จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

ความสะอาดและความไม่สะอาด


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



109 destination

 

 

ท่านผู้อ่านเคยพิจารณาใคร หรือมีใครมาพิจารณาท่านในเรื่องความไม่สะอาดบ้างไหมครับ
อย่างเช่น บ้านไม่สะอาด ห้องนอนไม่สะอาด ห้องน้ำไม่สะอาด ในรถยนต์ไม่สะอาด
เสื้อผ้าเลอะเทอะไม่สะอาด ทำอาหารไม่สะอาด ทำตัวสกปรก เนื้อตัวไม่สะอาด ฯลฯ
ในตอนนี้ เราจะมาสนทนากันในเรื่องความสะอาดและความไม่สะอาดกันครับ

โดยส่วนใหญ่แล้ว เวลาเราพูดถึงเรื่องความสะอาดและความไม่สะอาดกันนั้น
เราก็มักจะพิจารณาถึงเรื่องความสกปรกหรือความเลอะเทอะ
ซึ่งจะต้องกำจัดความสกปรกนั้นด้วยการชำระล้าง ปัดกวาด เช็ดถู จัดให้เป็นระเบียบ
หรือด้วยวิธีการทำความสะอาดโดยประการอื่น ๆ ตามแต่ประเภทของความสกปรกนั้น
แต่ความสะอาดหรือความไม่สะอาดที่เราได้พูดถึงเหล่านั้น

ก็เป็นเพียงความสะอาดหรือความไม่สะอาดของสถานที่หรือของสิ่งภายนอกเท่านั้น
ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องสำคัญก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
เพราะว่ายังมีความสะอาดและความไม่สะอาดของสิ่งอื่นที่เราควรจะให้ความสำคัญมากกว่า
นั่นก็คือความสะอาดและความไม่สะอาดของกาย วาจา และใจเรานั่นเอง


ถามว่าความสะอาดหรือความไม่สะอาดของกาย วาจา และใจเรานั้นเป็นอย่างไร
ในที่นี้ ก็จะขอยกพระสูตรที่ชื่อ “จุนทสูตร” มาอธิบายนะครับ
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต)

ในสมัยหนึ่ง นายจุนทกัมมารบุตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับนายจุนทกัมมารบุตรว่า
“ดูกรจุนทะ ท่านชอบใจความสะอาดของใคร”
นายจุนทกัมมารบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ
สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้
ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกรจุนทะ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ
สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้อย่างไร”

นายจุนทกัมมารบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตร
ย่อมชักชวนสาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า มาเถิด บุรุษผู้เจริญ ท่านลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่
พึงจับต้องแผ่นดิน ถ้าไม่จับต้องแผ่นดิน พึงจับต้องโคมัยสด (โคมัย แปลว่า อุจจาระวัว)
ถ้าไม่จับต้องโคมัยสด พึงจับต้องหญ้าเขียวสด ถ้าไม่จับต้องหญ้าเขียวสด พึงบำเรอไฟ
ถ้าไม่บำเรอไฟ พึงประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์
ถ้าไม่ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ พึงลงน้ำ ๓ ครั้ง ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ดังนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ ชาวปัจฉาภูมิผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย
บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดอย่างนี้แล
ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกรจุนทะ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ
สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดโดยประการอื่น
ส่วนความสะอาดในวินัยของพระอริยะ ย่อมมีโดยประการอื่น”

นายจุนทกัมมารบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความสะอาดในวินัยของพระอริยะ
ย่อมมีอย่างไรเล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
ความสะอาดในวินัยของพระอริยะมีอยู่ด้วยประการใด
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ด้วยประการนั้นเถิด”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกรจุนทะ ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง
ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่าง

ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติฆ่าสัตว์ หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต
ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ๑
เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ คือ ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่น
ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย ๑
เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม คือ เป็นผู้ถึงความประพฤติล่วงในสตรีที่มารดารักษา บิดารักษา
พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา ธรรมรักษา สตรีมีสามี
ผู้มีอาชญาโดยรอบ โดยที่สุดแม้สตรีผู้ที่บุรุษคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย ๑
ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง อย่างนี้แล

ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภา ในบริษัท ในท่ามกลางญาติ
ในท่ามกลางเสนา หรือในท่ามกลางราชสกุล ถูกผู้อื่นนำไปเป็นพยานซักถามว่า
มาเถิดบุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใดจงพูดสิ่งนั้น ดังนี้ บุคคลนั้น เมื่อไม่รู้กล่าวว่ารู้
หรือเมื่อรู้กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อไม่เห็นกล่าวว่าเห็น หรือเมื่อเห็นกล่าวว่าไม่เห็น
ดังนี้ เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้ เพราะเหตุแห่งตน เพราะเหตุแห่งผู้อื่น
หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อย ด้วยประการดังนี้ ๑
เป็นผู้พูดส่อเสียด คือ ฟังข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้นเพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังข้างโน้น
แล้วมาบอกข้างนี้เพื่อทำลายคนหมู่โน้น ยุยงคนทั้งหลายผู้สามัคคีกันให้แตกกัน
หรือส่งเสริมชนทั้งหลายผู้แตกกันแล้ว ชอบความแยกกัน ยินดีความแยกกัน
เพลิดเพลินในความแยกกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้แยกกัน ๑
เป็นผู้พูดคำหยาบ คือกล่าววาจาที่หยาบคายกล้าแข็ง ทำให้ผู้อื่นข้องใจ เดือดร้อนแก่ผู้อื่น
ใกล้ต่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ ๑
เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ คือ กล่าวไม่ถูกกาล กล่าวไม่จริง กล่าวไม่อิงอรรถ ไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย
กล่าววาจาไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลไม่ควร ๑
ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง อย่างนี้แล

ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น คือ อยากได้วัตถุเป็นอุปกรณ์
และทรัพย์เป็นเครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นว่า ไฉนหนอ วัตถุเป็นอุปกรณ์
และทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นพึงเป็นของเรา ดังนี้ ๑
เป็นผู้มีจิตปองร้าย คือ มีความดำริในใจอันชั่วร้ายว่า สัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า
จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ หรืออย่าได้เป็นแล้ว ดังนี้ ๑
เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล
การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบผู้ทำโลกนี้
และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ย่อมไม่มีในโลก ดังนี้ ๑
ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่าง อย่างนี้แล

อกุศลกรรมบถมี ๑๐ ประการนี้แล บุคคลผู้ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
เมื่อลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ ถึงแม้จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จับต้องโคมัยสด ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องโคมัยสด ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จับต้องหญ้าอันเขียวสด ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องหญ้าอันเขียวสด ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง ถึงแม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้เป็นผู้ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง

ถึงแม้จะเป็นผู้ไม่ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จะลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้จะไม่ลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
เป็นความไม่สะอาดด้วย เป็นตัวกระทำให้ไม่สะอาดด้วย
เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ นรกจึงปรากฏ
กำเนิดดิรัจฉานจึงปรากฏ เปรตวิสัยจึงปรากฏ หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึงมี

ดูกรจุนทะ ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง
ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง

ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา
มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ๑

ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์
ไม่ถือเอาวัตถุเป็นอุปกรณ์และทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้าน
หรืออยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย ๑
ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
ไม่ถึงความประพฤติล่วงในสตรีที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา
พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา ธรรมรักษา มีสามี มีอาชญาโดยรอบ
โดยที่สุดแม้สตรีที่บุรุษคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย ๑
ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง อย่างนี้แล

ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ อยู่ในสภา ในบริษัท
ในท่ามกลางญาติ ในท่ามกลางเสนา หรือในท่ามกลางราชสกุล ถูกผู้อื่นนำไปเป็นพยานซักถามว่า
มาเถิด บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใดจงพูดสิ่งนั้น บุรุษนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หรือเมื่อรู้ก็บอกว่ารู้
เมื่อไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็น หรือเมื่อเห็นก็บอกว่าเห็น ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้ เพราะเหตุแห่งตน
เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อย ๑
ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้
หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้เพื่อทำลายคนหมู่โน้น สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง
ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีคนผู้พร้อมเพรียงกัน
เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าววาจาที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน ๑
ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ
เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ ๑
ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม
พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร ๑
ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง อย่างนี้แล

ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง อย่างไรเล่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่อยากได้ของผู้อื่น คือ ไม่อยากได้วัตถุเป็นอุปกรณ์และ
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นว่า ไฉนหนอ วัตถุที่เป็นเครื่องอุปกรณ์
และทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นพึงเป็นของเรา ดังนี้ ๑
ไม่มีจิตปองร้าย คือ ไม่มีความดำริในใจอันชั่วร้ายว่า สัตว์เหล่านี้จงเป็น
ผู้ไม่มีเวร ไม่มีความมุ่งร้ายกัน ไม่มีทุกข์ มีสุข รักษาตนเถิดดังนี้ ๑
มีความเห็นชอบ คือ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การเซ่นสรวงมีผล
การบูชามีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี
สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม มีอยู่ ดังนี้ ๑
ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง อย่างนี้แล

กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้แล บุคคลผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
ลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ ถึงแม้จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ถึงแม้จับต้องโคมัยสด ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องโคมัยสด ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง

ถึงแม้จับต้องหญ้าอันเขียวสด ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่จับต้องหญ้าอันเขียวสด ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้บำเรอไฟ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ถึงแม้ไม่บำเรอไฟ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่ประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ไม่ลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้เป็นความสะอาดด้วย
เป็นตัวทำให้สะอาดด้วย ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
เทวดาทั้งหลายย่อมปรากฏ มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏ หรือว่าสุคติอย่างใดอย่างหนึ่งจึงมี”

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนั้นแล้ว นายจุนทะกัมมารบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=6275&Z=6419

จากจุนทสูตรข้างต้น ก็ย่อมจะเห็นได้ว่าความไม่สะอาดทางกาย วาจา และใจ
และสิ่งที่ทำให้ไม่สะอาดทางกาย วาจา และใจเรา คือ “อกุศลกรรมบถ ๑๐” อันได้แก่
๑. ปาณาติบาต คือการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป

๒. อทินนาทาน คือการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจาร คือการประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาท คือพูดเท็จ
๕. ปิสุณาวาจา คือพูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา คือพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาป คือพูดเพ้อเจ้อ
๘. อภิชฌา คือความโลภอยากได้ของเขา
๙. พยาบาท คือความปองร้ายเขา
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด

ในทางกลับกัน ความสะอาดทางกาย วาจา และใจ
และสิ่งที่ทำให้สะอาดทางกาย วาจา และใจเรา คือ “กุศลกรรมบถ ๑๐” อันได้แก่
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป
๒. อทินนาทานา เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาทา เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเท็จ
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการพูดส่อเสียด
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี คือเจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ
๘. อนภิชฌา คือความไม่โลภอยากได้ของเขา
๙. อัพยาบาท คือความไม่ปองร้ายเขา
๑๐. สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ

(อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า “กุศลกรรมบถ ๑๐” นี้แตกต่างจาก “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” นะครับ
โดยบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั้นเป็นเรื่องของวิธีการสร้างบุญกุศล
ซึ่งประกอบด้วย ๑๐ ข้อคือ ๑. “ทานมัย” คือการให้ ๒. “สีลมัย” คือการรักษาศีล

๓. “ภาวนามัย” คือการเจริญภาวนา ๔. “อปจายนมัย” คือการประพฤติอ่อนน้อม
๕. “เวยยาวัจจมัย” คือการช่วยขวนขวายรับใช้ในกิจการที่ดีที่ชอบ
๖. “ปัตติทานมัย” คือการอุทิศบุญกุศล ๗. “ปัตตานุโมทนามัย” คือยินดีในความดีของผู้อื่น

๘. “ธัมมัสสวนมัย” คือการฟังธรรม ๙. “ธัมมเทสนามัย” คือการสั่งสอนธรรม และ
๑๐. “ทิฏฐุชุกัมม์” คือการทำความเห็นให้ตรงให้ถูกต้อง)

เมื่อเราทราบถึงเรื่องความสะอาดและไม่สะอาดตามพระธรรมคำสอนดังนี้แล้ว
เราก็ไม่ควรเพียงแต่ให้ความสำคัญกับความสะอาดของสถานที่หรือสิ่งภายนอกเท่านั้น
แต่เราพึงมุ่งให้ความสำคัญกับความสะอาดทางกาย วาจา และใจของเราด้วยเป็นสำคัญ
เพราะความสะอาดทางกาย วาจา และใจเราเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
โดยเป็นสิ่งที่จะนำพาเราไปสู่สุคติภูมิด้วย
ในทางกลับกัน หากกาย วาจา และใจเราไม่สะอาดแล้ว ก็เป็นสิ่งที่จะนำพาเราไปทุคติภูมิเช่นกัน




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP