จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

ทันสมัยหรือไปอบาย (ตอนจบ)


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


050_destination


(ต่อจากตอนที่แล้ว)

คราวที่แล้วได้อธิบายว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยนั้น
ไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เรา และไม่ได้ช่วยให้เราเกิดบุญกุศลเสมอไป
แต่อาจจะเป็นโทษแก่เรา และทำให้เราเกิดอกุศลยิ่งขึ้นอย่างมากมายก็ได้
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้ทันสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ เราโดนสิ่งเหล่านั้นหลอกและครอบงำหรือเปล่า
และเราใช้สิ่งเหล่านั้นไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และใช้อย่างไร

แม้ผมจะบอกว่าขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้สิ่งเหล่านั้น และใช้อย่างไรก็ตาม
แต่หากเราลองพิจารณาให้ดี จะพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งเหล่านั้น
ไม่ได้พยายามช่วยพาเราไปภพภูมิที่ดีเลย แต่กลับจะลากพาเราไปอบายเสียมากกว่า
ซึ่งหากเราไม่มีสติรู้ทันสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็น่าจะได้ไปอบายตามที่โดนลากไปเสียด้วย
เราลองมาพิจารณาสภาพการณ์รอบตัวเราในปัจจุบันให้ละเอียดด้วยใจเป็นกลางนะครับ
จะพบว่าโดยสภาพความเป็นจริงในแต่ละวันนั้น
สิ่งทั้งหลายรอบตัวเรานั้นพยายามที่จะนำพาให้เราหลงลืมกายลืมใจตนเอง
ให้ขาดสติ ให้หลงไปกับมัน และต้องการให้เราหมดเวลาชีวิตอันมีค่าของเราไปกับมันให้มากที่สุด

ลองพิจารณาถึงโทรทัศน์กันนะครับ จำได้ว่าสมัยผมเด็ก ๆ ก็มีช่องรายการอยู่แค่เพียง ๔ ช่องเท่านั้น
คือช่องสาม ห้า เจ็ด เก้านี่แหละ และช่องรายการก็มีเวลาเปิดปิดทำการนะครับ
หากเราตื่นเช้ามาก ๆ หรือนอนดึกมาก ๆ และอยากชมรายการโทรทัศน์
ก็ไม่ใช่ว่าจะมีรายการให้ชมตลอดเวลานะครับ โดยในช่วงดึกมากหรือเช้ามาก ๆ ที่ไม่มีรายการแล้ว
ก็จะมีภาพนิ่งวงกลมอะไรสักอย่างนี่แหละ ประกอบเพลง ออกมาฉายให้ชมไปก่อน
แต่ในปัจจุบันนี้ มีรายการโทรทัศน์ที่เป็นฟรีทีวีหลายช่องมากกว่าเดิม
แถมก็ฉายกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย และก็ยังมีช่องรายการโทรทัศน์ที่ฉายผ่านระบบเคเบิ้ล
โดยในระบบเคเบิ้ลแต่ละเจ้าก็มีช่องรายการให้ชมเป็นร้อย ๆ ช่องเลย
(สามารถรับชมได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และชมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตายก็ยังไม่หมด)

ในสมัยก่อนนั้น หากเราจะไปเช่าภาพยนตร์มาชม ก็ต้องไปเช่าที่ร้านวิดีโอ
ค่าเช่าวิดีโอม้วนนึงก็แพง และเช่ามาแล้ว บางทีก็ดูได้ไม่จบ เพราะม้วนวิดีโอมีปัญหา
ภาพยนตร์ที่เราจะเช่านั้น ก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมายเท่าไร
แต่ในปัจจุบัน หากต้องการหาภาพยนตร์มาชมแล้ว ก็มีร้านขายซีดีหรือดีวีดีภาพยนตร์อยู่มากมาย
โดยราคาก็ไม่สูงมาก และก็มีร้านให้เช่าแผ่นซีดีหรือดีวีดีภาพยนตร์เช่นกัน
ภาพยนตร์ที่จะให้เลือกชมนั้นก็มีมากมายจนนับไม่ไหว
ภาพยนตร์ซีรีส์ของต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยก็มีมากมาย
ซึ่งหลายคนก็ชมแล้วก็ติด และต้องพยายามติดตามชมต่อเนื่องจนกว่าจะจบก็มี
ถึงขนาดติดตามชมจนไม่อันนอน หรือไม่เป็นอันทำการงานเลย

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ผู้จัดรายการและทางช่องรายการมุ่งหวังนั้นก็คือ
จะต้องให้ผู้ชมนั้นชมช่องรายการนั้น ๆ ให้มากที่สุด และให้นานที่สุด
(กล่าวคือ หมดเวลาชีวิตของเราไปกับการชมรายการนั้นและช่องนั้นให้มากที่สุดนั่นเอง)
จึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ โดยจำนวนผู้ชมนั้นก็จะส่งผลไปที่ค่าโฆษณาด้วย
จะมีช่องรายการไหนบ้างไหมครับที่จะบอกว่า “ได้เวลาที่ท่านผู้ชมควรจะหยุดชมแล้ว
และท่านผู้ชมควรนำเวลาของท่านไปทำภารกิจส่วนตัว ไปภาวนา ไปนั่งสมาธิเดินจงกรมเถิด”
ที่เคยเห็นนั้นก็มีแต่จะบอกว่า จบรายการนี้แล้วโปรดรอชมรายการต่อไป
ซึ่งจะมีรายการโน้นรายการนั้นที่น่าชมมาก แล้วก็ชมกันไปได้เรื่อย ๆ

ลองมองไปที่หนังสือนิยายและวารสารกันบ้าง
จะเห็นว่าในสมัยก่อนนั้น หนังสือนิยายและวารสารที่จะให้อ่านนั้นมีไม่มากเท่าไร
แต่ในปัจจุบันนั้น วารสารที่วางขายในแต่ละเดือนนั้นมีมากมายเต็มแผงจนเลือกไม่ถูก
วารสารที่เน้นนำเสนอในเรื่องเดียวกัน ก็ยังมีของหลายเจ้าออกมาขายแข่งกัน
ส่วนหนังสือนิยายนั้นมีมากมายจนนับไม่ไหว ซึ่งไม่เพียงมีแต่นิยายไทยเท่านั้น
แต่นิยายต่างประเทศก็มีการนำมาแปลให้เราอ่าน
หรือกระทั่งขายเป็นหนังสือภาษาต่างประเทศ ก็มีอยู่มากมายตามร้านหนังสือต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้ต่างก็แข่งกันที่จะดึงให้เราใช้เวลาชีวิตของเราไปกับมันด้วยกันทั้งนั้น

เครื่องเล่นเกม (และเกมออนไลน์) เครื่องคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ก็เช่นกันนะครับ
โดยเราสามารถจะใช้เวลาของชีวิตเราไปกับมันได้อย่างมากมายในแต่ละวัน
แม้กระทั่งเราจะไม่ได้เล่นเกม โดยใช้เครื่องเล่นเกม
ไม่ได้เข้าอินเตอร์เน็ต โดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ตาม
แต่โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
ก็ยังช่วยสนับสนุนให้เราเล่นเกมได้ และช่วยให้เราเล่นอินเตอร์เน็ตได้

เคยมีน้องที่รู้จักคนนึงที่จับสลากปีใหม่ โดยเธออยากจะได้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นหนึ่งมาก
ปรากฏว่าเธอจับไม่ได้ แต่คนอื่นจับได้ไป จึงทำให้เธอเองก็รู้สึกเสียดายมากเลย
ผมได้แนะนำเธอว่า “ดีสำหรับเธอแล้วล่ะนะที่จับสลากไม่ได้ของชิ้นนั้นน่ะ”
เธอถามว่า “ทำไมล่ะคะ”
ผมตอบว่า “เพราะหากเธอจับได้นะ เธอจะต้องเสียเวลาชีวิตไปกับมันอีกมาก
จะต้องศึกษาว่าจะใช้ยังไง จะต้องเรียนรู้ว่าทำอะไรได้บ้าง จะลงโปรแกรมอะไรเพิ่มดี
ควรตั้งระบบเครื่องอย่างไร ต้องคอยดูแลและคอยพกพานำไปไหนด้วย
แถมต้องเสียเวลาเพื่อใช้มันอีก แต่ถามว่าเธอจะใช้เจ้าเครื่องนี้ทำประโยชน์อะไรให้กับชีวิตได้บ้างล่ะ”
น้องตอบว่า “มันเล่นอินเตอร์เน็ตได้นะคะ”
“ทุกวันนี้ เธอเล่นอินเตอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์ที่ทำงานวันหนึ่งกี่ชั่วโมงแล้ว ยังไม่พออีกหรือ
ยังจะต้องไปเล่นที่บ้าน เล่นในห้องนอน เล่นเวลาไปไหนมาไหน
หรือกระทั่งต้องเล่นที่โต๊ะอาหารเวลาที่กำลังกินข้าว หรือจะกินข้าวกับพ่อแม่อีกหรือ”
“มันเป็นออร์แกไนเซอร์ ช่วยนัดหมายตารางเวลาให้ได้นะคะ”
“ทุกวันนี้งานนัดหมายเยอะนักหรือ จดจำไว้ในสมองไม่ไหวหรือ
ตั้งเตือนปลุกไว้ในโทรศัพท์มือถือยังไม่พอหรือ และจดใส่สมุดหรือไดอารี่ไม่พอหรือ”
น้องบอกเพิ่มว่า “มันใช้อ่านหนังสือออนไลน์ได้นะคะพี่”
ผมตอบว่า “ปกติเวลาที่เล่นอินเตอร์เน็ตในที่ทำงาน ก็ไม่เห็นว่าจะอ่านหนังสืออะไรอยู่แล้ว
อยู่ ๆ มาบอกว่าอยากจะอ่านหนังสือออนไลน์หรือ แม้หนังสือกระดาษก็มียังไม่เห็นจะอ่านเลย”
“มันใช้เล่นเกมได้ด้วยนะคะพี่”
“โอ อย่างนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นโทษ และเสียประโยชน์ ยิ่งเสียเวลาชีวิต
แทนที่จะได้ใช้เวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตนเองหรือครอบครัว แต่กลับมาหมดเวลาชีวิตไปกับการเล่นเกม
แถมเวลาเล่นเกมแล้ว ก็มีแต่โลภะ โทสะ โมหะทั้งนั้น ไม่ได้ช่วยให้มีสติ หรือใจเป็นกุศลเลย”
จากนั้น ผมก็สรุปไปว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่านะ ลองคิดดูสิว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ชีวิตของเธอไม่มีความสุขใช่ไหม ชีวิตของเธอมีความทุกข์ใช่ไหม
ชีวิตของเธอขาดอะไรบางอย่างใช่ไหม และเจ้าเครื่องนี้จะเป็นตัวที่ทำให้เธอมีความสุข
ช่วยแก้ไขปัญหาความทุกข์ และสามารถทดแทนสิ่งที่ขาดหายในชีวิตเธอหรือเปล่า
หรือว่าในอันที่จริงแล้ว ชีวิตเธอก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร แต่ต้องมากลุ้มใจเมื่อเจ้าเครื่องนี้ออกวางขาย
และมีการนำเจ้าเครื่องนี้มาจับสลากปีใหม่ และเธอจับสลากเจ้าเครื่องนี้ไม่ได้กันแน่”

น้องได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ครุ่นคิดและเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า
ที่ผมแนะนำไปนั้นก็เป็นความจริง โดยเมื่อปีก่อนนั้น เธอเคยได้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาชิ้นหนึ่ง
ปรากฏว่าเธอหมกมุ่นศึกษา ใช้งาน และเล่นเกมในเครื่องเป็นเวลาถึงสองสามเดือนเลย
พอถึงเวลาที่เริ่มเบื่อเจ้าเครื่องนั้นขึ้นมาแล้ว เธอจึงค่อยได้พาแม่ไปวัดหรือไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง
และเธอก็มาระลึกได้ว่า ในช่วงเวลาสองสามเดือนที่หมกมุ่นกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนั้น
เธอลืมที่จะให้ความสำคัญกับคุณแม่และคนอื่น ๆ ในครอบครัวไปเลย

ผมเคยอ่านความเห็นของสามีคนหนึ่งที่โพสต์ในเว็บไซต์ข่าว โดยเขาได้โพสต์บ่นถึงภรรยาตนเองว่า
ตั้งแต่เขาได้ซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ให้แล้ว เธอก็เอาแต่เล่นแชท และเข้าอินเตอร์เน็ต
โดยเล่นแม้กระทั่งเวลาที่กินข้าวกับลูกและสามี และไม่ได้สนใจที่จะเลี้ยงลูกเท่าไรแล้ว
หากย้อนเวลาได้ เขาจะไม่ซื้อเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ให้ภรรยาเป็นอันขาด
และก็มีอีกหลายความเห็นได้โพสต์ต่อจากนั้นในทำนองเดียวกัน
ซึ่งพออ่านแล้ว ก็ทำให้ผมสงสัยนะครับว่า ทำไมหนอคนเราในปัจจุบันจึง
สนใจที่จะคุยกับคนอื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าจะคุยกับคนจริง ๆ ต่อหน้า
สนใจที่จะพูดและฟังผ่านตัวอักษรพิมพ์มากกว่าจะพูดผ่านปาก และฟังผ่านหูของตนเอง
สนใจที่จะดูภาพผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าจะดูภาพของจริงตรงหน้าของตนเอง
ให้ความสำคัญกับคนห่างไกลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าคนในครอบครัวตนเองที่อยู่ใกล้ ๆ
(หรือว่าคนเราอยู่ใกล้เกินไป พบเจอบ่อยเกินไป จนทำให้ลืมความสำคัญของกันและกัน)

เราลองพิจารณาไปถึงเรื่องอื่น ๆ กันต่อนะครับ
ในปัจจุบันนี้ ในแต่ละวันเราจะได้พบเจอโฆษณาจำนวนมากมายเลย
ชมรายการโทรทัศน์หรือชมภาพยนตร์ก็พบเจอโฆษณา (นอกจากโฆษณาตรงแล้ว ก็ยังมีโฆษณาแฝงอีกด้วย)
อ่านหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่าง ๆ ก็เจอโฆษณา เข้าอินเตอร์เน็ตก็มีโฆษณา
ออกมารอรถเมล์ก็มีโฆษณาที่ป้ายรถเมล์ นั่งรถไปก็มีป้ายโฆษณาทั่วไประหว่างทาง
มองไปที่ถนนข้างหน้า ก็มีป้ายโฆษณาท้ายรถโดยสารสาธารณะ และป้ายโฆษณาตามตึก
มองไปหน้าต่างด้านข้างก็มีป้ายโฆษณาด้านข้างรถโดยสารสาธารณะ และป้ายโฆษณาตามตึก
นั่งอยู่เฉย ๆ หรืออยู่บ้านไม่ไปไหน ก็ยังมีโฆษณาส่งเป็นเอสเอ็มเอสมาเข้าโทรศัพท์มือถือด้วย
มีใบปลิวโฆษณามาสอดไว้ตามช่องหน้าบ้าน มีจดหมายส่งใบโฆษณามาให้ที่บ้าน
มีรถขายของแล่นมาประกาศขายของตามถนนตามซอย
เรียกได้ว่ามีโฆษณาจำนวนมากมายวิ่งเข้ามาหาเราในแต่ละวัน
และพยายามชักจูงให้เราสนใจ ชอบใจ อยากได้ และไปเสียเงินเพื่อซื้อสิ่งโฆษณาเหล่านั้น

ในส่วนของการนำเสนอข่าวเรื่องดาราโดยสื่อต่าง ๆ นั้น (เช่นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร
และกระทั่งเว็บไซต์ ก็ตาม) จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีเพียงข่าวของดาราในประเทศเท่านั้น
แต่ก็ยังมีนำเสนอข่าวของดาราต่างประเทศอีกด้วย
เรียกได้ว่ามีเรื่องต้องให้ไปสนใจและไปเสียเวลากับมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ลองพิจารณาไปที่เรื่องการชมกีฬากันบ้าง ยกตัวอย่างที่การชมกีฬาฟุตบอลก่อน
ก็จะพบว่าบางคนนั้นชมฟุตบอลเฉพาะลีกของไทยยังไม่พอ
ยังจะต้องคอยติดตามฟุตบอลลีกของประเทศอื่นอีก เช่น อังกฤษ อิตาลี เยอรมัน สเปน ฯลฯ
ถามว่า หากจะต้องชมทั้งหมดและติดตามแล้ว จะต้องใช้เวลาชีวิตมากมายขนาดไหน
กีฬาอื่น ๆ เช่น เทนนิส กอล์ฟ บาสเก็ตบอล เป็นต้น ก็ทำนองเดียวกัน
ขนาดกีฬามวยปล้ำ และอเมริกันฟุตบอลที่ไม่ได้เล่นกันในประเทศไทย ก็ยังมีนำมาให้ชมกัน
บางคนก็ใช้เวลาติดตามชมอย่างมากมายอีกด้วย

ลองพิจารณาถึงเรื่องการนำเสนอข่าวสารบ้านเมืองทั่วไป
การนำเสนอข่าวในปัจจุบันในแต่ละวันนั้นมีทั้งข่าวภาคเช้า ภาคกลางวัน ภาคค่ำ และภาคดึก
หากเป็นคนหมกมุ่นชอบติดตามข่าวอยู่ตลอด ก็ย่อมจะมีข่าวให้ติดตามได้ตลอดเช่นกัน
ช่องโทรทัศน์เคเบิ้ล หรือคลื่นวิทยุที่ให้บริการข่าวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็มี
ข่าวที่จัดส่งให้ทางเอสอ็มเอสโทรศัพท์มือถือก็มี
และเนื้อหาข่าวนั้น ก็ไม่ได้นำเสนอเฉพาะข่าวในประเทศไทยเท่านั้น
ประเทศอื่น ๆ ในมุมอื่นของโลกที่รบกัน เราก็ต้องมารับรู้ (ซึ่งก็อาจจะทำให้บางคนกลุ้มใจด้วย)
ประเทศอื่น ๆ ในมุมอื่นของโลกได้ประสบภัยธรรมชาติร้ายแรง เราก็รับรู้ด้วย
ซึ่งบางคนก็ตกใจกลัว ฟุ้งซ่านกังวล หรือกระทั่งทุกข์ใจตามไปด้วย
บางประเทศอื่นมีปัญหาการเมืองภายในกัน หรือมีการพูดถึงประเทศไทยในแง่ไม่ดี
เราก็ได้มารับรู้ด้วย ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่พอใจหรือมีโทสะตามไปด้วย
ซึ่งข่าวบางเรื่องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของเราเลย หรือไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยเราด้วยซ้ำ
แต่เราก็ตามไปเสียเวลารับรู้ สนใจ ศึกษา และติดตาม
และบางทีก็อาจจะถึงกับทะเลาะกับคนอื่น ๆ ในเรื่องข่าวที่ติดตามกันนั้นก็มี
โดยบางคนอาจจะบอกว่าต้องติดตามข่าวนะ เพื่อจะได้มีความรู้ทันเหตุการณ์ และทันสมัย
แต่ถามจริง ๆ เถอะว่าจำเป็นต้องติดตามตลอดทุกวัน ทั้งวัน และทุกเวลาไหม
และการติดตามเฝ้าคอยรับรู้เรื่องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราโดยตรงนั้น
จะช่วยให้เกิดกุศล เกิดสติ หรือเกิดอกุศล เกิดโมหะ โทสะ และโลภะเพิ่มขึ้นกันแน่
หากตอบว่าทำให้เกิดอกุศลแล้ว ถามต่อไปว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะหมกมุ่นทำหรือเปล่า

พิจารณามาถึงขณะนี้แล้ว เราก็คงพอที่จะเห็นได้นะครับว่า
เทคโนโลยีสมัยใหม่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยได้ทำให้เราหมดเวลาชีวิตไปกับมันมากมาย
ช่วยทำให้เราหลงไปกับมัน ช่วยทำให้เราเกิดอกุศล เกิดโมหะ โทสะ และโลภะได้เรื่อย ๆ
ดังนั้นแล้ว ก่อนที่เราจะซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ หรือก่อนจะเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อะไร
ก่อนที่เราจะตามแห่ไปซื้อ เพื่อให้เสียเงิน เสียเวลาชีวิตใช้สิ่งเหล่านั้น
(เพียงเพื่อจะบอกตัวเองหรือคนอื่นว่าเราทันสมัย หรือจะเพื่อเหตุผลอื่นประการใดก็ตาม)
ก็ควรที่จะต้องมีสติรู้ทันนะครับ โดยเมื่อเราเกิดอยากได้ อยากใช้ อยากซื้อแล้ว ก็ให้เรามีสติรู้ทันครับ
แล้วก็ลองพิจารณาด้วยเหตุผล ความจำเป็น และด้วยใจที่เป็นกลางครับว่า
เทคโนโลยีสมัยใหม่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยเหล่านั้น จะเป็นประโยชน์กับชีวิตเราจริงไหม
จะช่วยให้เราได้มีสติมากขึ้น มีปัญญามากขึ้น ได้สร้างบุญกุศลมากขึ้น
หรือว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพียงสิ่งที่จะทำให้เวลาชีวิตของเราหมดไปอย่างไร้สาระ
เสียเงินทองไปอย่างไม่มีประโยชน์ ทำให้ขาดสติ ด้อยปัญญา และมีกิเลสอกุศลมากยิ่งขึ้น
แล้วก็ยังจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้เราไปอบายมากขึ้นเสียด้วย

โดยสรุปนะครับ ก่อนที่เราจะซื้ออะไรเหล่านี้ก็ตามที เราพึงถามตัวเองก่อนครับว่า
“ซื้อและใช้แล้วจะช่วยเราสร้างกุศลเพื่อไปสุคติ หรือช่วยเราสร้างอกุศลเพื่อไปอบาย”
ไม่เช่นนั้นแล้ว เราเสียเงินซื้อมาแล้ว เสียเวลาชีวิตใช้มันแล้ว แล้วเรายังต้องไปอบายอีก
ก็ไม่คุ้มเลยด้วยประการทั้งปวง สู้เก็บเงินและเวลาชีวิตไว้เพื่อไปทำอย่างอื่น ยังจะดีกว่านะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP