วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๔๒


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

หลังระเบิดแก๊สน้ำตาทำงาน กระสุนปืนออกฤทธิ์ สามารถลิดรอนกำลังฝ่ายหลิงได้เกือบหมด ที่ตายก็ตายไป ที่บาดเจ็บก็นอนทรมานด้วยพิษระเบิด กระสุนปืน

บุญส่งใส่หน้ากากกันแก๊สกับลูกน้องอีกสองคน ตามเคลียร์ในบ้าน พบซากศพสมุนของหลิงนอนเกลื่อน พวกที่รอดมาต่อสู้ก็ถูกเก็บเรียบ เวลานี้เหลือแค่หลิงกับสุขศจี...ทั้งคู่หลบอยู่ไหน...

บุญส่งทำมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องอ้อมไปด้านหลัง ป้องกันคนหนีเล็ดรอด จากนั้นกระชับปืนมั่นเดินเดี่ยวระมัดระวัง สัญชาตญาณเสือร่ายทำให้แต่ละก้าวเต็มไปด้วยอาการคุกคาม เปล่งรังสีการฆ่าฟัน รังสีเช่นนี้ย่อมสัมผัสได้กับคนที่มีรังสีเฉกเช่นเดียวกัน

หลิงยังอยู่ในบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล คอยซุ่มจู่โจมทุกเมื่อหากบุญส่งพลั้งเผลอ รังสีอำมหิตการฆ่าฟันแผ่กระจายรุนแรง ทั้งสองเป็นคนขั้วเดียวกัน...ร้ายกาจพอกัน...ฉะนั้นคนที่เขี้ยวตัน ชั่วโมงบินสูง และยังไม่ถึงฆาตเท่านั้น...ถึงจะรอดชีวิต

ปัง...ปัง...บุญส่งสาดกระสุนใส่เงาแวบๆ ที่วูบผ่านหลังควันแก๊ส หน้ากากกันแก๊สกลับเป็นอุปสรรคการเคลื่อนไหว ทำให้สายตาไม่เฉียบคม เก้งก้าง

ปัง...กระสุนนัดนี้เฉี่ยวหัวไหล่บุญส่ง ยังดีที่ระวังตัว มีสัญชาตญาณดีพอ ไม่เช่นนั้นคงทะลุเข้าจุดสำคัญ

บุญส่งตัดสินใจก้มตัวลงต่ำ ปลดหน้ากากออก กลิ่นแก๊สจางลงมาก...มิน่าหลิงถึงเคลื่อนไหวคล่องขนาดนี้

บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมีห้องกว้าง เพดานสูง โปร่ง แก๊สระเหยจางเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังมีควันลอยจางๆ แทนฉากกั้น...คู่ต่อสู้ทั้งสองฝีมือเสมอกัน ทัดเทียม มีวัยใกล้เคียงกัน ประสบการณ์ต่อสู่ไม่น้อยกว่ากัน ต่างแค่ฝ่ายหนึ่งรุก อีกฝ่ายรับ ฝ่ายหนึ่งฮึกเหิมที่แผนการบรรลุเป้าหมาย อีกฝ่ายกำลังลังเลระหว่างหาช่องทางหนีเอาตัวรอด กับประจันหน้าคู่ต่อสู้ ตัดสินให้เด็ดขาด

ทั้งสองฝ่ายอาศัยผนังห้อง เหลี่ยมมุมเครื่องเรือน และควันจางกำบังตัว คอยหาจังหวะจู่โจม กระสุนแต่ละนัดยังไม่ยิงออกมาง่ายดาย นอกจากเป็นนัดที่มั่นใจได้ชัยจริง หากพลาดจะเป็นการเผยจุดซ่อนตัว เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายจัดการปิดบัญชีโดยง่าย

หลิงไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมเช่นนี้มาก่อน บุญส่งก็เช่นกัน นับแต่ย่ำแดนนักเลง ไอ้ลูกครึ่งคนนี้ฝีมือร้ายกาจ สมกับเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย

ทั้งสองนับถือฝีมือกันและกันทั้งที่ยังไม่เห็นตัว แต่ไม่อาจไม่ฆ่ากัน หรือนี่คือข้อบังคับของวงการ...เมื่อคุณหลุดมาอยู่วงจรนี้แล้ว ถ้าไม่เป็นผู้ฆ่า ก็ต้องเป็นผู้ถูกฆ่า

ปัง...ปัง

ผลตัดสินมาในสองนัดสุดท้าย เป็นกระสุนจากปืนคนละกระบอกลั่นมาในเวลาไล่เลี่ย ลักษณะมุมยิงใกล้เคียงกัน ผิดแต่ว่า ผลของกระสุนทั้งสองนัดต่างกัน

บุญส่งกุมไหล่ซ้ายที่ชุ่มด้วยเลือด หลังพิงผนัง เจ็บปวด อ่อนแรง พยายามกัดฟันฝืนยืนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาว่างเปล่า

หลิงทรุดนั่งพิงผนังอีกด้าน หน้าอกด้านซ้ายแดงฉาน รอยเลือดบนผนังรูดเป็นทางยาว นัยน์ตาเบิกค้าง ไม่อยากเชื่อตนเองจะมีวันนี้ วันที่ต้องตายด้วยคมกระสุนผู้อื่น

บุญส่งฝืนเดินจากไป งานเขายังไม่เสร็จ คำสั่ง “นายหญิง” ก้องอยู่ในหู

...อย่าให้มันมีอะไรเหลือ...อะไรที่ฉันกับลูกไม่ได้...มันก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน...

เขาต้องทำตามคำสั่ง ต่อให้ตายไปก็ยอม

“พี่ส่ง” เสียงเรียกดังขึ้นเมื่อบุญส่งออกจากตัวบ้าน

“ผมเจอนังนี่ที่ด้านหลัง กำลังคิดหนีพอดี”

ลูกน้องบุญส่งผลักสุขศจีที่ถูกมัดมือมัดปากให้มาล้มลงตรงหน้าบุญส่ง

“ดี” บุญส่งพูดเสียงเครียด นัยน์ตาลุกโชนดุจไฟกองมหึมา “พี่ชายมึงแท้ๆ ยังฆ่าได้ กูจะให้มึงได้ใช้กรรมอย่างสาสม...”

คำพูดของบุญส่งเฉกเช่นดาบกรีดฟันไม่ปรานี ดวงตาอาฆาตแค้นชนิดไม่ยอมอยู่ร่วมโลก สุขศจีสั่นสะเทือนด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน แววตาของบุญส่งเป็นเสมือนเงาสะท้อนมัจจุราชที่หล่อนมองเห็นด้วยความสุดสะพรึง 

 

 

แขกของนายพลทางธรรมยังไม่กลับเมื่อมีโทรศัพท์มาแจ้งข่าวร้าย

“อู่ต่อรถถูกระเบิด บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลก็โดนระเบิด คนตายเป็นเบือเลย” 

มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นในเมืองนี้ เมืองท่องเที่ยวที่ควรจะสงบสุขกับธรรมชาติรื่นรมย์สวยงาม เมื่อมันเกิดขึ้นย่อมสร้างความแตกตื่น สนใจใคร่รู้แก่ผู้คนทั้งจังหวัด และน่าจะเป็นข่าวดังระดับประเทศขึ้นหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้แน่นอน

ทุกคนรวมถึงนายทหารรุ่นน้องนายพลทางธรรม ก็ตามไปดูเหตุการณ์ด้วย แรกทีเดียวว่าจะไปดูที่อู่ต่อรถก่อน แต่ด้วยความที่เป็นห่วงคนบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ทุกคนจึงพร้อมใจไปที่นั่นเป็นแห่งแรก

ไปถึงบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลก็ค่ำแล้ว...ฟ้ามืด...มีแต่แสงแดงวาบๆ ของไฟไซเรนรถมูลนิธิ รถพยาบาล รถตำรวจ ต่างคนทำหน้าที่ตนเองขะมักเขม้น รีบเร่ง แข่งกับเวลา

ศพถูกเก็บ คนบาดเจ็บได้รับการพยาบาลรักษา ส่งโรงพยาบาล ตำรวจสั่งล้อมเชือกที่เกิดเหตุ ตรวจตราหาหลักฐานในบ้าน

รุ่งรตียืนอึ้ง พูดอะไรไม่ออก บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลแทบไม่เหลือสภาพบ้านที่สวยงาม ใหญ่โตอีกแล้ว ซากรถสิบล้อยังคาอยู่ให้เห็นตัวการความยับเยิน บ้านเกือบครึ่งพังราบ เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวมองเห็นสัจธรรมข้อหนึ่ง...ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง...ใครจะคิด บ้านหลังใหญ่โตงดงาม จะกลายสภาพทุเรศได้ขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ลมพัดแรงกระโชกราวกับมีเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเสียดายแทรกมากับสายลม ฝุ่นผงจากเศษอิฐเศษปูนปลิวว่อนจนหลายคนต้องเบือนหลบ

รุ่งรตีกับเชนเห็นภาพบางอย่างที่ปลายหางตา เป็นภาพที่เห็นชั่วแวบ แต่ก็จดจำไม่ลืม คุณนายพวงทองนั่งบนรถเข็นกำลังร้องไห้ด้วยน้ำตานองหน้า 

“ช่วยจีด้วย...ช่วยจีด้วย” เสียงนี้แว่วสู่โสตสัมผัสคนทั้งคู่

สองหนุ่มสาวมั่นใจ สิ่งที่เห็นไม่พลาด ได้ยินไม่ผิด

“อาจีล่ะ อาจีอยู่ไหน” รุ่งรตีโพล่งขึ้น

“ไปโรงพยาบาลกับพวกคนเจ็บหรือเปล่า” เชนตั้งข้อสังเกต

คำพูดของคนทั้งคู่ ทำให้คุณจิตใสถามตำรวจ และคำตอบที่ได้...

“ไม่มีใครพบศพสุขศจี แสดงว่ายังไม่ตาย...ไม่มีใครเห็นเธอขึ้นรถพยาบาลก็ไม่น่าบาดเจ็บ อาจเป็นได้ที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”

“ถ้างั้นไปอยู่ที่ไหน” รุ่งรตีหน้าเสีย ถึงจะไม่รักไม่ผูกพันแต่ก็เป็นญาติกัน หล่อนไม่รู้เบื้องหลังอันร้ายกาจของอาสาว จึงไม่รังเกียจเดียดฉันท์...เป็นห่วงตามสมควร

เชนมองพ่อแม่ เห็นทั้งสองยืนนิ่งไม่พูดจา จึงไม่กล้ารบกวน หลับตาระลึกถึงคุณนายพวงทอง

“คุณยายครับ ช่วยบอกที น้าจีอยู่ไหน พวกผมจะได้ไปช่วยถูก”

สายลมพัดกระหน่ำแรงขึ้น เสียงดังหวีดหวิวราวกับเสียงร้องจากปรโลก...กลิ่นเหม็นเอียนๆ ลอยตลบ ฝุ่นปูนปลิวว่อนคลุ้ง พวกเจ้าหน้าที่ทำงานต่างปิดตา ป้องกันหน้าตัวเอง

ม่านฝุ่นกระจายกลมกลืนกับแสงไซเรนสีแดง เชนลืมตามองผ่านม่านฝุ่น เห็นแสงสีแดงหมุนวาบไม่ผิดกับไฟกระพริบ สมองเบลอชั่ววูบ และชั่วขณะที่เบลอนั้น เขาเห็นภาพบางอย่างแทรกอยู่ระหว่างแสงสีแดง

ตลาด...ตลาดทรัพย์ยั่งยืน...

ทั้งตลาดตกอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีส้มแดงลุกท่วม ในกองไฟนั้นร่างของสุขศจีกำลังดิ้นรนบิดตัวทรมาน ร้อนเร่า

“ที่ตลาด...” เชนหลุดปาก “ไปที่ตลาดกัน” 

คนอื่นมองเขาอย่างประหลาดใจ มีแต่พ่อแม่ที่เข้าใจ พยักหน้า 

“จริงสิ” รุ่งรตีเกิดความคิดน่ากลัวขึ้นมา “อู่ต่อรถทัวร์...บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล...ต่อไปอาจเป็นตลาดก็ได้...” 

ใช่แล้ว...คนที่ทำเรื่องพวกนี้ จงใจทำลายทุกสิ่งที่เป็นของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

ยังไม่ทันขาดคำ วิทยุของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ก็รายงานดังขึ้น ด้วยเนื้อความเสมือนยืนยันคำพูดรุ่งรตี

“ตอนนี้ที่ตลาดทรัพย์ยั่งยืน เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ขอกำลังเจ้าหน้าที่รถดับเพลิง ไประงับเหตุ...โดยด่วน”

 

 

 

 

บทที่ ๓๒

 

 

หวอ...หวอ...เสียงหวอรถดับเพลิงดังลั่น กองพระเพลิงตรงหน้าเสมือนอสูรร้ายลำพองในฤทธิ์อำนาจของตน ตลาดทรัพย์ยั่งยืนตกอยู่ในกองเพลิงลุกท่วม มันไม่ใช่ไฟลามต่อถึงกัน แต่เป็นการวางเพลิงโดยมืออาชีพ หวังให้มันวอดวายโดยไม่มีอะไรเหลือ

ลมแรงยิ่งเสริมให้เปลวไฟอหังการ เสียงลูกไฟลั่นเปรี๊ยะๆ ดังไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่ทำงานเต็มกำลัง แต่ไม่อาจสู้กองทัพพระเพลิงที่มีทัพพระพายเป็นกองหนุนได้

เชนยืนมองเปลวไฟที่ลุกท่วมตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ก้าวขาไม่ออก ความทรงจำเก่าผุดขึ้นมาก่อให้เกิดความหวาดกลัว หวั่นสะท้าน...ภาพไฟที่กำลังไหม้บ้าน เสียงร้องของพ่อแม่หลังเปลวเพลิงหลอกหลอนติดหู 

...เชน...เชน...หนีไป...หนีไปลูก...

พ่อแม่เป็นห่วงเขาแม้ในวาระสุดท้าย น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ก่อนจะไหลรินลงมาไม่รู้ตัว เชนสะอื้นไห้เมื่อระลึกถึงภาพพ่อแม่ในกองไฟ เวลานั้นเขาไม่อาจช่วยอะไรได้เลย

รุ่งรตีกำลังร้อนใจหาทางช่วยสุขศจี คำพูดคุณย่าก้องชัดติดหู...ช่วยจีด้วย...แสดงว่าอาจียังไม่ตาย เชนบอกว่าอยู่ที่ตลาด...สุขศจีต้องอยู่ที่นี่...น่าจะมีโอกาสรอด

“พี่เชน” รุ่งรตีเอ่ยปากเรียกชายหนุ่ม หวังให้เขาช่วยติดต่อคุณย่าเพื่อหาทางช่วยเหลือสุขศจี

เชนไม่ตอบ เขายังตกอยู่ในห้วงอดีต ภาพความทรงจำเรียงย้อนกลับมา รุ่งรตีเห็นใบหน้าชายหนุ่มเปียกนองน้ำตา ดวงตาเศร้ายิ่งกว่าเคยเศร้า...ความเศร้าเช่นนั้นถ่ายทอดยังคนใกล้จนเหมือนหัวใจถูกบีบ อยากเข้าไปกอด ช่วยแบ่งเบาทุกข์ในใจให้คลาย

...บ้านของเชนถูกไฟไหม้...พ่อแม่เขาตายในกองไฟ...รุ่งรตีสัมผัสความเศร้า ความทุกข์ที่เร้นลึกของเขาในคืนวันเปิดใจแก่กัน รอยแผลครั้งนั้นยังไม่ลบเลือน รู้สึกเจ็บลึกทุกครั้งที่มีเหตุมากระทบถูก 

หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ ยกมือเขามากุม บีบกระชับแน่น ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจจริงโดยไม่ปิดบัง ความจริงใจสื่อสารถึงกันได้ ความจริงใจของรุ่งรตีกระทบใจเชน ทำให้เขาได้สติหันมามองหล่อน พบดวงตาใสทอประกายล้อแสงไฟ เหมือนจะบอกกับเขาว่า

...พี่เชนไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว...ยังมีรุ้งอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์...

ภาษาใจที่ถ่ายทอดผ่านแววตา ถมหัวใจเขาจนเต็มตื้น อบอุ่น สติกลับคืน บีบมือตอบกระชับรับรู้จิตใจซึ่งกันและกัน

 

 

นายพลทางธรรมมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยแววตานายทหารเก่า อ่านสถานการณ์กระจ่างชัด การตัดสินใจจึงเด็ดขาด รวดเร็ว รีบบอกนายพลรุ่นน้องตนว่า...

“โทรตามทหารสรรพวุธ หน่วยกู้ระเบิดที่อยู่ใกล้สุด ไปโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัลและห้างทรัพย์ยั่งยืนคอมเพล็กซ์เดี๋ยวนี้”

“อะไรครับพี่” ผู้ฟังยังไม่เข้าใจ

“ที่นั่นเป็นอีกกิจการสำคัญของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล...ถ้าอู่ต่อรถโดนระเบิด บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลพัง ตลาดถูกไฟไหม้...เป้าหมายสุดท้ายคือโรงแรมกับห้างฯ...รีบไปจัดการซะ เดี๋ยวจะช้าเกินไป”

“เข้าใจแล้วครับ” คนเป็นรุ่นน้องแม้จะมากด้วยวัย ใหญ่ด้วยตำแหน่ง แต่ก็มีความเคารพรุ่นพี่ เชื่อมั่นในการคำนวณตัดสินใจ

โทรศัพท์ถูกต่อทันที...ด้วยคำสั่งของนายทหารระดับสูงที่มีตำแหน่งคุมกองกำลังสามารถทำให้หน่วยทหารในพื้นที่ต่างตาตื่นรับทราบ รีบปฏิบัติทันทีโดยไม่มีข้อสงสัย

คุณจิตใสมองสภาพรอบตัว เห็นผู้คนมากมาย หอบเสื้อผ้าข้าวของหนีไฟกระเซอะกระเซิง แม่ค้าหลายรายทุ่มตัวร่ำไห้เสียดายข้าวของ สินค้าตนที่ตกอยู่ในกองไฟ ในจำนวนนั้นมีพ่อค้า แม่ค้าแก่ๆ ที่ขนของหนีไฟจากเรือนพักด้านหลัง สภาพขะมุกขะมอม ดวงตาแห้งแล้ง ไร้ความหวัง ถึงรอดชีวิตจากกองไฟ แต่สมบัติที่ใช้ต่อชีวิตล้วนกลืนหายหมดสิ้น

“ฉันขอกลับบ้านก่อนนะคุณ” คุณจิตใสบอกสามี

นายพลทางธรรมขยับปากจะถามภรรยาว่าจะรีบกลับไปไหน พอเห็นสภาพผู้คนตามสายตาคุณจิตใสก็เข้าใจ

“ดีแล้ว...งั้นไปด้วยกัน...มีเรื่องต้องทำเยอะเลย” คำพูดหนักแน่น กระตือรือร้นพลางหันไปบอกนายพลรุ่นน้องอีกครั้ง “พี่มีเรื่องให้ช่วยอีกหลายอย่างเลย...พอไหวมั้ย”

“ได้เลยครับพี่...” คำตอบรับอย่างมั่นใจว่ารุ่นพี่ที่เกษียณคนนี้ ไม่มีทางขอให้ช่วยในเรื่องที่ไร้ประโยชน์เด็ดขาด

นายพลทางธรรมสั่งข้อความยืดยาวแต่กระชับได้ใจความ ก่อนจะตามคุณจิตใสไปที่รถ โดยไม่สนใจลูกชายตนที่ยืนมองกองไฟ เวลานี้ทุกคนต่างมีเรื่องต้องทำทั้งนั้น...ทุกเรื่องจะช้าไม่ได้

 

 

เชนมีเรื่องต้องทำเช่นกัน คำพูดคุณนายพวงทองดังก้องในหูซ้ำๆ ...ช่วยจีด้วย...ช่วยจีด้วย...เขาสงบใจฟัง มือกุมมือรุ่งรตีแน่นไม่ยอมปล่อย ในใจเอ่ยถามขึ้น...

“น้าจีอยู่ตรงไหน...จะให้เข้าไปช่วยยังไง”

เขาทิ้งคำถามครู่หนึ่ง ก่อนมองไปรอบ นัยน์ตาไม่อาจมองเห็นผู้คน เหตุการณ์เช่นปกติ เห็นเปลวไฟสีส้มแดงแผ่กางออกทุกทิศทาง

...ทางนี้...ทางนี้...และแล้ว เสียงคุณนายพวงทองก็ก้องชัด เงาร่างบนรถเข็นกระจ่างตัดกับเปลวไฟ เชนหันมายิ้มให้รุ่งรตีก่อนปล่อยมือ

“พี่จะไปช่วยน้าจี...รุ้งรออยู่ตรงนี้นะ”

รุ่งรตีพูดไม่ออก อยากบอกให้เขาเรียกนักผจญเพลิงดีกว่า แต่ปากถูกปิดสนิทเหมือนหุ่นใบ้

พนักงานดับเพลิงต่างทำหน้าที่แข็งขัน สู้กองทัพไฟไม่หวั่น เชนคิดจะบอกนักผจญเพลิงให้บุกเข้าไปช่วยสุขศจีเหมือนกัน แต่ทุกคนทำงานเต็มที่ไม่มีใครว่าง อีกอย่างเขาก็มั่นใจ ไม่มีใครเห็นคุณนายพวงทองอย่างที่เขาเห็น จึงตัดสินใจคว้าผ้าห่มผืนใหญ่ที่เปียกน้ำขึ้นคลุมตัว แล้ววิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปตามทิศทางที่เห็นคุณนายพวงทองจอดรถเข็นรอ

“เฮ่ย...คุณ จะไปไหน...อันตราย...อย่าเข้าไป”

เสียงตะโกนไล่หลังไม่สามารถหยุดเขาได้ เชนวิ่งเต็มฝีเท้าไปในทิศทางที่มั่นใจ

“คุณยายครับ...พาผมไปช่วยน้าจีอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ” คำพูดนี้ตะโกนก้องในใจ

 

 

ตลาดทรัพย์ยั่งยืนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด แบ่งเป็นหลายส่วน ทั้งด้านของฝาก ของชำร่วย เสื้อผ้า อาหารแห้ง ตลาดสด หากให้ใครวิ่งดุ่มๆ มาช่วยคนท่ามกลางกองไฟโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้เช่นนี้ มีโอกาสหลงสูง และไม่มีโอกาสกลับเลย

ขณะวิ่งเข้ามา เชนไม่คิดถึงอาณาบริเวณกว้างแคบแต่อย่างใด ไม่คิดกระทั่งตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไม่ ในใจคิดแต่เพียง...อยากจะช่วย...อยากจะช่วย...เป็นจิตใจที่อัดแน่นด้วยเมตตาเอื้อเฟื้อ อารี สุขศจีจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่ จะเคยมีบุญคุณต่อกันหรือไม่เคยมี...ไม่สำคัญ...เขาเห็นหล่อนเป็นชีวิตหนึ่ง...ชีวิตที่ควรช่วยเหลือ... 

คุณนายพวงทองดูชัดเจนท่ามกลางกองไฟ รถเข็นของเธอลัดเลาะ พาเชนหลบซ้าย หลบขวา หลีกเลี่ยงท่อนไม้ ข้าวของที่ติดไฟ เป็นเส้นทางปลอดภัยที่สุดเท่าที่คุณนายพวงทองจะพามาได้

เชนสัมผัสความร้อนที่ผ่านหน้า พยายามก้มตัวลงต่ำหลบควันไฟ ผ้าเปียกน้ำที่คลุมมีส่วนช่วยทั้งกันไอร้อน สะเก็ดไฟที่ปลิวมาปะทะ

เขาไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลแค่ไหน ไม่รู้อยู่ส่วนใดของตลาด รอบตัวมีแต่ไฟ...ไฟ...ไฟ...อาศัยเพียงจิตใจที่หนักแน่น มองข้ามความกลัว ความรักตัวเอง เกาะอยู่เพียงจิตใจที่อยากช่วยเหลือ สายตามองแต่เงาร่างรถเข็นที่นำหน้าเป็นระยะ ไม่ใกล้ ไม่ไกล

ในที่สุดคุณนายพวงทองก็พาเขามาถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง แยกไม่ออกเป็นห้องอะไร กองทัพพระเพลิงแห่ล้อมเข้ามาใกล้ จนไม่มีเวลาสังเกตอะไรมาก

...อยู่ในนี้...คุณนายพวงทองบอกชัด...เชนไม่สนใจมากความ ต้องพังประตูตรงหน้าให้ได้ 

 

 

สุขศจีสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น ร้อนราวตกในเตาเผา ร่างกายกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ทรมานแทบทนไม่ไหว สติใกล้หลุดลอย...นี่คือนรกเช่นนั้นหรือ...มันร้อนอย่างนี้ ทรมานอย่างนี้ ไม่อาจดิ้นรนหลีกหนีมันได้เช่นนี้หรือ

บุญส่งไม่ฆ่าหล่อนกับมือ กลับนำหล่อนมาทิ้งไว้ที่นี่ ให้ตายไปพร้อมกับตลาดอย่างช้าๆ สาสมใจ

สภาพที่เหมือนจะอยู่ก็ไม่ไหว จะตายก็ไม่ได้ เป็นความทรมานเกินทน คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา แต่ละภาพล้วนไม่ใช่เรื่องดีงาม หล่อนเป็นลูกสาวคนเล็ก แม่ตามใจ ฐานะทางบ้านเริ่มมั่นคง จึงมีแต่ความเอาแต่ใจ ไม่ยอมให้ใครขัดใจแม้แต่มารดาตน

สุขศจีเป็นลูกคนเดียวที่กล้าเถียงแม่ด้วยถ้อยคำรุนแรง ทำทุกอย่างตามใจ ไม่กล้าขัดใจแม่เรื่องเดียว...คือเรื่องผู้ชาย...คุณนายพวงทองประกาศชัด หลังจากสีดาฝืนแต่งงานกับพิทักษ์ว่า...หากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีก จะมีการตัดแม่ตัดลูก หมดสิทธิในกองมรดก...

แม่พูดได้ย่อมทำได้ ยิ่งเห็นแม่หมางเมินพี่สาว แถมพูดบ่อยๆ ว่าสีดาจะไม่ได้อะไรเลย ยิ่งทำให้หล่อนไม่กล้ากระโตกกระตากเรื่องของหลิง

ความที่ต้องปิดบังเรื่องคนรักเป็นแรงกดดันอย่างหนึ่ง ให้หล่อนตั้งใจครอบครองสมบัติทั้งหมด ยิ่งได้แรงส่งเสริม ยุยง และ “กำลัง” จากหลิง ทำให้ยิ่งลำพองใจ หลังจากแม่ตาย จึงไม่เห็นหัวพี่ๆ ทุกคน

จิตใจสุขศจีกระด้างทีละน้อย โดยไม่มีใครรู้ กระทั่งหล่อนเองก็ไม่รู้ ตอนที่หลิงแสดงฝีมือข่มขวัญพี่ๆ ครั้งแรก หล่อนยังขัดใจไม่เห็นด้วย แต่ครั้งที่หลิงสั่งเก็บพิทักษ์ เนื้อนวล หล่อนเห็นว่าสมควรแล้ว ทั้งคู่สมควรตาย

จนกระทั่งหลิงเอ่ยปาก...ต้องเก็บพี่ชายใหญ่ของคุณ...ความรู้สึกครั้งนั้นชาวาบไปครู่หนึ่ง ก่อนรู้สึกปกติ...เก็บก็เก็บ...รามเป็นก้างชิ้นสำคัญที่สุดในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ รามมีทั้งกำลังคน กำลังเงิน แถมเป็นพี่ใหญ่ ไม่เก็บไม่ได้ เหตุผลเหล่านี้ทำให้สุขศจีเริ่มเฉยชาต่อความตายคนใกล้ตัว

หลังจากรามตายก็ไม่มีอะไรทำไม่ได้ จิตใจไม่สะท้านสะเทือน เกรงกลัวละอายต่อบาปอีกเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ชั่วขณะที่รู้สึกว่าความตายเป็นเหมือนด้ายเส้นสุดท้ายที่ใกล้ขาดผึง

ความกลัวที่สุดบังเกิดขึ้น สติพร่าเลือน มองเห็นรับรู้ว่ามีกองไฟเต็มไปหมด ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนหลบหนี ความกลัวเช่นนี้ บีบรัดให้ความรู้สึกหดตัว จนกระทั่งวูบหนึ่งหล่อนคิดถึงจิตใจของคนใกล้ตาย คนที่ถูกสั่งเก็บ...ย่อมไม่แตกต่างกัน

ชั่วขณะนี้เอง สุขศจีเกิดสำนึกขึ้น สำนึกของคนใกล้ตาย หากมีโอกาส...หล่อนจะขอแก้ไขทุกสิ่งที่ทำมา จะขอเป็นคนดีให้คุ้มค่าต่อการได้เกิดเป็นมนุษย์...

คนใกล้ตายไม่น้อย เกิดสำนึกดีในขณะจิตก่อนสุดท้าย แต่จะมีสักกี่คนได้โอกาสกลับมาแก้ไขสิ่งที่ตนเองกระทำ โดยมาก หลังสำนึกดีเกิด...ภาพความชั่วที่ทำมาตลอด ก็ได้แทรกแซงขึ้น ในขณะจิตสุดท้ายก่อนดับ...นำพาไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมกับกรรมที่เขาทำ

...สุขศจีมีโอกาสนั้นหรือไม่... 

 


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

 





แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP