วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๔๓


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

ปัง...ประตูที่ขวางหน้าเปิดออก เชนรีบเข้าไปด้านใน เห็นกองไฟโหมรุมล้อม สุขศจีถูกมัดนอนอยู่กลางห้อง มีตู้ขนาดใหญ่ล้มทับ ไฟลามไปทั่ว

ไม่มีเวลาคิดมาก เชนรีบเอาผ้าตีดับไฟรอบร่างสุขศจี รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดยกตู้นั้นให้พ้นตัว สภาพของสุขศจีที่เห็นยามนี้ ไม่อาจบอกได้ว่าจะรอดหรือไม่ มาถึงนี่แล้ว อย่างไรเสียเขาต้องช่วยเต็มที่

ผ้าที่คลุมตัวเขายังชื้นเย็นพอ จึงใช้คลุมร่างสุขศจีก่อนอุ้มหล่อนขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง มองทางออกเดิมที่ผ่านมาพบว่ามันถูกพระเพลิงปิดกั้นจนหมดสิ้น รีบออกจากห้องมองหาทางอื่น หวังจะเจอเงาของคุณนายพวงทองอยู่คอยช่วยเหลือบอกทาง...กลับไม่พบ...

คุณนายพวงทองคงรวบรวมกำลังเต็มที่ พาเขามาถึงที่นี่ได้ก็หมดความสามารถ เธอไม่ใช่ดวงวิญญาณทรงฤทธิ์อะไร ก็แค่ผู้ที่ต้องใช้กรรมตนหนึ่ง อาศัยความรัก เจตจำนงอันแน่วแน่พาเขามาถึงนี่ จากนั้นก็หมดกำลังที่จะทำอะไรต่อ ปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจกรรม

ยามนี้เชนรู้ชัด ต้องพึ่งตัวเอง หาทางด้วยสมองและความสามารถตน ก้มมองร่างที่อยู่ในความดูแล ความอบอุ่น อ่อนโยนบังเกิด เขาต้องการช่วยเหลือคนผู้นี้ จิตใจของผู้ให้ จิตใจที่อยากช่วยก่อให้เกิดความตั้งมั่น อบอุ่นแก่ใจ

“ขออำนาจบุญรักษาด้วยครับ” เชนพูดออกมาสั้นๆ ระลึกถึงกุศลที่ตนทำมา รวมกับจิตเจตนาที่ดีเช่นนี้ ให้รวมเป็นกำแพงบุญ คุ้มครองเขากับสุขศจีออกจากกองไฟนี้ด้วย

วินาทีนั้น กระแสความอบอุ่นก็แผ่ซ่านทั่วดวงใจครอบคลุมร่าง มองเห็นทะเลเพลิงเป็นเรื่องเล็กน้อย ห้าวหาญพอที่จะฝ่ามัน มีสายตา สติคมกล้าที่จะหาช่องทางเอาตัวรอด 

...เห็นแล้ว...เชนพบช่องทางหนึ่งที่ไฟยังลามไม่ถึง เป็นเส้นทางเล็กๆ เฉพาะตัว จึงรีบวิ่งไปโดยไม่ลังเล จากนั้นก็ดูเหมือนจะพบช่องทางลักษณะนี้มาตลอด ราวกับกรรมดีช่วยเปิดช่องให้เขาได้สร้างกุศลช่วยชีวิตมนุษย์

ท้ายสุดเชนออกมาจากตลาดกองเพลิง เจ้าหน้าที่มูลนิธิ หมอ พยาบาล ต่างกรูเข้ามาช่วยเหลือ เชนส่งร่างของสุขศจีให้คนเหล่านั้น สายตามองข้ามไหล่ผู้คนไปพบกับรุ่งรตีที่กำลังยืนมองเขาด้วยใบหน้านองน้ำตา

สำเร็จแล้ว...เชนบอกต่อตนเองอย่างเต็มตื้น รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อยแทบขาดใจ เหมือนใช้กำลังทั้งชีวิตไปกับงานครั้งนี้ ในใจมีปีติชุ่มชื่นบอกไม่ถูก มันแผ่ซ่านภายใน ก่อนจะทอประกายระยิบผ่านดวงตา รอยยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้า

“พี่เชน” รุ่งรตีเสียงสั่นเครือ โผเข้ากอดเขาเต็มแรง กอดจนแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหลุดลอยจากไป แรงสะท้านเยือกของร่างในอ้อมแขนทำให้เชนสัมผัสถึงความรัก ความห่วงใยอันเต็มล้น และวงแขนที่เขากอดตอบหล่อน ก็บอกความรู้สึกไม่ผิดแผกกัน

ทั้งสองกอดกันด้วยความรัก น้ำตาเต็มตื้น ถ่ายทอดความรู้สึกล้นหัวอกจากใจโดยไม่ปิดบัง เชนเริ่มเหนื่อย...เพลีย...ค่อยๆ หมดแรงทีละน้อย ทีละน้อย 

 

 

รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าเป็นสีระเรื่อ อรุณรุ่งย่างเท้ามาเยือน สิ่งแรกที่เชนลืมตามาพบคือดวงตาที่เปี่ยมความกังวล ห่วงใยของรุ่งรตี

“ฟื้นแล้ว” น้ำเสียงหล่อนยินดี ปนโล่งใจ บีบมือเขาแน่นกระชับ “รุ้งเป็นห่วงแทบแย่นึกว่าจะเป็นอะไรไปซะอีก”

“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ” เชนลุกขึ้น รู้สึกแข็งแรงกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม “น้าจีเป็นยังไงบ้าง”

รุ่งรตีนิ่งอึ้ง ถอนใจ

“ยังไม่รู้เลย ตะกี้เพิ่งได้ข่าวว่ายังอยู่ห้องไอซียู...อาการหนักมาก”

เชนถอนใจ...เขาพยายามที่สุดแล้ว ต่อจากนี้คงต้องให้เป็นหน้าที่ของ “กรรม” กำหนดชีวิต

มองรอบๆ เพิ่งสังเกตว่าตนเองอยู่ในเต็นท์พยาบาล มีคนบาดเจ็บเล็กน้อยมาปฐมพยาบาลทำแผลกันเป็นระยะ

“เอ...จริงสิ ไปช่วยคุณป้ากันก่อนเถอะ” รุ่งรตีนึกได้ ดึงมือจากชายหนุ่ม สีหน้าท่าทางเช่นนี้ชวนให้แปลกใจ แม่ของเชนกำลังทำอะไรอยู่

ออกมาจากเต็นท์พยาบาล ชายหนุ่มเห็นสภาพตลาดทรัพย์ยั่งยืนถนัดตา มันแทบไม่เหลือภาพตลาดใหญ่โต กว้างขวางที่สุดในจังหวัดอีกต่อไป ตอนนี้มีกองเศษขี้เถ้า เสาดำๆ ควันลอยกรุ่นแลโล่งราบ ไม่เหลือร่องรอยใดบอกว่าที่นี่เคยเป็นตลาดที่สมบูรณ์ ทันสมัยอีกแล้ว

นี่เป็นอีกครั้งที่สัจธรรมข้อเดิมกระทบใจรุ่งรตี...โลกไม่เที่ยง...ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง...เวลาเพียงชั่วข้ามคืน...โลกก็เอาสิ่งที่มนุษย์เพียรสร้างสมมาชั่วชีวิตให้หายวับ กลายเป็นเพียงกองขี้เถ้า 

...เช่นนี้...ยังมีอะไรให้คนเราได้หวงแหนไว้อีก...

รุ่งรตีพาชายหนุ่มเดินลัดเลาะริมซากตลาด มองเห็นเต็นท์ชั่วคราวตั้งเรียงราย พ่อค้าแม่ค้าที่อาศัยเรือนด้านหลังต่างสูญเสียที่อยู่ ทรัพย์สมบัติ ต้องมาอาศัยเต็นท์เหล่านี้พักพิง

เชนกวาดตาไปรอบๆ เห็นทหารหลายนายกำลังช่วยเคลียร์พื้นที่ ดูแลทรัพย์สินที่ยังหลงเหลือ ช่วยดูแลผู้คนที่กำลังขวัญเสีย จัดการรื้อซากไฟ กองขี้เถ้า ช่วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิค้นหาศพ

เขาเห็นชายสูงวัยคนหนึ่งกำลังสั่งการ ดูแล จัดระเบียบทหารให้ช่วยผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง แข็งขัน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลักษณะท่าทางห้าวหาญ เด็ดขาดสมกับเป็นนายทหารเก่า ในความเข้มแข็ง มีความอ่อนโยน เมตตา ฉายให้เห็นถึงบารมี แม้จะมีวัยสูงเช่นนี้

นั่นคือนายพลทางธรรม...พ่อของเขาเอง...เชนยืนมองด้วยความอิ่มเต็ม ภาคภูมิใจ เขาไม่เคยเห็นลักษณะห้าวหาญ สมเป็นผู้นำเช่นนี้จากพ่อมาก่อน

เต็นท์อีกด้าน ตั้งเป็นโรงทาน จัดเตรียมข้าวต้ม อาหารเช้าสำหรับผู้ประสบภัย

ที่นั่นเชนมองเห็นคุณจิตใสกำลังขมีขมัน ทำอาหารแจกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีลูกจ้างที่ร้านเป็นลูกมือแค่สองคน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เพียงพอต่อการบริการเหล่าผู้ประสบภัยที่เหน็ดเหนื่อย หิวโหยมาตลอดคืน

เชนมองแม่ด้วยรอยยิ้ม เกิดความอิ่ม เต็มตื้นขึ้นมาจุกลำคอ เขาจะมีโอกาสร่วมสร้างประโยชน์แก่หมู่ชนเช่นนี้สักกี่ครั้งในหนึ่งชีวิต...พ่อกับแม่ช่างสมกับเป็นคู่บุญ ที่อยู่ร่วมกันเพื่อสงเคราะห์เพื่อนร่วมโลก เป็นคู่ที่มีจิตใจกว้างขวางเปี่ยมด้วยเมตตา...คิดอยากจะให้เพียงถ่ายเดียว...

น้ำตาแห่งความปลื้มปีติไหลรินเงียบๆ เขาช่างมีบุญเหลือเกินที่ได้อยู่เป็นลูกของท่าน...แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็ตามที... 

ชายหนุ่มมองหญิงสาวข้างกาย พบว่าหล่อนก็มีน้ำตา วินาทีนั้น ทั้งคู่ซึมซับปีติอันดีร่วมกัน

“เราไปช่วยแม่กันเถอะ” เชนเอ่ยชักชวน

รุ่งรตีพยักหน้า นัยน์ตาทอประกายจรัส หยาดน้ำใสช่วยขับดวงตาหล่อนให้ฉายแววสว่างกว่าเคย

ทั้งสองจับมือกันก้าวไปสู่เต็นท์โรงทาน มีจิตใจอบอุ่นอิ่มเอิบ รุ่งรตีไม่สนใจต่อสมบัติที่สูญเสียมากกว่าการได้ช่วยผู้คนที่ลำบาก เดือดร้อน คนเหล่านี้เป็นแม่ค้าตั้งแต่สมัยสร้างตลาด เงินที่หล่อนใช้แต่ละบาทมาจากหยาดเหงื่อพวกเขา...

ถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะตอบแทนช่วยเหลือบ้าง มันเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบของคนในตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล 

 

 

คุณนายพวงทองสลดใจกับความวิบัติฉิบหายของสมบัติแต่ละชิ้นที่ตนกับลูกสร้างสมมา ความเสียดายบิดร้าวจนจิตใจทุกข์ทรมาน อู่ต่อรถพังพินาศ บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลถูกระเบิดพังเป็นแถบๆ ตลาดกลายเป็นกองขี้เถ้า ไม่ต้องพูดถึงร้านครัวพวงทองที่ถูกปิดไม่มีกำหนดตั้งแต่รามตาย

สุดท้าย...ถ้าไม่ได้บารมีนายพลทางธรรม ห้างสรรพสินค้า โรงแรมก็คงเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน

“เราพบระเบิดแล้วครับพี่” นายทหารรุ่นน้องนายพลทางธรรมกลับมารายงานหลังจากส่งหน่วยกู้ระเบิดออกค้นหา

มันเป็นการทำงานแข่งกับเวลา ไม่มีใครรู้ว่ามีระเบิดจริงหรือไม่ ถ้ามี ไม่รู้ว่ามันถูกซ่อนอยู่ที่ไหน แขกในโรงแรม พนักงานในห้างฯที่ยังอยู่ถูกอพยพออกมาก่อนเพื่อป้องกัน รักษาชีวิต เกิดความโกลาหลวุ่นวาย ไม่แพ้จลาจลย่อยๆ แขกที่มาพักหลายคนเกิดทั้งความกลัว ทั้งไม่พอใจ ต้องอธิบายกันยืดยาว

ยังดีที่ได้ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพสูง ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว สามารถค้นพบระเบิดเวลาจริงๆ มันเป็นระเบิดที่สามารถพังโรงแรมได้ ติดตั้งแบบผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านห้างสรรพสินค้าก็พบระเบิดอีกลูก ตั้งเวลาไล่เลี่ยกัน แรงระเบิดทั้งสองสามารถทำให้โรงแรมและห้างฯพังได้ในเวลาไม่นาน

ระเบิดพวกนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ คนที่นำมาติดตั้งต้องเป็นมืออาชีพ

คุณนายพวงทองโล่งอกที่ยังพอเหลือทรัพย์สิน แต่ก็รู้ว่าจากนี้ไปชื่อเสียงของโรงแรมและห้างสรรพสินค้าคงต้องเสื่อมลง ยากจะมีแขกระดับวีไอพีมาพัก คนเดินห้างฯก็อาจจะระแวงกันไปอีกนานเรื่องระเบิดเวลาครั้งนี้

ดูไปแล้ว ราวกับว่า ทุกกิจการของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลจะพังครืนภายในวันเดียว 

คุณนายพวงทองทำได้เพียงเป็นผู้ดู น้ำตาไม่มีจะไหล ทั้งเสียดาย ทั้งเจ็บแค้น ยังดีที่ตำรวจได้ร่องรอยจับหนึ่งในกลุ่มคนวางเพลิงได้

“มันสารภาพว่า บุญส่งเป็นคนสั่งให้ทำ” ตำรวจมารายงานนายพลทางธรรม

“บุญส่งที่เป็นลูกน้องรามน่ะหรือ” นายพลทางธรรมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ครับท่าน” จากคำตอบรับเช่นนี้ แสดงว่าต่อไปต้องมีการล่าตัวบุญส่งชนิดพลิกแผ่นดิน โดยเฉพาะงานนี้เป็นข่าวดังสะเทือนขวัญ ต้องมีการสืบที่มาเบื้องลึกเบื้องลับ กดดันตำรวจให้เร่งทำงานเข้าไปอีก

คุณนายพวงทองไม่โกรธบุญส่ง รู้ว่าคนนี้แก้แค้นแทนนายตน แต่เธอก็เกลียดสุขศจีไม่ลงทั้งที่รู้ว่าทำความเลวร้ายมาขนาดไหน ถึงอย่างไรก็เป็นลูก

มิหนำซ้ำตอนนี้สุขศจีกำลังอยู่ในความเป็นความตาย 

 

 

ลักษณ์มาถึงตลาดตอนเช้าตรู่ เมื่อวานอยู่ในระหว่างการหลบสายสะกดรอยของพวกหลิง สุขศจี จึงรู้ข่าวช้ากว่าใคร รุ่งรตีเป็นคนโทรศัพท์ฝากข้อความไว้ในเครื่องเขา กว่าจะได้เปิดดูก็ตอนสงสัยว่าทำไมลูกสาวเข้ากรุงเทพฯ ช้ากว่าที่ตกลงกันไว้

กำหนดการเดินทางไปต่างประเทศจึงต้องถูกยกเลิก รีบมาดูเหตุการณ์ทางบ้านก่อน 

ทันทีที่เห็นตลาดเหลือแต่กองขี้เถ้า ลักษณ์ก็เข่าอ่อน หน้าซีด นี่ยังไม่ได้ไปดูบ้านกับอู่ต่อรถ ข่าวก็ว่าไม่เหลือเหมือนกัน แค่คิดก็ปวดใจเกินทนแล้ว

คุณนายเห็นสภาพลูกชายก็อยากเข้าไปปลอบโยน ให้กำลังใจ รู้ว่าลักษณ์เสียใจแค่ไหน...เขาเป็นคนทุ่มเทให้กับงานวงศ์ตระกูลมากกว่าใคร

สองแม่ลูกต่างภพอยู่ใกล้กันแค่ชั่วเอื้อมมือ ไม่สามารถแลเห็นกัน มีแต่ความรู้สึกพังภินท์โศกสลด เจ็บปวดใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว

คุณนายพวงทองเห็นลูกชายค่อยๆ ยันกายขึ้นอย่างคนใจสู้ ดวงตาฉายแววเจ็บปวดขบริมฝีปากแน่นเช่นคนไม่ยอมแพ้ สาวเท้าเดินช้าๆ ดวงตามองภาพทุ่งขี้เถ้า ตอตะโกอันกว้างใหญ่ดังจะจดจำทุกรายละเอียด

ทั้งสองหนึ่งมนุษย์ หนึ่งดวงวิญญาณไล่ดูเงาอดีตอันรุ่งโรจน์ของตน ก่อนสายตาปะทะกับแนวเต็นท์ที่ตั้งเรียงให้คนไร้บ้านได้พำนัก สภาพคนแก่หมดที่พึ่ง ไร้ที่ทำมาหากิน

ยายหอม...แม่ค้ารุ่นแรกนั่งมองซากตลาดน้ำตาไหล เด็กตัวน้อยร้องไห้จ้าหาพ่อแม่...พ่อค้าแม่ค้าที่เหลือนั่งกอดเข่า เหม่อซึมไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง

มันทำให้พวกเขารู้สึก...คนที่ลำบากกว่า...ยังมี...

แล้วทั้งคู่ก็ได้เห็นสองหนุ่มสาวยกอาหารมาให้คนแก่ที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต...สองหนุ่มสาวนั้น...เชน รุ่งรตี

“ยายจ๊ะ...กินข้าวหน่อยนะ” รุ่งรตียกข้าวต้มมายื่นให้ยายหอม ฝ่ายนั้นเหม่อซึม ไม่รู้สึกรู้สมแต่อย่างใด หญิงสาวจึงตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ จนเย็น แล้วจ่อรอที่ริมฝีปาก

“กินหน่อยนะจ๊ะยาย จะได้มีแรง”

อาจเป็นด้วยน้ำเสียงของรุ่งรตี ทำให้หญิงชราหันมามองด้วยดวงตาแห้งแล้ง

“ยายจะกินทำไม ปล่อยให้มันตายไปน่ะดีแล้ว อยู่ต่อไปก็อดตาย ไม่มีที่อยู่ ที่ทำมาหากิน” น้ำเสียงแผ่วเครือกลั้นสะอื้น

รุ่งรตีสะกดความเศร้าลงในอก ฝืนพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ใครว่าไม่มีจ๊ะยาย...ไฟไหม้ไปเราก็สร้างใหม่ได้ ทั้งตลาด ทั้งบ้านของยาย...พ่อของรุ้งคุณย่าของรุ้งเป็นเจ้าของตลาดแห่งนี้...พวกท่านต้องไม่ทิ้งคนเก่าคนแก่ แม่ค้ารุ่นแรกอย่างยายหรอก”

น้ำเสียงรุ่งรตีหนักแน่นจนคนแก่ใจชื้น ดวงตามีความหวัง 

“ตลาดของเราอยู่ได้เพราะแม่ค้าอย่างยาย...เงินที่ยายจ่ายค่าแผง มันทำให้รุ้งโตขึ้นมาได้...ตอนนี้ยายลำบาก แล้วพวกเราจะทิ้งยายได้ยังไง...”

คำพูดสุดท้ายของรุ่งรตีปลุกวิญญาณความหวังแก่ทุกคน ไม่เพียงช่วยให้ยายหอมยิ้มทั้งน้ำตายอมกินข้าวต้มที่ยื่นรอ ยังกระตุ้นคนแก่ คนไร้บ้านในที่นั้นให้เต็มตื้น มีชีวิตด้วยความหวัง 

 

 

คุณนายพวงทองปีติแน่นหัวอก อยากบอกลูกชายที่ยืนข้างๆ ว่า... เธอภูมิใจเหลือเกินที่มีหลานสาวเช่นนี้...

ลักษณ์ไม่ได้ยินคำพูดรุ่งรตีชัดเจนนัก แต่เขาก็เห็นพวกคนแก่ในเต็นท์ยิ้มออก ยอมกินข้าว บรรยากาศมีความสุขขึ้น ทำให้รู้ว่าลูกสาวเป็นคนสร้างความสุขดีๆ นี้ขึ้นมา

“ร้องไห้ทำไมคนเก่ง” เชนปลอบเด็กชายที่กำลังสะอื้นฮักๆ ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว

“หาพ่อ...หาแม่” เด็กชายพูดขาดเป็นห้วงๆ

เชนคุกเข่าใช้ปลายนิ้วซับน้ำตาเบาๆ

“กินข้าวก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่จะช่วยตามหาพ่อแม่ให้”

“จริงๆ นะ” เด็กน้อยมองเขาตาแป๋ว ใสซื่อ

“จริงสิ...” เขารับรอง “ยังไงพี่ต้องพาไปหาให้เจอแน่ๆ”

“อย่าโกหกนะ” ดวงตาใสแจ๋วจ้องเขาอย่างขอความมั่นใจ

“ฮื่อ” เขาพยักหน้า พูดอะไรไม่ออก ก้อนสะอื้นแล่นจุกตันลำคอ เด็กชายคนนี้เหมือนภาพสะท้อนเขาในอดีต ร่ำร้องหาพ่อแม่ท่ามกลางกองขี้เถ้าบ้าน ไม่อาจรู้เลยว่าท่านทั้งสองไม่อยู่ในโลกอีกแล้ว

เขาได้แต่หวังให้พ่อแม่เด็กคนนี้ยังมีชีวิต ขอให้เพียงพลัดหลงชั่วคราวตอนชุลมุนไฟไหม้ อาจตามกันเจอตอนสายๆ ช่วงเวลานี้เขาจะช่วยดูแลเด็กเหล่านี้ไม่ให้ขวัญเสียไปกว่าเดิม

เด็กชายยอมกินข้าวตามที่เชนป้อนให้ สีหน้าชายหนุ่มละมุนลง ขณะที่เขาดูแลเด็กด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจตนเองได้รับการเยียวยาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ที่เต็นท์โรงทานมีผู้ประสบภัยมารับอาหารกันเนืองแน่น คุณจิตใสตักอาหารแจกจ่ายไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นายพลทางธรรมคอยกำกับดูแลทหารให้ทำงานด้านหลังเป็นระเบียบ สีหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองแช่มชื่น ผ่องใส ทั้งที่ดูจะทำงานเกินกำลัง

คุณนายพวงทองกับลักษณ์มาถึงหน้าเต็นท์ เห็นผู้คนมารอรับอาหารมากมาย ไม่ใช่มีแค่ผู้ประสบภัยจากไฟไหม้เท่านั้น ทั้งคนยากจน ชาวสลัมบริเวณใกล้เคียงก็แห่มาขอรับอาหารโรงทานกันเป็นระลอกคลื่น ไม่มีทีท่าจะลดลงง่ายๆ

คุณจิตใสกับสามีเห็นเช่นนั้นก็มิได้ขุ่นมัว เหน็ดเหนื่อย ยอมแพ้ หนำซ้ำยังสั่งลูกน้องให้กลับไปเอาของมาทำเพิ่มอีก ยังดีที่ร้านคุณจิตใสเป็นร้านขายส่งมีสินค้า อาหารแห้งจำนวนมาก จึงเอาออกมาได้อย่างทันท่วงที มิเช่นนั้นเช้าขนาดนี้ จะไปหาซื้อของจำนวนมากเช่นนั้นมาจากไหน

คุณนายพวงทองเห็นอย่างนี้ก็ระลึกถึงครั้งหนึ่งตนเองเคยทำโรงทาน แล้วมีโทสะต่อผู้คนที่โลภมาก ขอไม่รู้จักพอ มาครั้งนี้ได้เห็น “ผู้ให้” ที่มีจิตใจกว้างขวาง ไม่มีโทสะต่อใคร แม้รู้ว่าผู้มารับทานมิได้เดือดร้อนลำบาก และไม่เจาะจงว่าผู้มารับต้องเป็นผู้ประสบภัยไฟไหม้เท่านั้น

คุณนายจิตใส นายพลทางธรรมเปิดโรงทานไม่มีเงื่อนไข ให้ทั้งหมดทุกคนเท่าที่จะมีกำลังให้ได้ ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ขอเพียงมารับ พวกเขาก็พร้อมจะหยิบยื่น

ดวงจิตกุศลอันกว้างขวางยิ่งใหญ่นี้ สัมผัสดวงวิญญาณคุณนายพวงทองจนเกิดแรงสะเทือนอย่างใหญ่ ระลึกถึงโรงทานที่ตนเคยทำ นึกน้อมยินดีต่อจิตผู้ให้ของคุณจิตใส นายพลทางธรรม รุ่งรตี และเชน แรงอนุโมทนาครั้งนี้ ทำให้คุณนายพวงทองรู้สึกเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตนเอง เปลี่ยนแปลงอย่างไร เธอไม่อาจรู้ 

รู้แค่ว่า...การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เธอได้เดินถนนสายใหม่...แต่จะเป็นเส้นทางใดยากจะตอบ

มันอาจเป็นถนนแห่งการชดใช้กรรมชั่วที่เธอเคยสร้างไว้สมัยเป็นมนุษย์...หรือ...แรงอนุโมทนา ความระลึกได้ในบุญกุศลที่เคยสร้าง จะพาเธอไปยังอีกจุดหนึ่ง...ซึ่งสบายกว่าปัจจุบัน

...คุณนายพวงทองไม่มีความสามารถหยั่งรู้... 

แต่เชื่อเถอะ...“ศาลกรรม” พิพากษายุติธรรมเสมอ แม้บางครั้งจะดูโหดร้าย ให้คนเราต้องรับกรรมชั่ว โดยไม่รู้ว่าตนเองทำผิดอะไรมา แต่ครั้งที่ผลกรรมดีตอบสนอง คนเราก็มักยินดี เพลิดเพลิน โดยไม่สนใจถามเช่นกันว่า...ได้ผลดีเช่นนี้...เพราะเหตุใด... 

คุณนายพวงทองทำทั้งกรรมดีกรรมชั่ว เพราะฉะนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ศาลกรรม” ตัดสินเถอะว่า ...เธอควรได้รับผลเช่นใดก่อน... 

หากใครหวั่นเกรง ยามขึ้นตาชั่งกรรม...ก็ขอให้รู้เถิดว่า...มีเส้นทางหนึ่งสามารถเดินออกจาก “กรงกรรม” ได้...นั่นคือ...เพียรละความชั่วให้สิ้น...บำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม...มุ่งมั่นเจริญสติปัฏฐานจนจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสแผ้วพาน

...นี่คือทางสายเดียวที่จะฝ่า “กรงกรรม” ตามพระพุทธองค์สั่งสอนบอกไว้...

 


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)





แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP