่งเวลาภาวนาอย่าให้เสียวันเสียคืน
จิตใจหากจะสูงขึ้นเองไม่ต้องบ่นหา จะชนะความหลงของตนแน่แท้



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -


ปุจฉา ๒ : ดิฉันได้ยินว่าทำบุญอื่นๆ ผลจะได้รับเมื่อไรไม่แน่
แต่ถ้าภาวนาแล้วทำเมื่อไรได้รับผลเมื่อนั้น
ปัจจุบันดิฉันพยายามปฏิบัติทั้งทาน ศีล ภาวนาทุกวัน
ทำไมจึงทำให้มีเรื่องที่ทำให้ท้อแท้ผิดหวังอยู่รอบข้างเสมอๆ
ดิฉันสงสัยเกี่ยวกับการตั้งสัจจะ ถ้าเราตั้งสัจจะจะทำอะไรต้องทำให้ได้
แต่บางครั้งก็กล่าวกันว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ให้พยายามปล่อยพยายามวางเสีย
ดูสองอย่างมันขัดๆ กันในตัว
ถ้าคนสองคนเคยให้สัจจะต่อกันว่า จะอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
มาภายหลังคนหนึ่งจะเปลี่ยนคำพูดโดยอ้างการปล่อยวาง อีกคนหนึ่งควรถือสัจจะ
ทั้งสองคนไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักการในศาสนา
ทั้งสองอย่างจะปฏิบัติไปด้วยกันได้หรือไม่


วิสัชนา : เป็นคำถามในธรรมะสลับซับซ้อน แต่ก็เข้าใจอยู่
การทำบุญถ้าขาดการให้ทาน ความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็จัดเข้า
ทำให้เป็นกังวลในสิ่งของมาก และถ้ามีชาติมีภพในอนาคต ก็เป็นคนจนในทางวัตถุสิ่งของ
ถ้าขาดศีลก็ทำให้เราเป็นคนโหดร้าย ขาดเมตตาในชั้นหยาบๆ
ถ้าหากมีชาติมีภพในอนาคตต่อไปก็เป็นคนอายุสั้น มรณะง่าย
ถ้าขาดภาวนาเล่า ทั้งชาตินี้และชาติหน้าก็มักจะหลง
ไม่รู้ตามเป็นจริงของสังขารธรรม และก็ไม่รู้ตามเป็นจริงวิสังขารธรรมอีก
เขาชักชวนไปเชื่อทางไหนก็มักจะเป็นผู้ไร้เหตุผล ให้เขาดึงจมูกไปได้ในทางผิดต่างๆ


ถ้าจะว่าให้ละเอียดแล้ว ทาน ศีล ภาวนา เห็นพระคุณในปัจจุบันชาติเรานี้เอง
มีผิวพรรณวรรณะผ่องใสและไม่ครั่นคร้ามในสังคมอีกด้วย


ส่วนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมประสงค์นั้น
หรือหากว่ามีเขามาเบียดเบียนในทางตรงและทางอ้อม
มันเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนก็มี
เมื่อมันให้ผลยังไม่หมด มันก็ต้องให้ไปตามที่เราเป็นหนี้เป็นสินอยู่
บางกรณีเขาเบียดเบียนเราเล็กน้อยหรือใหญ่โต ทั้งทางตรงและทางอ้อม
มันเป็นกรรมที่เขามาก่อใหม่ก็มี
ที่เราจะมีอุบายเว้นก็มีหนทางเดียวคือ ไม่เอาจิตใจไปผูกเวร
คือไม่แก้แค้นและสาปแช่งด้วยวิธีใดๆ ทั้งสิ้น
ให้นึกในใจว่าจะเป็นผลของกรรมเก่าหรือผลของกรรมใหม่ก็ตาม
ขอให้แล้วกันไปเสียในชาตินี้ ข้าพเจ้าจะไม่จองเวรท่านผู้ใดในไตรโลกาเลย
ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร แต่ถ้าจองเวรแล้ว เวรก็ไม่ระงับ


มีข้อควรคิดอยู่อีกเป็นพิเศษที่จะทำให้จิตสูงขึ้นด้วยด้านปัญญาอันสุดๆ
คือมีความเห็นว่าถ้าในโลกนี้อะไรๆ ก็จุใจตามความประสงค์หมด
การเบื่อหน่ายคลายเมาและหลุดพ้นในโลกทั้งปวงมันก็ไม่มีเลย
พระอรหันต์ก็ไม่มีเลยในโลกนี้และโลกหน้า
นี้มันตรงกันข้ามไปเสียแล้ว มันไม่สมประสงค์ในโลกทั้งปวงนั่นเอง
จึงมีประตูเบื่อหน่ายคลายหลุดพ้นในความเข้าใจผิดของตน
จิตใจจึงไม่กังวลในโลกทั้งปวง หายห่วงหายสงสัย เพราะพระปัญญารู้แจ้งชัด
ตัวหลงๆ ถูกหมัดของปัญญาทั้งเข่าทั้งศอกนับสิบไม่ลุกอีกเสียด้วย
จึงสามารถข้ามทะเลหลงได้


อุปสรรคทั้งปวงในโลกกลายเป็นยาวิเศษ
เป็นเหตุให้นักปราชญ์เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฏสงสาร
ฉะนั้นพวกเราจึงไม่ควรประมาท ทาน ศีล ภาวนา
เพราะสามารถทำใจให้สูงขึ้นทวีคูณไม่อยู่ในระดับเก่า


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -


คัดจาก หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP